nurse

๑๒. ม่านมายา

ม่านมายา

เมื่อมายืนอยู่ริมท่าน้ำ ตรงจุดนี้ มองไปเบื้องหน้า คือ บันไดคอนกรีตสีขาวหม่น ซึ่งทอดตัวลงไปยังลำน้ำท่าจีน สายน้ำไหลเอื่อย บ่ายหน้าไปทางทิศใต้ บางตอนของลำน้ำ ก็ไหลคดเคี้ยว มีแมกไม้เขียวชอุ่ม พงอ้อ กอแขม ขึ้นหนาจนรกชัฏอยู่ทั่วไป คลื่นน้ำสะท้อนเงาไม้ ไหวระริก ลึกลงไปในผืนน้ำ ปุยเมฆขาว กับแผ่นฟ้าคราม ปรากฏเงาสะท้อนรางเลือน สายลมยามเย็น ได้พัดพา เอาความชุ่มชื้นจากผืนน้ำ ขึ้นมาสัมผัสกาย เป็นระยะๆ

ณ มุมสงบแห่งนี้ ฉันยืนอยู่คนเดียว ด้วยดวงจิตที่ผ่องใส สงบเย็น เมื่อเห็นเงาแมกไม้ และแผ่นฟ้าในลำน้ำ ทำให้นึกไปถึง คำสอนของพ่อท่าน ที่ได้เทศน์สอนลูกๆ อโศกไว้ เมื่อประมาณสองปีก่อนว่า

"พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า ทุกอย่างเหมือนพยับแดด มันไม่ใช่แก่นสาร สาระอะไร แต่เรามักจะไป "หลงคว้าเอา..." (ซึ่งคือสิ่งมายา)

หลายวันก่อน หลังจากที่ฉันออกเวร และกลับมายังแฟลตที่พักแล้ว จึงได้อาบน้ำ เปลี่ยนชุด จากเครื่องแบบสีขาว เป็นชุดลำลอง ถีบจักรยาน (คู่ชีพ) ออกจากแฟลตพยาบาล ตั้งใจว่า พอถึงถนนใหญ่ ก็จะเลี้ยวขวา เพื่อตรงดิ่งมายังท่าน้ำ อันเงียบสงบ... แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ ที่งดงามแห่งนี้ แต่พอถึงถนนใหญ่ เข้าจริงๆ ทำไมมือที่จับแฮนด์รถ กลับเลี้ยวไปทางซ้าย ก็ไม่ทราบ แถมเท้าทั้งสอง ก็กลับถีบจักรยาน ค่อนข้างเร็วเสียด้วย ถนนสายนี้ จะตรงไปยังถนนนอกเมือง ฉันแปลกใจมาก บอกกับตัวเองว่า

"เอ๊ะ! เราไม่ได้จะมา ทางนี้นี่นา?!"

แต่ขาทั้งสอง ยังคงถีบจักรยาน โดยไม่หยุดยั้ง จนไกลจากตัวเมือง ออกไปทุกที แปลกจัง ฉันเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง เหมือนกัน ครู่ต่อมา จึงคิดว่า

"ไหนๆ ก็มาไกลขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวแวะไปเยี่ยมลำพึง เสียเลยดีกว่า"

ลำพึงเป็นญาติผู้น้องของฉัน เธอแต่งงานไปแล้ว เมื่อหลายปีก่อนโน้น เราทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ครอบครัวของเธอ ร่ำรวยมาก ลำพึงมีรูปร่างงดงาม มีผิวขาวเนียน ใบหน้าที่ผ่องงามนั้น มีรอยยิ้มระบาย อยู่เป็นนิตย์ เธอมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข มาตลอด ซึ่งตรงกันข้ามกับ เด็กหญิงชาวบ้านธรรมดา ที่มีผิวดำเกรียม เพราะกร้านแดดอย่างฉัน ซ้ำใบหน้า ที่ต่างกันไกลกับเธอนั้น ยังถูกฉาบไว้ด้วย ความเงียบขรึม และเอาจริงเอาจัง เสียอีกด้วย ซึ่งมองแล้ว ไม่ได้มีส่วนไหน เจริญตาเลย

