๒๔. สันโดษ...ทางสู่ความพ้นทุกข์ |
สันโดษ...ทางสู่ความพ้นทุกข์
"ข้าไม่ใช่คนเก่ง แต่ข้าเป็นคนไม่เสียดายชีวิต เพราะตลอดชีวิตของข้า แวดล้อมไปด้วยความว่างเปล่า... ท่านเอง มีชีวิตแวดล้อมไปด้วย โลกียสุข ลาภ ยศ ต่างๆ ท่านจะกล้าพลีชีวิตได้อย่างไร"
ข้อความข้างบนนี้ ประทับใจฉันมาก ฉันได้มาจากคำพูดของตัวเอก ในภาพยนตร์จีนเรื่องหนึ่ง เมื่อ ๓-๔ ปีก่อน และฉันเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ ทุกประการ
ชีวิตของใครก็ตาม หากบนเส้นทางชีวิตนั้น สำรวมระวังที่จะไม่ไปเสพ ไม่ให้โลกียสุข ลาภยศสรรเสริญ มามีฤทธิ์เสริมกิเลสกาม และมานะอัตตาของตนได้ ก็นับว่าเขาคนนั้น เป็น "ยอดคน"
พระพุทธองค์ ผู้ทรงเป็นเลิศด้วยประปัญญาธิคุณ ก็ยังตรัสชี้ ให้เห็นโทษภัยว่า
"..เราน่าจะได้มาเห็นโทษภัย ของอามิส ลาภยศและความสุขในโลก สัตว์เหล่าใดมีสิ่งเหล่านี้มาก แล้วจะกลับเห็นโทษภัย ในทรัพย์ในลาภยศ และ ความสุข... จะไม่ประมาทมัวเมา หลงใหลในกามคุณ ๕ มีน้อยในโลก
แต่ส่วนมากแล้ว จะไม่กลัวในโทษภัย กลับจะประมาทมัวเมา หลงใหลในสิ่งเหล่านี้ และบรรดาสัตว์เหล่านี้ จะมีวิบากกรรมที่เลวทราม ในกาลต่อมา"
(เพราะไปกอบโกย มาไว้ให้ตนเองมาก หรือถูกสิ่งเหล่านี้ ย้อมจิตวิญญาณให้ตกเป็นทาส และอยู่ห่างไกลจากนิพพาน)
ทิศทางของพระพุทธองค์พาทำ เป็นทิศทางไปสู่ ความมักน้อย สันโดษ
กิเลสก็คือ ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ที่เกินความจำเป็น ของชีวิตอย่างแท้จริง
เมื่อสิบปีมาแล้ว ตอนนั้น ฉันเรียนจบพยาบาลใหม่ๆ กำลังเฟรชชี่สดใส ไม่แก่งักเหมือนทุกวันนี้ (เฮ้อ... สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงจริงๆ!) บังเอิญได้มาพบ สัจธรรมอันบริสุทธิ์ ของพระพุทธองค์ ขณะนั้น มีสภาวจิต เหมือนคนที่เดินคลำทาง ในถ้ำมืด... ทุกข์ทรมานมานานแสนนาน แล้วแสงทิพย์แสงธรรม ก็สว่างจ้าขึ้นตรงหน้า จึงบอกอนุโมทนาตัวเองว่า เป็นบุญแล้ว ที่พบแสงสว่างนี้ เราเองก็จะได้ออกจากถ้ำมืดเสียที เราจะเดินตามทางสายนี้ตลอดไป
จากนั้นมา ฉันก็ตั้งใจปฏิบัติธรรม ด้วยความอุตสาหะ วิริยะ แต่ปัญญาของฉัน ดูจะน้อยไปสักหน่อย จึงต้องอาศัยหมู่มิตรดีสหายดี ช่วยชี้แนะ คนโน้นชี้บ้าง คนนี้ชี้บ้าง ค่อยบ้างแรงบ้าง (แรงมากๆ บางทีก็เล่นเอา ฉันมึนงงไปบ้างเหมือนกัน!) หวังดีบ้าง หวังอย่างอื่นบ้าง ซึ่งก็นับว่าเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ฉันก็เตือนตนเอง ให้ตระหนัก ในพระคุณเหล่านี้อยู่เสมอ
