๖. นาวาแห่งความทุกข์ |
นาวาแห่งความทุกข์
ดวงตะวันใกล้จะลับทิวไม้ลงทุกที ความมืดมนเริ่มแผ่ขยาย ปกคลุมผืนแผ่นดินบริเวณนี้ มากขึ้นทุกขณะเช่นกัน
เวรบ่ายวันนี้ มีเหตุการณ์ที่ชวนสลดสังเวช ผ่านเข้ามาให้ได้ยิน ได้พบเห็นอีกเช่นเคย ประมาณห้าโมงเย็น ดิฉันทราบข่าว จากพี่พยาบาลตรวจการว่า เจ้าหน้าที่ห้องยาคนหนึ่ง กินยาฆ่าตัวตาย ศพเพิ่งถูกเข็นมาไว้ที่ห้องเก็บศพ เมื่อครู่นี้เอง
ดิฉันรีบสาวเท้ามุ่งตรงไปยังห้องเก็บศพทันที เมื่อไปถึงก็พบเจ้าหน้าที่ ของโรงพยาบาลหลายคน และญาติผู้ตาย กำลังร้องไห้กันอยู่หน้าห้องเก็บศพ ประตูห้องเปิดแง้มไว้เล็กน้อย พนักงานเข็นศพพยักพเยิด ให้ดิฉันเข้าไปในห้อง ดิฉันจึงเดินตามเข้าไป
ภายในห้อง เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมฟอร์มาลีน (Formalin = สารละลายชนิดหนึ่ง สำหรับฉีดป้องกันศพเน่า) ให้กับศพ ยายแก่ๆของผู้ตาย และเจ้าหน้าที่ห้องยาอีกคนหนึ่ง กำลังฟอกสบู่ และอาบน้ำให้ศพอยู่ ดิฉันจึงตรงเข้าไปช่วยถูสบู่ ลงบนร่างนั้น และล้างด้วยน้ำจนสะอาด
ร่างที่นอนนิ่งอยู่นี้ มีอายุเท่ากับดิฉันพอดี ชีวิตแต่งงานของเธอ เต็มไปด้วยความขมขื่น เนื่องจาก ความไม่เข้าใจกันกับคู่ครอง ประกอบกับมีหนี้สินล้นพ้นตัว ในที่สุด เธอจึงกำหนดชะตากรรมของตนเอง หนีความทุกข์ ความชุลมุนของโลก ด้วยการกินยานอนหลับ เป็นจำนวนมาก และหลับไป กว่าจะมีคนไปพบศพ ร่างนั้นก็แข็งเสียแล้ว
ขณะที่อาบน้ำศพอยู่นั้น กลิ่นศพซึ่งเริ่มจะเน่า ก็โชยเข้าจมูก อนิจจา... เธอผู้นี้หมดโอกาส ที่จะใช้ร่าง เพื่อชำระล้างความโลภ ความโกรธ ความหลง และสั่งสมบุญบารมีเสียแล้ว ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่นี้ น่าเวทนานัก หากเธอรู้สักนิดว่า การฆ่าตัวตายเป็นบาปมหันต์ เธอคงไม่ตัดสินใจ ดับชีวิตของตนเองอย่างนี้ พ่อท่านเคยแสดงธรรม โปรดลูกๆว่า
"แม้เราจะสูญเสีย ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไป แต่สิ่งที่เรายังมีเท่าๆกับคนอื่น คืออนาคตอันยาวไกล ให้เราได้ลิขิตตน ด้วยสมองและสองมือของเราเอง"
ธรรมะของพระพุทธองค์ต่างหาก ที่ทำให้เราอยู่กับทุกข์ได้ อย่างอยู่เหนือทุกข์ (โลกุตระ) ไม่ใช่หนีทุกข์ (โลกันตะ) อย่างนี้
ครู่ใหญ่ที่ดิฉันช่วยอาบน้ำให้ศพ เมื่อก้าวพ้นประตูห้องออกมา ก็พบว่าเจ้าหน้าที่ห้องยาหลายคนกำลังร่ำไห้อยู่ คนเราส่วนใหญ่ก็มักเป็นเช่นนี้ บางคน ขณะที่เพื่อนมีชีวิตอยู่ ก็ทะเลาะกัน แก่งแย่งแข่งดี แย่งลาภ ยศ และโลกียสุขกัน พออีกฝ่ายหนึ่งตายจากไป ก็กลับร้องไห้ เสียใจมากมาย แต่ก็สายเสียแล้ว ที่จะปลุกร่างไร้วิญญาณ ให้ฟื้นคืนมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันใหม่
