หน้า ๒ ต่อจากหน้าแรก


ศาสนธรรมกับธุรกิจ Spirit in Business

๑๐ พ.ย. ๔๖ ที่ห้องประชุมสารนิเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ่อท่านได้รับนิมนต์ ให้มา ร่วมประชุม ในหัวข้อ "ศาสนธรรมกับธุรกิจ" Spirit in Business ซึ่งเป็น หนึ่งในแปดหัวข้อ การประชุมห้องย่อย โดยก่อนการประชุมนี้ได้ไปฟัง ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ บรรยายที่อาคารศศิน

ก่อนการบรรยาย ดร.สุรินทร์ ได้เข้ามานมัสการพ่อท่าน แล้วย่อตัวลงอย่างนอบน้อม พร้อมกับ นั่งยองๆ ลงพูดคุยกับพ่อท่านเล็กน้อย น่าเสียดายว่า ประโยคแรกที่ ดร.สุรินทร์กล่าวทักทายนั้น ข้าพเจ้า ได้ยินไม่ชัด ด้วยคาดไม่ถึงว่า ดร.สุรินทร์จะเข้ามานมัสการทักทายเช่นนี้ เพราะท่านเป็น มุสลิม

ประโยคต่อมาที่ ดร.สุรินทร์กล่าวทักถามคือ....ท่านมางานอย่างนี้บ่อยไหมครับ

พ่อท่านตอบ : ไม่หรอก อาตมาไม่ค่อยจะประสีประสาเรื่องภาษาเหล่านี้

ดร.สุรินทร์กล่าวต่อขณะขยับตัวลุกขึ้นว่า....นอกจากภาษาแล้ว เขายังมีภาษาเฉพาะ ของเขาอีกครับ

จากนั้น ดร.สุรินทร์ได้บรรยายเป็นภาษาอังกฤษท่ามกลางผู้ฟังประมาณ ๕๐-๖๐ คน ส่วนใหญ่ เป็น คนต่างชาติ จากตะวันตก และตะวันออกกลาง โดยมีคนไทย ที่เป็นอาจารย์และนักศึกษา เข้าร่วมฟังบ้าง นอกจากนี้ข้าพเจ้าเห็นมีคุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีต ผอ.ธนาคารออมสิน เข้าร่วมฟังด้วย คำไทยบางคำที่ ดร.สุรินทร์ใช้ก็มี เช่น... สำนึกแห่งจักรวาล... เราคือพ่อค้า แม่ค้าวาณิชย์รุ่นใหม่....

เสร็จจากฟัง ดร.สุรินทร์แล้วเคลื่อนย้ายมาที่ห้องประชุมสารนิเทศ เพื่อร่วมประชุมกลุ่มย่อย ตามหัวข้อ... Spirit in Business หรือ ศาสนธรรม กับธุรกิจ กลุ่มย่อยนี้ มีประมาณ ๑๐ คน โดยไม่นับ รวมพวกเรา อีกประมาณ ๑๕-๒๐ คน ที่ห้องประชุมนี้ ข้าพเจ้าได้รับหูฟัง การแปล ภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย จึงพอจะรู้บ้างว่า ผู้พูดกล่าวอะไร

คุณซานเดอ ทิเดอมาน พูดก่อนโดยบอกเล่าถึงองค์กร ๕ แห่งของตนที่ทำธุรกิจทั่วโลก จากนั้น พูดถึง ปัญหาสังคมโลก ในปี ๒๕๕๐ ครึ่งหนึ่งของประชากร จะอยู่ในสลัม แล้วก็พูดถึงทุนนิยม ที่กำลังแข่งขันกัน เพื่อความอยู่รอดของตน แล้วก็กล่าวถึงเรื่องภาษี และสิ่งแวดล้อม ๘๐% ของมูลค่าบริษัท เป็นมูลค่า ที่จับต้องไม่ได้... ตัวชี้วัดกระบวนการทางเศรษฐกิจ มาจาก กระบวนทัศน์เก่า

ส่วนหนึ่งของกระบวนทัศน์นี้จับต้องไม่ได้ เช่นคุณค่าทางพิธีทางศาสนา...เราละเลยคุณค่า ทางจิตวิญญาณ ที่ไม่สามารถจะวัดได้... เราไม่ได้คัดค้านทุนนิยม แต่เราต้องนำทุนนิยม ไปในทางใหม่..... GDP เป็นแนวคิดที่ล้าสมัย เพราะวัดแต่ธุรกรรม GDP โตขึ้นจากการทำลาย คุณค่าคน ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เช่นการถางป่ามาทำโลงศพเพื่อส่งออกนั้นก็มี GDP เพิ่มขึ้น กษัตริย์ภูฐานที่เป็นชาวพุทธ ไม่ส่งเสริม GDP อย่างนั้น.....

คุณจอยพูดเป็นคนต่อมาโดยกล่าวถึงธุรกิจของตนเช่นกันว่า Joy Company เป็นเอเจนซี สำหรับ สร้างแรงบันดาลใจ เราอยู่ในสื่อสาร ทำส่วนหนึ่ง ของการตลาด ดิฉันค้นพบว่า ตัวเองไม่เชื่อ ในการตลาด จึงสร้างเอกลักษณ์ของตน..... ช่วงท้ายกล่าวถึงจิตสำนึก ๗ ข้อ เสียดาย ที่ข้าพเจ้า ไม่สามารถ บันทึกได้ทัน เท่าที่พอจะสรุปได้ จิตสำนึกที่ว่านั้นก็ยังเป็นเรื่องการแข่งขัน เช่นเดียวกับ ระบบทุนนิยม ที่ทำกัน เพียงแต่พยายาม ตระหนักรู้ให้คิดถึง คุณธรรมบ้าง แล้วเขาเก่ง ที่จะใช้ภาษาคมคายที่ฟังดูดี เช่นต้องย้ายจากความซื่อสัตย์ ไปสู่ความโปร่งใส เมื่อบริษัทคุณเข้มแข็ง บริษัทอื่นๆ ก็จะเชื่อมต่อมาหาคุณ..... อะไรทำนองนี้ เป็นต้น แต่ไม่พูดถึง ตัวเองจะลดละเสียสละ ให้สังคมอย่างไร?

พ่อท่านพูดเป็นภาษาไทย แล้วมีล่ามแปล ผู้ที่ไม่รู้ภาษาไทยก็ใช้อุปกรณ์เสียงใส่ที่หู ฟังคำแปล จากล่าม จากบางส่วน ที่พ่อท่านได้กล่าว ดังนี้....

