เอนก นาคะบุตร เปรียบเทียบ คาร์ล มาร์กซ์ กับ พ่อท่าน
๑๘ ก.ค. ๔๕ ที่ศีรษะอโศก คุณเอนก นาคะบุตร มาร่วมรายการภาคบ่าย ที่ถ่ายทอด ออกอากาศ ทางโทรทัศน์ ช่อง ๑๑ หลังจบรายการ คุณอเนกได้มา กราบนมัสการ และสนทนา กับพ่อท่านที่กุฏิ จากบางส่วน ของการสนทนา ที่น่าสนใจดังนี้

คุณเอนก : จากนี้อโศกแต่ละที่จะไปอย่างไรครับ อยากทราบพ่อท่านมีนโยบายอย่างไรครับ
พ่อท่าน : ไม่มีนโยบายอะไรหรอก นโยบายทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง ทำให้ตรงที่สุด ให้ถูกต้องที่สุด ซึ่งเราก็มีอุดมการณ์ ของเราอยู่แล้ว เมื่ออุดมการณ์ ของเรามั่นคง อุดมการณ์ของเราชัดเจนอยู่แล้ว อาตมาว่า อาตมาไม่มีปัญหาอะไร เรื่องอุดมการณ์

คุณเอนก : เพื่อให้เป็นที่พึ่งของคนข้างนอก
พ่อท่าน : ใช่ เราจะต้องเป็นที่พึ่งของตนเอง จนพึ่งตนเองได้เหลือเฟือแล้ว ก็เป็นที่พึ่งของคนข้างนอกได้ นี่เป็นเรื่องที่ ไม่ใช่มานั่งคิด นั่งเพ้อฝัน แต่ว่าเป็นเรื่องจริง ที่เราต้องทำ ทำพิสูจน์ให้ได้ ซึ่งทุกวันนี้อาตมาก็ว่า มันก็ได้นะ ที่เราจะพิสูจน์ได้ว่า เราเป็นอย่างนั้นได้ ก็คือ

พวกเราอยู่กันก็ไม่กระเบียดกระเสียร ในระบบที่เราสะพัดออก จะขาย จะซื้อ จะทำอะไรออกไปเผื่อแผ่ ออกข้างนอกเขานี่ โดยระบบ บุญนิยม ซึ่งเราไม่ได้ไป ตั้งหน้าตั้งตา ขูดรีดเอา อย่างระบบทุนนิยมนี่ ก็ตาม ที่เราทำอยู่นี่ เราก็ทำได้ ทำได้ แล้วก็

๑. เราอยู่ได้ไม่กระเบียดกระเสียร ถือว่าเราพอเพียง
๒. เราขยายงานของเราได้อยู่ กิจกรรมงานอะไรก็ขยายตัวได้อยู่ นี่สอง เห็นชัดๆ เลย มีทั้งทางวัตถุ ทั้งทางระบบการงาน มีทั้งทางความเจริญ ทางวัฒนธรรม อะไรต่ออะไรก็ ของสังคม ที่เราทำกันอยู่นี่ ยังทำได้อยู่
๓. ก็เห็นผลในการได้เอื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลออกไปข้างนอกเขา มีสภาพเป็นรูปธรรม เป็นความจริง ที่ไม่ใช่ เราเพ้อ อยู่คนเดียว คนอื่นก็เข้าใจ คนอื่นก็เห็นจริง อะไรต่ออะไรด้วยอยู่
๔. เราไม่เป็นหนี้ เราทำไปอย่างนี้แหละ มีผลที่เกื้อกูลสังคมเขาได้ เราก็อยู่รอด ขยายผลก็มี แต่ไม่เป็นหนี้

อาตมาว่าสี่ข้อนี่ อาตมาก็ว่าเป็นหลักพอแล้ว ที่จะยืนยันว่าไปรอด แล้วอยู่ได้อย่างดี แล้วมันก็จะ ดำเนินไป เป็นแต่เพียงว่า เราเพิ่มคุณภาพ สมรรถนะต่างๆ ของสิ่งดังกล่าวนี้ ให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

คุณเอนก : ผมว่าวัดอื่นจะเริ่มเห็นแนวว่า การจัดระบบแบบที่ท่านทำนี่ จะเป็นบทบาท ของสงฆ์ กับสถาบันศาสนา
พ่อท่าน : ก็คงจะคิดในหลัก อาตมาไม่ได้ทำโดยเรียกว่า พฤติกรรมของสังคมเท่านั้น อาตมาว่า อาตมาบรรยาย เขียนก็ตาม พูดก็ตาม บรรยายถึงหลักวิชา ของหลักศาสนาด้วย ว่าที่อาตมาทำนั่น ไม่ได้ทำไป โดยเป็นความคิ ดของอาตมา อาตมายืนยัน อ้างอิงหลักฐาน โดยยืนยัน พระพุทธเจ้า พาทำอย่างนี้ๆ ยืนยันว่า นี่อิงศาสนาพระพุทธเจ้า และไม่ใช่อิงด้วย เอาของพระพุทธเจ้ามาทำ ซึ่งท่านน่ะ เขาไม่เชื่อว่า อาตมานี่ถูก เขาผิด เขาเชื่อว่า เขาถูก อาตมาผิด เรื่องของเรื่อง มันเป็นอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น อาตมายืนยันว่า ไม่ใช่อาตมาผิดหรอก แต่อย่างว่าแหละก็เห็นใจเขา เขาจะมารับทันที มันไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น อาตมาก็อธิบายประกอบ ทั้งหลักวิชา เอาพระไตรปิฎก มาอธิบาย ข้อเขียน ของอาตมานี่ จะวงเล็บบาลี วงเล็บอ้างอิง สูตรนั้น ข้อนี้ อะไรเยอะเปรอะไป จนกระทั่ง น่ารำคาญ แต่อาตมา ยืนยันว่า อาตมาต้องทำเช่นนั้น เพราะว่าคุณสงสัยตรงไหน คุณไปตรวจหลักฐาน ได้เลยว่า อาตมานอกรีต นอกรอยตรงไหน เพื่อยืนยันให้จริง เพราะว่าคุณว่า ว่าอาตมาออกนอกรีต ทำพระวินัย ให้วิปริต ใครวิปริตแน่ คุณต่างหากล่ะ ได้พาปฏิรูป ออกนอกพุทธ ไปแล้ว อาตมาก็ถึงได้ ต้องย้ำอย่างนี้ เพราะบางคน ไม่เข้าใจบอก โอ้ยเขียนอะไรวะ วงเล็บแล้ววงเล็บเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำก็ไม่เป็นไร เขาจะได้ ชนตา จะได้ยืนยันกันเลย อธิบายเป็น ความนั้นความนี้ ความนี้ความนั้น ไปแล้ว ก็เอาความนี้มา ก็ยังยืนยันว่า แปลว่า อย่างนี้อยู่ บาลีว่าอย่างนี้ พระไตรปิฎกเล่มนั้น ข้อนี้ ยืนยันได้ แล้วมันก็ไป อย่างนี้แหละ คุณก็ไปตรวจ หลักฐานอ้างอิง ที่มันเป็นของ อันเดียวกัน เพราะเรานับถือ พระไตรปิฎก เล่มเดียวกันด้วย

