ย้อนกลับ
หน้าแรก
หน้าต่อไป
 


เพียงแค่นี้ เท่านั้น ถ้าผู้ใด เรียนรู้ตัวตนในตน (สักกายะ) และฝึกละผึกเลิกให้ได้ (นี้คือ การศึกษา)

ก็จะเป็นผู้มี ‘ภูมิรู้ของคนประเสริฐ ‘ จริง ระดับแรก

ซึ่งมันยังมีอยุ่ ทั้งพฤติกรรมทางกายกรรม - วจีกรรม อันมาแต่ ใจเป็นประธาน ที่ยังติด ยังอยาก ยังใคร่ ยังเสพ ยังไม่ได้ลด ไม่ได้ล้างไปจากใจจริงได้ นั่นเอง

ผู้ละได้ เลิก "อามิสสุข" แค่นี้ได้ก่อน ก็ชื่อว่า ผู้เจริญผู้พัฒนาได้จากปลักตมขึ้นต่ำมาก

เพราะใน "สุข" ที่คนหลงเสพรส ดังตัวอย่างข้างต้นนั้น แม้หมามันก็ยังไม่ทำ ทำไม่เป็นอยุ่เกือบทั้งสิ้นแล้ว

ดังนั้น ก่อนที่ใครจะไปริษยาหมา ตัวที่หลง "อามิสสุข"

ในอาหารก็ดี ที่นอนก็ดี เป็นต้นนั้น ซึ่งยังเป็น "กาม" ขั้นสูงกว่าอบายมุขเสียอีก และก็เพราะคนแท้ ๆ ที่ไปมอมเมาแก่มันด้วยการปรุงแต่งย้อมยั่วมัน จนจิตวิญญาณมันตกต่ำหลงเสพติดปานนั้น

ก็ต้องตรวจตน ทำตนให้พ้น "อามิสสุข" ที่แม้แต่หมามันก็ยังไม่หนักหนา รุนแรง ตกต่ำยิ่งกว่านั้น กันก่อนเถิด

การละ เลิก "อามิสสุข" ที่เป็นการติด การอยาก การใคร่ การเสพ คือ ยังเป็น "กาม" อยู่ในขั้นผลาญพร่า ต่ำหยาบ ไร้ค่า - ไร้คุณแก่ตน แก่สังคม ขั้นที่ พระบรมศาสดาแห่งพุทธ ทรงเรียกว่า ขั้นต้น ขั้นต่ำ ขั้นอบายมุข และศีล 5 ของปุถุชนนี้ เป็นการพัฒนาตน เป็นประโยชน์แก่ตน เป็นคุณค่าของตนโดยตรงและ เป็นประโยชน์คุณค่าแก่สังคม แก่ผู้อื่นโดยอ้อมด้วย

ตนจะประเสริฐ จึงจะต้อง ศึกษา "นิวรณ์ 5 ลดนิวรณ์" โดยเฉพาะ นี้ก็เพียงกล่าวถึงกันแต่แค่ข้อต้น 1 ใน 5 คือ "กาม" ข้อเดียวเท่านั้น

คือ ลด "ความอยาก - ความใคร่ - ความติด - ความเสพ" ในอบายมุขต่าง ๆ และรวมเรื่องพ้นความหยาบต่ำใน ศีล 5 ตามที่กำหนดไว้ ก็ขั้นต้น ๆ พื้นฐาน [ ยังไม่ได้กำหนดความหมายสูงยิ่งขึ้นกว่าไปอีก อันเรียกว่า "อธิศีล" ] ดังได้ชี้แจง ไล่เรียงมาให้ฟังแล้ว

และได้ฝึกตน จนกิเลส "กาม" เท่าที่กำหนดไว้นี้หมดไป สงบไปจากใจได้แท้ ๆ แน่ ๆ

นี้คือ "การศึกษา" ที่สำคัญ ที่จำเป็นที่สุด ในการแก้ปัญหา สังคม - เศรษฐกิจ - การเมือง ของมนุษย์ในระดับต้น โดยเฉพาะ มนุษย์ที่กำลังหลงตนว่า ฉลาด และเจริญกันเหลือเกินในโลกยุคปัจจุบันนี้

