nurse

๒๗. วันนี้ที่รอคอย

วันนี้...ที่รอคอย

ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ดิฉันมาพบธรรมะ ที่สันติอโศก นึกอนุโมทนา ชื่นชมคนที่ทำงานอยู่ในวัด พวกเขาได้ใช้แรงกายบริสุทธิ์ มาทำงานให้กับศาสนาโดยตรง บางคนก็มาทำงานให้วัด อย่างเต็มตัว เขาเหล่านั้น ได้ฟังธรรมะทุกวัน หากทำผิดแม้เล็กน้อย ก็จะมี "ตำรวจ" มาคอยชี้แนะ คอยบอกให้เราเดินตรงทางอยู่เสมอ การได้ทำงานกับเพื่อนรัก ร่วมอุดมการณ์ การได้อยู่ใกล้สัตบุรุษ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่จะมาเสริมแรงเพียรของเรา ให้ได้ลดละกิเลส ได้เร็วได้มากยิ่งขึ้น และพ้นทุกข์เร็วขึ้น

ปีต่อมา ดิฉันจึงตัดสินใจจะเข้าวัด แต่ขณะนั้น น้องๆ ทั้ง ๕ คน ยังเรียนอยู่ ดิฉันจึงต้องอยู่ทำงาน เพื่อหารายได้ไปส่งเสียน้องๆ และเลี้ยงดูพ่อแม่ก่อน ดิฉันทำเรื่อง ย้ายเข้ากรุงเทพ หาที่ทำงานที่อยู่ใกล้สันติอโศก มากที่สุด (เพื่อที่จะได้มาฟังธรรมะ และมาช่วยงานในวัด ได้มากขึ้น)

ขณะทำเรื่องย้าย พ่อดิฉันก็ล้มป่วย ด้วยโรคปวดหลัง ต้องเข้ารับการรักษาตัว ในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ในปีต่อมา ดิฉันก็ทำเรื่องย้ายไปอยู่ ร.พ.นครปฐม เพื่ออยู่ใกล้ปฐมอโศก มากยิ่งขึ้น แม่ดิฉันป่วย ต้องเข้ารับการรักษาตัว ในโรงพยาบาล ด้วยอาการปวดท้องมาก ต่อมาแพทย์ได้พบว่า แม่เป็นโรคเบาหวาน ที่ต้องมารับการตรวจรักษา ที่โรงพยาบาลทุกเดือน ดิฉันคิดว่า หากเราจากท่านทั้งสอง ไปอยู่ไกลๆ ใครจะดูแลปรนนิบัติท่าน การทำบัตรการเบิกจ่ายยา การรับการตรวจรักษา จะสะดวกยิ่งขึ้น หากเรายังอยู่ใกล้พ่อแม่ ดิฉันจึงหยุดเรื่องย้ายไว้ก่อน

อีก ๔ ปีต่อมา ดิฉันได้ส่งน้องสาว เข้าเรียนพยาบาล อีก ๒ ปีต่อมา ก็ส่งน้องสาวอีกคน เรียนพยาบาลอีก เดิมทีน้องๆ ไม่อยากเป็นพยาบาล เพราะเห็นชีวิตพยาบาลของดิฉัน ต้องทำงานหนัก ไหนจะงานที่โรงพยาบาล งานที่คลินิกเอกชน งานเฝ้าไข้พิเศษ และยังต้องจัดสรรเวลา เพื่อมาช่วยงาน และฟังธรรมที่วัด งานอบรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ของข้าราชการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต้องแบ่งเวลาไปดูแล ปรนนิบัติพ่อแม่ ไปดูแลน้องๆ ทั้งห้าคน ที่แยกย้ายกันไปเรียน ในแต่ละจังหวัด

หลายปีที่ผ่านมา ดิฉันไม่ได้รับการพักผ่อน อย่างเพียงพอ เป็นเวลายาวนาน อดนอนบ่อยมาก ใบหน้าหมองคล้ำอยู่เป็นนิตย์ ดิฉันได้ชี้แจงให้น้องๆ ได้เห็นประโยชน์ของการเป็นพยาบาล ซึ่งมีโอกาสช่วยเพื่อนมนุษย์ ในยามป่วยไข้ การที่ได้อยู่ในอาชีพที่เป็นบุญ และยังมีความรู้ ช่วยดูแลญาติพี่น้อง ดูแลตนเองได้ และยังหารายได้พิเศษ หากเราต้องการ น้องๆ จึงจำนนในเหตุผล และไปเรียนพยาบาล ด้วยประการฉะนี้

