หน้าแรก หน้าต่อไป
บันทึกปัจฉาสมณะ โดย สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ ตอน...
โพธิกิจ ๓ ทศวรรษ
๓๐ ปี โพธิกิจ
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 232 เดือนมกราคม 2544
หน้า 1/2

พฤศจิกายนต้นเดือน พ่อท่านร่วมประชุมหมู่สมณะ ประจำปี ที่รู้กัน ในหมู่ชาวอโศกว่า “มหาปวารณา” ซึ่งปีนี้พิเศษตรงที่ ผนวกรวม วันกตัญญู ครบ ๓๐ ปี การบวช ของพ่อท่าน (๗ พ.ย. ๒๕๔๓) เข้ามาร่วมกับ งานมหาปวารณา เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ในการเดินทาง ของญาติธรรม และ จากความลงตัว หลายๆปัจจัย ทำให้งานมหาปวารณา ปีต่อๆไป ก็จะเลื่อน มาอยู่ในช่วง ระหว่างวันที่ ๗ พ.ย. พ่อท่านเอง ก็เห็นสอดคล้อง กับข้อเสนอนี้ ด้วยเหตุผล สำคัญว่า วันบวช ของพ่อท่าน (๗ พ.ย. ๒๕๑๓) จะได้ไม่ถูก พุทธสถานต่างๆ เอาไปอ้าง เพื่อแย่งกันจัดงาน ให้มาผนวกรวมกับ งานมหาปวารณาไปเลย เช่นเดียวกับ วันเกิด ของพ่อท่าน (๕ มิ.ย. ๒๔๗๗) ที่พ่อท่านสลาย ให้เป็นวัน อโศกรำลึกแทน จนเมื่อเกิด คดีความ ทำให้พระ ชาวอโศก ต้องเปลี่ยนชุดนุ่งห่ม และ เปลี่ยนคำนำหน้า จาก “พระ” มาเป็น “สมณะ” (๑๐ มิ.ย. ๒๕๓๒) ถือเป็นวันเกิดสมณะ วันอโศกรำลึก จึงเปลี่ยน ย้ายจาก ๕ มิ.ย. มาเป็น ๑๐ มิ.ย. ของทุกปีแทน

“ตามประสา” เป็นชื่อรายการวิทยุ ที่พ่อท่านตั้งชื่อให้ ด้วยเห็นแก่ คนจัดทำรายการ คุณเบญจวรรณ (ลูกดิน) เจริญวงษ์ ที่ปรารถนาดี อยากให้ธรรมะ ที่พ่อท่าน นำพาปฏิบัตินี้ เผยแพร่ออกไป สู่ประชาชน วงกว้าง จึงวอน ขอให้พ่อท่าน แบ่งเวลาพูดธรรมะ อะไรก็ได้ ที่พ่อท่าน เห็นเหมาะควร แล้วอัดเท็ปไว้ เพื่อนำไปเผยแพร่ ในช่วงจันทร์-ศุกร์ เวลา ๑๒.๐๐-๑๒.๓๐ น. คลื่น A.M. ๗๔๗ MHz โดยถือเอาฤกษ์ ๗ พ.ย. ๒๕๔๓ เป็นวันแรก ที่เริ่มออกอากาศ

“วันลอยกระทง” ๑๑ พ.ย. ๒๕๔๓ ที่สันติอโศก พ่อท่านแสดงธรรม ทำวัตรเช้า เน้นเรื่อง ความสามัคคี จากบางส่วนดังนี้

“ความสามัคคี จะมีความระลึกถึงกัน เป็นสาราณียธรรมที่ดี"

ถ้าจะระลึกถึงผู้ใหญ่ ที่ดีก็คือทำตัวเองให้ดีขึ้น มิใช่ไปนั่งประจบ ประแจง อยู่ตลอด อย่างนั้น เป็นความระลึกถึง อย่างเด็กๆ เราช่วยตัวเอง ให้ดีขึ้น แล้วจะช่วย ผู้ใหญ่ได้ การระลึกถึง อย่างเบบี้นั้น เป็นการห่วงหาอาวรณ์ พิรี้พิไร ทำให้ตนเอง เศร้าหมองเปล่าๆ การระลึกถึง ควรมีปัญญา