".....มันยากที่จะพูดในวันนี้เหลือเกิน อาตมาฟัง ดร.สุรินทร์และมาฟังที่พูดกันนี่ก็เข้าใจ ที่ทุกคนพูด เป็นเรื่องเดียวกัน เป็นปัญหา และเป็นความต้องการ เดียวกันทั้งหมด อาตมาเข้าใจ และได้พยายามแก้ปัญหานี้มาแล้ว แต่ว่ายังแก้ปัญหาได้เป็นจุดเล็กๆ ของโลกเท่านั้น และ เราคิดว่า เราก็ประสบผลสำเร็จ ในการแก้ปัญหานี้ เรื่องสำคัญก็คือนามธรรม หรือทาง จิตวิญญาณ คนยังไม่ได้ศึกษาสิ่งนี้ทั้งหมด เมื่อไม่รู้ความจริงของสิ่งนี้ ก็ไม่รู้ว่า ในจิตวิญญาณ มีซาตาน และซาตานนี่แหละ ทำให้เราไม่เข้าใจความจริง ของสิ่งที่ดีที่สุด เพราะซาตาน ไม่ได้อยู่ที่นอกโลก หรือที่ไหนๆ แต่ซาตาน มันอยู่ที่จิตวิญญาณ ของเราทุกคน ซาตานนี่แหละ ทำให้โลกเราเดือดร้อน อยู่ทุกวันนี้

ศาสนาพุทธที่อาตมาเข้าใจ เพราะศาสนาพุทธนั้นเข้าใจกันหลากหลายทิศทาง หลากหลาย ความหมาย จึงต้องวงเล็บว่า ที่อาตมาเข้าใจ ที่เราเรียกกันว่า กลุ่มชาวอโศก เราเข้าใจ ศาสนาพุทธ อย่างนี้ เอาแนวทางนี้มาปฏิบัติพิสูจน์ จนกระทั่งทุกวันนี้ เราก็มีปรากฏเป็น กลุ่มชน ชาวอโศก ที่ดำเนินชีวิต ตามทฤษฎีนี้มา ก็เห็นความเป็นไปได้

เท่าที่ฟังมาก็เห็นความต้องการกับปัญหา ที่พูดกันมาต้องการให้โลกอยู่เย็นเป็นสุข โลกนี้ ไม่มีความแก่งแย่ง โลกนี้มีแต่ความเกื้อกูล และเสียสละ ปัญหาก็คือว่า จะทำอย่างไร ให้เป็นอย่างนั้นได้

อาตมาทำงานศาสนาโดยที่อาตมาไม่ได้เรียนจากใครมาเลยในชาตินี้ ต้องขออภัยที่พูดเช่นนี้ คือศาสนามันมี ในตัวอาตมาเอง ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แล้วอาตมาก็เอาศาสนา อย่างที่อาตมา เข้าใจนี้ มาทำงาน ๓๐ กว่าปีแล้ว จนเกิดกลุ่มคนชาวอโศก

อาตมาได้สรุป ความต้องการของมนุษย์เป็น ๗ ข้อ คือ ๑.สุข ๒.สูง ๓.สร้างสรร ๔.เสียสละ ๕.สมบัติ ๖.สูญ ๗.สัมบูรณ์.....

"....คนเราในโลก มีความสุขที่วิปริต มีความสุขที่เป็นทุกข์...ยุ่งยาก... และก่อสงครามอยู่ ตลอดเวลา เพราะมีกิเลส หรือซาตานนั่นเอง..."

กลับมาที่คำว่า...สุข เราต้องการความสุขทุกอย่าง ได้รับคำสรรเสริญเยินยอมากๆ ได้อำนาจ มากๆ ก็เป็นความสุข ได้รับสิ่งที่ต้องการ มาให้เสพ เรียกว่ากามสุข ซึ่งได้สวยทางตา ได้ไพเราะ ทางหู ได้กลิ่นที่พอใจ ได้รสอร่อยทางลิ้น ได้สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง อย่างพอใจ นั่นเรียกว่ากาม อีกอันก็คือ อัตตา ซึ่งอัตตานี่ก็คือซาตานแท้ๆเลย ต้องได้ตามใจของข้า ที่ข้าต้องการ ทั้งรูปธรรม และนามธรรมทั้งหมด ได้สมใจซาตานก็เป็นความสุข เป็นความสมใจอัตตา

สิ่งที่เราต้องการนั้นคืออำนาจซาตาน เพราะฉะนั้นทุกคนเลี้ยงซาตานไว้ทุกคน แล้วก็มีความสุข แบบซาตานทั้งนั้น จึงแก้ปัญหา โลกนี้ไม่ตก รู้เหมือนกันว่า มันเดือดร้อนไม่ดี แต่ไม่รู้เหตุที่แท้ การแก้ปัญหา จึงต้องรู้จักซาตาน แล้วก็ฆ่าซาตานให้ตายจริงๆ คนไม่รู้จักซาตาน แต่มันอยู่ในใจ ของคนแท้ๆ

ความสุขที่อาตมาพูดนี้ สุดท้ายความสุขที่ดีที่สุดคือไม่มีความสุขเลย ขออภัย ที่ต้องใช้ศัพท์ ทางศาสนาคำนั้นคือ..อทุกขมสุข หมายความว่า ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข... กลางๆ... เฉยๆ... สูญ (สุข-ทุกข์) ไม่มีแรงผลัก และแรงดูดเลย นั่นคือนิพพาน......" จากนั้นพ่อท่าน ได้อธิบาย ความหมาย ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน ผู้สนใจรายละเอียด ติดตามได้จากฝ่ายเสียง

".....การมีสมบัติจึงเป็นคนมี แต่ไม่สะสม จะสะพัดให้แก่โลกให้แก่สังคมอย่างเต็มใจ เพราะเข้าใจ ความจริงที่ชัดเจนอย่างยิ่งคือ ..การขาดทุนคือกำไร ไม่ใช่พูดเล่น ไม่ใช่ปรัชญา แต่เป็นความจริง ขาดทุน คือเราได้เสียสละให้เขาไป เราให้ไปนั่นแหละคือ เราได้ เรามีคุณค่า เราเป็นคนมีประโยชน์ ต่อผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่เราได้ โดยวัตถุเราไม่มี เราให้เขา เราสูญ เพราะฉะนั้น สมบัติของผู้ให้ จะมาหาสูญ คือสูญ คนที่ประสบผลสำเร็จอย่างนี้ จะมีสมบัติเป็นสูญ แต่เป็นคน มีประโยชน์ ต่อผู้อื่นอย่างยิ่ง

สุดยอดคนอย่างนี้คือสัมบูรณ์ ที่อาตมาพูดนี้ฟังเหมือนนิทาน เหมือนหนัง Star War เหมือนคนเหล็ก มันตลก เหมือนของไม่จริง แต่ขอยืนยันว่า อาตมาได้ทำงานมา ๓๐ กว่าปี มีกลุ่มคน ชนิดนี้แล้ว เป็นคนที่ทำงาน ไม่เอารายได้เลย ขออภัยที่อาตมาจะพูด ยกตนเอง หรือ เอากลุ่ม ของตนเอง มากล่าวเหมือนอวดตัวเอง แต่มันเป็นตัวอย่างที่จริง ไม่เช่นนั้น คุณอาจคิดว่า จะพูดยังไงก็ได้ แต่ตัวเองไม่เป็น ไม่มีของจริง พูดไปโก้ๆ สนุกๆเท่านั้น แต่ขอยืนยันว่า มันเป็นไปได้ จริง....มันอาจจะยาก