ดิฉันได้เรียนให้พ่อกับแม่ ทราบว่า เมื่อน้องๆ ทุกคน เรียนจบหมดแล้ว ดิฉันจะลาออกไปอยู่วัด ตอนนั้น พ่อกับแม่ไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าระยะเวลา อันยาวนานนี้ ดิฉันอาจพบคนที่ถูกใจ แต่งงานแต่งการไป ชีวิตก็จะหักเหไป จนลืมเรื่องลาออก ไปอยู่วัดก็ได้

"อีก ๕ ปี ฉันจะเข้าวัดละนะ"

ตอนนั้น อโศกกำลังมีข่าว ออกทีวี.ทุกวัน เรื่องพ่อท่าน สมณะ ถูกจับไปคุมขัง ข่าวที่ออกมาทางที.วี.นั้น มันรุนแรงต่อความรู้สึก ของพ่อแม่มาก ท่านเดือดร้อนใจ และห้ามดิฉันไปวัด ในระยะนั้น แต่ดิฉันกลับไปวัด บ่อยยิ่งขึ้น และได้ชี้แจงให้ท่านทราบว่า ข่าวที่ออกมานั้น อโศกไม่มีสิทธิ ออกมาแก้ตัว หรือ ชี้แจงข้อเท็จจริงได้เลย ฝ่ายโน้นออกข่าวฝ่ายเดียว

สองปีต่อมา ดิฉันได้เลื่อนขั้นเป็น ซี.๖ ซึ่งนับเป็นคนที่มี อายุราชการน้อยที่สุด ที่ได้ ซี.๖ ก่อนหน้านั้น ดิฉันก็ได้รับรางวัลดีเด่น ในการทำงานเป็นระยะๆ พ่อแม่ก็คิดว่า ความก้าวหน้าทางราชการ แบบก้าวกระโดด ของดิฉัน การได้รับรางวัล คำชื่นชมต่างๆ คงจะทำให้ดิฉันเปลี่ยนใจได้ แต่ดิฉันก็ยังคงบอกท่านทุกปีว่า เหลืออีก ๓ ปีแล้วนะ เหลืออีก ๒ ปีแล้วนะ จนกระทั่งเหลืออีก ๑ ปี น้องเรียนจบ มีหน้าที่การงานมั่นคง น้องๆ เรียนเก่ง และเป็นคนดีทุกคน น้องคนสุดท้อง จะจบพยาบาลในปีหน้า ดิฉันเรียกพี่น้อง มารวมกันหมด และบอกว่า ปีรุ่งขึ้น ดิฉันจะลาออกแน่นอน ทั้งพี่ชาย ๒ คน และน้องๆ ทั้ง ๕ คน ก็เต็มใจ ที่จะมาช่วยกันดูแล ปรนนิบัติพ่อแม่ ในด้านสุขภาพของท่าน ก็ยังมีลูกที่เป็นพยาบาลเหลืออีก ตั้งสองคน

ดิฉัน จึงไม่มีสิ่งใด ที่จะต้องห่วงกังวลอีก

เมื่อดิฉันยื่นใบลาออก เรื่องก็ถูกระงับไว้ พี่หัวหน้าพยาบาล คืนใบลาออกกลับมา ดิฉันถูกผู้ใหญ่หลายท่าน เรียกขึ้นไปพบหลายครั้ง เพื่อให้ดิฉันรับงานราชการต่ออีก หลายท่านเสียดายอนาคต ที่กำลังเจริญก้าวหน้า ของดิฉัน บางท่านก็ห่วงว่า จะไปอยู่ที่วัดได้อย่างไรโดยไม่มีรายได้ ข่าวนี้ดังไปทั้งใน และนอกโรงพยาบาล ตั้งแต่ระดับคนงาน จนถึงแพทย์ และผู้หลักผู้ใหญ่ หลายคนก็อนุโมทนา ในความตั้งใจจริง ที่จะไปทางธรรมของดิฉัน หลายคนก็เสียดาย อนาคตหน้าที่การงาน ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ ดิฉันยื่นใบลาออกขึ้นไปอีก