ในชาวอโศกมีความสามัคคี พอสมควร ผู้ไม่สามารถ ทำความสามัคคีได้ ก็จะอยู่ไม่ได้ ผู้ใดที่มีใจวิวาท ไม่ยอม แม้ไม่แสดงออก ทางกาย วาจา แต่ใจ สะสมไปๆ วันหนึ่ง ก็ต้องแยกออกไป

อโศกทำอะไรได้ดี มีสามัคคีมาตลอด เพราะ เราได้ใช้ธรรม ของ พระพุทธเจ้า มาเป็นบทปฏิบัติ กันอย่างจริงๆจังๆ ในชีวิตประจำวัน ถึงกระนั้น อโศกเรา ก็ยังต้องการ ความพรั่งพร้อม สามัคคียิ่งกว่านี้ ใครที่ยังมีวิวาท อยู่ในใจ ก็ขอให้ตรวจสอบ สังวร แล้วปรับตนเอง ให้ดีๆ

ความสามัคคีที่ดี จะเกิดได้ก็เพราะ

๑. ขยันขวนขวายขึ้น
๒. พัฒนาตนเอง ทั้งความรู้ และ กิจการงาน
๓. ลดกิเลสอัตตามานะ ของตนให้ได้ “

“ภูมิ ๘ วิ.” เป็นชื่อที่พ่อท่าน ใช้แสดงธรรม ช่วงก่อนฉัน วันอาทิตย์ ๑๒ พ.ย. ๒๕๔๓ และ ก่อนฉันวันจันทร์ ๑๓ พ.ย.๒๕๔๓ ที่สันติอโศก

“ภพภูมิ ๘ วิ. อันนี้อาตมากำหนดเรียบเรียงขึ้นมาเอง ไม่ได้บัญญัติ สิ่งที่พระพุทธเจ้า ไม่ได้บัญญัติหรอก เป็นการเสริม ให้สอดคล้อง กับที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้แล้ว เพื่อกำหนด เป็นเครื่องรู้ เป็นเครื่องกำหนดหมาย ขยายความ ให้พวกเราเข้าใจขึ้น โดยภูมิ ๘ วิ.นี่ ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งภูมิโลกุตระ หรือ ภูมิอาริยะ ภูมิกัลยาณชน และ ภูมิปุถุชน

แบ่งเป็น ๑. วิหาร ๒. วิมุติ ๓. วิเวก ๔. วิมาน ๕. วิชัย ๖. วิกล ๗. วิปริต ๘. วินาศ

เริ่มต้นตั้งแต่วินาศก่อน วินาศ คือความฉิบหาย บรรลัยจักร แม้แต่ในสังคม ระดับบริหาร เหมือนกับ คนหน้าด้าน เห็นอยู่ว่า มันผิด เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว ก็ยังดึงดัน ตัวอย่างเช่น ซื้อเสียงนี่ มันผิดมันเลว ก็ยังทำ ชาวบ้านก็จำนน ต้องกราบ ต้องเคารพ ตามกฎเกณฑ์ ของสังคม นี่คือความวินาศ หรือ มีการทำร้าย ลอบฆ่าคนทำดี ที่ไปขัดผลประโยชน์คนรวย หรือ คนมีอำนาจ คนพวกนี้นี่ เราตัดหางปล่อยนรก อย่าไปตอแยเขา เขามีอำนาจบาตรใหญ่ ถ้าเราไปตอแย เขาทำร้ายได้ เขาทำชั่วกับเรา ยิ่งบาปมากซับซ้อน คนพวกนี้ พูดไม่รู้เรื่อง ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานด้วย อาฆาตมาดร้ายก็มาก เอาชนะคะคาน ก็มาก เราต้องรู้ แล้วพยายาม เลี่ยงหลบ ไม่ต้องไปตอแย