เมื่อเราทั้งสอง จบชั้นมัธยมปลาย ฉันสอบชิงทุนรัฐบาล ไปเรียนพยาบาล ต่ออีก ๔ ปี ส่วนลำพึง ต่อมาก็ได้แต่งงาน กับนักธุรกิจ ที่มีฐานะร่ำรวย ท่ามกลางความชื่นชม ของญาติมิตร ของทั้งสองฝ่าย ต่อมาไม่นาน ก็มีบุตรด้วยกัน ๑ คน อายุคงจะอยู่ราวๆ ๕ ขวบเห็นจะได้

พอนึกมาถึงตอนนี้ ฉันก็มาถึงบ้านลำพึงพอดี ฉันเลี้ยวรถเข้าประตูรั้วบ้าน และจอดรถไว้ที่ลานหน้าบ้าน ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง อย่างตกใจสุดขีดของลำพึง ดังอยู่บนบ้าน ฉันจึงรีบขึ้นไปดู อย่างรวดเร็ว

ภาพที่พบอย่างกะทันหัน ตรงหน้า คือภาพของลำพึง กำลังนั่งกอดลูกชายไว้ ในอ้อมกอด ร้องไห้ และหันหน้า ปทางประตูห้อง อย่างหวาดกลัว ที่นั่น สามีของเธอ ยืนถือปืนจังก้าอยู่ เขาเล็งปากกระบอกปืน ตรงแน่วมายังลำพึง และลูก!

"อะไรกันล่ะ" ฉันถามขึ้น ด้วยเสียงอันดัง

พอลำพึงหันมาเห็น ก็อุ้มลูกวิ่งเข้ามา กอดฉันไว้แน่น เธอร้องไห้ ละล่ำละลักว่า

"พี่!...ช่วยด้วย!... ช่วยห้ามเขาที เขาบอกจะยิงฉันกับลูก และจะยิงตัวตายด้วย... พี่ห้ามเขาที!"

เธอตัวสั่นเทา จับฉันเหวี่ยง ให้บังแนวกระสุนปืนไว้ ฉันหันหน้าไป ประสานกับปากกระบอกปืน ที่เล็งตรงมา ชะงักไปชั่วครู่ กับสถานการณ์วิกฤต ที่ไม่คาดคิดว่า จะมาพบเข้าอย่างจัง ฉันเริ่มเข้าใจว่า ทำไม ขาเจ้ากรรมทั้งสองข้าง จึงได้เร่งปั่นจักรยาน มาถึงที่นี่... ทันเวลารับโชค จากนาทีทองพอดี!

"พี่ช่วยห้ามเขาที!" เสียงนั้น เหมือนดั่งแว่วมาจาก ที่ซึ่งอยู่ไกลแสนไกล

ฉันจ้องผ่าน ปากกระบอกปืน ไปยังใบหน้าที่แดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง

เหงื่อซึมไหลเยิ้มไปทั่วใบหน้า ของน้องเขย บอกกับตนเองว่า เอาล่ะ!...เป็นไงเป็นกัน เผื่อฟลุครอด!

ฉันได้พยายาม เอาน้ำเย็นเข้าลูบ พูดจาหว่านล้อม มีศิลปวิทยาเท่าไหร่ ก็ขุดเอาออกมาใช้เต็มที่ นึกว่าอาจเป็น เทศนากัณฑ์สุดท้าย ของชีวิตก็ได้!

และ โดยไม่คาดคิด ครู่ต่อมา น้องเขยก็โยนปืนทิ้ง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องไห้โฮ เหมือนเด็กๆ ลำพึงคว้าลูก แล้ววิ่งเข้าไปหยิบปืน อย่างรวดเร็ว ฉันบอกกับตัวเอง ทันทีว่า

"สงสัยวันนี้ เราจะได้โชค สองชั้นมั้งเนี่ย!"

แต่ก็ผิดคาด เธอวิ่งเอาปืนไปซ่อนในเรือน อย่างลุกลน เฮ้อ!...โล่งอกไปที...

ฉันทรุดตัวลง นั่งข้างๆน้องเขย ปลอบโยนอยู่พักหนึ่ง เมื่อซักถามถึงสาเหตุ ก็ทราบว่า เกิดจากความหึงหวง และความไม่เข้าใจกัน ฉันให้ทั้งคู่ ปรับความเข้าใจกัน จากนั้น จึงได้ขอตัว กลับแฟลตพยาบาล (น้องเขยคนนี้ เคารพศรัทธา ในตัวฉันมาก ในเรื่องการถือศีลกินเจ ฉันบอกกับตัวเองว่า ธรรมะย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรม (ให้รอดกลับมา) แต่อย่าให้ต้องเจอ ผัสสะยังงี้ บ่อยนักก็แล้วกัน!)