๑๖ กันยายน ๒๕๓๖ เป็นวันประวัติศาสตร์ ดิฉันไปเซ็นรับทราบคำสั่ง อนุมัติให้ลาออกได้ ต้นเดือนตุลาคมนี้

ดิฉันกลับไปบ้าน เรียนให้พ่อกับแม่ทราบ แม่บอก แม่ใจหายวาบเลย แม่อุตส่าห์ไปบนไว้ว่า ถ้าลูกไม่ลาออก แม่จะบวชให้ ๑ พรรษา

ดิฉันหัวเราะขำแม่

"อ้าว... ทำไมแม่บนไว้น้อยนักล่ะ น่าจะบนบวชตลอดชีวิต สิ่งที่แม่ขอ อาจจะสำเร็จก็ได้"

แม่บอกว่า "แม่รู้ว่าลูกจะไปทำดี แต่ถ้าหากไม่ได้มาเจออโศก เราแม่ลูกก็คง ไม่ต้องพรากจากกัน"

ดิฉันว่า "จากไปที่ไหน ก็อยู่ที่วัดนั่นแหละ แม่คิดถึง ก็ไปเยี่ยมได้"

แม่ยังรู้สึกว่า ถูกแย่งลูกไป สำหรับพ่อ ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ความรู้สึก ก็คงไม่ได้ต่างจากแม่ เท่าใดนัก

เราพ่อแม่ลูก มานั่งคุยกันที่ศาลา ริมสระน้ำหน้าบ้าน คุยกันถึงเรื่องเก่าๆ ตั้งแต่สมัยดิฉันยังเล็กๆ บ้านเราเคยถูกปล้น พ่อเคยถูกโกงเงิน ที่มีคนมายืมไป แล้วไม่ยอมคืนหลายๆ ครั้ง แต่บ้านของเรา ก็ไม่เคย ไปโต้ตอบใครเลย เราอยู่กันสงบมาตลอด พ่อแม่จะสอนลูก แบบคนไทยสมัยก่อน อบรมลูกให้เป็นคนดี ทั้งสองท่าน ชอบทำบุญทำทานอยู่เสมอ

หลายปีมานี้ พ่อได้ไปมอบทุนการศึกษา ให้กับนักเรียน ปีละหลายๆ คน ทั้งๆ ที่บ้านของเรา ไม่ร่ำรวยเลย ครอบครัวของเรา ได้เป็นครอบครัวตัวอย่าง ของตำบลนั้น แม่ก็ได้รางวัล แม่ดีเด่นด้วย พี่น้องทั้ง ๘ คน ก็ได้โล่ ได้รางวัลดีเด่น ในเรื่องความประพฤติ การเรียน และการทำงานเกือบทุกคน ครอบครัวของเรา ขาดอยู่สองอย่าง คือ "ความฉลาดทันคน" พวกเราซื่อเกินไป มักรู้ไม่เท่าทัน เล่ห์เหลี่ยมของคนอื่น

สำหรับ "เงินทอง" แม้จะไม่ถึงกับขาดแคลน แต่ก็ไม่ร่ำรวย พี่น้องทุกคน จะรักกันมาก หากมีใครคนหนึ่ง ดือดร้อน พี่น้องที่เหลือ ก็จะเฮละโลมาช่วยทันที คนที่มาเป็นเขยสะใภ้ ก็เป็นคนดีทุกคน สำหรับตัวดิฉันเอง น้องทั้งห้าคน คือดวงใจ ขนาดดิฉันมาปฏิบัติธรรมแล้ว พอทราบว่า ใครมาทำให้ น้องของเราเดือดร้อน จิตดิฉันก็โลดแล่นไปทันที อยากจะไปจับ คนที่ทำน้องเรา มาตีเข่าเสียให้เข็ด!