ทีนี้วิปริต จะกึ่งมีสำนึก อยู่ในตัวบ้าง แต่ก็ผิดทางแล้ว ในกรรมกิริยา ของเขา การดำเนินชีวิต ผิดทาง วิปริตแล้ว พูดลึกลงมาถึง วงการศาสนานี่ อยู่ในสภาพวิปริต ส่วนคนทำให้วินาศ ฉิบหาย มีอยู่แล้ว ในวงการศาสนา ทุกวันนี้ มันผิดทาง มันแปรปรวนแล้ว ไม่ได้เดินเข้าหา สัจธรรม ของ พระพุทธเจ้าเลย แต่ก็มีหิริอยู่บ้าง กลัวบาปอยู่บ้าง เพราะมีอันนี้ เหลืออยู่ เรา จึงรอด เขามีอำนาจบาตรใหญ่ ยึดครองอำนาจศาสนาไว้เลย เขาจะทำร้าย ทำลายเรา อย่างถอนรากถอนโคน ก็ทำได้ แต่ก็ยังมีการ เกรงกลัวบาปอยู่ เพราะรู้อยู่บ้าง โดยพฤตินัย กับนิตินัย ที่ออกกฎระเบียบมา มันไปย้อนแย้ง สิ่งที่พระพุทธเจ้า บัญญัติไว้ตั้งเยอะ อย่างเช่น เขาสอน อุทิศส่วนกุศล ไปถึงผู้ตายนี่ มันไม่ถึง มันไม่ใช่ เขาก็ยืนยันว่านี่ถูก อาศัยหากิน อยู่นั่นแหละ การใช้ไฟเป็นสื่อ ใช้น้ำเป็นสื่อ มีน้ำมูก น้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ก็ผิดอยู่แล้ว ในมหาศีล ก็บอกไว้ ชัดๆอยู่แล้ว เขาก็ยังรดน้ำมนต์ อยู่นั่นแหละ”

ทั้งหมดข้างต้นนี้ เป็นเพียงบางส่วน ที่พ่อท่านได้อธิบาย สำหรับผู้สนใจ รายละเอียด ทั้งหมด ของ “ภูมิ ๘ วิ.” กรุณาติดตาม รับฟังได้ จากเท็ป ที่เผยแพร่

“บริษัทขอบคุณจำกัด” บริษัทน้องใหม่ ของ ชาวอโศก ๑๙ พ.ย.๒๕๔๓ ที่สันติอโศก มีการประชุม ผู้ถือหุ้นบริษัท เพื่อคัดเลือก คณะกรรมการบริษัท และ ผู้ทำหน้าที่ ในตำแหน่งต่างๆ จากบางส่วน ที่พ่อท่านให้โอวาท เปิดประชุม ดังนี้

“เราจดทะเบียนเบื้องต้น ๓ ล้านบาท เมื่อบริษัทดำเนินกิจการไปได้ดี ก็จะซื้อหุ้นคืน จากผู้ถือหุ้น เหมือนบริษัทพลังบุญ และ บริษัทฟ้าอภัย จนที่สุด ไม่มีผู้ถือหุ้น เป็นตัวตน หากล้มละลาย ก็ไม่มีใครเสีย

เงินกองบุญนิยม ของบริษัทขอบคุณ จะชิดใน เหมือนอย่างคนในวัด พนักงาน มีเงินเดือน ตามกฎหมาย ของกรมแรงงาน แต่รับแล้ว พนักงานจะเสียสละ เอาเข้ากองกลาง กองบุญนิยม ของบริษัทขอบคุณ

บริษัทนี้น่าจะอยู่รอด ได้มากกว่า บริษัททั่วๆไป เพราะเพียงแค่ รักษาตัว ให้รอดเท่านั้น คนทำงาน ก็ไม่เอาเงินเดือน ดอกเบี้ยก็ไม่มี บริษัททั่วไป พนักงานทุกระดับ มีแต่จะกอบโกย เข้ากระเป๋า ให้ได้มาก แต่ของเรา ไม่มีอย่างนั้น อย่างนี้จะอยู่ไม่รอดได้อย่างไร...”

“ประชุมกลุ่มสาธารณโภคี” ที่สันติอโศก ๒๔ พ.ย. ๒๕๔๓ เป็นการประชุมตามปกติ เดือนละครั้ง จากบางส่วน ที่พ่อท่าน ให้โอวาท ปิดประชุม ดังนี้

“พวกเราเจริญขึ้น งานเยอะขึ้น ทั้งๆที่แบบวิธี เราไม่ได้กระตุ้นด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทางโลกย์เขาใช้สิ่งนี้กระตุ้น ให้คนทำงาน เหมือนเอาหญ้า ผูกหน้าลา ล่อให้ลามันเดิน เราทำโดยเข้าใจ มีปัญญา ไม่ตกเป็นทาสสิ่งล่อ หรืออามิส เราทำ เพราะเข้าใจว่า มนุษย์มีคุณค่า มีประโยชน์ สร้างสรร ก็ จึงทำ...”