ความรักก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่เป็นดุจภาพมายา ดุจเงา ซึ่งแท้จริงแล้ว ความรักก็คือ อารมณ์ที่เราสังขาร ปรุงขึ้นมาในจิต (ชั่วคราว) ตามอุปาทาน เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ และสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่เที่ยง เมื่อเหตุปัจจัยแปรไป ความรัก (ที่คนส่วนมาก ต่างก็นึกว่าจีรังนั้น) ก็จะแปรเปลี่ยนไปด้วย และเมื่อนั้นความทุกข์ ที่ติดตามความรักมาดุจเงา ก็จะค่อยๆ ปรากฏตัวชัดเจนขึ้น ทีละน้อย อา...ที่ใดมีรัก ที่นั้นมีทุกข์ สมจริงดังพระพุทธองค์ ตรัสไว้ทีเดียว

นึกถึงชีวิตโสด ที่มีอิสระเสรี อย่างเต็มที่ของตัวเอง ชีวิตที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่เต็มตัว ผ่านโลกผ่านสังคม มามากพอสมควร จะไม่เคยพบกับความรัก บ้างเลยเชียวหรือ?!

ช่วงที่ยังเรียนอยู่ ชั้นมัธยมปลาย ฉันเคยชื่นชมเพื่อนชาย ร่วมห้องเรียนคนหนึ่ง สี่ปีต่อมา เราทั้งสอง ต่างก็จบการศึกษา (คนละสถาบัน) ออกมาทำงาน เขา...ถูกส่งไปประจำ อยู่ทางภาคเหนือ ทุกครั้ง ที่เขากลับบ้าน เขาจะมาหาฉัน ที่โรงพยาบาลเสมอ และเป็นแขกประจำ ของแผนกสูตินรีเวช ที่ฉันทำงานอยู่

"อ้าว...(เอ่ยชื่อเขา) ลงมาจากเหนือ เมื่อไหร่เนี่ย!" ฉันทักอย่างดีใจ

"มาถึงเมื่อกี้นี้... พอมาถึง ก็รีบมาหาเธอที่นี่เลย" เขาตอบด้วยน้ำเสียง และสีหน้าที่เบิกบาน

"ดีใจจังเลย... เรามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ตั้งหลายเรื่องแน่ะ!"

ทุกครั้ง เขาจะนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์พยาบาล นั่งคุยถึงเรื่องราวต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้พบมา และนั่งมองฉันทำงาน ง่วนอยู่กับการช่วยเหลือคนไข้ ในแผนก บางทีเขาก็พูดขึ้นว่า

"ในชีวิตเรา ไม่เคยรอผู้หญิงคนไหน นานขนาดนี้เลยนะเนี่ย"

"อ้าว!...ก็ตอนนี้ เรายังไม่ว่างนี่ งานยังไม่เสร็จเลย เห็นหรือเปล่า" ฉันตอบซื่อๆ

บางทีเขาก็พูดขึ้นลอยๆ อีกว่า

"ผู้หญิงที่อายุ ๒๕ ปีขึ้นไปนี่ เริ่มแก่แล้วนะ ควรจะแต่งงานได้แล้ว"

"อย่ามาแซวเราเลย... เธอเองก็แก่ขึ้นนะ" ฉันแซวตอบบ้าง

"จริงด้วย เราว่าเราแก่แล้ว ควรจะแต่งงานได้แล้ว เหมือนกัน" เขาว่า

"เราอยากจะรู้นักว่า ผู้หญิงคนไหนนะ ที่จะหลับหูหลับตา แต่งงานกับเธอน่ะ!" ฉันพูดแซว อย่างขันๆ

เขาก้มหน้า ยิ้มขรึมๆ เงียบไปพักใหญ่ แล้วจึงพูดขึ้น อย่างเป็นงานเป็นการว่า "ถ้าเราจะมาขอเธอแต่งงาน เธอจะว่ายังไง?!"