คุณเอนก : พูดถึงในทางทฤษฎีนี่ พวกฝรั่งเขาเริ่มเห็นไหมว่า ที่พ่อท่านคิดค้นเรื่อง ผมเองเห็นว่า พ่อท่านนี่ คิดได้ ลึกซึ้งกว่ามาร์กซ์ เพราะมาร์กซ์ ไปติดว่าส่วนเกินนี่ที่เป็นปัญหา โดยมาร์กซ์ใช้วิธีว่า ต้องกำจัด แต่กำจัดโดย ยกให้ชนชั้นกรรมาชีพ ในที่สุด ก็ไม่ได้มีคำตอบ แต่ว่าผมเอง แอบวิเคราะห์ว่า ที่พ่อท่านคิดนี่ มันเป็นการคิดทางออก สูงกว่ามาร์กซ์ อีก คือ คิดเรื่องบุญนิยมนี่ ใช่ไหมครับ
พ่อท่าน : ใช่

คุณเอนก : ทีนี้ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ไม่ทราบ ผมอยากเรียนถามว่า มีนักเศรษฐศาสตร์ตะวันตก มาคุยกับ พ่อท่านไหมครับ
พ่อท่าน : ยังไม่ถึงหูเขามั้ง

คุณเอนก : ว่าเราได้คิดค้นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์
พ่อท่าน : หรือเขา wait and see ดูก่อนก็ได้

คุณเอนก : แต่ทีนี้เศรษฐศาสตร์แบบเก่ากำลังบอกว่า ทุนนิยมกำลังตก แต่จริงๆ นี่มันไปต่อได้ ก็คือ เอาบุญนิยมนี่ มาต่อยอด ใช่ไหมครับ
พ่อท่าน : ใช่ ทุนนิยมไปไม่รอดหรอก ทุนนิยมมันจบแล้ว มันก็แสดงผลแล้วว่า ผู้มีความสามารถมีความรู้ ความฉลาด ก็ได้ประโยชน์สูงกว่า คนด้อยกว่าเหล่านั้น ก็เป็นพื้น เป็นเหยื่ออะไรอย่างนี้ มันไม่จบ

คุณเอนก : ดูเหมือนว่าการที่ทุนนิยมใช้วิธีการเน้นเรื่องประสิทธิภาพ แต่เรามาเน้นประสิทธิภาพ เชิงธรรมชาติ นี่นะครับ
พ่อท่าน : ประสิทธิภาพ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราปละปล่อย

คุณเอนก : ใช่ครับ อันนี้ที่ผมว่า อันนี้ก็คือ เราก็ใช้ ถ้าผมมองแล้วก็คือ ใช้ทฤษฎีทุนนิยม แต่ว่าเราใช้ เพื่อให้ยอดมันออกมา เป็นเรื่องบุญนิยม
พ่อท่าน : ใช่ ให้เป็นเรื่อง ต่อยอดเป็นบุญ และเห็นความจริงเป็นบุญจริงๆ

คุณเอนก : และเรื่องประสิทธิภาพ เรามองคนไม่ใช่เป็นแรงงาน เป็นคนที่มีใช่ไหมครับ
พ่อท่าน : ใช่ๆ

คุณเอนก : ผมว่าถ้านักเศรษฐศาสตร์ตะวันตกมาแลกกับท่าน เขาน่าจะเห็นว่าเรานี่ได้ breakthrough ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์
พ่อท่าน : สักวันหนึ่งๆ ใช่ เขาก็จะค่อยๆ รู้

คุณเอนก : เอาปรัชญาพุทธเข้าไปใส่ ให้เศรษฐศาสตร์สมบูรณ์ขึ้น
พ่อท่าน : ใช่ ๆๆ

คุณเอนก : แล้วผมว่ามาร์กซ์นี่ตอนนั้นท่านมองไม่ออกก็ได้ แล้วมาร์กซ์ก็เลยไปติดกับดักที่ เรื่องอีกชนชั้นหนึ่ง
พ่อท่าน : ใช่

คุณเอนก : ก็คือมันก็ยังเปลี่ยนอำนาจจากคนกลุ่มน้อยไปกลุ่มใหญ่
พ่อท่าน : เอาอำนาจนี้ไปข่มเขา ไปตีเขา ไปอะไรเขา เราไม่ตี

คุณเอนก : ครับๆๆๆ ใช่ครับ
พ่อท่าน : เราประกาศสัจจะความจริงให้คุณรู้ คุณเปลี่ยนมาเถอะ เปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้เถอะ

คุณเอนก : แล้วมันก็อยู่ร่วมกันได้
พ่อท่าน : อยู่ร่วมกันได้

คุณเอนก : มันเป็นสันติวิธี
พ่อท่าน : ใช่ คุณมีความสามารถก็ดีแล้ว คุณมีอะไรก็ดีแล้ว คุณมาสร้างสิ อย่างนี้เป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ ของคุณนะ คุณเป็นประโยชน์เป็นคุณค่าต่อคนเหล่านี้ต่างหาก มันเป็นน้ำใจ มันเป็นสิ่งที่โอบอุ้มกัน มันเป็นความ โอ้โฮ! มันเป็นสิ่งดี สุดยอด

คุณเอนก : นักเศรษฐศาตร์ไทยมาคุยกับพ่อท่านไหมครับเรื่องนี้ว่า นักเศรษฐศาสตร์ เชิงสังคมนิยม พวกเศรษฐศาตร์มาร์กซ์นี่
พ่อท่าน : ยัง

คุณเอนก : เขาก็มองคอร์สนี้ไม่ออก
พ่อท่าน : ไม่รู้ อาตมาว่า อาจจะสงวนท่าที เขาอาจจะพอเห็นแปลก แต่เขายังไม่เชื่อน้ำมนต์อาตมามั้ง เขาอาจจะเห็นว่า โอ้ ที่มันคิดนี่ มันจะไปรอดหรือ เช่นยกตัวอย่างง่ายๆว่า อาตมามาพาขาย ต่ำกว่าทุนนี่ จะอยู่รอดอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น เขาบอกมันเพ้อฝันมั้ง มันคงเป็นไปไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น คนที่มันเป็น อย่างนี้นี่ มันกดข่มไว้หรือเปล่า ความจริงมันจะเป็นอย่างนั้น ได้จริงหรือ มันกดข่ม มันธรรมชาติของคน มันต้องมีกิเลสนะ กิเลสมันจะต้องลดได้จริง มันเป็นจริงอย่างนี้หรือเปล่า เขายังไม่เชื่อ เขายังไม่เชื่อน้ำมนต์ เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยเวลา ระยะเวลากับ สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นนี่ ถ้าสิ่งที่ปรากฏนี่ มันเกิดเจริญๆ ขึ้นจริงแล้ว ระยะเวลานาน เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้นี่ สามสิบปี ที่อาตมาทำมานี่ เขาไม่กล้าที่จะวิจารณ์ แต่ที่จริง เขาก็ไม่กล้าวิจารณ์ อาตมาดู effect แล้วนี่ ไม่มีอะไรมาย้อนแย้ง มาโต้ต้านอะไรเลย เห็นแต่เงียบๆ ซึ่งอาตมาก็รู้ว่า คนที่มองสังคม หรือว่าดูสังคมอยู่ อยู่กับกระแสสังคม เขาจะไม่รับรู้ ไม่ได้หรอก เราเผยแพร่ เราประกาศ เราทำอะไรต่ออะไรอยู่ คุณจะตาบอด หูหนวกอะไร ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร อาตมาไม่เชื่อหรอก เขาจะไม่รู้ไม่เห็น ไปบรรยายอยู่ ท่ามกลางมหาวิทยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ อะไรอย่างนี้ อาตมา ก็ไปอธิบาย ไปบรรยาย เขาไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร แต่ wait and see อาตมาว่า เขาคงยังไม่พร้อม ถ้าเผื่อว่า เขาเกิดเห็นด้วยปุ๊บปั๊บๆ แล้วอาตมาไม่จริง เขาหน้าแตก เขาตายแน่ๆ เลย อะไรอย่างนี้ ก็คงจะต้อง คอยเวลา