“ประชุมชุมชนสันตินาคร” ที่สันติอโศก ๒๕ พ.ย. ๒๕๔๓ เป็นการประชุมตามปกติ เดือนละครั้ง จากบางส่วน ที่พ่อท่าน ให้โอวาท ปิดประชุม ดังนี้

“ดูพวกเราคึกคักขึ้นมา เมื่อมีพรรคสหกรณ์ อาตมาก็ว่าดี เพราะพวกเรา เฉื่อยๆ กันมานาน ยุคนี้เป็น ยุครอยต่อ ของสังคม ที่สะบักสะบอม จากสังคมนิยม และ ทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคม เศรษฐกิจ ชุมชน การศึกษา ฯลฯ ขณะที่พวกเรา มีแต่กระแส ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ทำให้ สังคมส่วนใหญ่ เขามายินดี ชื่นชมอะไรพวกเรา เนื่องจากข่าว ที่ถูกสร้าง ให้พวกเราไม่ดี มีมาก่อน แต่ก็มิใช่พวกเรา อยากให้เขามายินดี โดยที่พวกเรา ก็ไม่พัฒนาต่อ

ที่จริงเราควรขมีขมัน เหมือนเจอบ่อเพชร บ่อทอง ที่ต้องตื่นเต้น ตาวาว แต่พวกเรา ยังดูเฉื่อยๆ น่าจะตื่นเต้น ขึ้นมาบ้าง เพราะเป็นโอกาส ที่จะได้ กอบกู้สัจธรรม

อาตมาไม่พยายามปลุกเร้าพวกเรา ด้วยการโฆษณา แต่จะพยายาม ให้พวกเรา ขมีขมัน ด้วยสำนึก ของตนเอง

แต่ก่อนเขาไม่กล้าเอ่ยอ้างคำว่า อโศกเลย ทุกวันนี้ เขาพูดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น พระที่มีชื่อเสียง มีบทบาทอยู่ในสังคม หรือ จะเป็นคนในสังคม ที่มีบทบาท เคลื่อนไหว เพื่อความเป็นธรรมในสังคม เขาก็กล้าพูด กันแล้วว่า ชุมชนอโศก เป็นชุมชน พึ่งตนเอง ที่เข้มแข็ง สนองพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง...”

“ประชุม ๔ องค์กร” ที่สันติอโศก ๒๖ พ.ย.๒๕๔๓ เป็นการประชุม ตามปกติ เดือนละครั้ง ประกอบด้วย มูลนิธิธรรมสันติ กองทัพธรรมมูลนิธิ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม และ ธรรมทัศน์สมาคม

ช่วงหนึ่ง ของการประชุม ท.ญ.ฟากฟ้าหนึ่ง อโศกตระกูล ตัวแทนจากปฐมอโศก ได้แจ้งในที่ประชุมว่า คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ติดต่อ ขอใช้พื้นที่ ปฐมอโศก ทำโครงการนำร่อง การแปรรูปสมุนไพร โดยจะสร้าง อาคารแปรรูปสมุนไพร เพื่อการทำวิจัย สมุนไพรไทย เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ จะมอบให้ชุมชน หลังจากทำวิจัย ๓ ปีแล้ว และ จะมีอาจารย์ มาแนะนำ ให้ความรู้ มีนักศึกษา และ หน่วยงานอื่นๆ ไปใช้สถานที่ ศึกษาดูงาน และ การทำวิจัย

“ได้ ไม่มีปัญหาอะไร ดีเสียอีก เรากำลังสร้างโรงงาน ยาสมุนไพรพอดี ยิ่งจะมีอาจารย์ มาแนะนำให้ความรู้ กับชุมชน และ มาทำวิจัย ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์ เสริมให้พวกเรา จะได้ทำประโยชน์ กับสังคม ให้ยิ่งขึ้นไปอีก