ไม่ว่าใครใด จะเป็นคนจน หรือ คนร่ำรวย จะได้ร่ำเรียนความรู้ทางโลก - ความรู้ทางเทคนิคเก่งกาจสูงส่ง จบปริญญาตรี - โท - เอก หรือไม่ได้เรียน ไม่ได้เก่งกาจ ก็ตาม ถ้ามี "การศึกษาา" ดังที่กำลังเน้นชี้ หรือมีความเสริฐในลักษณะดังที่กำลังกล่าวกันอยู่นี้มากพอ จะมีผลกระทบ จะมีการเปลี่ยนแปรสังคมไปสู่การพัฒนา ทั้งด้านเศรษฐกิจ และการเมืองเข้าสู่ความเป็น พหุชนหิตายะ - พหุชนสุขายะ - โลกานุกัมปายะ หรือ คือ เป็นสังคมนิยม เป็นทั้งประชาธิปไตยนั่งเอง ดังที่โลกทุกค่ายมุ่งหมายนั้นแหละ ได้อย่างถูกตรง แม่นเป้า ไร้การซ่อนแฝง - ซับซ้อน - พรางลวง ให้จริงแท้ที่สุด อย่างสันติ อิสรเสรึ เป็นภราดร มีสมรรถนะ ที่สุด

เพราะคนยิ่งโง่ ยิ่งไร้ "การศึกษา" ทางโลกุตรธรรม มากเท่าใด

แถมยิ่งเร่ง ยิ่งให้ฉลาด "การศึกษา " ทางโลกียธรรม ทางความเก่ง ความสามารถที่ได้เปรียบหรือได้ล่าลาภ - ยศ - สรรเสริญ - โลกียสุข มากยิ่ง ๆ ขึ้นเท่าใด ๆ

การขยายตัวทับทวีอย่างผิดคาด (Exponential Growth) ของความไม่ดี ก็ยิ่งร้าย ยิ่งลึก

การแก้ไขปัญาสังคม - เศรษฐกิจ - การเมือง ก็ยิ่งล้มเหลวยิ่ง ๆ ขึ้น

ความสูญเสีย - ผลาญพร่า - แย่งชิง - แตกร้าว - ขาดแคลน - ยากจน -ฆ่าแกงกัน - อำมหิตโหด - ความเห็นแก่ตัว - ความเสพ - ความสะสม ฯลฯ

หรือ ความทุกข์ร้อนของคน ของประเทศของสังคม - เศรษฐกิจ - การเมือง ยิ่งทับทวีเป็นปฏิภาคเพิ่มพูนหนักขึ้น ทั้งเลือดเย็น และเลือดร้อน

ที่เรากำลังกล่าวนี้ ไม่ใช่เราต่อต้าน หรือ ดูถูกการศึกษาทางเทคนิค หรือ จะไม่ให้มีการศึกษา ทางโลกียธรรม

แต่เรากำลังให้เห็นชัดถึง ความ "ขาดดุล" ของการศึกษา

มนุษย์ต้องมี "ความรู้" (วิชา หรือ วิชชา) ทั้ง 2 อย่างสมดุลกัน จึงจะเป็น "สังคมมนุษย์ที่สุขสงบสามัคคี"

สังคมทุกวันนี้ มันเฟ้อ มันล้น มันหลง "คดีโลก " หรือ "โลกียสุข" ศึกษาล้นทางโลกียธรรม แต่ไม่รู้จัด หรือ ไม่มี "ความรู้ " ที่เป็นผลของการศึกษา ใน "คดีธรรม" ใน"อุปสมสุข" หรือ "วูปสมสุข" คือ ศึกษาด้อยทางโลกุตตรธรรมอย่างยิ่ง

มันเอียง "สุดโต่ง" ไม่มี "ความรู้" กันแต่ใน โลกียสุข - กามสุขขัลลิกะ และแข่งขัน เข่นฆ่า แย่งชิงกัน จนเป็น อัตตกิลมถะ กัน กันขนาดหนัก จนสุดจะทนทานแล้ว เขาก็ไม่รู้ตัวกันเลย โดยเฉพาะสุดโต่ง ในเรื่อง อัตตกิลมถะ ที่ร้ายลึก

มันเต็มไปด้วย "ความสุดโต่ง" ทั้ง 2 ข้าง ทับถมซับซ้อนซ่อนเชิงกันหนักหนาเท่าใด ๆ เป็น "การขยายตัวทับทวีอย่างผิดคาด " จัดชัดแล้ว ก็ไม่รู้ตัวกัน