คุณเอนก : ก็พอดีผมเรียนมาทางบัญชี แต่ผมก็เริ่มปฏิเสธมาตั้งแต่
พ่อท่าน : ใช่ทางบัญชีทางเศรษฐศาสตร์นี่ใกล้กัน เรื่องธุรกิจนี่ทางเดียวกัน

คุณเอนก : ผมมาพบว่า มันเรียนมาทางด้านมูลค่า
พ่อท่าน : มูลค่า ใช่

คุณเอนก : พ่อท่านอธิบายทางด้านคุณค่า
พ่อท่าน : คุณค่าและมูลค่า

คุณเอนก : ใช่ คือ เอามูลค่ามาอธิบายเป็นคุณค่า ซึ่งมันเป็นอีกด้านหนึ่งของมัน
พ่อท่าน : ใช่ ใช่ คุณต้องเข้าใจว่า มูลค่าน่ะมันเป็นแค่วัตถุเท่านั้น แต่คุณค่านี่มันวัตถุก็ได้

คุณเอนก : มันด้านจิตวิญญาณใช่ไหมครับ
พ่อท่าน : คุณจ่ายมูลค่า แต่คุณได้คุณค่า

คุณเอนก : ครับๆ ที่พ่อท่านอธิบายนี่ แล้วผมก็เริ่มพบตั้งแต่ผมมาทำงานนี่ ตั้งแต่มาเจอพ่อท่าน มาเจอ พระสุบินนี่ ซึ่งทำให้ผมมองเชื่อมเรื่องศาสนา กับเรื่องทุนนิยมออก ตอนผมไปบวช สมัยที่ผม อายุยี่สิบ ผมก็มองไม่ออก ว่ามันเป็นอีกด้านหนึ่ง ของเหรียญนี่ ความจริงก็พ่อท่าน ก็เน้นกำไร แต่กำไรนี่ ไม่ทำเพื่อ ส่วนแคบ และไม่ทำเพื่อมูลค่าแล้วก็จบอยู่ตรงนั้น จบตรงนั้น มาร์กซ์ก็เลยบอกว่า กำไร มันทำให้ เกิดปัญหา เพราะว่าไอ้คนกลุ่มนิดเดียว มันได้ไป มันไม่ไปแบ่งให้คนอื่น มาร์กซ์ก็เลย ต้องไปปฏิวัติ ใช่ไหมครับ ไม่ให้เกิดกำไรส่วนเกิน แต่พ่อท่านบอกว่าไม่ กำไรก็ต้องทำ แต่กำไรนั้น เปลี่ยนเป็นบุญ ก็คือมาเปลี่ยนทฤษฎีราคาอีก ก็คือตั้งราคา ให้เอาแค่เท่าทุน
พ่อท่าน : เท่าทุนหรือต่ำกว่าทุน ก็ได้

คุณเอนก : แต่ประสิทธิภาพการผลิตของพ่อท่านยังเหมือนเดิม
พ่อท่าน : เหมือนเดิม

คุณเอนก : ก็คือยังเห็นมนุษย์สำคัญด้วย ใช่ไหมครับ
พ่อท่าน : ใช่

คุณเอนก : แต่ว่าประสิทธิภาพการผลิตนี่ ก็ยังต้องจัดครับ
พ่อท่าน : ใช่ เหมือนเดิม ถ้าเรายังเข้าใจว่าเราได้ ไม่ใช่เราเสีย เราให้ไปนี่ เราได้ ได้อย่างมีคุณค่า ที่สูงกว่า มูลค่าอีก

คุณเอนก : ผมเลยว่า พ่อท่านนี่ breakthrough ทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ แต่นักเศรษฐศาสตร์ มองไม่ออกว่า เศรษฐศาสตร์ มีสองแนว แนว neo กับแนว classic แต่ความจริงมันก็ยังไม่พ้น ไม่พ้นแนวมูลค่า
พ่อท่าน : ไม่พ้นมูลค่า ใช่ neo ก็ตาม classic ก็ตาม ไม่พ้นมูลค่า

คุณเอนก : พ่อท่าน... ไปเรื่องคุณค่าได้ อย่างผมบอก อ้าวคนๆหนึ่ง มีขาดทุน มีทรัพย์สินอยู่พันล้าน ขาดทุนห้าร้อย เหลือตั้งห้าร้อย ยิงตัวตาย
พ่อท่าน : มันก็บ้า

คุณเอนก : มันฆ่าคุณค่าไม่ได้ มันติดที่มูลค่า เสียไปห้าร้อยล้าน ยังมีอีกตั้งห้าร้อยล้าน แต่พ่อท่าน บอกไม่ใช่ มูลค่าที่เสียไปคือ ความสุขที่ได้มา ... อันนี้มันเป็นการอธิบาย มูลค่าเดียวกันนี่ แต่ว่ามอง เป็นบุญ มันเป็นการพลิกๆ นามธรรม ซึ่งบอกว่า อันนี้นักเศรษฐศาสตร์ ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ เรียนบัญชี มานี่ มันเป็น มันไม่ได้บอกด้าน creature ด้านนามธรรมของศิลป์ แต่พอพ่อท่าน อธิบายว่า สาธารณโภคี กับ บุญนิยม ก็คือ กำไรนั่นเอง ซึ่งทุนนิยม หยุดอยู่แค่อธิบายเชิงกำไร ใช่ไหมครับ หยุดอยู่แค่มูลค่า พอมูลค่าคุณ ขาดทุน คุณก็เศร้าโศก ฆ่าตัวตาย แต่ว่าพ่อท่านบอกไม่ใช่ ยิ่งขาดทุนมากนี่ คุณมองว่า ขาดทุนเพื่ออะไร เพื่อใคร มันก็คือ มันยิ่งเป็นบุญใหญ่
พ่อท่าน : เป็นคุณค่า

คุณเอนก : นักธุรกิจเยอะก็เอาเงินไปทำบุญเพื่อไถ่บาป แล้วมันรู้สึกดีขึ้น
พ่อท่าน : ใช่ คล้ายกัน

คุณเอนก : คล้ายกันแต่ว่าคุณคิดข้ามช็อต ให้ได้เท่านั้นเอง
พ่อท่าน : ให้ชัดซี ให้ชัด ใช่แล้ว คุณก็ทำอย่างนี้แหละ ให้มันมากกว่าที่คุณไปไถ่บาปเท่านั้น ให้ไปโดยอิสระ ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี

คุณเอนก : ให้โดยจริงใจ ใช่ไหมครับ โดยมองเรียกว่า ตั้งใจจะทำให้มันเกิดการทำบุญที่เป็นบุญโดยตรง มันก็ดีกว่าไปไถ่บาปแล้ว ผมคิดว่านักธุรกิจทุกคนมี guilty เพราะรู้ว่าไปเอาเปรียบคนอื่นมา ก็เลยพยายาม จะไถ่บาป ทำบุญทำอะไร
พ่อท่าน : ใช่ๆ นั่นแหละ แล้วมันก็ลึกไปกว่านั้นอีกทีก็คือว่า คุณต้องลดกิเลส ส่วนที่คุณไปเฟ้อ หรือ บำเรอตนเองอีก