เมื่อข่าวดิฉันลาออก ดังออกไป เพื่อนร่วมรุ่นพยาบาล ก็มารวมกันเกือบหมด จากต่างจังหวัดก็มา (ตั้งแต่เรียนจบพยาบาลมา ก็เพิ่งมารวมสังสรรค์กัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก) ดิฉันจึงได้ข่าว ไม่สู้ดีนัก เพื่อนๆบอกว่า

"ไอ้อ้อ แกไปห้ามทัพเร็วๆเข้า ไอ้สองคนนั่น มันแย่ง ซี.๗ กันใหญ่เลย มันจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว"

ชีวิตของฉันที่ผ่านมา อยู่กับการได้ช่วยเหลือ แก้ปัญหาให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทางกาย หรือทางใจ

หันกลับมาดูตัวเอง จิตใจยังพัฒนาไปไม่ได้ถึงไหนเลย (มัวแต่ช่วยคนอื่น) จิตวิญญาณยังหนาไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลงมากมาย พ่อท่านเคยเทศน์สอน เมื่อปีก่อนว่า คนบางคน มีชีวิตเหมือน "จับกัง" รับจ้าง แบกหีบทองคำ ไปให้คนอื่น ได้ค่าจ้าง ๕ บาท ๑๐ บาท ก็เอาไปซื้อฝิ่นมาถุน อยู่นั่นเอง ชาติแล้วชาติเล่า คนที่รับเอาทองคำไป ก็ร่ำรวยกันไปหมดแล้ว ตนเองยังมาหลงเสพฝิ่นอยู่นั่นเอง เปรียบได้กับคนบางคน ช่วยคนได้เก่ง สอนคนได้เก่ง จนคนเหล่านั้น เป็นอรหันต์ไปหมดแล้ว ตนเองยังไปไม่ถึงไหน สอนเก่งๆ เทศน์เก่งๆ คนก็มาศรัทธายกย่องมาก พอได้สรรเสริญมาก ก็พอใจเสพอยู่แค่นั้นเอง ไม่ดูตัวเองว่า ชาตินี้ จะมาเอาอะไร แค่ไหน และไม่ได้พัฒนาตนขึ้นเลย

ดิฉันคิดว่า เทศน์กัณฑ์นี้ เตือนดิฉันโดยตรงเลยแหละ เมื่อเพื่อนๆ มาบอกให้ไปห้ามทัพ เพื่อนที่แย่ง ซี.๗ กัน

ดิฉันดีใจว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป จะพยายามอบรมฝึกตน ขัดเกลาตน จะพยายามเลื่อนฐาน จากการเป็น "จับกัง" ขึ้นมาเป็น "เจ้าของทอง" ให้จงได้

๒๙ กันยายน วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิด ตื่นขึ้นมาตอนเช้า สิ่งแรกที่คิดคือ วันนี้เราจะทำประโยชน์อะไร ให้กับตนเอง เพื่อให้จิตวิญญาณเจริญขึ้นบ้าง ดิฉันนึกถึง พ่อแม่ และหมอตำแย วันที่ดิฉันเกิด สามท่านนี้ คงยุ่งน่าดู หมอตำแยคงตายไปแล้ว ดิฉันคิดพลาง ทำอาหาร ๑ อย่าง เพื่อนำไปให้พ่อกับแม่ที่บ้าน แต่ปรากฏว่า แม่มาหาที่แฟลตพยาบาล ทำกับข้าวมาให้ ๔ อย่าง และมาอวยพรวันเกิดด้วย

ท้องฟ้ายามเช้าตรู่วันนี้ สวยงามอย่างประหลาด แสงเงินแสงทอง ที่ฉายมากระทบหอดูเมือง ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างแบบโบราณ สูงถึง ๘๗ เมตร ตั้งตระหง่าน อยู่ท่ามกลางแมกไม้ เขียวชอุ่ม ทำให้ดิฉันนึกไปถึง อาณาจักรของบาบิโลน ในเทพนิยาย

พอค่ำลง ดวงจันทร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ ก็ลอยเด่นขึ้นบนท้องฟ้า งามกระจ่าง วันนี้เป็นวันโกน ดิฉันนึกขึ้นมาได้ว่า แม่เล่าว่า เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน วันนี้เป็น "วันพระ" และดิฉันเกิด ตอนพระ กำลังออกบิณฑบาตพอดี

๓๐ กันยายน ดิฉันยืนดูตนเอง ในเครื่องแบบสีขาว ในกระจกเงา อาจารย์เคยสอนไว้ว่า เวลาติดกระดุมและเข็มเครื่องหมาย ให้เอา "งูพันคบเพลิง" ชี้ขึ้นให้เป็นระเบียบ ชุดขาวต้องเรียบ ขาวสะอาดอยู่เสมอ ดิฉันก็ได้ปฏิบัติตามมาโดยตลอด วันนี้เป็นวันสุดท้าย ที่เราจะได้สวมเครื่องแบบสีขาว

