ตอนเป็นเด็กก็ทำนาทำไร่ ตามประสาบ้านนอกธรรมดานี้แหละ
ผมเป็นคนซื่อๆ พออายุได้ ๑๘ ปี พวกญาติพี่น้องก็ชวนผมไปทำงานที่อ.หาดใหญ่
จ.สงขลา ไปทำงานรับจ้างอยู่ที่ร้านขายข้าวแกง ตอนไปอยู่ใหม่ๆ เขาก็ให้ผมเก็บถ้วย
ล้างจาน กวาดนั่น กวาดนี่ไปเรื่อย
แต่พออยู่มาได้ประมาณ ๓ เดือน
คนงานฆ่าไก่เขาลาออกไป เจ้าของร้านเลยบอกให้ผมมาทำหน้าที่ฆ่าไก่แทนคนงานเก่า
ด้วยเพราะผมไม่เคยศึกษาธรรมะ ไม่เคยสนใจเรื่องของบาปของบุญ จึงรับทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตฆ่าไก่แทนเขา
การฆ่าไก่ หากเป็นวันธรรมดา
จะฆ่าวันละ ๖ ตัว แต่หากวันใดเดือนใดขายดี มีงานเทศกาล ก็จะฆ่ามากกว่านั้น
เรียกว่าฆ่าไก่เพื่อเอามาทำอาหารขาย ให้คนเขาซื้อกินกันอยู่ทุกๆวัน ผมทำงานฆ่าไก่อยู่
๑๐ กว่าปี ลองคิดดูซิว่า ผมต้องฆ่าไก่ไปเป็นจำนวนเท่าใด
มีอยู่วันหนึ่ง กระผมเปิดวิทยุฟังได้ยินพระท่านเทศนาว่า
การฆ่าสัตว์มันเป็นบาป เป็นเวร เป็นภัยแก่ตนเอง มันมีวิบากกรรม ปกติผมไม่เคยกลัวต่อบาปกรรมที่ตนได้หลงไปก่อไปกระทำโดยไม่รู้เท่าถึงการณ์
วันนั้นผมเลยลาออกจากงานไปเลย
แล้วกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด ตอนนั้นอายุ
๓๐ กว่าปีแล้ว พ่อแม่เห็นว่าอายุพอสมควรจะมีลูกมีเมียแล้ว ท่านก็เลยจับแต่งงานกับสาวสวยในหมู่บ้านเดียวกันนั้นเอง
หลังจากแต่งงานแล้ว ผมก็มาทำไร่ทำนา เสร็จจากการทำไร่ทำนา ก็ไม่มีอะไรทำ
ผมเห็นเขาเลี้ยงไก่ชนขายกัน เขาขายได้ราคาดี บางตัวเป็นพัน บางตัวเป็นหมื่นก็มี
เลยมายึดอาชีพเลี้ยงไก่ชนขาย และเอาไปตีพนัน เอาเงินกันที่บ่อนไก่ ซึ่งเขาจัดขึ้นในวันเสาร์
หรือวันอาทิตย์
มีอยู่วันหนึ่งผมได้นำเอาไก่ชนตัวโปรดไปท้าพนันกับไก่ชนของเขา
ปรากฎว่าผมได้ชนไก่กับคู่ต่อสู้ที่มีน้ำหนักรูปร่างใกล้เคียงกัน การตีไก่ในคราวนั้น
ไก่ของผมตีดีมาทุกยก เรียกว่าเซียนพนันพากันเล่นทางไก่ของผมเป็นอันมากเลย
แต่แล้วจู่ๆ ขณะที่ไก่ของผมจะชนะแบบขาวสะอาดอยู่แล้วนั้น
ไก่คู่ต่อสู้ก็จิกเข้าให้ แล้วตีพับเข้าให้ จนไก่ชนของผมถึงกับปีกหักไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว
ผมมองเห็นแล้วว่าขืนให้ไก่ของเราตีต่อไป ไก่คงจะบอบช้ำมากกว่านี้แน่ จึงจะเข้าไปจับเพื่อให้ไก่ของผมแพ้
แต่ทว่าพวกเซียนพนันกลับบอกว่า แพ้ไม่ได้นะ เพราะหากไก่คุณแพ้พวกผมเสียเงินมากนะ
ผมเลยปล่อยให้ไก่ตีกันจนขันจม
หลังจากหมดยกหรือขันจมแล้ว พวกเพื่อนๆเลยหาอะไรมาดามปีกไก่เอาไว้
แล้วให้น้ำไก่ จากนั้นก็ปล่อยลงสนามอีก เพื่อให้ไก่ตีกันต่อไป แต่ทว่าไก่ปีกเจ็บ
หรือไก่ปีกหักนี่ครับ มันทั้งเจ็บ ทั้งเสียความทรงตัว ตีคู่ต่อสู้ก็ไม่ถนัด
มีแต่ให้เขาตีอยู่ฝ่ายเดียว ผลสุดท้ายผมมองดูแล้วเห็นว่าไก่ของผมจะไปไม่ไหว
ก็เลยไปจับให้ไก่ผมแพ้
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็ได้นำเอาไก่ตัวนั้นมาปฐมพยาบาล
จนไก่หายดีเป็นปกติ แต่มันก็กลายเป็นไก่ปีกหัก หรือไก่ปีกเดียวเท่านั้น
ผมก็มานั่งคิดนอนคิดว่า การที่ไก่ตัวนี้ต้องกลายมาเป็นไก่พิการ ปีกหัก
หรือเหลืออยู่ปีกเดียวนี้ มันก็เกิดจากการกระทำของผมเอง คงต้องเป็นบาป
เป็นกรรมแน่ อย่ากระนั้นเลย ผมควรเลิกเลี้ยง เลิกขาย เลิกตีไก่ซะที หันไปประกอบอาชีพที่ดีงามอย่างอื่นดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงเลิกอาชีพเลี้ยงไก่ชนขาย
แล้วก็ได้ขายไก่ไปหมด ไปสมัครเป็นคนขับรถให้บริษัทขายเครื่องสำอางแห่งหนึ่งในกทม.