คุณเอนก : อันนี้ที่ผมว่า มาร์กซ์ ๆ คิดไม่ออก เพราะมาร์กซ์ไปให้ทุกคนอยู่ในระนาบเดียวกัน ส่วนเกินนี่ ไปทำให้ value added ไม่ได้ ใช่ไหมครับ แต่พ่อท่านบอกว่า ส่วนเกินนี่ให้เอาออก ไม่เบียดเบียนของคนอื่น
พ่อท่าน : ใช่ คุณต้องลดกิเลสของคุณว่า คุณไปเปลืองนะ คุณไปผลาญ คุณไปใช้อันนี้ สำหรับตัวคุณเอง มันมากไป มันเฟ้อ มันเปล่าประโยชน์ ที่จริงมันเรื่องของสนองกิเลสเท่านั้น เมื่อมันลดกิเลสจริง คุณก็ไม่ต้อง ไปใช้จ่าย คุณก็ไม่ต้องไปผลาญ ไปเปลือง คุณก็เป็นผู้ที่เอาไว้ น้อยลงๆได้ ให้มากขึ้นๆๆได้ เพราะฉะนั้น ค่าของคุณ ก็มากขึ้นๆ แทนที่จะได้ คุณกลัวแต่เงินของคุณจะหมด กลัวแต่ส่วนของคุณ จะหมดๆๆ แบบนี้มันก็ไม่มีการทวี ไม่มีการเพิ่มค่าที่เป็นมูลค่า และคุณค่าขึ้นมาด้วย เพราะว่า ถ้าเผื่อว่า ยิ่งให้ มูลค่าเราก็ไม่ได้ไปใช้จ่ายบำเรอตน มูลค่าเหลือ คุณก็เอามูลค่านี่ไปให้คนอื่นอีก เกิดคุณค่าขึ้นอีก ซ้อนอย่างนี้

คุณเอนก : ที่จริงผมว่า พ่อท่านคิดๆ เรื่องคือเอาหลักศาสนามาจับมูลค่าส่วนเกิน ซึ่งมาร์กซ์นี่ ไปคิดเชิงมูลค่า แล้วมาร์กซ์ก็ไปใช้ทฤษฎี สังคมนิยม ไปให้ชนชั้น อีกชนชั้นหนึ่ง มาจัดการ แล้วมันก็เกิด การเผด็จการ ก็เกิดเผด็จการอีกชุดหนึ่ง แต่ถ้าทำโดยไม่เผด็จการ แล้วคิดถึงคนส่วนใหญ่ ก็จะเอา ส่วนเกินนั้น มาแบ่งปัน คนส่วนใหญ่ ซึ่งถูกเอาเปรียบได้ใช่ไหม ก็ต้องไปอาศัยคนส่วนนี้ แต่พ่อท่านนี่ ทำทางตรง ๑. ไม่ต้องไปอาศัยผู้บริหารจัดการ ๒. ไม่ต้องไปผ่านชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งต้องผ่าน การนองเลือด แล้วก็คือ ให้คุณจัดระบบ บุญนิยมด้วย โดยใช้การผ่าน ตลาดอาริยะ อันนี้ ผมมองว่า มันเป็นการคิดค้น ทางเศรษฐศาสตร์
พ่อท่าน : ใช่ ใช่ เศรษฐศาสตร์ อาตมาถึงเรียกเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ มาแต่ไหนแต่ไร พูดก็พูดเถอะ ส.ศิวลักษณ์นี่ ตอนแรก ไม่ยอมรับว่า ศาสนาพุทธนี่ มีเศรษฐศาสตร์ ส.นี่พูดเลย พูดตั้งแต่นานมาแล้ว อาตมายังจำได้

คุณเอนก : ผมก็มองไม่ออก จนกระทั่งพ่อท่านมาทำให้เห็น
พ่อท่าน : อาตมาก็บอกเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ไม่ยอมรับ แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้ว เดี๋ยวนี้ยอมรับแล้ว

คุณเอนก : แล้วเรื่องตลาดนี่ ตลาดนี่คือเครื่อง ตลาดทางด้านทุนนิยมนี่คือที่ที่เอาเปรียบกัน พ่อท่านบอก เอาตลาดอาริยะ คือที่ที่มาเกื้อกูลกัน อันนี้ก็คือการใช้ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ แต่อธิบาย ในมุมพุทธศาสนา เพราะการใช้คำว่า โภคทรัพย์ เป็นสาธารณโภคี เพราะทุนนิยมนี่ ไม่ได้บอกให้เป็นของสาธารณะ เป็นของส่วนตัว ถ้าของสาธารณะ ก็เป็นของหลวงไปเลย ของรัฐ ของชนชั้นกรรมมาชีพ เขาว่าอย่างนั้น
พ่อท่าน : นี่มันมีจุลภาคที่จะเป็นส่วนกลาง เป็นของส่วนกลาง หรือสาธารณะเป็นชุมชน เป็นชุมชน เป็นหย่อมๆ กระจายไป

คุณเอนก : ซึ่งระบบเราเดิม เรามีอยู่ ใช่ไหม ระบบสาธารณโภคีในชุมชนพุทธเรา ชุมชนแถบเอเชียเรามี
พ่อท่าน : ใช่ เราปรับมาจากสงฆ์ มาเป็นฆราวาสเท่านั้นเอง

คุณเอนก : ผมยังแปลกใจว่า นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกหรือนักเศรษฐศาสตร์ไทยที่นั่นไม่มา มาแลกเปลี่ยน กับพ่อท่าน หรือยังว่า การคิดค้นนี่มันได้ผล
พ่อท่าน : เขาต้องเห็น ในอนาคตเขาต้องเห็น อาตมาไม่สงสัย ไม่สงสัยว่าระบบนี้นี่ มันจะยาวยืน แล้วมันก็จะเป็น ตัวประเด็น แก้ปัญหาของสังคม ในอนาคตต่อไป เพราะเห็นชัดๆ เลยว่า ทุนนิยม มันตันแล้ว มันไปไม่รอดแล้ว มันจะแข่งกันเก่ง ใครจะเอาเปรียบใคร ได้เก่งที่สุดเท่านั้น ตอนนี้แล้ว มันตันแล้ว แล้วมันรู้เหลี่ยมกัน เกือบจะครบแล้ว

คุณเอนก : ตอนนี้อเมริกาเอาไปรวมไว้มากๆ โดยกระตุ้นเอาไปรวมไว้อยู่ชาติเดียว มันก็เลย แล้วมันยังไม่เห็นแก่ตัว ก็เลยไปสร้างสงคราม แล้ววิธีแบ่งปันกัน
พ่อท่าน : มันยุแหย่ให้เดือดร้อนขึ้นมา

คุณเอนก : แบ่งปันก็คือหมายถึง ต้องเอาเงินมาให้ประเทศตน ในความเห็นของรัฐบาลไทย ก็คือต้อง มาปล่อยกองทุน หนึ่งล้านบาท
พ่อท่าน : ใช่

คุณเอนก : ที่ผมดูแลอยู่นี่ ใช้วิธีทุกปีให้กระจาย ทุกปีให้กระจาย มันก็ไม่มีใคร สะสมทุนก้อนใหญ่ ไว้กับตัวเอง ใช่ไหมครับ
พ่อท่าน : ใช่