ขณะนั้น มีคุณหมอท่านหนึ่ง ในโรงพยาบาลที่ฉันทำงานอยู่นี้ ท่านจะเป็นคนใจร้อน ใช้อารมณ์กับพยาบาล และกับคนไข้ หรือแม้แต่เพื่อนพยาบาล ซึ่งเป็นญาติธรรม (เพื่อนสนิทของฉันเอง) ก็ยังเคยโดน หางเลขเลย
คุณหมอได้รับการยกให้ การยอมให้ มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีคลินิกใหญ่โต พูดอะไร ก็มีแต่คนศิโรราบให้ แต่ถ้าไม่ได้ดังใจ คุณหมอจะเกิดความไม่พอใจทันที
เช่น คุณหมอแนะนำ ให้คนไข้หลังคลอด ครรภ์ ที่ ๗ ให้ทำหมัน คนไข้ก็ไม่ยอมทำ ฉันเข้าใจดีว่า คนไข้เขามีความเชื่อ ปักมั่นว่าทำหมันแล้ว จะไม่มีเรี่ยวแรง ทำมาหากิน เลี้ยงลูกทั้ง ๗ คน ที่เธอทำให้เกิดมาแล้ว เธอจึงปฏิเสธการทำหมัน เลยทำให้คุณหมอ โมโหขึ้นมาทันที
ฉันซึ่งต้องทำงานใกล้ชิด ต้องอาศัยความอดทน ความใจเย็น และมีน้ำใจให้นับแรมปี (โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน)
จนวันหนึ่ง คนไข้รายหนึ่ง ชมฉันให้คุณหมอฟังว่า เมื่อคืน ถ้าไม่ได้ฉันช่วยเอาไว้ เขาคงตายแน่ๆ
..หมอคนนี้ วิ่งช่วยฉันทั้งคืนเลย หมอคนอื่นยังนอนบ้าง..
คุณหมอฟังแล้วพยักหน้า แล้วพูดจริงจังว่า
"ทั้งโรงพยาบาลนี้ ก็คนนี้แหละดีที่สุด" ..ทั้งโรงพยาบาลนี้ ก็คนนี้แหละ ดีที่สุด..
ทำให้ฉันได้รู้ว่า จริงๆแล้ว คุณหมอเอง ก็มองการปฏิบัติตน และการทำงานของเรา ไปในทางที่ดีอยู่เหมือนกัน (แต่ฉันว่า คุณหมอจะชมฉัน มากเกินไปกระมัง)
ห้าปีต่อมา วันนั้น คุณหมออยู่เวรกลางคืน มีคนไข้เป็นเด็กหญิง อายุ ๕ ขวบ มารดาของคนไข้ พามาโรงพยาบาล ร้องไห้มาด้วย เธอให้ประวัติว่า ลูกสาวของเธอไปลงเล่นน้ำ ในคลองข้างบ้าน กับพี่ๆ พอขึ้นจากน้ำ ก็พบว่ามีปลิงเกาะอยู่ ที่ขาตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งกำลังเข้าไปในช่องคลอด มารดายืนยันว่า เห็นปลิงเข้าไปจริงๆ ตัวที่เกาะอยู่ที่ขา เธอดึงออกไปแล้ว แต่ตัวที่เข้าไปภายใน เธอดึงออกมาไม่ทัน จึงรีบพาลูก มาให้หมอช่วย
จะด้วยเหตุผลใด ของคุณหมอก็ไม่ทราบได้ อาจไม่แน่ใจว่า ปลิงเข้าไปจริงหรือไม่ หรืออาจจะมีคนไข้หนัก รายอื่นรออยู่ คุณหมอจึงสั่งแต่เพียงว่า ให้เด็กนอนอยู่โรงพยาบาล และให้คอยเฝ้าสังเกตอาการไว้