เราสวมเครื่องแบบมาสิบปีกว่า ดิฉันไม่เคยมองตัวเอง ว่าสวยงามเลยจริงๆ แต่วันนี้ ทำไมผู้หญิงในกระจกเงาตรงหน้า จึงสวมชุดขาวได้พอเหมาะพอดี และงามสะอาดตาเหลือเกิน หรือว่าวันนี้ กระจกมันหลอกเรา! (สงสัยจะหลอกจริงๆ!)

ที่โรงพยาบาล ตึกผู้ป่วยนอก ๗ ชั้น กำลังจะสร้างเสร็จ รอรับตำแหน่งใหม่

แฟลตพยาบาลสีเขียวมรกต ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ส่งกลิ่นหอม โดยเฉพาะซุ้มดอกราตรี ที่อยู่หน้าแฟลต มันจะส่งกลิ่นหอมอบอวลขึ้นมา จนถึงชั้นสาม เวลาดิฉันลงเวร มาตอนเที่ยงคืน อาบน้ำเสร็จ ก็นอน ได้กลิ่นดอกราตรี จนหลับไปทุกคืน บอกกับตัวเองว่า "ยังกะอยู่บนวิมานเลยเรา"

คนงานที่ทำความสะอาดแฟลต ก็ชอบเอาดอกจำปี มาให้เสมอ บางวัน ดิฉันนอนหลับอยู่ในห้อง เขาก็จะวางดอกจำปี ไว้ให้ที่หน้าห้องเป็นประจำ

เจ้า "สะเก็ดศักดิ์" (ดิฉันตั้งชื่อให้มันเอง) สุนัขแสนรู้ ที่จงรักภักดี มันจะวิ่งรับวิ่งส่งดิฉัน เวลาขึ้นเวรลงเวร ตอนเช้าวันไหน ดิฉันไปออกกำลังกาย มันก็จะวิ่งตามไม่ห่าง แต่ก่อน มันเป็นขี้เรื้อนทั้งตัว ไม่รู้ใครเอายาทาให้มัน เดี๋ยวนี้ขี้เรื้อนหายไปหมดแล้ว ขนขึ้นเต็มตัว เรียงเป็นระเบียบ หนานุ่มสีขาว สวยงามมาก แต่ดิฉันก็ยังเรียกมันว่า "สะเก็ดศักดิ์" อยู่ดี ดูมันจะพอใจกับชื่อนี้ด้วย เพราะเรียกชื่อมันทีไร เหมือนมันจะยิ้มๆ อย่างพอใจทุกครั้ง

บ้านของดิฉันก็ร่มรื่น อยู่ท่ามกลางแมกไม้ และดอกไม้นานาพันธุ์ สระใหญ่หน้าบ้าน มีดอกบัวบานสะพรั่งอยู่เต็มสระ ส่งกลิ่นหอมไปทั้งสระ และยังมีน้องๆ ทั้งห้าคน ที่ดิฉันรักมากกว่าสิ่งใดๆ

บัดนี้ดิฉันได้ตระหนักแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่งของ บุคคลที่เรารัก เราคิดว่าเป็นของเรานั้น แท้จริงไม่มีอะไรเป็นของเราเลย เราเป็นเพียง "ผู้ดูแลชั่วคราว" เท่านั้น อีกไม่ช้า เราก็ต้องจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไป เพียงแต่ช่วงที่สิ่งเหล่านี้อยู่กับเรา เราควรทำหน้าที่ของ "ผู้ดูแล" ให้ดีที่สุด เท่านั้นเอง

คิดถึงพ่อแม่ แม้ท่านจะไม่เต็มใจนัก ท่านต่อต้าน ตั้งแต่สมัยดิฉัน เริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ผลจากการปฏิบัติธรรม ได้ขัดเกลาดิฉันเรื่อยๆ ทำให้นิสัยดีขึ้น จนพ่อแม่ไม่ต่อต้าน แต่ก็ต้องใช้เวลา ยาวนานพอสมควร ท่านจึงจะเข้าใจ

