๑๔. พบรักเข้าแล้ว |
พบรักเข้าแล้ว
ช. "ช่างสวยเหลือเกิน แก้วตา หยาดฟ้ามาหรืออย่างไร...
ญ. ช่างหวานในคำพร่ำไป หวั่นใจจะสวยไม่นาน
ช. หยาดเยิ้มอย่างนี้หรือมีใดปาน น้องลอยมาจากสถานทิพย์วิมานชั้นใด
เริ่มอารัมภบทด้วยเพลงรัก เพราะวันแห่งความรัก ใกล้เข้ามาทุกที ย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่หน้าห้องผ่าตัด โรงพยาบาลชลบุรี เมื่อหลายปีก่อน
"กรุณาเถอะครับ หมอ อย่าตัดขาเมียผมเลย ช่วยทีเถอะครับ"
คำวิงวอนจากสามีของคนไข้ ที่ประสบอุบัติเหตุ จนกระดูกขาแตก และทิ่มออกมานอกเนื้อ ดังขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก
"หมอครับ เมียผมจะตายไหม?..." คำถามจากสีหน้า ที่เต็มไปด้วยความทุกข์กังวล เพราะกลัวว่า บุคคลอันเป็นที่รักของตน จะต้องพลัดพรากจากไป นี่คือผลจากความรัก ความผูกพัน ในอีกแง่หนึ่ง
เมื่อสองปีก่อนก็เช่นกัน ขนาดปฏิบัติธรรมมาได้ สองสามปีแล้ว แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำเอาฉันตบะแตกและขาดทุน อย่างย่อยยับทีเดียว
ยังจำได้ดี ผู้ป่วยเตียง ๒๗ ของแผนกสูตินรีเวช เข้ารับการผ่าตัดหน้าท้อง ได้หนึ่งวัน นอนแซ่วซีดเซียว ให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง บางครั้ง ลูกน้อยเพิ่งเกิดก็ร้องจ้า ซึ่งถ้ามีเวลาว่าง ฉันก็จะไปช่วยดูแลให้ ถ้าไม่ว่าง ก็ปล่อยให้แกร้องไป นึกว่าดีเหมือนกัน ให้เด็กแกบริหารปอดไปพลางๆ จะได้แข็งแรง! อดแปลกใจไม่ได้ว่า นี่ญาติๆ ของเขา ไปไหนกันหมดนะ ไม่มีใครมาเฝ้าอยู่เลย จนประมาณตีสองคืนนั้น ซึ่งฉันเป็นหัวหน้าเวรอยู่ ชายคนหนึ่งพูดจาเอะอะ ตรงเข้าด่าทอ และทุบตีผู้ป่วยบนเตียง กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่ว ผู้ป่วยเองก็สู้ ทั้งที่แขนข้างหนึ่ง ยังให้น้ำเกลืออยู่ ปากก็เถียงสามีไม่หยุด เหมือนกัน!
ฉันปราดเข้าไป กั้นคนทั้งสองไว้
"นี่! หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้" ฉันพูดกับชายผู้นั้น อย่างเหลืออด สติสัมโพชฌงค์ ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด!
"หมอดูซิ! มันไม่มาช่วยดูลูกแล้ว ยังเมามาหาเรื่องอีก..."
ผู้ป่วยกล่าวลุ้น เพราะคงอยากได้ผู้ช่วย อีกแรงหนึ่งเป็นแน่! (สู้กันไม่ถนัด เพราะแขนติดน้ำเกลือ)
"เรื่องของกู! ใครอย่ามายุ่งนะโว้ย!" เสียงตะโกนจากร่างเมา
"ไม่ยุ่งไม่ได้ ที่นี่สถานที่ราชการ มาส่งเสียงเอะอะยังงี้ ได้ยังไง"
"เรื่องของผัวเมียกัน หมอมายุ่งด้วยทำไม!" ร่างเมาเดินเซมาหา อย่างตั้งใจ
ฉันเองก็ไม่ถอย (ที่จริงแล้ว ตกตะลึงด้วยน่ะ)
"นี่ลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้น ฉันจะเรียกยามมาจัดการ!"