คุณเอนก : ทีนี้ในเมื่อ ระบบทุนนิยมมันไม่ใช้วิธีกระจายทุกปี อย่างที่
พ่อท่าน : มันไม่กระจายจริง

คุณเอนก : กระจายแบบตลาดอาริยะนี่นะ ถ้ากระจายทุกปี มันไม่มีใครสะสมใหญ่อย่างนี้ ใช่ไหมครับ
พ่อท่าน : ใช่

คุณเอนก : ตอนนี้ทุนนิยม มันกลายเป็นว่า มีอยู่ประเทศเดียว แล้วมีคนอยู่แค่ ๕๐๐ คน รวยทั้งโลก แล้วคนอีก ๕๐๐๐ ล้านคน จนหมด แล้วอเมริกาไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ก็เลยบอก ให้รัฐบาล โปรยเงิน กลับไปใหม่ คุณทักษิณก็โปรยเงิน โปรยเงินอย่างนี้ ก็เหยียบหัวกันตาย เพราะมันเป็นวิธีที่ โปรยเงินแบบ ฉุกละหุก สองโปรยเงินโดยการว่าคนอีกคนหนึ่งที่รับนี่ ขึ้นต่อ ผมมองว่า ทุนนิยม ที่มันเริ่มพบว่า มันจะตัน เพราะว่า มันคิด มันไม่รู้ว่าวันหนึ่ง มันกลายเป็นว่า มันหลงโภคทรัพย์ไว้ ในคนกลุ่มนิดเดียว แล้วใช้ระบบ ชนชั้นกรรมาชีพ หรือ ชนชั้นทุนนิยมโลก ผูกขาดไว้ก็ตาม มันก็ตันแล้วทีนี้
พ่อท่าน : ลักษณะทุน ลักษณะที่ไม่กระจายทุน ลักษณะที่จะต้องสะสมทุน ให้เป็นก้อนโตๆๆ ขึ้นนี่ ในเมืองไทยนี่ อีกอันหนึ่ง ที่อาตมา มองเห็นชัดเจน ก็คือว่า กลุ่มต่อไป ในอนาคตนี่ กลุ่มที่จะขึ้นมา เป็นเจ้านายทุน ที่ชัดแท้ก็คือ กลุ่มของพระ กลุ่มของมูลนิธิ

คุณเอนก : ครับ เขาสะสมไว้เยอะ
พ่อท่าน : ใช่ สะสมแล้วตีไม่แตกด้วย

คุณเอนก : กระจายไม่ออก
พ่อท่าน : กระจายไม่ออก ตีไม่แตกด้วย เพราะฉะนั้นนับวัน พระรูปนี้ตายไป เจ้าอาวาสตายไป ๑๐ รุ่น เงินกองทุนนี่ เป็นพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน ขึ้นมา แต่ละวัดแต่ละแห่ง แต่ละแห่ง จะมากองอยู่ที่นี่ หมดเลย ใช่ธนาคาร จะมาเป็นลูกน้อง ของพระของวัดหมดเลย เพราะว่าต้องไปง้องอน ขอลดหย่อน ขออะไร ต่ออะไร เพราะพวกนี้ จะเป็นเจ้าเลย แล้วมันตีไม่แตก แล้วมันถ่ายทอดไม่รู้กี่ generation ได้เลยว่า เจ้าอาวาสรูปนี้ ตายไป เจ้าอาวาสรูปนี้ ก็มารักษาต่อ แล้วไม่ให้ตีต้นทุนออก เอาแต่ดอกผลมาใช้ แล้วดอกผล มันมากขึ้น ดอกผลก็เหลือเฟือ ที่วัดนั้น เอาไปใช้แล้ว

คุณเอนก : ก็คือ ธรรมกายที่เราเห็น เริ่มเห็นแล้ว
พ่อท่าน : ตลอดเลย ทั้งนั้นเลย แต่ละแห่ง แต่ละวัด แต่ละแหล่ง ขณะนี้อยู่ในนี้

คุณเอนก : พ่อท่านพูดอย่างนี้ แสดงว่าศาสนาเรามีโอกาสไปถึงทางตัน เพราะว่าไปลงทุน ไปลงทุน ไว้กับบุญ (แต่ที่จริงมันก็เป็น) ทุนนิยม
พ่อท่าน : เหมือนกันเลย จะเป็นเหมือนทุนนิยม เหมือนกันเลย

คุณเอนก : วิธีการต่างกับทุนนิยมโดยระบบศรัทธา ทุนนิยมมันระบบตลาด
พ่อท่าน : ตอนนี้ระบบของศาสนานี่ก็มากแล้ว ขณะนี้ไปถามนายธนาคารได้ ทุกธนาคารเลย ขณะนี้ ระบบทางศาสนา เงินของทางวัด ทางศาสนามูลนิธินี่ มากกว่าเงินก้อน ของธุรกิจแล้วเดี๋ยวนี้

คุณเอนก : โอ้โฮ!
พ่อท่าน : แต่ทางศาสนานี่ก็ตาม ไม่ได้เอาเงินมากองไว้ที่วัด ไม่ได้เอามาใช้จ่าย กลายเป็นเงินตัวเลข อยู่ในธนาคาร แล้วธนาคาร ก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ย ให้ตัวเลขเหล่านี้ทั้งนั้นๆ เพราะฉะนั้น ในอนาคต ธนาคารคือทาส ของพวกศาสนานี่เอง ในอนาคต อ้าวคุณฟังดูดีๆ คุณคิดถึงไหม

คุณเอนก : เพราะตอนนี้อะไรเกิดขึ้น คือตอนนี้ มันไม่มีการปฏิวัติชนชั้นแล้ว
พ่อท่าน : ไม่มีการปฏิวัติ

คุณเอนก : มันเป็นการก่อการร้าย
พ่อท่าน : ก่อการร้ายอยู่ตลอดเวลา สะสมการร้าย สะสมก่อการร้ายอยู่โดย

คุณเอนก : ในอนาคตนี่ ศาสนาพุทธนี่ก็จะถูกก่อการร้าย เพราะว่ากลายเป็นว่าวัดนี่รวย แล้วประชาชนจน อันนี้ก็คือ คำว่าก่อการร้าย ไปโจมตีอเมริกันเขา เรารู้สึกว่าอเมริกันรวยคนเดียว แล้วรวยโดยการปล้นเขาไป ใช่ไหมครับ แต่คนที่กล้าตาย กลายเป็นพวกมุสลิมก่อน เพราะมุสลิมเขารู้สึก เขาถูกปล้นแรงมาก ใช่ไหม พวกพุทธยัง ก็อาจจะถูกปล้น ก็ยอมอภัย แต่มุสลิมเขา ตาต่อตา เขาก็เลยยอมตาย ระเบิดพลีชีพ ขับเครื่องบินชน ชนไอ้ยิว ของเรา พุทธๆ มันจะเกิดไหม
พ่อท่าน : พุทธก็จะเกิด เพราะเลือดเข้าตาเป็นเหมือนกัน

คุณเอนก : ของเราก็คือ คนจน พุทธด้วยกันนั่นแหละ จะเข้าปล้นวัด เขารู้นะครับ รู้ว่าวัดมีเงิน แต่ตอนนี้ ไม่มีใครรู้ว่า วัดมีเงินเยอะ คนรู้อยู่ในวงแคบ
พ่อท่าน : ธนาคารรู้หมด