ทุกวันนี้กลุ่มอาตมายังเป็นกลุ่มเล็ก แม้ในประเทศไทยนี่ก็เล็ก นอกจากเล็กแล้ว คนยังมองเป็น สกั้งค์ ของสังคม ซึ่งอาตมามองตนเอง เป็นเหมือนอีแร้ง ประเทศไทย ไม่มีสกั้งค์ พูดอีแร้งนี่ คนไทยรู้เรื่อง คือคนรังเกียจ สังคมรังเกียจ พวกเราเหมือนคน ๑๐๐-๒๐๐ ปีที่แล้ว รองเท้า ก็ไม่ใส่ ผมก็ไม่หวี หน้าก็ไม่ต้องทา ไม่ต้องมีเพชร หรือสิ่งหรูหราราคาแพง ไม่มี ไม่ใช่เรา ไม่สามารถ หามาได้ เราก็เลยจำนน แล้วประชดว่า จะไม่มี.... ไม่ใช่ เราเต็มใจที่จะไม่มี และเราก็ไม่จำเป็น ที่จะต้องไปหลงว่า จะต้องไปมี เพราะไม่มีเพชร เราก็เป็นคนดีได้ ช่วยเหลือ คนอื่นได้ สิ่งที่โลกแย่ง เราไม่ต้องไปแย่งอีก เราไม่ต้องไปแย่ง ไปแข่งที่จะร่ำรวยเหมือน บิล เกต เราไม่ต้องไปคิด สิ่งแลกเปลี่ยน ตามทุนนิยม คือพฤติกรรม ที่เอากำไรมากๆ คนอย่างนั้นคือ เชื้อไขของซาตาน แนวคิด อย่างทุนนิยมนั้น ทำลายโลก ทำลายสังคมอยู่ ในทุกวันนี้

ทุนนิยมนั้นพยายามหาวิธีที่จะเรียนรู้และฉลาดที่จะหามาได้มากๆ แล้วถือว่านี่คือ ความสำเร็จ แต่เราเห็นว่า ทำเช่นนั้น เป็นชีวิตที่ขาดทุน เสียสละต่างหาก คือชีวิตกำไร คือความสำเร็จ ถ้าทุน ๑,๐๐๐ ทำอย่างไรเราจะขาย ๕๐๐ หรือทำอย่างไร เราจะให้ไปเลยได้ โดยไม่แลกเปลี่ยน เอาอะไร กลับมา แต่คนต้องกิน ต้องใช้ เพราะฉะนั้น สัดส่วนของการขาดทุน จึงอยู่ตามฐานะ เท่าที่แต่ละคน จะสามารถทำได้

ถามว่าถ้าขาดทุนแล้วจะอยู่ได้อย่างไร? ถ้าเข้าใจว่าคนมีสมรรถนะ สมมุติว่าสมรรถนะ คนนี้ วันหนึ่งค่า ๕,๐๐๐ แต่เขากินใช้แค่ ๒๐๐ เขาสามารถเอาอีก ๔,๘๐๐ มาลดต้นทุน เขาจึงขาย ขาดทุนได้ คน ๑ คนก็เป็นเช่นนี้ ๒ คน ๓ คนเป็นชุมชนต่างล้วนเป็นเช่นนี้ อาตมาเรียก ระบบนี้ว่า บุญนิยม Boonism เป็นสังคมที่ ทุกคนมาขาดทุนร่วมกัน มาเสียสละสมรรถนะ ของตนๆ ส่วนเหลือ ดังกล่าว จึงมีมากมาย แล้วสะพัดไปสู่สังคม อย่างรวดเร็ว ไม่กักตุน ไม่ขาด ความคล่อง เศรษฐกิจ จะหมุนได้เร็ว...."

หลังจากพ่อท่านพูดแล้วมี ดร.อนุสรณ์ ว่องวาณิชย์ กล่าวถึงธรรมะกับธุรกิจของตนเอง อยู่ในครอบครัว ที่สนใจศึกษาธรรม ของพุทธ ในบริษัทของตน ได้ให้พนักงาน ได้ปฏิบัติธรรม ด้วย

เสร็จจากฟังทั้งหมดแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการมาร่วมงานประชุมอย่างนี้ไม่ได้ประโยชน์เท่าใดนัก เนื่องจาก กลุ่มคนฟัง อีกทั้งเป้าหมาย เนื้อหาของการประชุมนี้ เป็นเพียงการตระหนักรู้ และ มีสำนึกในธรรมะ ยังไม่ถึงขั้นการลดละและเสียสละ อย่างที่พ่อท่าน พาพวกเราทำและเป็น ดังนั้น โอกาสที่ กลุ่มคนฟัง รวมถึงคณะจัดการประชุม อาจคิดไปได้ว่า สิ่งที่พ่อท่านพูดนั้น เป็นเรื่องห่างไกล จากพวกเขา เขายังมีบริษัท มีโรงงาน มีกิจการธุรกิจ มีการสะสมทุน มีหุ้น ของเขา มีคนงานที่ต้องกำกับดูแล เขาอาจคิดไปว่า พ่อท่านพูดในภาวะของนักบวช ที่ไม่รู้โลก และ สังคมธุรกิจ

จากคำกล่าวของ ดร.อนุสรณ์ที่ว่า "....ผมอยู่ในโลกสองใบ ใบหนึ่งคือ Material World หรือโลกของ ธุรกิจ อีกอันหนึ่ง ผมเกิดในครอบครัว ของผู้สนใจพุทธศาสนา ผมก็ปฏิบัติธรรม ในระดับหนึ่ง ผมจึงมีหน้าที่ ที่จะทำให้ธุรกิจของผมอยู่ต่อไปได้ อีกอันหนึ่งก็คือ ดำรงชีวิตให้เหมาะสม ตามหลักธรรม พระพุทธศาสนา สองอันนี้จะต้องไปด้วยกัน อันหนึ่งคือ จะต้องปล่อยวาง สันโดษ อีกอันนั้น ธุรกิจจะต้องมั่งมีขึ้นเรื่อยๆ จะต้องมีกำไร จะต้องมีการรายงานผล...."

มันยากที่จะพูดในวันนี้เหลือเกิน ที่พ่อท่านกล่าวในช่วงต้นนั้น เป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่า พ่อท่าน ก็ทราบดีว่า ยากที่จะทำให้เขาเข้าใจ แต่ก็ต้องลองดู แม้กลุ่มคนฟัง จะไม่ได้ประโยชน์นักก็ตาม ที่ได้แน่ๆก็คือ การรักษาน้ำใจของญาติธรรม ที่รับเรื่องจากฝ่ายจัดการประชุม มานิมนต์ ตอนแรก พ่อท่าน ปฏิเสธที่จะไป ด้วยการจัดสัมมนาในหลายครั้งที่ผ่านมา พ่อท่านเห็นว่า ไม่ค่อยได้อะไร มีแต่การพูดๆๆ ต่างคนก็ต่างพูดกันไป หลังจากนั้น แต่ท่าทีของญาติธรรม คะยั้นคะยอ อยากให้ พ่อท่านไป ทำให้พ่อท่าน ยากที่จะยืนยันปฏิเสธ


 

ธรรมะเพื่อสุขภาพ
๑๓ พ.ย. ๒๕๔๖ ที่ ร.ร.ผู้นำ กาญจนบุรี จัดให้มีการอบรมเรื่องการดูแลสุขภาพ โดยนิมนต์ ให้พ่อท่าน ได้แสดงธรรม ในช่วงทำวัตรเช้า ในหัวข้อ... ธรรมะเพื่อสุขภาพ พ่อท่านนำด้วย ความเชื่อ เรื่องกรรม ต่อด้วยความไม่เที่ยง ก่อนอธิบายเข้าสู่หลัก ๗ อ. ในการดูแลสุขภาพ ที่พ่อท่านเคยกล่าว ในหลายที่หลายแห่ง แต่ก็มีหลายเรื่องที่เพิ่มเข้ามา เช่นวิจารณ์ ความคิดของ นายกฯทักษิณ ที่จะไปประมูล ทีมฟุตบอลของ สโมสรในอังกฤษ.... จะเอาคาสิโน มาทำในไทย.... รวมถึง การทำหวยบนดิน.... ผู้สนใจรายละเอียดติดตามได้ จากฝ่ายเผยแพร่ ในที่นี้ ข้าพเจ้าขอนำ เอาข้อเขียน คำไว้อาลัย การจากไปของ คุณอาภาวดี พรหมพิทักษ์ ซึ่งเป็น น้องสาวคนหนึ่ง โดยน้องๆ ที่จัดทำ หนังสืออนุสรณ์ ขอให้พ่อท่านเขียน เพื่อจะเอาไปแจก ในงานพระราชทาน เพลิงศพ (๔ ธ.ค. ๒๕๔๖)

ติ่งอาจจะยังไม่ตาย ถ้า...