หนึ่งคืนผ่านไป อาการของเด็กไม่ดีขึ้นเลย เด็กซึมลง ซีด มีอาการปวดท้อง และท้องอืดร่วมด้วย ความดันโลหิต และชีพจร ที่หมั่นคอยเช็คบ่อยๆ ส่งเค้าว่า อาการไม่มาทางเราแน่ คุณหมอจึงตัดสินใจ (โค้งสุดท้าย) ให้ส่งเด็กเข้าไปห้องผ่าตัด พยาบาลที่ห้องผ่าตัด เล่าให้ฟังภายหลัง ถึงเหตุการณ์ต่อมาว่า พอคุณหมอกรีดมีด ผ่านผนังหน้าท้องคนไข้ลงไป ก็พบว่ามีเลือดไหลออกมา ขังในช่องท้อง ในปริมาณที่มากพอดู อะไรก็ไม่น่าขยะแขยงเท่า ทุกคนเห็นปลิงตัวใหญ่ อ้วนกลม อยู่ในท้องนั่นด้วย (ปลิงมันเจาะทะลุ จากมดลูก เข้ามายังช่องท้อง) มันกินเลือดจนอิ่ม ตัวกลมใหญ่ พอมันละปาก ที่ดูดเลือดตรงที่ใด ตรงนั้นเลือดก็จะไหลรินออกมา ไม่หยุดง่ายๆ เพราะน้ำลายของมัน มีสารคล้าย Heparin (เฮพาริน) ซึ่งมีฤทธิ์ ทำให้เลือดไม่ยอมแข็งตัว
ทีมผ่าตัด บางคนร้องหวีดด้วยความกลัว บางคนขนหัวลุก ด้วยความสยอง เราช่วยเด็กน้อยนั้นไว้ไม่ทัน มารดาของเด็ก อุ้มศพลูกรักกลับบ้าน ด้วยหัวใจที่แตกสลาย เสียงร้องไห้ แทบจะขาดใจ ยังคงดังก้องอยู่ ในโสตประสาทของฉัน คนที่เสียน้ำตา ไม่ได้มีเพียงมารดาของเด็กเท่านั้น คุณหมอเอง ก็ร้องไห้เสียใจไม่น้อย กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หากคุณหมอ เชื่อมารดาของเด็กแต่แรก ก็คงไม่ต้องเสียชีวิต ของคนไข้รายนี้ไปเป็นแน่ แต่ใครล่ะ จะอยากทำงานให้ผิดพลาด เหตุการณ์นี้ ได้เป็นแผลเกาะกินใจ ของคุณหมอมาจนทุกวันนี้
ยังมีเหตุการณ์หนึ่ง ที่จะลืมเสียมิได้ สำหรับชีวิตในเสื้อกาวน์ ของคุณหมอ เรื่องนี้แม้ฉันเอง ก็พูดอะไรไม่ออก เช่นกัน
สองปีต่อมา มีคนไข้หญิงรายหนึ่ง อายุ ๕๔ ปี ในชีวิตของเธอ ได้ผ่านการคลอดบุตร มาถึง ๘ คน พออายุมากขึ้น เส้นเงินและกล้ามเนื้อ ที่ยึดมดลูกอยู่ จึงหย่อนตัว ไม่สามารถประคอง ดึงให้มดลูก อยู่ในท้องน้อยอีกต่อไป มดลูกทั้งอัน จึงไหลโผล่ออกมานอกช่องคลอด คนไข้รู้สึกเจ็บปวด ทรมานมานับแรมปี ลูกๆ จึงพามาโรงพยาบาล เพื่อรับการผ่าตัด
จากการซักประวัติ อย่างละเอียด คนไข้เป็นโรคหัวใจร่วมด้วย ฉันส่งเวรให้เวรต่อไปว่า ช่วยเรียนคุณหมอให้ทราบว่า คนไข้มีโรคหัวใจด้วย คงต้องส่งไปทำ E.K.G. (ตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้า) ก่อนผ่าตัด การดมยา และคนผ่าตัด จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวัง มากขึ้นอีกหลายเท่าทีเดียว
ก่อนออกเวรวันนั้น ฉันและน้องพยาบาลอีกสองคน ยังพูดจาเย้าแหย่คนไข้ พวกเราและคนไข้ ต่างก็หัวเราะขบขัน
สุดท้ายฉันก็พูดว่า "พยาบาลจะหยุดสี่วันนะคะ กลับมาขึ้นเวรอีกที ป้าคงผ่าตัดเรียบร้อย สบายดีแล้ว ขอให้หายไวๆ นะคะ อย่ากังวลเรื่องการผ่าตัดเลย หลังผ่าตัด ถ้าปวดแผล ก็ขอยาพยาบาลเขาได้..."? ..ขอให้หายเสียทีเถอะหมอ ฉันทรมานมานานแล้ว..