ออกจากห้องเก็บศพ รีบตรงมายังหอผู้ป่วย เพื่อนร่วมงานเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน และโวยวายว่า ดิฉันเอากลิ่นศพติดตัวมาด้วย ดิฉันยกมือขึ้นดม จึงได้กลิ่นหอมของสบู่ ที่ใช้ถูศพเมื่อครู่นี้ พอดมไปนานๆ ไม่รู้ว่าอุปาทานหรือเปล่า มีกลิ่นที่เริ่มเน่าของศพ ติดตัวมาจริงๆ
เกือบทุ่มหนึ่ง หลังจากฉีดยาให้คนไข้ เวลา ๑๘.๐๐ น. ได้ไม่นาน แผนกหลังคลอดและนรีเวช ก็ได้รับคนไข้ใหม่มารายหนึ่ง เป็นสาววัยรุ่น ๑๕ ปี หน้าตาดูยังเด็กอยู่มาก เธอมารับการรักษา ด้วยอาการปวดท้องน้อย แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น Acute Pelvic Inflammatory Disease (อวัยวะในอุ้งเชิงกรานอักเสบ มักเกิดจากเชื้อซิพิลิส) จากประสบการณ์ ดิฉันทราบทันทีว่า เธอเป็นหญิงบริการ หลังจากฉีดยา บรรเทาอาการปวด และยาฆ่าเชื้อให้แล้ว เธอก็เล่าให้ฟังว่า บ้านเกิดอยู่จังหวัดชุมพร พ่อเสียตั้งแต่เธอยังเล็กๆ แม่มีสามีใหม่ ครั้นพอเธอโตเป็นสาวรุ่น ก็ถูกพ่อเลี้ยงรังแก ความเสียใจทำให้เธอหนีเตลิด มาจนถึงที่นี่ และได้ทำงานในสถานบริการแห่งหนึ่ง
ดิฉันถามว่า "แล้วหนูไม่ลำบากใจหรือ เวลาทำงานน่ะ"
เธอตอบว่า "ก็ทุกข์ใจค่ะ หนูนอนร้องไห้ทุกคืน"
"อ้าว...แล้วทำไม ไม่หาอาชีพใหม่ทำล่ะ"
เธอตอบว่า “ก็เพื่อนๆของหนูเขาว่า ‘มึงนึกหรือว่า สังคมเขาจะยอมรับมึงอีก กูว่าไหนๆเลวแล้ว ก็เลวให้ตลอดไปเลย รวยเมื่อไหร่แล้วค่อยคิดเลิก’ หนูก็เลยเชื่อเขาค่ะ"
ดิฉันพยายามหว่านล้อม ให้เธอเปลี่ยนอาชีพใหม่ ไหนๆชีวิตเดิมของเธอ ก็อาภัพพออยู่แล้ว ทำไมจึงต้องหาอาชีพที่เติมความอาภัพ ให้ตนเองเพิ่มขึ้นไปอีก ดิฉันรู้สึกสงสารคนไข้หญิงบริการคนนี้ ขึ้นมาอย่างจับใจ ปราชญ์ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "พระจันทร์เสี้ยว ยังมีวันเต็ม ชีวิตมนุษย์ ใช่จะมืดมนเสมอไป" แต่ปราชญ์ผู้กล่าวคติพจน์นี้ จะทราบหรือไม่ว่า ชีวิตของคนบางคน ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ความมืดมนอนธการ จนชั่วชีวิต อย่างที่ไม่เคยจะได้พบแสงสว่าง ในชีวิตบ้างเลย
ห้าทุ่มกว่า ขณะที่ดิฉันฉันเคลียร์งานเวรบ่าย เรียบร้อยแล้ว ช่วงที่พยาบาลเวรดึก ยังไม่ขึ้นมารับเวร ดิฉันก็ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ โดยการเดินตรวจผู้ป่วย ทั่วแผนกอีกครั้ง ปรับหยดเลือด และน้ำเกลือ ให้เหมาะสมกับอาการของคนไข้แต่ละราย
ผู้ป่วยแต่ละคนนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง และบางเตียงก็เอาญาติขึ้นไปนอนด้วย บางเตียงญาติก็นอนอยู่ใต้เตียง
พอเดินมาถึงเตียงที่ ๒๖ ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ดิฉันชะงักตรึงอยู่กับที่ ปล่อยความคิดให้โลดแล่นไปอย่างรวดเร็ว