พอได้ทำงานก็ขับรถตระเวนอยู่แถวภาคอีสาน การไปขายเครื่องสำอางแต่ละที ทางบริษัทจะกำหนดให้ไปทีละ
๓ เดือนถึงจะกลับมาพักที่บ้านที
ทำงานกับบริษัทนี้อยู่หลายปี
วนเวียนเป็นอยู่อย่างนี้ประจำ มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ผมได้มาพักที่บ้าน
ในตอนเช้าของวันที่ ๒๐ ก.พ. ๒๕๒๐
มันเป็นเช้าที่เจ้ากรรมนายเวรได้มาทวงหนี้ชีวิตของเขาคืน
เวลาประมาณ ๖.๐๐ น. หลังจากผมตื่นจากที่นอน
ภรรยาของผมซึ่งเป็นแม่ค้าขายน้ำแข็งในโรงเรียน ก็บอกกับผมว่า พี่พูนช่วยบดน้ำแข็งให้ฉันหน่อย
ในชีวิตของผมไม่เคยบดน้ำแข็งเลย
เมื่อผู้เป็นภรรยาเรียกใช้ มีหรือผมจะไม่ทำ ผมจึงกดวิทช์ไฟฟ้าเครื่องบดน้ำแข็งให้ทำงาน
แล้วผมก็นำเอาก้อนน้ำแข็งใส่เครื่องบดนั้น หลังจากบดน้ำแข็งจนหมดทุกก้อนแล้ว
ผมมองไปที่เครื่องบดน้ำแข็งนั้น ยังมีเศษน้ำแข็งก้อนเล็กๆค้างคาอยู่ จะเป็นเพราะกรรมบังตาบังใจผมไว้
ก็ไม่อาจจะรู้ได้ ผมได้ยื่นมือไปกวาดเอาเศษน้ำแข็งนั้น ในขณะที่เครื่องบดน้ำแข็งนั้นกำลังทำงานอยู่
ในขณะที่ผมกำลังเอามือกวาดเอาน้ำแข็งออกมานั้น
พลันเครื่องบดน้ำแข็งก็ได้กระชากเอาแขนของผมเข้าไปตามในเครื่องบดนั้น ผมเซไปตามแรงดึงของเครื่องบด
จนเกือบจะหกล้มแต่ไม่ล้ม ผมมองดูแขนของผม
เอ๊ะ! แขนของผมขาด มันได้หายเข้าไปกับเครื่องบดนั้น
มองดูแขนที่ขาด เห็นสายเส้นเอ็นที่มันขาดห้อยระโยงระยางราวกับไส้ไก่รถจักรยานอย่างไรอย่างนั้น
ผมยืนงงราวกับไก่ตาแตก ในใจคิดแต่เพียงว่า
โอ้! ลูกทั้ง ๓ คนที่ฝากอนาคตไว้กับผม คงจะดับวูบลงแน่ ตอนนั้นลูกยังตัวเล็กอยู่
คนโตเป็นหญิง อายุตอนนั้น ๘ ปี คนกลางเป็นชายอายุ ๕ ปี ส่วนคนเล็ก อายุเพียง
๓ ปีเท่านั้น
พวกญาติๆ มองเห็นผมได้รับอุบัติเหตุแขนขาด
จึงได้พาผมไปส่งที่โรงพยาบาลราชบุรี นอกพักรักษาตัวอยู่ ๙ วัน ๙ คืน จนคุณหมอเห็นว่าแผลใกล้จะหายดีแล้ว
จึงให้ผมออกจากโรงพยาบาล เพื่อมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน
ขณะที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน
ผมก็ได้บอกกับผู้ที่เป็นภรรยาว่า หากเธอคิดว่าพี่เป็นคนแขนขาด แขนพิการไม่หล่อ
ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเธอ จะไปมีผัวใหม่ก็ได้นะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก
นอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านหลายเดือน
พอแผลหายดีสนิทแล้ว ผมจึงหาซื้อเสื้อผ้ามาขาย โดยการสะพายขายตามหมู่บ้านต่างๆ
อยู่มาอีกปีกว่า ผู้เป็นภรรยาก็ได้ทิ้งผมไปมีผัวใหม่ ปล่อยให้เลี้ยงลูกตัวเล็กๆ
ตามลำพังเพียงผู้เดียว
ผมได้รับความลำบากตรากตรำแสนสาหัสทีเดียว
ในใจก็คิดว่า สมแล้ว! ที่เราทำกรรมทำเวรกับเขาเอาไว้มาก ใช้กรรมใช้เวรเสียให้มันพอ
จะได้หมดกรรมหมดเวรกันเสียที