เพื่อนของเขา จึงรั้งตัวไว้ แล้วพาลงไปชั้นล่าง ผู้ป่วยน้ำตาไหลรินๆ
"อยู่บ้าน มันซ้อมฉันประจำแหละหมอ" เสียงพูดอย่างปวดร้าว
"แล้วก่อนแต่งน่ะ ทำไมไม่ดูให้ดีๆซะก่อนละ"
"ก็ตอนนั้น มันไม่เป็นยังงี้นี่ มันดีทุกอย่างเลย" พลางยกมือขึ้นป้ายน้ำตา ที่นองใบหน้า ฉันพูดปลอบ อยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินจากมา ตั้งใจว่าคราวหน้า จะพยายามมีสติ ให้แววไว รู้เท่าทันอารมณ์ ให้มากกว่านั้น
โอ...นี่หรือชีวิตคู่.... นี่แหละ ผู้ประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต ส่วนคนโง่ ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง เป็นจริงดังพระพุทธพจน์ ตรัสไว้ไม่ผิดเลย
วันหนึ่ง ภรรยาของเขาพูดขึ้นว่า
"สงสัย ฉันจะต้องกินมังสวิรัติ แบบอ้อซะแล้ว"
"อย่า ’ดัดจริต’ ไปตีเสมอเขาดีกว่า!" นั่นคือเสียงตอบ จากสามีสุดที่รัก! ฉันอดตกใจ ระคนกับปลงสังเวช ในชีวิตคู่ อะไรกัน! ทำไมกับคนอื่นล่ะ พูดสุภาพได้ ทีกับเมียตัวเอง ใช้คำพูดอย่างนี้ แต่ตัวภรรยาเขาน่ะ หัวร่อคิกอย่างขบขัน
ฉันคิดในใจเงียบๆว่า ถ้าเป็นเรา ขันไม่ออกแน่! นี่หรือชีวิตหลังแต่งงาน นี่หรือที่เรียกว่า ความรัก!...
และอีกเหตุการณ์หนึ่ง เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อเช้านี่เอง
ชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง พร่ำเพ้ออย่างขาดสติ อยู่หน้าห้องเก็บศพ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ ได้นำศพของบุตรสาวของแก ซึ่งกินยาตายเมื่อคืนนี้ เข้าไปเพื่อฉีดยากันศพเน่า
"แมว... ลุกเถอะลูก... ลุกมาหุงข้าว... แมว...ตื่นเถอะลูก พ่อจะไปซื้อ เสื้อสวยๆมาให้ พ่อให้ไปเที่ยว งานดอนฯแล้วลูก..."
"แมว...ทำไมทิ้งพ่อไป... แต่นี้ไป พ่อจะอยู่กับใครล่ะ ลูกเอ๊ย"
ร่างนั้น ทุ่มตัวลงเกลือกกลิ้งกับพื้นดิน กระดุมเสื้อเก่าๆ หลุดลุ่ยออก บางทีก็เอาศีรษะ โขกกับพื้นดิน
"โว้ย! ไม่รู้จะทำใจยังไงแล้ว!... พ่อจะทำยังไงดี!... มา ! ใครเอาเงินมาให้กูสองพัน กูจะให้ลูกกู ไปเที่ยวงานดอนเจดีย์ เอามาเร็ว!"
แล้วร่างนั้น ก็ผุดลุกขึ้น ยื้อแย่งกระเป๋าจากญาติๆ อย่างน่าสมเพชเวทนา
ทราบภายหลังว่า บุตรสาว วัยสิบแปดปีของแก กินยาฆ่าแมลงตาย หลังจากไปเที่ยวงาน อนุสรณ์ดอนเจดีย์ เมื่อคืนนี้ แล้วผู้เป็นพ่อไปตามให้กลับบ้าน โดยปกติแล้ว แกจะตามใจลูก เอาใจลูกตลอด เพราะภรรยาทิ้งแกไป ตั้งแต่ลูกอายุ ๓ เดือน ลูกคนนี้จึงคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
อนิจจา!...นี่หรือ อานุภาพของความรัก และการพลัดพราก จากสิ่งที่รัก!
ฉันได้แต่ยืนดู อยู่บนระเบียงหอพักผู้ป่วย อย่างสลดสังเวชใจ สักครู่ จึงกลับเข้ามาในแผนก เพื่อทำแผล และฉีดยาให้กับผู้ป่วย
ภาพความทุกข์ อันเกิดมาแต่ความรัก มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ แต่หมอหรือพยาบาล และเจ้าหน้าที่ต่างๆในนั้น ก็ยังคงสร้างความรัก ขึ้นมาผูกพันกัน ยังแต่งงานกันอยู่เป็นปกติ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาขาดตัว โยนิโสมนสิการ และไม่มีใคร ชี้บอกเขาเหล่านั้น ให้มีสัมมาทิฐิ ว่านั่นมันเป็นการสร้างทุกข์ สร้างพันธนาการแห่งหัวใจ อย่างใหญ่หลวงทีเดียว
อา...ความรัก เป็นสิ่งที่มนุษย์ ใฝ่ฝันไขว่คว้า เพื่อการได้มาแห่งความรู้สึกว่า"สุข" อันก่อให้เกิด ความหวังอันเจิดจ้า
สิ่งนี้ได้ผลาญพร่าให้มนุษย์ จมและวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนี้ ปีแล้วปีเล่า ชาติแล้วชาติเล่า...นับกัลป์
หากสามารถทำให้ ปราศจากรักได้แล้ว ย่อมปลดเปลื้องทุกข์ ออกไปโดยสิ้นเชิง