คุณเอนก : แต่ก็คงเป็นวัดที่ใหญ่ๆ ที่ศรัทธาเยอะๆใช่ไหมครับ
พ่อท่าน : วัดที่ศรัทธาดี ๆ ทุกวัดแหละ เขาก็พยายามหาทาง ที่จะให้เกิดศรัทธามาก ทุกวัดๆๆ เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกันกับ นายทุนนี่แหละ ทุกธุรกิจ ทุกกลุ่มของตนเอง ก็จะต้องทำให้เป็น เจ้าแห่งนายทุน ขึ้นมาทุกกลุ่ม เหมือนกันเลย ลักษณะเดียวกัน

เพราะฉะนั้นอาตมา ตะโกนโหวกเหวกๆ อยู่นี่ บอก โอ้โฮ! ทำอย่างนี้ อาตมาตั้งมูลนิธิขึ้นมา เขาบอกว่า มูลนิธินี่ คุณเอาต้นทุน ไปใช้ไม่ได้ ต้องเอาดอกผลไปใช้ อาตมาบอก คุณอย่ามานั่งพูดอย่างนี้ อาตมาไม่เอา อาตมาใช้ หมุนทันที ที่จะมานั่งพูดว่า จะต้องมานั่ง สะสมต้นทุน ไม่เอา ไม่มีก็ไม่ทำ มีก็ทำไป มานั่งสะสมต้นทุน แล้วก็มานั่ง หาดอกผล เอาแต่ดอกผลมาใช้ๆๆ อย่างนี้ อีกหน่อยบรรลัย อย่างนี้ แต่อาตมา ไม่ได้อธิบายอะไร มากมายตอนนั้น เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย เพราะว่า ไม่อยากจะพูด พูดไป ก็เท่านั้นเอง

คุณเอนก : ครับ ก็คงไม่รบกวนพ่อท่านแล้วครับ
พ่อท่าน : เป็นอย่างไร เห็นว่าเครียดเคริดอะไร มีอะไรต่ออะไรไหม

คุณเอนก : อ้อ! เหนื่อยครับ สี่ปีเต็มๆ เหนื่อยแล้วผมกำลังสู้รบตบมือ อยู่กับการเมืองด้วย
พ่อท่าน : ใช่ คนด้านนอกนี่มันมาก มันอื้อฮือ มันสารพัด มันเขี้ยว อะไรๆ ก็เข้าใจ

คุณเอนก : ให้คนมีวินัยกับเงินสาธารณะ แล้วให้คิดเป็นสาธารณโภคี พ่อท่านรู้ดีว่า มันไม่ง่าย มันเป็นเงิน ที่ได้มาจากข้างนอก วัฒนธรรมไทย กับโครงสร้างที่มี อุปถัมภ์ มีเจ้าพ่อ และมีมาเฟีย ที่เป็นนักการเมือง เราจะให้โอกาสนี่ ไปถึงคนยากคนจน นี่มันก็ยาก สอง ถ้ากติกาไม่ดี ก็จะมีการฉ้อฉลอะไรกัน ผมก็เหนื่อยกาย เหมือนกับเป็นตำรวจ บางทีก็ไม่ยอม ไม่ยอมให้สิ่งนี้มัน ถ้ารู้แล้วก็ พยายาม จะต่อสู้ ให้คนฝึกวินัย นี่แหละ ดังนั้น ก็ไม่ง่าย พอเราทำเป็นขบวนการใหญ่นี่ ก็เป็นเข้าทางการเมืองครับ ในแง่หนึ่ง พรรคการเมือง ก็พยายามแทรกแซง พยายามอะไร เราก็พยายามรวมตัวกัน แต่ก็ไม่เป็นอะไรครับ เพียงแต่ว่า มันไม่ได้พัก
พ่อท่าน : ต้องหาทางหนีทีรอด ต้องหาทางหนีทีรอดดีๆ

คุณเอนก : แต่ก็มีปกติที่เห็นศาสนากำลังถูก การเกิดใหม่ในสังคม อย่างที่พ่อท่านทำ แล้วเห็นพระ ออกมา ปฏิบัติศาสนา ในท่ามกลางวิฤกตด้วยการเข้าร่วมกับชุมชน อันนี้ผมเองก็ปกติ เพราะว่า ผมเคยคิด จะบวชอีกครั้ง แต่ว่า ยังไม่มีโอกาส สอง การบวชอยู่ที่ใจ แต่ว่าได้มาทำหน้าที่ เห็นบุคลากร ในศาสนา เริ่มทำงาน ผมก็เป็นห่วง ทางพวกมุสลิมด้วยนะครับ เพราะผมถือว่า ทางใต้เราลงไป เราก็เห็นว่า ถ้าเอาหลัก ทางศาสนา กลับมาทำกันนี่ มันก็มากขึ้น แล้วก็ชุมชนเขา ก็มีเด็กก็มากขึ้นก็ ก็คุ้มค่าเหนื่อย
พ่อท่าน : มุสลิมเขา มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง คือเขา เขาไม่มีระดับนักบวช เขาไม่มีระดับนักบวช มันก็ไม่เกิด การเหลื่อมล้ำ ไม่เกิดการเหลื่อมล้ำ เขาก็เลยจัดระบบของชั้น ตามหลักการ ของกุรอาน หรือ ของคัมภีร์ ของเขาไปได้ดี ได้ดี ได้ง่าย ได้ง่ายกว่าของพุทธ ของพุทธมันเกิดระดับพวกนี้กันจริง ซึ่งจะต้องเข้าใจ และ คนต้องเป็นจริง ถ้าไม่เป็นจริงแล้วนี่ นักบวชนี่ ได้รับอภิสิทธิ์ หรือได้รับเอกสิทธิ์อะไร หลายอย่าง หลายๆอย่าง แต่ถ้าเผื่อว่าไม่จริงนี่ มันก็ผิดแล้ว แต่ถ้าจริง คนที่เป็นนักบวชนี่ ไม่ได้อภิสิทธิ์ แม้แต่อภิสิทธิ์ ในส่วนหนึ่ง แต่อภิสิทธิ์โดยที่ว่า เขาไม่ได้มานั่งขูดรีด ไม่ได้มานั่งเอาเปรียบเอารัด ไม่มานั่งถือ เป็นฐานได้เปรียบ ที่จะต้องตีกินอย่างนี้ อันนี้มันก็ไม่มีปัญหาใช้ได้ แต่ทีนี้มันมาฉวยโอกาสตีกิน ได้เปรียบ พวกนี้ซิ เลยพูดกัน ไม่รู้เรื่องเลย คนก็เลย หนักเข้า คนก็เลยไม่ศรัทธาเลื่อมใสแล้ว ศาสนา พอไม่ศรัทธาเลื่อมใสพระ มันก็เท่ากับ ไม่ศรัทธาเลื่อมใสศาสนา ตกลงคน ก็ไม่ฟังแล้ว ไม่ศึกษาแล้ว ศาสนา นี่คือผลลบ หรือผลทำลายศาสนา ซ้อนเชิงไปในตัว ศาสนาอิสลามของเขา ไม่มีระดับนี้ ไม่มีปัญหานี้ ไม่มีประเด็นนี้ ความเสื่อมของเขาจึงน้อยกว่าพุทธ