ธรรมะก็จะเป็นเช่นนี้แหละ เมื่อจะทำอะไร ก็จะมีเหตุปัจจัย เสริมเข้ามาพอดี จังหวะเวลา ลงตัว เราไม่ได้คิดวางแผน จะให้เป็นอย่างนี้เลยนะ เราก็ทำ ของ เราไป ตามความเหมาะควร ที่เราเห็นเหมาะควร เขาเอง ก็กำลังหาแหล่ง ที่จะทำวิจัย ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ต่อสังคมมนุษยชาติ อยู่เหมือนกัน ก็พอดี สอดคล้องกัน เราเอง ก็มีโรงเรียนอยู่แล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ กับนักเรียนด้วย....” พ่อท่านกล่าว

อีกเรื่องหนึ่ง ที่แทรกเข้ามา ไม่อยู่ในวาระประชุมใดๆ ก็คือ การไปช่วยเหลือ ผู้ประสบภัย น้ำท่วมภาคใต้ จะสมควรไปช่วยเหลือ หรือไม่ อย่างไร แค่ไหน พ่อท่านนำเสนอ ให้ที่ประชุม ช่วยกันคิด เนื่องจากมีญาติธรรม ที่หาดใหญ่ ทักท้วงมา เกรงว่าจะไม่คุ้ม ด้วยหน่วยงานต่างๆ ก็ลงไป กันมากแล้ว ตอนนี้ คนที่หาดใหญ่ ก็ไม่ได้อดอยากอะไร

หลังจากหลายท่าน ได้แสดงความคิดเห็น ก็ตกลงว่า จะไปช่วย เอาอาหาร และ สิ่งจำเป็นไป โดยจะตระเวน ไปตามหมู่บ้าน ที่อยู่ห่างไกล การช่วยเหลือ ซึ่งมีอยู่หลายพื้นที่ ที่ประสบภัยน้ำท่วม ไม่ใช่เฉพาะที่หาดใหญ่ เท่านั้น พื้นที่จังหวัดอื่น ก็มีเดือดร้อน โดยจะติดต่อประสาน ไปกับญาติธรรม ในพื้นที่ต่างๆ ช่วยหาข้อมูล หาแหล่งที่สมควร นำสิ่งของ ไปแจก

มีเสียงแทรกถามพ่อท่านว่า หากจะมีคนภายนอก ที่ไม่ใช่ชาวอโศก จะช่วย บริจาคสิ่งของ หรือ อาหารที่มีเนื้อสัตว์ สมควรจะรับ ไปแจก หรือไม่

พ่อท่านเห็นว่า “ก็รับได้ ชาวบ้านทั่วไป เขากินเนื้อสัตว์ ของเขาอยู่แล้ว เราเอง ก็ไม่ได้มีส่วน ที่ทำให้สัตว์ ต้องตายอะไร มันเป็นเหตุการณ์พิเศษ เป็นเรื่องเฉพาะกิจ ไม่ใช่เรื่องปกติ ของพวกเรา”

ค่ำวันที่ ๒๘ พ.ย. ๒๕๔๓ พ่อท่านเดินทางกลับมาจาก การไปประชุม สหกรณ์บุญนิยม ราชธานีอโศก จำกัด และ ประชุมชุมชน ราชธานีอโศก มาถึงก่อน ๒๒.๐๐ น. เห็นพวกเรา กำลังช่วยขนของ ขึ้นรถหลายคัน เพื่อเดินทาง ไปช่วย ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ดูคึกคัก ทั้งเด็ก คนหนุ่มสาว และ คนแก่ ช่วยกันเสร็จพอดี แต่ยังมีอีก ๑ คัน ที่จะมารับของ ในเวลา ประมาณตีหนึ่ง

หลังจากพ่อท่านนอน ประมาณสี่ทุ่มเศษ ประมาณตีหนึ่ง พ่อท่านอุตส่าห์ ตื่นขึ้นมา ช่วยยกของ ขึ้นรถ ด้วยเกรงว่า หลายคน จะเหน็ดเหนื่อย ไม่สามารถลุก ตื่นขึ้นมา ช่วยขนได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็มีหลายคน ลุกขึ้นมาช่วยกัน

