กรรมตามสนอง ตอน...
เส้นทางบาป เส้นทางบุญ
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 223
หน้า 2/2

ผมได้ถามช่างตัดผมนั้นว่า ได้เท็ปธรรมะม้วนนี้มาจากไหน ช่างตัดผมก็บอกว่า ได้มาจากคุณวิบูลย์ ซึ่งคุณวิบูลย์เขาเปิดร้านขายอาหารมังสวิรัติอยู่ใกล้ๆ กันนี้เอง

พอตัดผมเสร็จ ก็เดินไปที่ร้านขายอาหารมังสวิรัตินั้น และก็ได้สั่งอาหารมังสวิรัติมาลองทานดู ปรากฏว่ารสชาติก็อร่อยดี ผมได้ถามถึงที่มาของเท็ปธรรมะ คุณวิบูลย์ก็ถามว่า คุณชอบสนใจธรรมะเหมือนกันหรือ ผมตอบว่า ใช่ครับ และพูดคุยกันจนเป็นที่พอใจแล้ว ทางคุณวิบูลย์ก็เอ่ยปากชวนให้ไปร่วมฟังธรรมะที่สันติอโศก ซึ่งคุณวิบูลย์บอกว่าทุกๆวันอาทิตย์จะต้องไปฟังธรรมะที่นั่น ผมก็ตกปากรับคำว่า ไปครับ

เช้าวันอาทิตย์ ผมเลยถือโอกาสนี้ไปร่วมฟังธรรมกับคุณวิบูลย์ เป็นกิจวัตรอย่างนี้อยู่เรื่อยมา ผมรู้ว่าเส้นทางที่ผมมาเดินนี้เป็นเส้นทางบุญ เป็นเส้นทางที่พระพุทธองค์ทรงพาพุทธสาวกเดินมาก่อนแล้ว เป็นทางที่ปลอดโปร่ง เป็นทางที่เบิกบาน และแจ่มใส ผมจึงถือศีล ๘ ทันทีเลย อบายมุขต่างๆ ผมไม่ชอบไม่ติดอยู่แล้ว เรียกว่าบารมีเก่าของผมมีมาก่อนแล้ว จึงไม่ยากเลยที่ผมมาถือศีล ๘ มาทานมังสวิรัติ ทานข้าวเพียงวันละมื้อเดียว

ผมถือศีล ๘ เป็นอยู่อย่างนี้อีกปีกว่า ก็มีญาติธรรมแนะนำให้ลองมาทำธุรกิจส่วนตัวดู คือลองเอาข้าวสารใส่ถุงไปขาย ตอนแรกๆ ก็ไม่กล้า แต่พอมาคิดดูอีกที ถ้าเราไม่ลองก็ไม่รู้นะ เอ้า! ลองดู จึงมาค้าขายข้าวสารที่ตลาดโพธิ์ทองในกทม.นี้เอง

ตอนแรกๆ ก็รับข้าวไปขายตามชุมชน โดยอาศัยรถเขาไปขายพร้อมกันหลายๆคน ปรากฏว่าวันแรกผมขายได้กำไรตั้งหนึ่งร้อยกว่าบาท ดีใจมากเลย เพราะทำงานอย่างมากก็แค่ตกวันละ ๖๐ กว่าบาทเท่านั้น

วันต่อมาก็ขายได้กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนหนึ่งปีให้หลัง ผมมาคิดดูว่า หากเรามีรถยนต์ส่วนตัว แล้วไปรับมาจากโรงสี โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เราคงจะมีกำไรมากกว่านี้แน่ จึงได้ไปปรึกษาคุณวิบูลย์ คุณวิบูลย์ก็บอกว่า ยินดีให้ยืมเงินเพื่อไปดาวน์รถใหม่ โดยที่คุณวิบูลย์ให้ผมผ่อนส่งเป็นเดือนๆไป

จากนั้นผมก็ได้ไปดาวน์รถคันงาม มาขับส่งข้าวสารตามชุมชนต่างๆในกทม. จะเป็นด้วยผลของการถือศีลปฏิบัติธรรมเคร่งของผมหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้ผมขายดี มีลูกค้ามากเลย ขายข้าวสารตกวันละ ๓๐ ถึง ๔๐ กระสอบ

กระสอบหนึ่งผมเอากำไรน้อย คือ รับมา ๙๐๐ บาท ขายกระสอบละ ๑,๐๐๐ บาท กำไรกระสอบละ ๑๐๐ ผมขายได้วันละ ๓๐ ถึง ๔๐ กระสอบ ก็ตกวันละ ๓ ถึง ๔ พันบาท ต่อมาผมก็ได้ไปรับลูกชายทั้ง ๒ คนที่เรียนจบ ม.๖ มาช่วยงานขายข้าวสารนั้น

ผมขายข้าวสารอยู่ที่ตลาดโพธิ์ทองแห่งนี้อยู่หลายปี จึงมีเงินมาสร้างบ้าน ที่ต.บางแพ จ.ราชบุรี และก็ได้ซื้อรถเพิ่มอีกถึงสองคัน ตอนนั้นผมอายุ ๕๘ ปีแล้ว เงินก็มีเป็นแสนๆ บ้านก็เป็นหลักเป็นฐาน คิดว่าอยากจะออกมาช่วยงานศาสนากับชาวอโศก ก็รอแต่ว่าลูกสาวคนโตจะเรียนจบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เท่านั้น และในปีต่อมา ผมมีเงินมากขึ้น ลูกชายทั้งสอง ตอนกลางวันก็มาช่วยพ่อขายข้าวสารดีอยู่หรอก แต่พอตกกลางคืน เขาก็ออกเที่ยวเธ็ค เที่ยวบาร์ ผมติงเตือนเขายังไง เขาก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ผมรู้สึกหนักใจมากเลย แบกข้าวสารไปส่งขาย ยังมีจุดหมายปลายทาง แต่แบกลูกเกเรนี้ แสนจะหนักอกหนักใจ ไม่รู้จะวางไว้ที่ใดได้ นี่หากใครที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ คิดจะแต่งงานมีลูกมีเมีย หรือคิดจะมีสามีละก็ อย่าเลย หากใครได้ลูกดี มันก็ดีไป แต่หากใครได้ลูกไม่ดี คุณเอ๋ย! มันหนักอกหนักใจเสียจริงๆ