งานคอนเสริต์ "ธารน้ำใจสู่....วัชราภรณ์ สุขสวัสดิ์"
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่จัดงานคอนเสิร์ต เพื่อรับบริจาคเงินช่วยเหลือการรักษาโรคไต ของคุณ วัชราภรณ์ สุขสวัสดิ์ ครั้งแรกเมื่อ ๓ ปีที่แล้ว พวกเราช่วยกันบริจาค ได้ประมานสี่แสนเศษ ครั้งนี้ พ่อท่านยังคง ให้พวกเรา ทุ่มเทจัดงาน อย่างเต็มที่ ทั้งการขนทรายขาว จากปราจีนบุรี หลายคันรถ มาปรับพื้นที่ ขนหินทรายก้อนใหญ่ ขนาด น.น. ๕๐-๗๐ กก. จากสีมาอโศก มาปูพื้น ให้ดูแปลกตา เข้ากันกับ พื้นที่แวดล้อม ระดมความร่วมมือช่วยเหลือ จากพุทธสถานต่างๆ เข้ามาจัดสรร แบ่งงาน ญาติธรรม หลายคนสะดุด ทำไมคุณวัชราภรณ์ จึงได้รับการช่วยเหลือ มากกว่าชาวอโศก พวกเราเอง ที่เจ็บป่วย เหมือนกัน? พ่อท่านยังไม่ได้เปิดเผยทันที เมื่อมีเสียงตั้งข้อสงสัย เพิ่งจะเปิดเผย จากการประชุม เตรียมงาน คอนเสิร์ตฯ ๑๑ ก.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก โดยพ่อท่าน อธิบายเหตุผล ในการจัดคอนเสิร์ต ครั้งนี้ว่า "เป็นนโยบายทางสังคมศาสตร์" คือ

๑. เป็นการศึกษาท่าทีของสังคมต่อกิจกรรมของชาวอโศก เหมือนโยนหินถามทาง "สังคมจะว่าอย่างไร เมื่อโพธิรักษ์ จัดคอนเสิร์ต" ครั้งที่มีการจัดงาน "เชิดชูครูเพลง" ที่ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาผ่านฟ้า อาตมาไปร่วมงานในฐานะ "ครูเพลง" ปรากฏว่าไม่มีผลสะท้อน ในเชิงลบจากสังคม ทั้งๆ ที่ไปร่วมงาน ในเพศนักบวช หรือ เขาอาจจะไม่ถือว่า เป็นพระก็ได้

๒. เป็นการถามสังคมภายนอกว่า เมื่อชาวอโศกจัดงานการกุศลในลักษณะนี้ สังคมมีปฏิกิริยา ตอบรับ อย่างไร วันก่อน มีเจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชน จากอเมริกา มาถามว่า นอกจากขายสินค้า ราคาถูกแล้ว ชาวอโศก ได้ช่วยอะไรสังคมอีก อาตมาตอบไปว่า เรามีพรรคการเมือง ที่มีอุดมการณ์ เพื่อส่วนรวมจริงๆ เรามีกิจกรรมฝึกอบรม ซึ่งเป็นการสร้างคน

งานนี้เป็นงานการกุศลอีกรูปแบบหนึ่ง สังคมจะมองเห็นไหม? การที่อาตมาดำริจัดงานช่วยคุณวัชราภรณ์ ซึ่งมิใช่ชาวอโศกนั้น เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยในทางสังคมศาสตร์ดังกล่าวแล้ว กรณีของ คุณวัชราภรณ์ เอื้ออำนวย ต่อการหนุนช่วยสัมพันธ์กับบุคคลภายนอก หากจัดคอนเสิร์ต เพื่อช่วยรักษาพยาบาล ชาวอโศก คนใดคนหนึ่ง คนภายนอกจะไม่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์อะไร ที่สำคัญเราจัดคอนเสิร์ต หาเงินมาช่วย คนอโศกไม่ได้ มันผิด เข้าข่ายทำเพื่อตัวเอง แต่นี่วัชราภรณ์ เป็นคนของสังคมภายนอกชัดๆ เราประกาศ ออกไป ประชาชนรู้จัก เหมาะแก่การจัด ถ้าเป็นคนอโศก คนใดคนหนึ่งป่วย จำเป็นต้อง ใช้เงินมาก มารักษา แล้วเราก็จัดคอนเสิร์ตช่วยบ้าง ประกาศออกไป น.ส.นั้น นายคนนี้ ที่สังคมข้างนอก เขาไม่รู้จัก แล้วเป็นไง? จะ work มั้ย?

๑๙ ก.ค. ๔๕ ก่อนวันงานคอนเสิร์ต ที่สันติอโศก ยังคงระดมกำลังทั้งนักบวช ทั้งผู้ใหญ่ และเด็กช่วยกัน ขนทรายปรับพื้นที่ ขณะที่พ่อท่านกำลังจะขึ้นเครื่องบินจากอุบลฯ กลับกรุงเทพฯ ได้รับโทรศัพท์ จากทาง สันติอโศก ปรึกษาเรื่องการเอาทรายขาวปรับพื้นที่ ช่วงที่เอาหินทราย ปูด้านเสาอโศก ผู้ทำงาน มีความเห็นต่างกัน ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ไม่ควรถมทรายหนา จนมิดหินทราย เพื่อความสวยงาม อีกฝ่ายเห็นว่า ควรถมให้มิดหินทราย เนื่องจากผิวหินทรายไม่เรียบ อีกทั้งช่องว่าง ระหว่างก้อนมีมาก เกรงว่า นักร้อง และแขก ที่มาจะเดินลำบาก หากส้นสูงลงไปในช่องว่าง ระหว่างหินทรายนั้น

พ่อท่านส่งเสียงดุดังมาก ในท่าอากาศยานอย่างนั้น ดีที่พวกเราอยู่ในมุมที่ห่างคน พ่อท่านดุ ผ่านโทรศัพท์ ไปที่สันติอโศกว่า "อุตส่าห์เอาหินทรายมา ต้องขนจากสีมาอโศก แล้วจะเอาทรายมาถม เอาผ้ายางมาปูอีก คิดดูสิ โง่กี่ต่อ ถ้าจะทำอย่างนั้น เราจะไปเอาหินทราย มาปูให้เสียแรง เสียเวลาทำไม โง่เร้อะ!"

๒๐ ก.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก วันงานคอนเสิร์ต "ธารน้ำใจฯ" พ่อท่านฉันอาหารแต่เช้า เตรียมต้อนรับแขก ทั้งวัน ดูพวกเราคึกคัก มีความพร้อม ทั้งฝ่ายจราจร ฝ่ายต้อนรับ ฝ่ายอาหาร ฝ่ายเวทีแสงเสียง

คุณวินัย พันธุรักษ์ เป็นนักร้องรายแรกที่มา ๘ นาฬิกาเศษ ร้องได้ ๓ เพลงแล้วขอตัวไปธุระ วงดนตรี และ นักร้อง ของพวกเราเอง ช่วยเติมแสดงในช่วงที่นักร้องอาชีพยังไม่มา