“ประชุมบริษัทแด่ชีวิต จำกัด” ที่สันติอโศก ๒๙ พ.ย. ๒๕๔๓ เป็นการประชุม ตามปกติ เดือนละครั้ง แต่ไม่ได้รบกวน นิมนต์พ่อท่าน ร่วมประชุมทุกครั้ง ครั้งนี้พ่อท่าน ร่วมประชุมด้วย

คุณวิภา พีรพัฒนโภคิน ตัวแทนฝ่ายผลิต ยาสมุนไพร ของปฐมอโศก ให้ข้อมูล เรื่องการผลิต ยาสมุนไพร ของปฐมอโศก เพื่อทางบริษัท จะได้แนะนำ บอกความจริง กับลูกค้าได้ว่า มีความแตกต่าง จากการผลิต ยาสมุนไพร ของ แหล่งอื่นๆ ตามหลักบุญนิยม ที่ซื่อสัตย์ ไม่ฉวยโอกาส ไม่เอาเปรียบลูกค้า “...แคปซูล ของปฐมอโศก แต่ก่อน ใช้ราคา ๗ สตางค์ หลังจากที่ทราบว่า มีสารกันบูด ก็เปลี่ยนมาใช้ อีกบริษัทหนึ่ง ราคาแคปซูลละ ๑๔ สตางค์ ต่อมา จึงทราบว่า มีส่วนผสม ของกระดูกสัตว์ ตอนนี้เรา จึงเปลี่ยนมาใช้ แคปซูล ที่ทำจาก น้ำมันสน แม้ราคาจะแพงขึ้น กว่าเท่าตัว ราคาแคปซูลละ ๓๐ สตางค์ เป็นของ บริษัท V-cap”

มีเสียงแนะนำจากเจ้าหน้าที่ บริษัทแด่ชีวิต ว่าปฐมอโศก น่าจะทำเอกสาร บอกให้ลูกค้า รู้ถึงความแตกต่าง ในการใช้ วัตถุดิบอย่างนี้ ทางบริษัทแด่ชีวิต จะได้สะดวก ในการแนะนำลูกค้า

พ่อท่านเสริม “การโฆษณาล่อหลอกลูกค้า กับการบอกความจริงนั้น ต่างกัน ล่อหลอกนั้น มีการพรางลวง บอกความจริงไม่หมด ยังมีอะไรแฝงอยู่ ทำทีให้ผู้อื่น เข้าใจว่าเราดี ของมีคุณภาพดี แท้จริงแล้ว ส่วนผสมไม่จริง”

และ เมื่อตัวแทนผลิตยาสมุนไพร ปฐมอโศก บอกเล่าต่อ เมื่อก่อนปฐมอโศก ซื้อสมุนไพรเก็บไว้ เป็นจำนวนมาก เพราะ ราคาจะถูกกว่า ซื้อครั้งละน้อยๆ เมื่อมีปัญหาเชื้อรา และ อะฟลาท็อกซิน ทุกวันนี้ซื้อสด แล้วทำทันที ไม่เก็บค้างไว้มาก

“ระบบบุญนิยม เป็นระบบคนขยัน เป็นระบบข้าวกรอกหม้อ อย่างข้าวกล้องนั้น สีแล้วขาย ไม่ต้องกักตุน จะประหยัด ไม่เสียของ และได้ของ คุณภาพดี จะช่วยทำให้ นายทุน ไม่เกิดการกักตุน จะได้ไม่ต้อง ใช้สารกันบูด ทำให้พ่อค้า ไม่กักตุนสินค้า ไว้มากๆ ต้องรีบขาย คนซื้อต้องรีบกิน ทำให้ ไม่มีขั้นตอนไหน กักตุน นี่เป็นระบบธรรมชาติที่ดี ช่วยให้คนขยัน ทำงานตามธรรมชาติที่ดี” พ่อท่านกล่าว

มหาปวารณา ครั้งที่ ๑๙

๓ พ.ย. ๒๕๔๓ ที่ปฐมอโศก ก่อนการประชุม สมณะรูปหนึ่ง แจ้งอาบัติต่อหมู่ เพื่อจะขอสวด อัพภาน ในวันนี้พอดี

พ่อท่านทักถาม และ ให้ความรู้ว่า “จิตใจเป็นยังไง ยังเต็มใจ ที่จะปฏิบัติธรรม อยู่หรือเปล่า