ป่วยการกล่าวไปไย แม้แต่สถาบันพุทธศาสนาเองแท้ ๆ ก็ยังไม่รู้ "ความทับถมซับซ้อนซ่องเชิงของตน - ของโลก" จนแม้แต่ การศึกษา - สถาบันการศึกษา ทาง การศาสนาเอง ก็ยังถูกพอก ถูกหุ้มด้วยคดีโลก จนดึงตัวเองลงไปเกลือกกลั้วกับ "โลกียประโยชน์" เพื่อได้มาซึ่งลาภ - ยศ -สรรเสริญ - โลกียสุข กันจนหนักหนาหน้าเห็น ๆ กันชัดอยู่ปานใด ๆ เก่งและเร่งรัดกันแต่ปริยัติ ส่วนการปฎิบัติ แม้ขั้นพื้นฐานตาม่ที่กล่าวถึงอยู่นี้ ก็ยังมั่นใตจตนไม่ได้ว่า เราจะมีปฎิเวธธรรมหรือบรรลุปรมัตถธรรม กันบ้างหรือหาไม่

ที่กล่าวนี้ ก็ใช่ว่า จะเจตนาทับถมข่มขี่อะไรก็ไม่เลยแต่เจตนาให้มัน่ชัดเจน หรือย้อนทวนให้ไปตรวจตรากันดี ๆ

สังคมที่มี ที่เป็นอยู่ช่นอย่างทุกวันนี้ นี้ ถ้าแม้นกล่าวถึงความเป็นจริง มีจริง ที่เป็นแง่ไม่ดี กล่าวตำหนิความผิดพลาดบกพร่องแล้ว มันจะต้องกระทบความจริงเพราะของจริงที่มีจรง มันมีจริง เพราะมีมากด้วย ความไม่ดีมันเป็นจริงมีมาก จึงเลี่ยงยาก เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะกระทบแถมยิ่งห้ามไม่ให้พูดกัน ก็เลยยิ่ง "ม่รู้ตัวจริง "กัน

แต่พอพูดถึงความดี กลับมีน้อย กลับไม่มีความเป็นได้จรง มีจรง พอให้ได้อ้างอิง จึงไม่ค่อยกระทบ แต่ถ้า "ความดี" ที่ผู้พุโเองมีได้ เป็นได้เองแล้วคนเดียว หรือมีในหมู่คนดีด้วยกันก็แต่เพียงน้อยคน แม้จะพูดเนื้อหาความดีนี้ เท่านั้น ดดยไม่ต้องกล่าว่า "ตนเป็น" เขาก็หาว่า ยกตัวอวดตนเอล้ว ยิ่งเอาตัวเองขึ้นอ้างอิงเป็นตัวอย่าง เป็นหลักฐานเลยว่า ความดีนั้น ตนบรรลุได้ - ตนเไป็นได้ เขาก็ยิ่งว่ายกตัวข่มคนอื่นกันหนักไปเลย

ด้วยเหตุนี้แหละ นักประชาธิปไตย ที่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตย แต่เพียงยึดถือเอา ปริมาณมากเป็นค่า เป็นเกณฑ์ หรือรู้ประชาธิปไตยแต่เพียงผิวเผิน เขาจึงถือว่า..หากเอาแต่เรื่องขงอคนที่มีได้ เป็นได้ เพียงส่วนน้อย มาพูดมายกอ้าง หรือมายกย่องนั้น ไม่เป็นประชาธิปไตย

จะให้ยกย่อง "ความเป็นส่วนน้อย " แม้ดีจริง ดีเยี่ยมเป็นใหญ่นำในสังคม เป็นธงอธิปไตยให้แก่สังคมนั้น เขาก็ไม่ยกย่อง ทั้ง ๆ ที่เขาก็ยอมรับแล้วว่า เป็นคววามดี

เขาก็จะยังคงยึดถือเอา "ความเป็นส่วนใหญ่ " แม้จะไม่ดีก็ตาม นั่นแหละ เป็นใหญนำใหนสังคม เป็นธงอธิปไตยให้แก่สังคม

ดังนั้น ตราบใดที่สถานภาพแห่งความมีจริงเป็นจริง ยังมีคนส่วนมากไม่ดีพอ ยังมีคนส่วนมากบกพร่อง

และผู้จะช่วยกันสร้างสรรค์ประชาธิปไตยนั้น ก็มี การศึกษา หรือ มีความรู้ แค่เพียงยึดถือเอา "จำนวนหรือปริมาณมากเท่านั้น เป็นครื่องวัดค่าของอธิปไตยในประชาชน"

ตราบนั้น ประชาธิปไตย หรืออธิปไตยของประชาชนกลุ่มนั้น ได้ล้มเหลวแล้ว

เพราะความรู้ในเรื่องอธิปไตยของสังคม หรือของประชาชนกลุ่มนี้น จะมีค่าเท่ากับคำว่า "โลกาธิปไตย" หรือสุดโต่ง ไปข้าง "โลกาธิปไตย"

 

ย้อนกลับ
หน้าแรก
หน้าต่อไป