๑๐.๒๐น. คุณวัชราภรณ์ สุขสวัสดิ์ ขับรถมาเอง ขณะที่พ่อท่าน กำลังเดิน ดูความเรียบร้อย บริเวณเต็นท์ รับรองแขก ดูคุณวัชราภรณ์ ทั้งหมองคล้ำซูบผอม และร่วงโรยมาก แต่จิตใจยังดี ขี้เล่นและติดตลกอยู่ คุณวัชราภรณ์ ก้มลงกราบพ่อท่าน แล้วถวายพวงมาลัยดอกมะลิ ที่ร้อยด้วยฝีมือตนเอง ผ่านให้ คุณสุทธินันท์ จันทระ ส่งต่อถวายพ่อท่าน นี่ก็เป็นอีกกาลหนึ่ง ที่พ่อท่านเอื้อ รับพวงมาลัยดอกไม้ เป็นเรื่องของน้ำใจ และ การคารวะบูชา

นักร้องส่วนใหญ่ที่มาจะเป็นรุ่นเก่า ลายครามในอดีต คุณเพียงพิศ ศิริวิไล, คุณลินจง บุญนากรินทร์, คุณวงจันทร์ ไพโรจน์, คุณธานินทร์ อินทรเทพ, คุณทิพวรรณ ปิ่นภิบาล, คุณฉันทนา กิตติยพันธ์, คุณโฉมฉาย อรุณฉาน, คุณอ้อยใจ วลัยพรรณ, คุณธนิต ศรีกลิ่นดี, คุณสุวัจชัย สุทธิมา, คุณประเสริฐศรี จันทน์อาภรณ์....ฯลฯ ที่มากันเป็นวง ก็มีวง คีตาญชลี วงโฮปแอนด์แฟมิลี่ นอกจากนี้ ยังมีนักร้องวัยรุ่น จากค่ายแกรมมี่ มาตั้ง ๔-๕ คน ช่วยเพิ่มสีสัน ให้แฟนเพลงวัยรุ่น

"แม้จะทุกข์แต่เธอก็มีกัลยาณมิตร....." คุณเพียงพิศกล่าวถึงคุณวัชราภรณ์

"เพิ่งมาจากหาดใหญ่ ไปเยี่ยมพี่ชาย พ่อท่านรู้จักดี.... สันติอโศกแห่งนี้ เป็นที่ร่มเย็น แต่เพลงต่อไปนี้ เป็นเพลง ที่ร้อนแรงมาก เพื่อมอบให้น้องวัชราภรณ์ เมื่อคืนไม่ได้นอนเลย แต่ก็ต้องมาให้ได้" คุณฉันทนา กิตติยพันธ์ กล่าวก่อนร้องเพลง ในจังหวะเร่งเร้า ร้อนแรงมาก คนรุ่นเก่ารู้จักดี คุณขวัญรัก ถึงกับออกมา ขยับเต้น ตามจังหวะเพลง ด้วยร่างอ้วนท้วน ช่วยเพิ่มสีสัน ความครึกครื้นกันเองได้มาก การที่มีญาติธรรม ร่วมเต้นร่วมรำ ดูมีบรรยากาศร่วมดี ทำให้ความรู้สึก ของแขกศิลปิน ลดความเกร็ง ระวังว่า ชาวอโศก เคร่งมาก จะทำอะไร ต้องระมัดระวัง หลังจากคุณฉันทนา ร้องเพลงจบ ถึงกับเอ่ยปากแซว "คิดว่า จะมีแต่ นั่งสมาธิอย่างเดียว.... คนเราเมื่อมีใจที่บริสุทธิ์ ก็กล้าทำทุกอย่าง ด้วยมาจากใจที่บริสุทธิ์"

คุณโฉมฉาย อรุณฉาน นักร้องดาวรุ่งสุนทราภรณ์ในอดีต กล่าวก่อนร้องเพลงว่า "มาตรงนี้ รู้สึกแปลก ไปหมด ท่านเป็นธรรมชาติหมด ให้ความอบอุ่น ตั้งแต่ข้างหน้าเข้ามา มันเป็นสิ่งที่ แปลกใหม่ค่ะ มีแต่คนยิ้มแย้ม มีแต่คนเอื้อเฟื้อ จะให้ที่จอดรถ ตรงนี้ก็ได้ครับ ที่อื่นมีแต่ห้าม ตรงนี้ก็ไม่ได้ มาตรงนี้ ได้หมดเลย....." และหลังจากร้องเพลงจบแล้ว ก็ยังกล่าว.... "บรรยากาศที่ได้รับประทับใจ มากกว่า สิ่งของที่ได้รับ"

คุณธนิต ศรีกลิ่นดี ผู้เชี่ยวชาญการเป่าขลุ่ยชื่อดังของเมืองไทย เป่าเพลงเดือนเพ็ญ เอื้อนเสียงยาวมาก โชว์ลีลา การเป่า ที่ปอดใหญ่มาก คนธรรมดาเป่าเอื้อนเสียง ไม่ได้นานอย่างนี้

พ่อท่านชมว่า เป็นการเป่าที่มาจากจิตวิญญาณ ไม่ใช่เล่นตามโน้ตเพลง เล่นจากอารมณ์ by heart...

ขณะที่คุณธนิต เรียกคนฟังมาทีละคน จนถึง ๖ คน มาช่วยกันเอานิ้วอุดรูขลุ่ย แต่เสียงขลุ่ย ก็ยังดังออกมา ให้ได้ยิน จนคนสุดท้ายหมดลง พร้อมเสียงขลุ่ยจบ "ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิด ผมคงขาดใจตายแล้ว" เสียงเย้า จากคุณธนิต

"กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ...." เสียงจากนักร้องวัยรุ่นค่ายแกรมมี่ ที่เธอแนะนำตัวเอง ก่อนร้องเพลง สายใจ วลี เป็นชื่อของเธอ จบจาก ม.เกษตรฯ ร้องเพลงไทย ในแบบลูกทุ่ง และโชว์ลีลา การเต้นประกอบ ทำให้กลุ่ม นักเรียนวัยรุ่น ดูคึกคัก มีชีวิตชีวา ขึ้นมาทันที ต่างจากฟังป้าๆลุงๆ ร้องเพลง คนละภพ กับวัยรุ่นมานาน "ปกติสันติอโศกตอนเด็กๆ หนูก็มากับคุณแม่บ่อยค่ะ...." สายใจ บอกเล่า หลังจาก ร้องเพลงจบ

คุณวัชราภรณ์ ร้องเพลง"คนเอ๋ยคนเราก็เท่านี้ ไม่เห็นมีสิ่งใดที่จะใฝ่หา...." เนื้อเพลงชวนให้คิด ปลงวาง กิน กาม เกียรติ เป็นมายาของชีวิต เป็นอนิจจัง .. คุณวัชราภรณ์ นั่งพับเพียบ กับพื้นหน้าเวที แม้มีผู้หวังดี ยกเก้าอี้ให้เธอนั่ง ในฐานะผู้ป่วย เธอก็ขอนั่งกับพื้น ร้องเพลงนี้ ได้ทราบว่า ญาติธรรมหลายคน มีอารมณ์ร่วม กับเนื้อเพลง และชีวิตของผู้ร้อง น้ำตาคลอกันหลายคน

งานนี้พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ทำหน้าที่ดุจพิธีกรกิตติมศักดิ์ คอยแซมผสม ที่สำคัญ เป็นผู้รายงาน ยอดเงินบริจาค เป็นระยะๆ สุดท้ายก็กล่าวปิดงาน "เราเป็นชาวบ้านไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง แต่ก็จัดงาน ได้ถึงขนาดนี้ ยอดบริจาคล่าสุด ณ เวลานี้ ๘๖๒,๙๒๗ บาท"

*** อนุจร ***

อ่านต่อฉบับหน้า

 

   Asoke Network Thailand