"หา...เธอว่าอะไรนะ!... พูดเป็นเล่นไปน่า"

"เราพูดจริงๆ นะ!" เขายืนยันอย่างมั่นคง ฉันตะลึงไปชั่วครู่ อา...สุภาพบุรุษ ที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันขณะนี้ เธอมีผิวพรรณหมดจด ขาวเนียน ใบหน้าคมสัน ร่างงามสง่าสมชายชาตรี นิสัยใจเย็นสุภาพ มีน้ำใจงดงาม เสมอต้นเสมอปลาย ฐานะดี การศึกษา และเกียรติยศ มีพร้อมสรรพทีเดียว

ชีวิตที่ได้มาปฏิบัติธรรม ของพระพุทธองค์ ทำให้ฉันได้พิจารณา ถึงประโยชน์ และผลดีของชีวิตพรหมจรรย์ และพิจารณาโทษภัยของชีวิตคู่ ที่ถูกพันธนาการไว้ ด้วยความรัก ความผูกพัน กอปรกับ ความเห็นทุกข์ อย่างชัดเจน ในการเวียนว่ายอยู่ในทะเลแห่งทุกข์ อันคือสังสารวัฏฏ์นี้ ทำให้อารมณ์ ที่ฉันเคยสังขารไว้ในจิต แปรเปลี่ยนไป จากความชื่นชม ความผูกพัน มาเป็นความปรารถนาดี อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่อยากเห็นใคร ต้องเนิ่นช้าต่อนิพพาน (คือความสิ้นทุกข์) เพราะฉัน นอกจากนี้ ฉันยังได้ทำงานดูแลคนไข้ ได้ปลงอสุภะในตัวเอง และผู้อื่นอยู่เสมอๆ สิ่งเหล่านี้ ได้ช่วยให้ฉันตระหนักว่า เออหนอ... ร่างกายของเรานี้ ไม่มีอะไรดีเลย

บางทีก็คิดเล่นๆ ว่า นี่ถ้าธรรมชาติสร้างให้มนุษย์เรา มีร่างกายที่โปร่งใส เหมือนแก้ว สามารถมองเข้าไปเห็น ตับไตไส้พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า ภายในท้อง และจมูกก็สามารถได้กลิ่นคาว ของน้ำเลือด น้ำเหลือง อุจจาระ ปัสสาวะ ภายในตัวของกันและกัน ได้แล้วละก็ คงมีคนอยู่เป็นโสด เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย

ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่กำลัง ทำความสะอาดร่างกาย และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนไข้ หลังผ่าตัดอยู่นั้น กลิ่นเหม็นของน้ำคาวปลา กลิ่นคาวของน้ำนม ของมารดาหลังคลอด ได้สร้างความสงสัยขึ้น ในใจของฉัน อย่างมากมาย พอได้ระยะว่าง ฉันจึงนั่งพักเหนื่อย ที่เคาน์เตอร์พยาบาล แล้วซักถาม พี่ผู้ช่วยพยาบาลสองคน ที่ขึ้นเวรด้วยกัน พี่ทั้งสองแต่งงาน และมีบุตรแล้ว และสนิทสนมกับฉันมาก

"พี่คะ ของที่ออกมาจากตัวเรานี่ ไม่มีอะไรดีเลยนะคะ หนูมาคิดๆดู มีแต่ของเหม็นๆ ทั้งนั้นเลย"

"อ้าว ก็นี่มันเป็นธรรมดาของโลกน่ะ อ้อ" พี่ที่เป็นภรรยาของครู ตอบอย่าง คารมนักปรัชญา

"พี่คะ... แล้วก็ในเมื่อเรารู้ยังงี้ คนเราเขาแต่งงานกันได้ยังไงคะ... เขาไม่รู้หรือว่า แฟนเขาน่ะก็มีของเสีย อยู่ในตัวเหมือนกัน"

ฉันซักต่อ อย่างสงสัยจริงๆ

"เอ๊ะ! ก็ตอนนั้น ไม่ได้คิดว่า กำลังกอด"กองขี้" อยู่นี่หว่า!" พี่ที่เป็นภรรยาของนายตำรวจ ชักเสียงขุ่นๆ

"อ้าว!... นั่นแหละพี่... ของจริงละค่ะ... ถึงเราจะคิดหรือไม่คิด ของเสียมันก็อยู่ในตัวของเขาอยู่แล้ว... เดี๋ยวเขาก็ต้องไปเอาออก มันหนีความจริงไปไม่พ้นหรอกค่ะ" ฉันคาดคั้น ยังไม่หายสงสัย