การมาบวชต้องเต็มใจประพฤติ เมื่อไม่เต็มใจแล้วไม่ได้ เพราะอาบัติต่างๆ ทั้งหยาบ และ ละเอียด จุกจิก จู้จี้มาก ตั้งแต่จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นหลักแรก ของศาสนา มีมาตั้งแต่ยุค พระพุทธเจ้า เพื่อเป็นหลักเกณฑ์ ของ ศาสนา

แม้แต่การเกี่ยวข้อง กับการดำเนินชีวิต การกินมื้อเดียว หรือ วินัยบางข้อ ดูจุกจิก แต่สิ่งเหล่านี้ เป็นข้อที่เรา ต้องสังวร อย่าประมาท

การควบคุมใจได้ จนอยู่เหนือโลก เป็นโลกุตรจิต อย่างแท้จริงได้ จะมีอำนาจ อยู่เหนือจริง ถ้าเราไม่สามารถทรงไว้ ซึ่งอำนาจให้อยู่เหนือ ก็ไม่สมบูรณ์ เราจะเห็นด้วย หรือไม่ ก็ต้องปฏิบัติ ให้สมบูรณ์

ธรรมมีหยาบกลางละเอียด อาการกายกิริยา อย่างนั้นให้ทำ อย่างนี้ไม่ให้ทำ หากเต็มใจปฏิบัติ แม้หน้านองน้ำตาอยู่ พระพุทธเจ้า ก็ยังสรรเสริญ ดีกว่า อยู่อย่างหมักหมม เน่าใน ว่าไง ยังจะสู้อยู่ หรือเปล่า (สู้อยู่ครับ)

ขอให้ตั้งใจ ให้เห็นจริงเห็นจัง ถ้าไม่มีเจตนา จะทำผิด มันสุดวิสัยก็เอา สู้ต่อไป ขอเตือน ทุกรูปด้วย แม้อาบัติเบาก็ตาม อย่าประมาท “

หลังจากพ่อท่าน ขอปลงอาบัติปาจิตตีย์ และ ทุกกฏ ที่ได้กระทำไป ในหลายๆ ครั้งคราว ตามเหตุปัจจัย ของงานที่เกิด ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อท่าน ทำเช่นนี้ ต่อหน้า หมู่สมณะ ในการประชุม มหาปวารณา ครั้งหลังๆ ที่ผ่านมา จนเป็นเรื่องปกติ ที่รู้กัน ในหมู่สมณะ ในการขอปลงอาบัติ และ กราบหมู่สมณะ ครั้งแรก ของ พ่อท่านนั้น ทำเอาหลายๆท่าน รู้สึกไม่สบายใจ ไม่ประสงค์ให้พ่อท่าน ต้องกราบ หมู่สมณะเลย เมื่อทราบเจตนาจริง ของพ่อท่าน ในการนำพา เป็นตัวอย่าง จึงพากันวางใจ

เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ตามวาระประชุม ก่อนเริ่มการประชุม พ่อท่าน จะให้โอวาท เปิดประชุม ครั้งนี้ก็เช่นกัน มีเนื้อหาบางส่วน ดังนี้

“...ก่อนจะได้ไปทำงาน มหาปวารณาต่อ ขอให้พวกเรา ใช้โศลก จริง (สัจจะ) รู้สึก (สติ) สำนึก (หิริ) ฝึกฝน (ทมะ) ขวนขวาย (เวยยาวัจมัย หรือ อิทธิบาท) หมายมุ่งพัฒนา (ภาวนา) อานิสงส์สัมบูรณ์ (ปริโยสาน หรือ กตญาณ)

จริง คำว่าจริง ทำความเข้าใจเอา เรามานี่จริงนะ เอาจริง สังวรจริง พากเพียรจริง เป็นนิพพานให้ได้จริงๆ คุณจริงอย่างนั้น หรือ ไม่จริง ของใคร ของมัน ให้มันจริงที่สุด ของแต่ละคนให้ได้