วันที่ดิฉันจะมาอยู่วัด ทั้งครอบครัวจะยกขบวนมาส่ง คนที่ไม่เคยมาวัดเลย ก็จะมาดูว่า ดิฉันจะมาอยู่อย่างไร จะลำบากหรือไม่ เตรียมของยังกับว่า ดิฉันจะออกไปรบอย่างนั้นแหละ ดิฉันหัวเราะขำ พ่อแม่ กับพวกพี่น้อง "ไม่ต้องไปส่งหรอก ฉันจะไปเอง เอากระเป๋าใบเดี๋ยวแหละ"

ดิฉันนั่งทบทวนชีวิต ๓๓ ปีที่ผ่านมา ชีวิตเราก็เหมือนละครบนเวที บางครั้ง ก็ได้เล่นบท"นางเอก" (รูปร่างดำๆ น่าเกลียดอย่างดิฉัน อาจเป็นนางเอกได้ ในเรื่อง "นี่หรือคน!" หรือ "เงาะป่า ภาคพิสดาร!") บางครั้ง ดิฉันก็เล่นบท "นางร้าย" (บทนี้ถนัดมาตั้งแต่เกิด) ชีวิตขึ้นลง โลดโผน มีครบทุกรสชาติ ดีใจ เสียใจ เมตตา โกรธแค้น ขมขื่น ชื่นใจ... นับแต่บัดนี้ไป ดิฉันพอใจที่จะเล่นบท "ตัวประกอบ" ที่เล็กๆ เงียบๆ มีชีวิตผ่านไปวันต่อวัน อยู่กับการมองตน ขัดเกลากิเลสออกไปเรื่อยๆ และพอใจที่จะเล่นบทนี้ ไปเรื่อยๆ จนตลอดชีวิต

มนุษย์ทุกคน ต่างก็มีเป้าหมายชีวิตของแต่ละคน แต่จะมีสักกี่คน ที่ได้ก้าวเดินบนเส้นทาง อุดมการณ์ที่ตนใฝ่ฝัน รอคอย

ดิฉันนึกถึงบทกวี ที่มีผู้แต่งไว้ อย่างกินใจว่า

"มีเส้นทาง มากสาย รอให้ก้าว
ทั้งเพริศพราว พร้อมสุข สนุกสนาน
ต่อเติม เสริมสร้าง อลังการ
ทะเยอทะยาน ให้ถึง ซึ่งหลักชัย
เหน็ดเหนื่อย หนักหนา มานานนับ
กี่กัลป์ กี่กัปป์ ก็ทนไหว
วนแล้ว เวียนเล่า เกินเข้าใจ
ที่สุดเหลือ สิ่งใด ให้ชีวี
แม้มีทาง มากสาย ให้เลือกมาก
ก็จะทน ลำบาก อยู่ที่นี่
ด้วยซาบซึ้ง คุณงาม และความดี
ขอพลี ใจกาย ถวายธรรม"

เมื่อ "วันนี้ที่รอคอย" ในชีวิตของดิฉันมาถึง "วันนี้...ที่รอคอย" จึงเป็นบันทึกเรื่องราว เรื่องสุดท้าย ในชีวิตของลูกไกลพ่อ ขอปิดฉากชีวิต ของลูกไกลพ่อ "ภาคบนดิน" ลงแต่เพียงเท่านี้

Happy Ending

ลูกไกลพ่อ (ฉบับสุดท้าย)
๑ ตุลาคม ๒๕๓๖ : ๒๓.๔๐ น.

หมายเหตุ อาจมี "ภาคสวรรค์" อีกก็ได้ หากไม่ตกสวรรค์เสียก่อน หรือต่อไป อาจมีภาค "พระมาลัย... ท่องนรก" แต่งานนี้ ไม่ได้ไปโปรดสัตว์ แต่อาจไปตกนรกเสียเอง! อย่างไรก็ตาม ต้องขอกราบ ขอบพระคุณ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ท่านที่คอยชี้แนะ และท่านผู้มีอุปการคุณ ต่อผู้เขียนมาโดยตลอด.

(สารอโศก อันดับ ๑๖๖ ตุลาคม ๒๕๓๖ หน้า ๒๐ - ๒๕)

- เจริญธรรม สำนึกดี -


กลับไปอ่านตอนแรก
 ๑. ยามยาก