..งั้นอีกสี่วัน เจอกันนะจ๊ะ เอาเถอะแล้วจะส่งกำลังใจมาช่วย..
คนไข้กล่าวขอบอกขอบใจ หน้าตายิ้มแย้ม
เมื่อฉันกลับไปขึ้นเวรอีก ก็ได้ทราบข่าวว่า คนไข้เสียชีวิตแล้ว ที่ห้องไอ.ซี.ยู. ! ฉันใจหายวูบ อะไรกัน ก็ตอนนั้น คนไข้ยังดีๆอยู่เลย ฉันถามขึ้นทันทีว่า "ทำ E.K.G. ก่อนผ่าตัด หรือ เปล่า" ก็ปรากฏว่าทำแล้ว ผลที่อ่านออกมาคือ คลื่นหัวใจไฟฟ้าปกติดี แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับคนไข้ล่ะ? คำถามนี้ วนแล้ววนเล่า อยู่ในสมองของฉัน พี่พยาบาลตรวจการ ที่เคยเป็นพยาบาลดมยาสลบ บอกว่า "พี่ว่า ต้องแพ้ยาแน่ๆ เลย"
ข่าวนี้ดังมาก จนออกไปนอกโรงพยาบาล คุณหมอเอง ก็มีความทุกข์อย่างแสนสาหัส (เวลาคนไข้ไม่สบาย ก็ไปหาหมอ แล้วเวลาหมอไม่สบายล่ะ จะไปหาใคร?!)
จากความผันแปรขึ้นลง ของโลกธรรมในชีวิต ทำให้คุณหมอ หันเข้าหาธรรมะเป็นที่พึ่ง บัดนี้คุณหมอ จัดเป็นคุณหมอที่มีคุณธรรมมาก ใจเย็นสุขุม เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำบุญสุนทานมากขึ้น มีชีวิต ที่เรียบง่าย สันโดษมากขึ้น และเป็นตัวอย่างที่ดี ในสังคม
ในช่วงที่คุณหมอ พบกับความวิกฤติ ฉันก็มีแต่ความจริงใจ เห็นใจ ปรารถนาที่จะให้คุณหมอพ้นทุกข์ และได้ให้ความช่วยเหลือ พอสมควรตามฐานะ เท่าที่จะทำได้
ในเรื่องของความมีน้ำใจกับผู้อื่น การให้ความสำคัญต่อ ความทุกข์ของผู้อื่น มากกว่าความทุกข์ของตนเอง ฉันเองก็ได้คนไข้นี่แหละ เป็นครูสอนฉัน
ช่วงปีแรกๆ ของการเป็นพยาบาล ค่ำวันหนึ่ง ฉันรับคนไข้หญิง อายุ ๕๐ ปี เข้ามาในแผนก คนไข้รายนี้ เป็นโรคมะเร็งที่ปากมดลูก มีเลือดไหลออกมา จากช่องคลอดมากมาย ร่างที่ซีดเหลืองนั้น อ่อนเพลียมาก แต่ยังรู้สึกตัวดีอยู่
ฉันรีบนำเลือด ไปให้คนไข้รายนี้ แต่เนื่องจาก คนไข้เสียเลือดไปมาก เส้นเลือดจึงตีบตัน แทงเข็มที่จะให้เลือด ลำบากมาก ฉันต้องแทงใหม่ อยู่ถึง ๒-๓ ครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อชักเข็มออกมา เลือดก็พุ่งออกมาจากสายยาง เปื้อนมือ และเครื่องแบบสีขาว ของฉันแดงไปหมด