ติ่ง หรือ น.ส.อาภาวดี พรหมพิทักษ์ เป็นน้องสาวคนหนึ่งของอาตมา เป็นลูกของคุณลุงหมอ คนที่ ๗ คุณลุงคุณป้า มีลูก ๘ คน เราอยู่ด้วยกันมา ตั้งแต่เด็กตั้งแต่เกิด เมื่อโตกันแล้วต่างก็ ประกอบ อาชีพไปคนละทาง ก็เลยห่างกันไปบ้าง มีบางคน ๒ ปี ๓ ปี แทบจะไม่ได้เจอกัน บางคน แต่งงาน ไปมีลูก มีเต้ากันคนละ ๒ คน ๓ คน หลานๆบางคน อาตมาก็ไม่รู้จัก แต่ติ่งนี่ ยังได้พบกันอยู่ พอสมควร เพราะไม่ได้แต่งงาน แยกครัวไปไหน (ลูกคุณลุง ไม่ได้แต่งงาน ๓ คน....แต๋ว, ต้อย, ติ่ง)

อาตมาเป็นพี่คนโต และน้องๆ ของอาตมาอีก ๖ คน กับลูกๆ ทุกคนของคุณลุงคุณป้า ครอบครัวนี้ เหมือนครอบครัวเดียวกัน อยู่ด้วยกันโตมาด้วยกัน ลูกคุณลุงคุณป้าทุกคน เกิดทีหลังอาตมา ทั้งนั้น กอปร กับคุณลุงคุณป้า เอาอาตมาไปเลี้ยงเหมือนลูก ตั้งแต่ตัวเล็ก ๓-๔ ขวบ อาตมา จึงแยก จากคุณแม่คุณพ่อ ไปกับคุณลุง ซึ่งไปเป็นนายแพทย์ประจำจังหวัด หนองคาย อาตมาก็เลย กลายเป็นพี่คนโต ของน้องๆทั้งหมด เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ คุณลุง คุณป้า ต้องหอบหิ้วลูกๆ วิ่งหนีระเบิดกันเป็นที่โกลาหลยิ่งนัก ตอนนั้น ด.ช.ติ๋วลูกคนโต (ผศ.จุมพล) ด.ญ.แต๋ว (น.ส.ประยงค์) ลูกคนรอง ของคุณลุงคุณป้า ก็เกิดขึ้นมาแล้ว แถม คุณป้า ก็กำลังท้องโต เพราะมี ด.ญ.ตุ๋ย (รศ.สุภาพรรณ โคตรจรัส) ลูกคนที่ ๓ นอนอยู่ในนั้น ขณะนั้น จึงทุลักทุเลกันมาก คุณลุงคุณป้าจึงส่งอาตมา ให้กลับมาอยู่กับคุณแม่ เพื่อผ่อนเบา ชั่วคราว ซึ่งคุณแม่อาตมานั้น หอบลูกๆ อพยพจากจังหวัดศรีสะเกษ มาอยู่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบล ก่อนแล้ว เหตุเพราะสงครามโลกครั้งที่ ๒ เช่นกัน กระทั่งคุณลุงได้รับการโยกย้าย มาเป็น นายแพทย์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาล พระศรีมหาโพธิ์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อครอบครัว คุณลุงคุณป้า มาอยู่อาตมากับน้องๆ ก็มีโอกาสมาอยู่บ้าน คุณลุงคุณป้ากัน ก็อยู่บ้านคุณลุงบ้าง บ้านตัวเองบ้าง ตามอัชฌาศัย จนโตจึงค่อยย้ายๆแยกๆกันไป เรียนต่อ กรุงเทพฯบ้าง หรือไปเรียน ต่างประเทศบ้าง และสุดท้าย ต่างประกอบอาชีพ แต่งงานไป ก็ต้องรับผิดชอบครอบครัว ก็ห่างกันไป ดังกล่าวแล้ว

"ติ่งเป็นมะเร็ง" ทั้งแต๋ว (ประยงค์) ทั้งติ๋ม (จุฬา สุดบรรทัด) ลูกคนที่ ๕ ของคุณลุง โทรศัพท์ ไปบอก อาตมา ปรึกษาหารือว่า จะทำอย่างไรกันดี มันขั้นที่ ๔ แล้ว เราก็ช่วยกันคิด หาวิธี ช่วยน้อง ก็พยายามกันเต็มที่ วิธีที่ดีที่สุด หมอที่ดีที่สุด เท่าที่เราจะหาได้ แต่สุดท้าย ก็ช่วยอะไร ไม่ได้มากนัก ไม่กี่เดือน ติ่งก็จากเราไป

อาตมารู้จักคนที่เป็นมะเร็ง และไม่ตายเร็ว หรือที่ยังอยู่ได้เกิน ๑๐ ปีกระทั่งปัจจุบันนี้ก็มี เช่น โยมปราณี แก้วเลื่อมใส ชาวเชียงใหม่คนหนึ่ง ซึ่งรู้ว่า ตนเป็นมะเร็ง เมื่ออายุ ๖๐ ปี หมอตรวจพบ แล้วก็บอกว่า อยู่ได้อีกประมาณ ๖ เดือน จากวันนั้นถึงวันนี้ โยมปราณีอายุ ๗๒ แล้ว ยังไม่ตาย อยู่มาได้จนป่านนี้ และได้ไปตรวจกับหมอ ครั้งล่าสุด หมอแปลกใจบอกว่า ก้อนมะเร็ง มันฝ่อไปแล้ว [ผู้ใคร่ทราบเรื่องราวละเอียด มีหนังสือ "ปราณี....พิชิตมะเร็ง" หาได้ในย่าน "สันติอโศก"]

เหตุหลักใหญ่ๆที่โยมปราณีอยู่รอดมาได้ คือ
๑. จิตใจเข้มแข็ง ดีงาม เบิกบานด้วยคุณธรรม รู้จักการทำใจให้มีพลังช่วยรักษาตน
๒. ดื่มน้ำปัสสาวะอย่างต่อเนื่อง
๓. เรียนรู้วิธี ลงมือปฏิบัติทันที เมื่อรู้ว่าอะไรควรทำ แล้วจะค้นข้อปฏิบัติที่ดียิ่งๆขึ้น

โยมปราณีรับประทานอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์ อาหารไม่ปรุงแต่ง เน้นอาหารธรรมชาติ อย่างเคร่งครัด รสจืด โดยเฉพาะ เรื่องจิตใจ ต้องทำอารมณ์ให้ดี ไม่กังวล ไม่ห่วง ไม่ให้ใจ วุ่นวาย ไม่หงุดหงิด ต้องมีจิตเบิกบานร่าเริงอยู่เสมอ รู้จักปล่อยวาง ที่สำคัญมากคือ ไม่เครียด แท้ๆก็คือ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ให้ได้เสมอๆ นั่นเอง โยมปราณีเป็นนักปฏิบัติธรรม ตามแบบอโศก ที่เคร่งครัด โยมปราณีไม่ทำตนให้เป็นคนป่วย ไปทำงานช่วยร้านอาหาร มังสวิรัติ ชมร.เชียงใหม่ ประจำ เบิกบาน ยินดีใน"บุญ" เชื่อมั่นในการเสียสละว่า เป็นคุณค่าแท้ของมนุษย์ และเป็นบุญจริง จึงขยันหมั่นเพียร ทำงานที่ร้านอาหาร ชมร.เชียงใหม่ สม่ำเสมอ เว้นแต่สุดวิสัย ในบางวันก็ลา ไม่ได้ทำงานรับเงินรายได้ตอบแทนใดๆ จากการทำงานเลย เหนื่อยนักก็นอนพัก ฟังเท็ปธรรมะ ที่อาตมาบรรยาย เป็นประจำ ไม่หักโหม ทำตนเป็นคนสามัญปกติ

และมีอีกเรื่องหนึ่งที่โยมปราณีมั่นใจว่า สิ่งนี้ช่วยชีวิตของโยมแน่ๆ ก็คือ โยมปราณี ดื่มน้ำ ปัสสาวะ ของตนเอง ทุกวัน เรื่องน้ำปัสสาวะนี้ มีนายแพทย์ ที่เห็นขัดแย้งกันอยู่มาก แพทย์บางคน ก็สนับสนุน ส่งเสริมเผยแพร่ มีข้อมูลอ้างอิงยืนยัน แพทย์บางคน ต่อต้าน หัวชนฝา ทว่าไม่มี ข้อมูลอะไร เพียงแต่ มองในแง่ว่า น้ำปัสสาวะเป็นของเสีย ที่คนขับถ่ายทิ้ง ถ้าขืนรับประทาน กลับคืน เข้าไปในร่างกาย มันน่าจะเป็น โทษมากกว่าเป็นคุณ แต่มีแง่ ที่น่าสังเกต เป็นอย่างมาก ก็คือ เท่าที่มีผู้ดื่มน้ำปัสสาวะมาก็มากแล้ว และดื่มกันมานาน พอสมควร ยังไม่เห็นใครแจ้ง "โทษ" จากการดื่มน้ำปัสสาวะเลย เห็นมีแต่คนแจ้ง "คุณประโยชน์" จากการดื่ม น้ำปัสสาวะ รักษาโรค หลายอย่าง ให้หายได้นั้นมีแน่ แม้แต่ช่วยแก้อย่างนั้น บำรุงอย่างนี้ ให้ดีขึ้น ก็หลากหลาย คุณประโยชน์ ซึ่งเบื้องลึก ของเรื่อง ที่เป็นเหตุใหญ่ ทำให้ปฏิเสธ การดื่มปัสสาวะก็คือ อุปาทาน ในจิตของคน มันรังเกียจ เพราะไม่ใช่ธรรมดา.... สำหรับผู้ที่ "ใจถึง" กล้าดื่มน้ำปัสสาวะ ไม่เชื่อถามใครก็ได้ คำปฏิเสธชนิดขนลุกขนพอง พร้อมอาการจะอาเจียน จะเป็นคำตอบ ให้เห็นทันที

อาตมานั้นไม่รู้เรื่องแพทย์เรื่องเภสัชแน่ แต่อาตมารู้เรื่องจิตใจหรือจิตวิญญาณ สำหรับโยม ปราณีนี้ อาตมาตอบได้เลยว่า โยมปราณี หายจากมะเร็ง เนื่องมาจาก การปฏิบัติจิตวิญญาณ ของโยมปราณี นั่นแหละ เป็นสำคัญ จิตใจโยมปราณีไม่มีความเครียด ไม่กังวล วางใจ ยินดี ในบุญ มีแต่ความเบิกบาน ร่าเริง ในจิตใจ จึงมีแต่ "สารสุข"(endorphines) เชื่อเถิดว่า เท่านี้ก็ เป็นยาวิเศษยิ่งแล้ว

แต่ "ติ่ง" น้องเอ๋ย น้องขาดทั้งพฤติกรรมและจิตใจ อย่างที่โยมปราณีมี มากเลย ถ้าติ่งทำได้ เหมือนโยมปราณี อาตมาเชื่อแน่ว่า ติ่งอาจจะไม่ตาย หรือ ยังไม่ตายเร็ว ปานนี้ ที่พูดนี้ ไม่ได้ซ้ำเติมน้อง แต่อย่างใด เพียงเจตนาให้เป็นอุทาหรณ์ และเจตนาแนะนำทางรอด แก่ผู้เจ็บป่วย ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายแรง หรือโรคเบาชนิดใดๆ หากได้ปฏิบัติตนให้ "จิตใจ" มีประสิทธิภาพ ดังกล่าวมาคร่าวๆ เป็นสำคัญ ความหวังจะหายโรคมีเกินกว่า ๗๐% แน่นอน ขอยืนยันว่า "จิตใจ"นั้นสำคัญยิ่ง ช่วยรักษาโรคได้จริงๆ
* สมณะโพธิรักษ์


 

โพธิสัตว์เสพด้วยหรือ

๒๐ พ.ย. ๔๖ ที่ปฐมอโศก พ่อท่านเดินทางจากสันติอโศกมาปฐมอโศก สมณะร่มเมือง ยุทธวโร และสมณะ อีกหลายรูป มาขอกราบนมัสการแล้วขอโอกาสซักถามสิ่งที่ยังสงสัย

สมณะร่มเมือง : มีอาวุโสถามผมว่า พระอรหันต์บรรลุธรรมแล้วนี่กิเลสอาสวะเกลี้ยงแล้ว ใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ อาวุโสก็ถามต่อว่าแล้วทำไมพระอรหันต์ที่ตั้งจิตเกิด แล้วเกิดมาเป็น พระโพธิสัตว์ แต่ละท่าน ทำไมต้องไปเปื้อนกิเลสตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องไปมีเมีย ต้องไปเสพกาม ก็ในเมื่อท่าน หลุดพ้นจากกิเลสแล้วเนี่ย ผมก็บอกว่ามันเป็นวิบาก แล้วประวัติศาสตร์ ในประเทศไทย มันเขียนแบบ คนเขียน ไม่ได้เขียนแบบพระอาริยะเขียน ทีนี้พอผมบอกว่า มันเป็นลิงลม อมข้าวพอง อาวุโสก็บอกว่าอันนี้ผมเข้าใจ แต่ผมสงสัยว่า อาสวะของพระอรหันต์ ไม่มีแล้ว ทำไมต้องไปเกิดอีกล่ะ

พ่อท่าน : สิ่งที่เกิดนั้นนะ ผมใช้ภาษาว่าลิงลมอมข้าวพอง มันไม่ใช่ความจริง มันเหมือน คนเล่นละคร ต้องไปเล่นกับเขา เพราะมันเกิดมาในโลกแห่งละคร ยังไม่รู้ตัวเรา ก็เหมือนคน ที่ถูกสะกดจิต มันก็ไปกับโลกเขา เกิดมาตอนแรกมันก็เป็นโลกีย์