ปีต่อมาลูกสาวคนเดียวของผมก็ได้เรียนจบ มีงานการทำเป็นหลักแหล่ง ส่วนลูกคนกลาง เขาก็ได้แต่งงานไป และพ่อก็บอกว่า หากใครแต่งงานไป ก็ขอให้ไปอยู่กับเมียเลยนะ เพื่อลดภาระของพ่อเอง

ตอนนี้ผมก็คงเหลือลูกสาวคนโต และลูกชายคนเล็ก แต่เจ้าลูกคนเล็กนี้แสนจะเกเรไม่หยุด ผมแม้จะหาเงินได้มากมาย เพื่อเอามาให้ลูก จะเหนื่อยแสนเหนื่อย ก็ยอมทนเพื่อลูก แต่ลูกกลับไม่ใยดีในความดีของพ่อ พอตกตอนเย็น เขาจะไปกินเหล้า เข้าบาร์ เที่ยวผู้หญิง ผมเลยมาคิดว่า ในเมื่อลูกมันไม่รักดี เรื่องอะไรเราจะยอมเป็นขี้ข้ามันต่อไป

คิดได้ดังนั้น ในเย็นวันหนึ่ง จึงเรียกลูกทั้งสองคนมาพบ แล้วพูดกับลูกๆว่า พ่อแก่แล้ว พ่อก็หาเงินมาเลี้ยงดูลูกๆจนโตกันทุกคนแล้ว บัดนี้ฐานะทางบ้านของเรา ก็พอมีอยู่มีกินบ้างแล้ว พ่อว่าพ่อจะไปอยู่วัดแล้วนะ

ลูกสาวพ่อก็เรียนจบมหาวิทยาลัย ได้ทำงานเป็นหลักแหล่งแล้ว ลูกก็เป็นคนโตด้วย พ่อขอฝากน้องๆ ขอให้ดูแลน้องๆ ทั้งสองแทนพ่อด้วย สมบัติทุกสิ่งทุกอย่างพ่อขอมอบให้ลูกดูแลทั้งหมดเลยนะ

ส่วนเจ้าคนเล็กนี่ ก็จงเลิกเที่ยวเตร่เสียนะ เพราะโตแล้ว พอที่จะหาเงินเลี้ยงตัวเองได้แล้ว พ่อจะมอบธุรกิจการค้าการขายข้าวสารให้แก่เจ้า ขอให้ดำเนินงานดังที่พ่อเคยพาเจ้าทำมานั้นแหละ ลูกค้าของเราก็มากอยู่หรอก ขอให้เจ้าทำงานด้วยความขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน แล้วเจ้าจะสมหวังในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าปรารถนา

หลังจากสั่งเสียลูกทั้งสองคนแล้ว ผมก็ได้มอบรถ และมอบงานพร้อมทั้งเงินให้แก่ลูกทั้งสองคน แล้วผมก็ได้ออกมาอยู่วัด ราวปี ๒๕๓๗ อายุตอนนั้น ๕๙ พอดี

ตอนแรกก็ได้ไปทำงานบุญอยู่ที่พุทธสถานปฐมอโศกระยะหนึ่ง เมื่อได้ปลดปล่อยชีวิตให้เป็นอิสระแล้ว ก็โบยบินไปทำบุญร่วมกับหมู่กลุ่มอยู่ทั่วแทบทุกพุทธสถาน

ฟังเรื่องของคุณลุงแล้ว ทำให้การที่กระผมได้มาร่วมปฏิบัติธรรมกับพ่อท่าน ช่างเป็นบุญมหาศาล เป็นลาภอันประเสริฐในชีวิตของกระผมทีเดียว ทุกวันคืนที่กระผมอยู่กับหมู่กลุ่มชาวอโศก พอตื่นขึ้นมาลืมตาดูโลก ก็มีแต่ภาระทางงานบุญ เรียกว่าทำงานฟรี เป็นการสั่งสมบุญบารมีให้แก่ตนเอง เพื่อเป็นเสบียงในการเดินทางไปสู่เมืองพระนิพพาน อันเป็นแดนเกษม ที่นักปฏิบัติธรรมพากันปรารถนา

เสมือนผู้ถูกเชิญมาไว้บนสรวงสวรรค์ ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการฉะนั้น ดังพรระพุทธองค์ตรัสว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้ เป็นผู้ถูกเชิญไว้บนสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่เขานำมาประดิษฐานไว้ ธรรม ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ

๑. เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์

๒. เว้นขาดจากการลักทรัพย์

๓. เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม

๔. เว้นขาดจากการพูดเท็จ

๕. เว้นขาดการจากพูดส่อเสียด

๖. เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ

๗. เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ

๘. ไม่อยากได้ของผู้อื่น

๙. มีจิตไม่ปองร้าย

๑๐. มีความเห็นชอบ

กระผมขอจบสัมภาษณ์เรื่องเส้นทางบาป และเส้นทางบุญของคุณลุงพูนบุญ อินบุญ นักปฏิบัติธรรมชาวอโศกไว้แต่เพียงเท่านี้

ก่อแก่น
๑๓ เมษายน ๒๕๔๓