ขณะนั้น ฉันกำลังงุ่นง่านอยู่ จึงบ่นในใจว่า
"เลือดก็ยังแทงไม่ได้ เส้นเลือดก็แห้ง ตีบตันเสียอีก... อ้าว! ยังไม่พอ ชุดขาวเปื้อนเลือดอีก!... เรานี่ซวย ไม่เสร็จจริงๆ"
แต่ทันใดนั้น คนไข้ได้ใช้แขนที่ยังว่างอยู่ หยิบผ้าเช็ดหน้าของตน (ที่จริงคงเป็น ผ้าเช็ดน้ำหมาก เพราะมันเปรอะคราบน้ำหมาก เต็มไปหมด) เช็ดเลือดที่เปื้อนแขน และที่กระโปรง? ของฉันทันที อย่างห่วงใย
..โถ..หมอ.. เปื้อนหมดเลย..
ฉันตกตะลึง ลำคอตีบตัน ด้วยความซาบซึ้ง ในน้ำใจอันงดงามของคนไข้ ที่กำลังช็อค เพราะสียเลือดมากรายนี้ ครู่หนึ่ง ฉันจึงบอกให้คนไข้ หยุดเช็ดเลือดบนชุดขาวของฉัน
..ไม่เป็นไรหรอกป้า..
อารมณ์หงุดหงิด ไม่รู้หายไปไหนหมด มีแต่ความอ่อนโยน และความรู้สึกบางอย่าง ที่เกิดขึ้นท่วมท้นหัวใจ
ฉันได้ให้การรักษาพยาบาล คนไข้รายนี้ อย่างดีที่สุด เท่าที่ฉันจะทำได้
ผู้หญิงชาวนา บ้านนอกแก่ๆ เรียนไม่จบ ป.๔ ฐานะยากจนคนนี้ ก็เป็นครูที่ดีที่สุด สอนให้ฉันเห็นถึง ความมีน้ำใจต่อผู้อื่น การเห็นความสำคัญต่อความทุกข์ ความเดือดร้อนของผู้อื่น มากกว่า ของตัวเอง ความเสียสละ ความงดงามของจิตใจ ความรู้สึกหลายๆอย่าง มันพรั่งพรูขึ้นมา ในจิตใจของฉัน อย่างมากมาย
ขณะนี้ ไม่ว่าป้าจะอยู่แห่งหนใด จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ขอได้รับการน้อมระลึก จากหัวใ ที่สำนึกในพระคุณ ของฉันเสมอ
วันก่อน ฉันไปให้ยา และอาหารทางสายยาง แก่คนไข้อัมพาตรายหนึ่ง ยาที่บดละลายน้ำ เป็นสีดำ คงเป็นเพราะ ฉันผสมน้ำข้นไปหน่อย ยาจึงไม่ยอมไหล ลงไปในสายยางสักที แต่พอขยับสายยาง น้ำยาเข้มข้นนั้น ก็พุ่งตรงมาเปื้อนชุดขาวของฉัน เป็นทางยาว
อารมณ์ขณะนั้น ไม่มีปฏิฆะเลยแม้แต่น้อย ญาติของคนไข้กังวลว่า ชุดพยาบาลเปื้อนมาก คงจะซักออกลำบาก
ฉันยิ้ม และบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่างกังวลไปเลย" รู้สึกอนุโมทนาตัวเอง ที่ไม่ได้เบียดเบียนจิตตนเอง ด้วยความโกรธ เช่นเมื่อ ๑๐ ปีก่อน นี่ก็เพราะอานิสงส์ ของการได้มา ปฏิบัติธรรม นั่นเอง