บนเส้นทางการปฏิบัติธรรม ในเครื่องแบบสีขาว แม้มีจิตมุ่งมั่น มีปณิธานแน่วแน่ ที่จะถือศีลพรหมจรรย์ ไปตลอดตราบตาย อย่างเดียวนั้น ยังไม่พอ จะต้องมีบทปฏิบัติ ที่จะเสริมหนุนไปด้วย ตราบใดที่ยังไม่สามารถ ข้ามฝั่งกามโอฆะนี้ได้ ตราบนั้น จะหย่อนความเพียรไม่ได้ หากฝ่าด่านนี้ (กามคุณ) ไปไม่ได้ จะช่วยงานศาสนา คงไม่ได้มาก ยังด่านมานะอีก ที่รออยู่ข้างหน้า
ในการปฏิบัติธรรม อยู่ห่างไกลหมู่กลุ่ม มีพระสูตรหนึ่งชื่อ สารีปุตตสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ กล่าวไว้อย่างแจ่มชัด ถึงมรรควิธี ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ไปจนตลอดชีวิต ซึ่งฉันได้นำไปปฏิบัติ อย่าง"เอาจริง" ปรากฏว่าได้ผล มีอานิสงส์มากมาย (แม้ทำยังไม่ได้ ๑๐๐% ก็ตาม) พระสูตรนั้น มีโดยย่ออย่างนี้
"ภิกษุคุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียร จักประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ติดต่อกันไปตลอดชีวิตนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้”
ผู้คุ้มครองในทวารอินทรีย์ คือเห็นรูปใดๆแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ คือไม่ตราไว้ในใจ หรือนำมาปรุงต่อ ในทางอกุศล แม้ทางหูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ฯลฯ ก็ย่อมสำรวมสังวร ในจักขุนทรีย์ ไปจนถึงมนินทรีย์ เพื่อไม่ให้อกุศลกรรมอันลามก เกิดขึ้น
ผู้รู้ประมาณในโภชนะ คือพึงพิจารณาแล้ว กลืนกินอาหารว่า ไม่ใช่เพื่อเล่น เพื่อมัวเมา เพื่อประดับตกแต่ง ย่อมกินเพื่อกำจัดความเบียดเบียน เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ จักกำจัดเวทนาเก่าเสีย และไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น
ผู้ประกอบความเพียร คือมีสติเต็ม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ด้วยการนั่ง การเดิน (ด้วยการงาน ตลอดวัน และปฐมยาม (หัวค่ำ) แห่งราตรี มัชฌิมยาม สำเร็จสีหไสยาสน์ โดยข้างเบื้องขวา เท้าซ้อนเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ กำหนดเวลาตื่น และรีบลุกขึ้น ในปัจฉิมยามแห่งราตรี (แล้วชำระจิตให้บริสุทธิ์ ด้วยการงานต่อ)
จากประสบการณ์ แม้จะอยู่ห่างไกลหมู่กลุ่ม มากเพียงใด แต่ถ้ามีตัว"เอาจริง" ตัวเดียว ก็สามารถตั้งมั่น และเจริญขึ้น ในอธิศีลได้เรื่อยๆ แต่บางครั้ง แม้ตัวฉันเอง อยู่ในหมู่กลุ่ม หากประมาทไม่เอาจริง ตั้งตนอยู่บนความสบายแล้ว การปฏิบัติธรรม ก็มีแต่ความเสื่อมถอย... เสียเวลา... และเสียส่วนหนึ่ง ของชีวิตไปด้วย
ฉันจึงคิดว่า หากปฏิบัติ"เอาจริง" ใน"สารีปุตตสูตร" อย่างเคร่งครัดแล้ว จะอีกนานเท่าไหร่ ก็ไม่มีปัญหา สำหรับการตั้งมั่น ในชีวิตพรหมจรรย์นี้เลย แม้อยู่ห่างไกลหมู่กลุ่ม เพื่อนสพรหมจรรย์ก็ตาม
แต่ถ้าเลือกได้ การปฏิบัติเอาจริง และอยู่ใกล้หมู่กลุ่ม ย่อมดีกว่าเป็นแน่ เพราะเบาสบายกว่า และก้าวไปข้างหน้า อย่างรวดเร็วกว่าด้วย
"ความรัก" บนเส้นทางชีวิต ในเครื่องแบบสีขาวที่ประสบมา จึงคือความทุกข์ทรมาน และคือ"มาร" ที่กีดกั้น ทางไปสู่นิพพาน ที่ฉันจะต้องพากเพียรต่อสู้ อย่างสุดกำลัง และดับทุกข์ที่มีอยู่ ด้วยแรงเพียรของฉันเอง
ลูกไกลพ่อ
๒๘ มกราคม ๓๑
"ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ไม่มีการเอาจริง
จะไม่มีการบรรลุได้จริงๆ
รู้ทั้งรู้ ยังยากแสนยาก
ถ้าไม่มีการเอาจริงแล้ว ไม่มีการบรรลุธรรม
ต้องเอาจริง
นี้คือ เคล็ดที่สำคัญที่สุด ต้องเอาจริง"
- พ่อท่าน -
(สารอโศก อันดับ ๑๕๐ สิงหา กันยา ตุลา ๒๕๓๔)