คนไข้หญิงวัย ๔๘ ปี เธอมาคลอดบุตรคนที่ ๖ ที่นี่ ร่างของเธอนอนนิ่ง หายใจระรวยแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นหลับไม่สนิทนัก เปลือกตาเปิดครึ่งหนึ่ง เห็นตาขาวทั้งสองข้างอย่างไม่ตั้งใจ แก้มตอบบนใบหน้าเรียวเล็กนั้น เผยให้เห็นกระดูกโหนกแก้ม ที่แหลมนูนขึ้นมาได้อย่างชัดเจน อะไรก็ไม่น่าสะดุดใจเท่านั้น ฟันบนทั้งแผงที่เขยินออกมา จากปากที่อ้าค้าง ฟันทุกซี่ดำเหนี่ยง เพราะกินหมาก น้ำหมากบางส่วน ไหลย้อยเยิ้มไปที่มุมปากข้างหนึ่ง มือทั้งสองที่ยกขึ้น ประสานไว้บนหน้าอกนั้น มีแต่หนังหุ้มกระดูก มีเส้นเอ็นขึ้นปูดโปนอยู่ทั่วไป
ขณะที่ยืนปลงสังเวชต่อ"ซาก" เห็นอยู่ตรงหน้า ดิฉันก็ถามตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า "อะไรกันนี่!... มีลูกมาได้ยังไงตั้ง ๖ คน เขามีสามีได้ยังไงน่ะ!... ดูซินั่น กินหมากปากเปรอะ ฟันดำมะเมื่อมยังงั้นน่ะ ร่างก็มีแต่หนังหุ้มกระดูก ผมแห้งแข็งยุ่งเป็นกระเซิง... สามีของเขาเป็นคนประเภทไหนหนอ เขามองข้ามอสุภะอันมากมาย บนร่างนี้ไปได้ยังไง!"
อนิจจา... ความหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี่เองที่ทำให้มนุษย์ เวียนว่ายตายเกิด ตามอุปาทานและแรงกรรม ที่ตนไปก่อไว้ด้วยความไม่รู้ทั้งสิ้น
ตราบใดที่พวกเขา ยังไม่ได้พบสัจธรรม และนำมาฝึกขัดเกลาความหลง อันครอบคลุมจิตวิญญาณอยู่ ให้เบาบางลง และรู้กุศลอกุศลอย่างชัดเจน ชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ จะยังหลงวนว่าย ทุกข์ทรมาน ไปตามแรงวิบากกรรม อันตนได้ก่อขึ้นไว้อย่างมากมาย อีกนานเท่าใดกันหนอ...
มองฝ่าความมืด ไปยังลำน้ำท่าจีน ซึ่งไหลผ่านโรงพยาบาล ด้านทิศตะวันตก สายน้ำที่ไหลผ่านไป ไม่เคยหวนกลับ ดุจเดียวกับกาลเวลาที่เสียไปแล้ว จะเอาคืนมาอีกไม่ได้เช่นกัน เรือลำเล็กๆ ลอยตะคุ่มๆไหลล่องลงใต้ ตามแรงแห่งกระแสน้ำ เปรียบเหมือนชีวิตมนุษย์ ที่ลอยอยู่ในสายธารแห่งสังสารวัฏ
การที่ดิฉันได้เกิดมาทำงาน เพื่อบรรเทาทุกข์ให้เพื่อนมนุษย์ ได้พบสัจธรรม และได้ขัดเกลาจิตวิญญาณของตน ประสบการณ์ที่ผ่านมาแต่อดีต ได้พบเห็นมวลมนุษย์ ซึ่งเต็มไปด้วย ความทุกข์ทรมานมากมาย ทำให้ดิฉันตระหนักอยู่เสมอว่า
"มนุษย์ คือเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
มนุษย์ มิได้มีไว้เพื่อให้รัก มิได้มีไว้เพื่อให้ชัง
หากมีไว้เพื่อให้เราฝึกตัดรัก ตัดชัง มีไว้เพื่อให้เราได้ฝึกเป็น"ผู้ให้"เท่านั้น"
และพร้อมกันนี้ ดิฉันได้ตั้งจิตไว้เสมอว่า
"ไม่ว่า เราจะต้องเกิดมาอีกกี่ภพกี่ชาติก็ตาม ขอให้ "นาวาชีวิต" ของเรา คือ นาวาที่รับใช้เพื่อนมนุษย์ ให้บรรเทาและรอดพ้นจากความทุกข์ ทั้งกายและใจ ทุกภพทุกชาติด้วยเถิด"
ก่อนที่จะหันหลังกลับมาที่เคาน์เตอร์พยาบาล เพื่อเตรียมส่งเวรให้เวรดึก ก็ย้ำเตือนตนเองอีกว่า
"อุดมการณ์นี้จะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อเราได้ช่วยตนเอง ให้อยู่เหนือทุกข์ให้ได้ก่อน เท่านั้น"
"ลูกไกลพ่อ" ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๓
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 141 เดือนเมษายน 2533