นึกไปถึงคุณหมอ ซึ่งบัดนี้ เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ใจเย็น สุขุม นึกถึงอกเขาอกเรา มากยิ่งขึ้น
นึกถึงคนไข้ ที่เป็นทั้งครู สอนให้เราเห็นธรรมะ ในหลายๆประการ และยังเป็นผู้อนุเคราะห์ ให้เราได้สะสมบุญบารมีอีกด้วย
ทำให้ฉัน ต้องสอนตัวเองให้ตระหนัก และใช้ทรัพยากรของโลก มายังชีพอย่างมักน้อยสันโดษ และคุ้มค่า หากเอามามากเกินไป ก็เท่ากับเพิ่มหนี้ให้กับตัวเอง (หนี้ทางวัตถุ และรวมทั้ง หนี้ทางจิตวิญญาณด้วย)
ยิ่งเสพน้อยลง ก็คือการเบียดเบียนตัวเองให้น้อยลง ความเห็นแก่ตัวน้อยลง กิเลสก็ลดลง ธรรมปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถมองเห็น โทษภัยของการกอบโกย หอบหวง โทษภัยของการมีมากๆ และยิ่งทำให้ซาบซึ้ง ที่จะไม่เวียนกลับอีกต่อไป ทำให้เราเป็นผู้ทานออกไป ได้มากขึ้น มีน้ำใจ เมตตา เห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้น
ดังอุดมการณ์ชีวิต ที่คนไข้สอนเอาไว้ว่า "จะมีน้ำใจเมตตา กรุณาต่อผู้อื่น จะให้ความสำคัญต่อความทุกข์ ความเดือดร้อนของผู้อื่น ให้มากกว่าของตนเอง ตลอดไป"
และ ได้บทสรุปที่ว่า ความรักตัวรักตนมาก การมีชีวิตสะพรั่งไปด้วย ทรัพย์ศฤงคาร และโลกียสุขนี้เอง คือ ที่เป็นอุปสรรค กีดขวางชีวิตที่สันโดษ เข้มแข็ง อิสระ และพ้นทุกข์
ลูกไกลพ่อ
๙ มีนาคม ๒๕๓๖ ; ๓:๔๐ น.
"จากนี้...จนสิ้นใจ"
ความรักในหัวใจ ไหม้หมดแล้ว
เหลือแต่แวว ความหวัง ยังฉายฉาน
ชีวิตยัง ต้องสู้ อยู่กับงาน
เกินปล่อยกาล เวลา ฆ่าหัวใจ
ชีวิตเคย แพ้พ่าย แล้วหลายครั้ง
ล้มแล้วยัง หยัดยืน ลุกขึ้นใหม่
จะไม่ยอม ย่อท้อ อีกต่อไป
มิยอมให้ ใครนินทา ว่าอ่อนแอ
ยังมีคน มากมาย อยู่ในโลก
เขาทุกข์โศก เจ็บป่วย ด้วยบาดแผล
บางชีวิต ผิดหวัง ถูกรังแก
ชนะแพ้ ดีชั่ว มีทั่วไป
เถอะวันนี้ จะเข้มแข็ง และแกร่งกล้า
เติมศรัทธา สร้างสรรค์ ดังฝันใฝ่
ทุ่มให้งาน ทั้งตัว และหัวใจ
สร้างโลกให้ งดงาม ด้วยความดี
"แองเจล"
(สารอโศก อันดับ ๑๖๒ มิถุนายน ๒๕๓๖ )