"เอ๊ะ! ไอ้อ้อนี่ ยังไง!.. ฉันก็ต้องเลือก ไอ้คนที่มันขี้ได้ เยี่ยวได้ซีวะ! ขืนให้ฉันไปเลือกเอา ไอ้คนที่ขี้ไม่ออก เยี่ยวไม่ออก เดี๋ยวก็ต้องพามาโรงพยาบาล เท่านั้นแหละ! ถามอยู่ได้! พิลึกคนจริง ไอ้นี่!"

ฉันหัวเราะอย่างขบขัน... เออ... มันก็จริงของพี่เขาแฮะ!

หลายครั้งในชีวิต ที่คนเราทำอะไรลงไป ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่ดีกว่านี้ ยังมีอีก

ชีวิตคู่ของคนบางคน อาจมองข้ามสิ่งปฏิกูลต่างๆ ในร่างกาย ไปชื่นชมในความเข้มแข็ง ความเก่งกาจ ความอ่อนหวาน หรือความมีคุณธรรม ของอีกฝ่ายหนึ่ง ตามอุปาทานของตน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ บางทีตนเอง อาจจะยังพร่องอยู่ แต่แทนที่จะสร้าง จะฝึกฝน เอาสิ่งที่ดีงามทั้งหลายนั้น ให้เกิดมีขึ้นในตนเอง กลับไปหลงใหลใฝ่ปอง ยึดมั่นในตัวบุคคล และดิ้นรนไขว่คว้า เพื่อจะเอามาไว้ใกล้ๆตัว หรือ อยากได้มาไว้ ในครอบครอง

หากพลาดหวัง ก็จะทุกข์ทรมาน เพราะความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ซึ่งบางครั้ง ก็ถึงกับเป็นเหตุ ให้สูญเสียชีวิตเลยก็มี

ถ้าสมหวังล่ะ? ก็ต้องฆ่ากันด้วยความหวานชื่น เบียดเบียนกันด้วยความรัก และความผูกพัน เกาะเกี่ยวไว้ ให้วนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ์ อันมีน้ำตาแห่งความเจ็บปวด เป็นระลอกคลื่นนี้ไปอีก ตราบนานเท่านาน

กลุ่มเมฆขาวฟ่องอยู่เบื้องบน กำลังแปรรูปไป เพราะแรงลมบน แยกฟ้าตรงหน้า จนเหลือแต่แผ่นฟ้าแผ้ว สีครามใส อากาศเริ่มเย็นลง ดวงอาทิตย์ ลับทิวแมกไม้ไปแล้ว ทุกอย่างไม่จีรัง ล้วนต้องแปรไป ตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

"ธรรมชาติไม่เที่ยง เป็นสมมุติสัจจะ คือสังสารวัฏฏ์ ธรรมะที่เที่ยง เป็นปรมัตถสัจจะ คือตัดสังสารวัฏ"

คงต้องมีสักชาติหนึ่ง ตราบที่อิทธิบาท ๔ แห่งการล้างอวิชชา ยังคงดำเนินไป เราคงจะได้มีจิตวิญญาณ ที่พ้นจาก "ม่านมายา" และใสสะอาด ดุจแผ่นฟ้าแผ้ว ตรงหน้านี้ อย่างแน่นอน

"เพื่อนรัก... คงมีสักวัน ที่เธอจะเข้าใจ ถึงหัวใจของฉัน ว่า ที่ฉันปฏิเสธการแต่งงาน แม้จะทราบอยู่แล้วว่า เธอจะต้องเสียใจ และผิดหวังนั้น ฉันทำก็เพราะ หวังดีต่อเธอจริงๆ ... คงจะต้องมีสักวัน... ที่เธอจะต้องรู้ซึ้ง ว่าการตัดสินใจของฉันในครั้งนี้ ก็เพื่อช่วยเธอ และเพื่ออิสรภาพ ของเราทั้งสองจริงๆ !"

"ลูกไกลพ่อ"
๑๔ กันยายน ๒๕๓๓ ; ๑:๒๐ น.

อ่านต่อ ๑๓.
หัวใจสีแดงในชุดขาว