สมณะร่มเมือง : คนมีภูมิถึงขั้นอรหันต์แล้วยังถูกสะกดจิต

พ่อท่าน : ใช่ มันก็ไม่ใช่ถูกสะกดจิตทีเดียว แต่มันก็ต้องเป็นเปลือกที่จะต้องมี ผมไม่รู้ จะใช้ศัพท์อะไร ก็เลยใช้คำว่าลิงลมอมข้าวพอง มันหมายความว่าถูกทำให้เมา เกิดมาในโลก โลกมันก็ครอบงำ เหมือนกับเมาๆทำให้ไม่รู้ตัว เหมือนจิ้งหรีดถูกปั่นหัว ยังไม่รู้ตัวหรอก ตอนแรก โลกมันพาหลอก เฮ้ย....กัดกันนะ เหมือนจิ้งหรีดถูกปั่นหัวนั่นแหละ มันก็ไปกัด แต่เมื่อรู้ตัวว่า เอ้....เราไม่ใช่ พอมารู้ตัวก็หายเมาแล้ว หายที่จะถูกโลกมันฉาบที่เปลือกๆเนี่ย เราก็นึกว่า เราเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไป....มันไม่ใช่เรื่องจริง

สมณะร่มเมือง : มันไม่ใช่เรื่องกาม อาสวะของท่านก็ไม่มี

พ่อท่าน : ไม่มี อาสวะไม่มี จิตลึกไม่มีอาสวะ มันเปื้อนอยู่เปลือกนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง แกนแท้ ก็คือแกนแท้ แกนมันไม่ได้เสียหาย หรือพังไปเสียไป มันจะต้องเป็นอะไรต่ออะไรไป มันไม่ใช่

สมณะแน่วแน่ : แต่มีอารมณ์ร่วมในเหตุการณ์นั้นจริงๆ

พ่อท่าน : นั่นมันสำนึกนอกไง ไม่ใช่แก่นของแกนจิต สำนึกนอกเปลือกๆไปทำ เหมือนคนเล่น ละครน่ะ แหม....จริงจังเลย จริงจังจริงๆ เพราะมันยังเมา ยังไม่รู้ตัว แต่ความจริงตนเอง ไม่ได้เป็นเลย ไม่ได้เป็นจริงเลย เป็นเหมือนนักแสดงละครที่ต้องแสดง ให้ถึงบทบาท โดยตัวเอง ลืมตัวเอง ชั่วขณะ

สมณะแน่วแน่ : อย่างนี้คืออวิมุติจรหรือครับ คือเหมือนกับหลุดพ้นแล้ว แต่ต้องมากระทำ เหมือนยังติด

พ่อท่าน : ไม่ ไม่เป็น ที่แล้วก็แล้ว วิมุติก็คือแกนของวิมุติ อันนี้มันไม่ใช่วิมุติ อันนี้มันเปลือก มันเป็นส่วน ขององค์ประกอบนอกเท่านั้นเอง ไม่เกี่ยว อย่างผมเนี่ยจะต้องไปมีวิบาก หนึ่ง มีวิบากของเรา ด้วยกรรมวิบาก ต้องลากต้องจูงไป เหมือนเรื่องละคร เรื่องชีวะชีวิต จะต้องเป็น นิยาย เป็นอะไรอีกบ้างตามวิบากที่เราจะต้องจัดการกับวิบากเหล่านั้นไปให้ดี ถ้าเผื่อว่า เราไม่ดีจริง เราก็จะสู้วิบากนั้นไปอีกยาว...ยาวนานทุกข์ร้อนอะไรต่ออะไรอีก แต่สิ่งที่ได้แล้ว ก็ต้องมา สิ่งที่ได้จริงแล้ว มาถึงตรงนี้ ตรงนั้นก็อาจจะช้าอาจนานอะไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นวิบาก เป็นเวลา ของมันไป สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย เป็นอจิณไตย ลึกซึ้งซับซ้อน แต่ผมก็ พยายาม อธิบาย ก็พอเข้าใจประมาณได้ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่าสิ่งที่ได้แล้วได้เลย มันไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลกหรือสัจธรรม มันไม่มีอันนี้อันเดียว มันยังมีอะไรอีกตั้งเยอะตั้งแยะ เพราะฉะนั้น ตัวที่แสดงออกข้างนอก กับตัวจริงๆไม่มีใครรู้เห็นได้ง่ายๆ...ไม่มีใครรู้เห็นได้ด้วยเรา แต่มันเป็นแล้ว เป็นเลย ตัวเจ้าของเท่านั้นที่จะรู้ บางทีบอกคนอื่นไม่เชื่อด้วยซ้ำ

สมณะร่มเมือง : พ่อท่านเคยบอกผมว่า คนที่จะบรรลุจากปุถุชนมาเป็นพระอรหันต์นั้นยาก แต่ถ้า มองดูบทบาทจากอรหันต์จะไต่เต้าเป็นพระพุทธเจ้านั้นยาวกว่า แล้วไปมีเมีย ทำไม พระอรหันต์แล้ว จึงไปมีกิเลสอื้อเลย ทั้งๆที่ตัวเองบรรลุแล้วนะ

พ่อท่าน : ตอนนั้นเหมือนคนไปเล่นละครตลอดเวลาเลย แต่เหมือนลิงลมอมข้าวพอง เหมือนจิ้งหรีด ถูกปั่นหัว ก็ยังเหมือนคนเมา ก็ทำไปตามวิบาก ใช้วิบากนั่นก็อย่างหนึ่ง อีกอย่าง ก็ได้ศึกษาโลกวิทู

สมณะร่มเมือง : พระอรหันต์ไม่เกิดญาณปัญญาหรือ ญาณปัญญาที่เข้าใจ ในสิ่งที่หลุดพ้น มาแล้ว

พ่อท่าน : ไม่ใช่ มันเป็นวิบากที่จะต้องมีรายละเอียดซับซ้อน มันไม่ใช่เรื่องนั้น มันจะต้อง เป็นมุมอื่น เชิงอื่นอะไรต่ออะไรต่างๆนานา แต่อาศัยอันนี้ไปเพื่อศึกษาอันอื่น สมมุติว่าคุณเอง จะร้องไห้ นักแสดงละคร แล้วคุณจะร้องไห้ทำให้น้ำตามันไหลออกมาได้ยังไงล่ะ จะไปจริง โอ้โฮ มันต้องมีอะไรที่สำคัญ ต้องทำให้ต่อมน้ำตาไหลออกมาได้ ถ้าไม่เช่นนั้น คุณจะทำให้น้ำตา มันไหลออกมา ได้ยังไง ถ้าคุณไม่รู้สึกว่ามันจริง....จริ๊ง เพราะฉะนั้นคนที่เขาเข้าถึง ดาราที่เขา เข้าถึง อื้อ....หือ แหม....มันจริ๊ง....จริง หยุดเล่นละครแล้ว น้ำตายังไหลอยู่เลย มันก็ต้อง อย่างนั้นซิ ไม่อย่างนั้นมันจะไปถึงอะไร มันจะเป็นได้ยังไงล่ะ

สมณะร่มเมือง : แต่มันไม่มีพยาบาทคลอเคลียใช่ไหมครับ

พ่อท่าน : ไม่ ไม่มี มันไม่ไปทำให้อันนั้นบุบสลายด้วย แก่นวิมุตินั้นไม่ได้แปดเปื้อน ไม่ได้เสียหาย อะไรอีก มันเป็นสิ่งที่เกิดเสริมซ้อนมากขึ้นๆ มีอะไรที่จะวิลิศมาหรา จริงๆแล้วยิ่งเสริม ความแกร่ง