จริงมีทั้งเอาจริง รู้จริงด้วย ทั้งกำหนดจริงด้วย มีสัปปุริสธรรม ๗ ใช้ตลอดเวลา

รู้สึก ก็คือเกิดการดำริ หรือ เกิดการรู้รอบ มีญาตปริญญา มีตีรณปริญญา

สำนึก คือ วิจัย รู้แล้วว่านี่ควร นี่ไม่ควร เมื่อสำนึกแล้ว ลงมือเลย

ฝึกฝน ทมะ แปลว่า ฝึกฝน แปลว่าอดทน แปลว่า ข่ม แปลว่า ฝืน

ฝน ก็คือ ทำให้มันบริบูรณ์ ฝนทำให้หมดไปเลย ฝนทำให้เล็กลง ได้รูปได้ร่าง มีเชิงทำให้หมด บาปสมาจาร คำว่าฝึกฝน

ขวนขวาย เติมเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ถ้ามันจะขี้เกียจ ถ้าจะเฉื่อย ถ้าจะอืดอาด ต้องขวนขวาย

หมายมุ่งพัฒนา ทำให้เจริญ ทำให้ก้าวหน้า จึงจะเรียกว่า มีภาวะ ภาวะแปลว่า ความจริง ภาวะแปลว่า สิ่งที่ปรากฏ ทำให้เกิดผลภาวนา เกิดผลจริงๆ แม้แต่พระอรหันต์ ก็ยังมี สิ่งที่ต้องพัฒนา

อานิสงส์สัมบูรณ์ ปริโยสาน จบสัมบูรณ์ ความหมายคงไม่ยาก แต่ยากตรงที่ คุณจะมีตัวจบ ให้มาอ่านหรือยัง เท่านั้นเอง

โลกนี้มันคือ การเคลื่อนไหว กับดับสนิท คือละลาย ปรินิพพาน กับเคลื่อนไหว เท่านั้นเอง สูญกับมีอยู่ ก็ต้องเคลื่อน ไม่มีอะไรไม่เคลื่อน ไม่มีอะไรไม่จุติ จุติลงต่ำ หรือ จุติขึ้นสูง เท่านั้นเอง จุติจะแปลว่า เกิด หรือ จะแปลว่าดับ ก็ได้ทั้งคู่

ฉะนั้น มีแต่เคลื่อนกับสูญ ในโลกนี้ ถ้าอยู่นิ่งๆ คือ ของเน่า ของตาย ศาสนาฤาษี ไปจับเอาตัวนิ่งมา ด้วยความเข้าใจผิดพลาด ไปจับเอาตัวนิ่ง ไม่ใช่เอาตัวสลาย ตัวสูญ ของเขาไม่มีสูญ ของเขามีนิ่ง แล้วกลายเป็น นิรันดร์ด้วย นั่นเน่าสนิท หมักหมมสนิท ไม่ได้สูญ ไม่ได้ปรินิพพาน”

ช่วงหนึ่ง ของการประชุม ในวาระที่พุทธสถานต่างๆ รายงานความเป็นอยู่ และ ปัญหาที่เกิดขึ้น

มีเสียงท้วง สมณะรูปหนึ่ง ที่ตั้งกองทุน ในการทำหนังสือ ของตน จะเหมาะควร แค่ไหน

พ่อท่านแสดงความเห็นว่า “แม้ไม่ได้เอาเงิน มาใช้ส่วนตัว แต่หากรูปอื่นๆ จะมีกองทุน อย่างนี้บ้าง ก็จะไม่ดี”

มีผู้เสนอว่า หากพ่อท่านเกรงว่า ถ้ามีกองทุนอย่างนี้กัน หลายรูป จะเป็นปัญหา อยากจะเสนอว่า ถ้าใครคิด จะทำอะไร โดยมีการตั้ง กองทุนอย่างนี้ ก็ให้ไป ขออนุญาต จากพ่อท่านก่อน

“ไม่เอา ให้มันเป็นระบบไปเลย เดี๋ยวผมตายไป แล้วจะปรึกษาใคร น่าจะมีการ รวมกองทุน ไปกับกองทุนอื่น จะดีกว่า” พ่อท่านกล่าว

อ่านต่อ

end of column
หน้าแรก หน้าต่อไป

บันทึกจากปัจฉาสมณะ
(สารอโศก อันดับ ๒๓๒ หน้า ๔๔ เดือน มกราคม ๒๕๔๔)