สมณะร่มเมือง : ผมพยายามที่จะอธิบาย

พ่อท่าน : มันไม่ง่าย ฟังๆแล้วได้แต่เดา ตัวเองทำให้ตัวเองหลุดพ้นแล้วถึงจะรู้ เพราะฉะนั้น เรื่องปฏินิสสัคคะ เรื่องสูงสุดคืนสู่สามัญนี่นะ เป็นเรื่องที่คนหลอกก็เอาไปหลอกได้ แต่คนที่ มีจริง ก็มีจริงเป็นจริง แล้วจะเอาอะไรวัด คุณเองทำคุณเองให้มีจริงก็แล้วกันสมณะแน่วแน่ : ที่ท่าน ร่มเมือง สงสัย โดยสรุปก็คือหนึ่งเป็นเรื่องของกรรมวิบากที่จัดสรร สอง ก็คือ การแสดงออก ที่เหมือนกับมีอารมณ์ร่วม เป็นเพียงแค่สำนึกนอก แต่แกนจิตจริงๆ ไม่ได้มีอารมณ์ร่วม

พ่อท่าน : ไม่ได้มีของจริงด้วย จริงๆมันแกนว่าง

สมณะร่มเมือง : แต่สำนึกนอกนั้นก็เป็นสำนึกที่เกิดจากอารมณ์จริงเหมือนกัน เพียงแต่มันเกิด ด้านนอก

พ่อท่าน : จิ้งหรีดที่ถูกปั่นหัวมันก็กัดจริงๆ มันทำเหมือนที่สุด ผมเคยพูดว่า ผมเป็นดารา ตุ๊กตาทอง นั่นแหละ แต่คนฟังแล้วก็ไม่เข้าใจละนะ เดี๋ยวก็จะหาว่า เอ้..ยังงั้น มันก็หลอกลวง ทั้งนั้นสิ มันก็เลว อีกแหละ ฟังแล้วมันก็เลยไม่เข้าท่า พูดไปก็ไม่เข้าท่า ไม่พูดก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะทำ ยังไงเนอะ มันยาก แต่ก็ต้องศึกษาไป อะไรอื่นไม่ยากหรอก ไปศึกษาไปนอกโลก ไปดาวเทียม มันไม่ยากเท่าไรหรอก

สมณะ(?) : ผมก็เคยเสพกามแต่ผมไม่อร่อย ผมยังงงไอ้ที่เขาคุยๆอะไรวะ (มีคนบอกว่า ไม่เป็นก็เลยไม่อร่อย)

พ่อท่าน : ดีแล้วล่ะ เขาจะว่ายังไงก็พูดไปได้ ปากคน แต่จริงก็ดีแล้วล่ะ คนที่เป็นอย่างนั้นได้ ก็เป็นจริงๆ

สมณะ(?) : ผมไม่อร่อยจริงๆ ผมยังงงๆ ทำไมมันไม่เป็นอย่างที่เขาพูดกับผม

พ่อท่าน : อย่าว่าแต่คุณเลย ผมพยายามที่จะปรุงเรื่องพวกนี้ พยายามที่จะศึกษาก็ยังงงๆ ตอนแรกๆ ตอนหลังๆก็เอ้อ..ชัด มันเป็นเรื่องที่จะปรุงขึ้นมา แล้วมันก็ปรุงได้ แต่จริงๆแล้ว คนที่ไปถึง จุดที่ไม่มีจริงๆ ก็จะรู้ว่ามันไม่มีจริงหรอก ทีนี้ถ้าใจมันโน้มไม่อยากให้มี มันก็ไม่มี โน้มอยากให้มี มันก็ยังยากเลย

สมณะ(?) : ตอนนั้นผมโน้มนะ แล้วผมก็รู้สึกว่ามันเป็นปมด้อย

พ่อท่าน : ใช่ อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ทำไมเราไม่อร่อย ทำไมเราไม่เก่ง ทำไมเรากินเหล้าไม่เป็น คนอื่นไม่เห็นได้หัด ทำไมมันเป็นปร๋อเลย ทำไมเราหัดแทบตายไม่เป็น ทำแล้วก็ไม่เห็น มันจะอร่อย แกล้งอร่อย พยายามโน้มจิตให้มันเป็นอย่างนั้น เสร็จแล้วก็ไม่เห็น มันจะมีอะไร อย่างนี้ เป็นต้น มันธรรมดาน่ะ คนที่ไม่แล้ว ก็ไม่แล้ว

สมณะ(?) : ถ้าผมไม่เจอพ่อนี่ผมอาจจะสะสมนะ

พ่อท่าน : ใช่ เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วในโลกแห่งจิตวิญญาณนี้ มันอะไรไม่จริงทั้งนั้นแหละ แล้วมัน ถูกมอมเมาไปว่ามันจริง มันก็เลยเป็นโลกีย์อยู่ในโลก เพราะฉะนั้นผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว มันไม่มีหรอก โลกีย์ เขามีกันแต่เราไม่มี แต่ถ้าเราจะไปมีกับเขาบ้างก็....เอ้า ถ้าเห็นว่า มันจำเป็น สำคัญก็เอา ไปกับเขา เท่านั้นเท่านี้ บางทีเราจะอยู่กับโลกแล้วเราก็ไม่เป็นเสียเลย ไม่ร่วม ไม่เหมือน มันดูเด๋อๆ ด๋าๆ ไม่สอดคล้องไม่สนิทสนมก็ไม่ได้ เราก็ต้องสนิทสนม เอ้อๆๆไป เพื่อประสานกันอยู่ เท่านั้นเอง

ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้จากการให้อนุสติก่อนการประชุมเพลิงคุณสุนันท์ ๒๒ พ.ย. ๔๖ ที่ปฐมอโศก

"บัดนี้ก็ได้เวลาที่จะทำการฌาปนกิจโยมสุนันท์ ทุกคนก็คงจะไม่สงสัยว่าการเกิดการตาย คืออะไร คนทุกคน เกิดมาต้องตาย อาตมาเคยถามเพื่อนสมณะว่า....อะไรเอ่ยในโลกนี้ที่ไม่ตาย คนค้นหา คำตอบก็ยาก คำตอบก็คือสิ่งที่ไม่เกิด เมื่อไม่มีเกิดก็ไม่มีตาย เพราะฉะนั้น สิ่งไหน ที่เกิดมาแล้ว ก็ต้องตายทั้งนั้น ต้องเปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งไม่เหลือสภาพเดิม นอกจากคนที่ จะอยู่ยาวไป เท่านั้นเอง แต่คนนี่มีอายุสั้นนัก ๑๐๐ ปีก็หายาก ตายแล้วก็จบไปรอบหนึ่ง แต่ไม่ได้ หมายความว่า ตายแล้ว ทุกอย่างจะสิ้นจบ ในความเป็นคน ในบางศาสนาถือเป็นนิรันดร ด้วยซ้ำไป คือจิตวิญญาณเจ้าของร่าง เรียกอาตมัน หรืออัตภาพ แล้วลัทธิบางลัทธิเทวนิยม จะถือว่าอาตมัน หรืออัตภาพนี่ จะยืนยาวอยู่นิรันดร ไม่ได้สูญเสีย ไม่ได้สูญหายหมดไป เพราะฉะนั้น จะต้องทำให้อาตมัน หรืออัตภาพนี้ดีเป็นคุณค่า ตายแล้วจะได้ไปอยู่กับปรมาตมัน คือพระเจ้า ไปอยู่กับวิญญาณใหญ่ ไปรวมกันอยู่ที่นั่น อันนี้ก็เป็นลัทธิของเทวนิยม ส่วนของ ศาสนาพุทธนั้น ไม่มีอาตมันอย่างนั้น แต่ก็ยังมีอาตมัน ที่เรียกว่าอัตตานั่นแหละ อัตตาคือ ยังไม่รู้จักเหตุ ที่พาเกิด แล้วก็พาหลงผิด อยู่ในโลกีย์ ศาสนาพุทธนี่สอนอย่างละเอียดลออ แล้วให้พิสูจน์สิ่งที่จะพาเกิด พาทุกข์ พาเลวพาชั่ว ก็ทำลายมันในสิ่งที่ชั่ว ล้างเหตุดับสนิทแล้ว หมดไปแล้ว จึงจะเห็น จิตวิญญาณแท้ ที่เทวนิยมหลงว่าเป็นอัตตา หรืออาตมัน โดยความรู้ ก็จะเห็นอัตตาอาตมัน ที่ถึงขั้นอรหัตตาหรืออรหัตผล มันไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่อัตตา มันเป็นอนัตตา มันเป็นสิ่งที่ ไม่มีตัวตนจริง ถ้าเราไม่ยึด ไม่มีอุปาทาน ไม่มีสมาทาน ไม่ยึดไว้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่ พระพุทธเจ้า ได้ค้นพบ ความจริงอันนี้ แล้วมายืนยันให้ทุกคนพิสูจน์ ถ้าใครสามารถพิสูจน์ให้ถึง อรหัตผลได้ ส่วนใคร จะวนเวียนอยู่ มีการยึดขึ้นมาแล้วมีการวนเวียนในโลกนี้ก็ได้ ถ้าจะวนเวียน อยู่ในโลก โดยไม่มีการจบสิ้น ยังไม่สูญไปง่ายๆ แม้จะเป็นอรหันต์ แม้เราจะสามารถรู้จัก อนัตตาได้ แล้วก็ไม่มีกิเลส ที่สามารถทำให้เราต้องเสื่อม ทำให้เราต้องตกต่ำ ไม่มีแล้วก็ตาม สามารถที่จะเกิดมา ในโลกได้

แล้วก็ดี เพราะว่าผู้นี้สามารถทำลายกิเลสของตนได้แล้ว แม้จะเกิดมาในโลกก็ไม่มีความเลว มีแต่ ความดีที่จะเป็นประโยชน์ต่อโลกต่อสังคม นั่นแหละเป็นตัวสำคัญ จิตวิญญาณ ที่ได้พัฒนา ได้ทำให้ เป็นสิ่งที่ดี ไม่ทุกข์ด้วย นอกจากไม่ทุกข์แล้วยังมีคุณค่ามีประโยชน์ ไม่ทำร้ายใคร ไม่ทำร้ายสังคม และตนเอง เป็นทาสที่ดี อันนี้แหละเป็นสุดยอดของศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้า ค้นพบ หรือว่าเป็นสมบัติ

คนเราเนี่ยลาภ ยศ สรรเสริญ เพชรนิลจินดาหรือว่าข้าวของเงินทองหรือว่าคน ไปยึดเอา อันนั้น เป็นลูกเรา เป็นของของเรา เมียเรา ผัวเรา คู่รักเรา อะไรๆก็ของเรา ยึดถืออะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ศาสนาของพระพุทธเจ้าสอนไว้หมด ให้เข้าใจว่ามันเป็นเพียงอาศัยกัน เกื้อกูลกัน อยู่ร่วมกัน รักกัน อย่างที่ไม่ก่อโทษก่อภัยก่อทุกข์ด้วย ต้องมาเรียนรู้อย่างนี้จริงๆ แล้วเราก็จะได้ ใช้เวลาที่ยังมีชีวิต อยู่เนี่ย พัฒนาจิตวิญญาณนี้ให้ดี เมื่อพัฒนาได้ดี เราก็ได้พึ่งจิตวิญญาณ ที่ดีอันนี้ ผู้ไม่ได้พัฒนา ก็ไม่ได้พึ่งหรอก มีแต่หลงไปตามโลกที่เขาลวงๆ ว่านี่มันดี นี่มันสุข นี่มันเจริญ นี่มันยิ่งใหญ่อะไร แต่มันก็ไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นการเติมเสริมกิเลส

ถ้ามาทำตามพระพุทธเจ้า แม้จะจน จะไม่มีเงินทอง ก็มีความสุขได้ แล้วก็จะมีสังคมที่เป็น พุทธบริษัท อยู่รวมกันอย่างพี่อย่างน้อง รวมกันอย่างสาธารณโภคี อยู่กันอย่างเกื้อกูลกันจริงๆ อย่างที่เรา ได้พยายามทำ เพื่อพิสูจน์กันว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า อยู่กันเป็นชุมชน ชาวอโศกเรา ได้พิสูจน์กัน มันก็ยิ่งสบาย แม้จะจน ไม่ต้องไปสะสม ไปกอบโกย ไปทำบาปทำเวร อะไรกันอีก มีแต่บุญ เสียสละ สร้างสรร มีแต่บุญกับบุญๆๆ ก็ยิ่งสบายด้วย เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ทุกคน จงสำคัญไว้เสมอว่า ชีวิตที่ยังอยู่เนี่ย ต้องพัฒนาตนเอง ต้องศึกษา แล้วปฏิบัติ ให้เกิดจิตวิญญาณ ดังที่อาตมา ได้กล่าวคร่าวๆนี้ให้ได้ ถ้าได้แล้วมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อเรา และต่อสังคมด้วย แต่ถ้าไม่ได้แล้ว เราก็จะเป็นเวรเป็นภัย เป็นเชื้อที่จะก่อบาปก่อเวร ต่อไปอีก มากมายมหาศาล นับชาติไม่ถ้วน อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ แล้วทุกคนก็จะสู่จุดหมุนเวียน พอถึงคราวก็ จะตาย ตายแล้ว ถ้ายังไม่ปรินิพพาน ก็เกิดอีก ถ้ามีหลักประกันเกิดมาก็ดี ถ้าไม่มีหลักประกันอะไร เกิดมาก็ไม่มีอะไร รับรอง สบายได้ ดีได้ บ้าๆบอๆ ไม่แน่ไม่นอน เพราะฉะนั้น เกิดมาอย่าเสียชาติเปล่า เกิดมาแล้ว ศาสนาพุทธก็มีแล้ว โดยเฉพาะเมืองไทย เมืองพุทธ ก็พยายามเสาะแสวงหาให้ดีๆ แล้วก็สะสม สมบัติ ที่เป็นอาริยทรัพย์อันวิเศษนั้นให้ได้ อย่าปล่อยให้มันสูญเปล่า อย่าให้เสียชาติเปล่าๆ ขอให้ทุกคน ได้คิด แล้วก็พยายามเร่งรัด พัฒนาตนเอง ให้ได้อาริยทรัพย์ดังกล่าว กันโดยถ้วนทั่ว ทุกคนเทอญ"

- อนุจร -
๒๖ ธ.ค. ๒๕๔๖

- สารอโศก อันดับที่ ๒๖๘ มกราคม ๒๕๔๗ -