๕. ตายสวย ตายหอม ตายดัง
มะม่วงออกช่ออีกแล้ว ปีนี้กระทบกับอากาศหนาว จึงออกดกผิดปกติ บางต้นมีแต่ช่อมองไม่เห็นใบเลย บางคนวิตกว่า ช่อมาก ลูกจะติดมาก ตามไปด้วยไหมหนอ เพราะถ้าไม่มีฝนชะช่อ มะม่วงจะติดลูก ไม่มากเท่าไหร่ ยิ่งมีหมอกลงจัด ยิ่งแย่ใหญ่
มะม่วงจะติดลูกมากหรือน้อย คงจะไม่กระไรนัก ที่สำคัญคือ มะม่วงได้เตือนเราว่า ผ่านไปอีกปีหนึ่งแล้วนะ เดี๋ยวปี เดี๋ยวปี เร็วจัง มะม่วงออกช่ออีกที เราก็แก่ไปอีกหนึ่งปี เคยคิดหรือไม่ว่า เราอาจไม่มีโอกาส เห็นมะม่วงออกช่อ ในปีหน้าอีกก็ได้ ใครจะรู้
ใครปลูกมะม่วงทะวาย มะม่วงสามฤดู ก็เห็นช่อปีละหลายครั้ง จนเป็นธรรมดา มองไม่เห็นถึงการเตือน ของมะม่วง โลกมักเป็นเช่นนี้ โดยธรรมชาติบ้าง โดยมนุษย์บ้าง ได้กลบเกลื่อน บิดเบือน บดบังความแก่เอาไว้ จนคนเราลืมแก่ ลืมตาย มีความรู้สึกเหมือนว่า จะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ ตลอดไป ชั่วนิรันดร์
งานศพ เป็นการเตือนถึงเรื่องความตาย ได้เป็นอย่างดี แต่ในสมัยนี้ ก็มองเห็นได้ยาก จะมีสักกี่คน ที่เห็นร่าง ซึ่งนอนสงบนิ่ง ให้ใครต่อใคร ไปกราบ ไปไหว้ กำลังขึ้นอืด น่าขยะแขยง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่นาน เป็นร่างที่สุดหล่อ สุดสวย กรีดกราย อยู่ในสังคม
มองไม่เห็น เพราะปิดบังไปด้วยของสวยๆ ดอกไม้ที่ข้างศพก็ประชันขันแข่งกัน บางงาน ตกแต่งเสมือนหนึ่งห้องประกวดดอกไม้นานาพันธุ์ มีแต่ดอกพรึ่บไปหมด ดอกก็สวย กลิ่นก็หอม น่ารื่นรมย์ เหมือนอุทยานในฝัน ฝันของคนที่พยายามหนีความจริง
เราน่าจะหันมาเผชิญกับความจริง เลิกทำเรื่อง ที่ไร้สาระ เลิกหลอกลวงกัน งานศพไม่ต้องมีดอกไม้ประดับได้ไหม พวงหรีด ก็ไม่ต้องซื้อหาไป ให้สิ้นเปลือง เงินทอง โลงสวยๆ ก็เปลี่ยนเป็นโลงแก้ว โลงพลาสติก ที่มองเห็น ทะลุปรุโปร่ง ไม่ดีหรือ คนที่ไปงานศพ จะได้อะไรดีๆ กลับไปบ้าง
ไปกินอาหารว่าง ได้ฟังมโหรีขับกล่อม บางงาน ก็แถมมีฟ้อนรำหน้าศพ ให้ดูด้วย ไปงานศพ หรือไปงานเลี้ยงรุ่น ที่น่าคิดก็คือ จัดงานศพฆราวาสยังไง ก็จัดงานศพพระ ยังงั้น มีครบทุกอย่าง ประดับด้วยดอกไม้ ประโคมด้วยพิณพาทย์ ลาดตะโพน ประจานด้วยมหรสพ ลำตัด ลิเก โขน หนัง ซึ่งผู้ที่ถือ เพียงศีล ๘ ก็เลิกเกี่ยวข้องแล้ว
เคยสวดศพกันยังไง ก็สวดกันไปอย่างงั้น สวดเป็นภาษาบาลี อ้างว่า สวดให้ผู้ที่ นอนในโลงฟัง บางรายผู้ตาย เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เป็นถึงเจ้าอาวาส เป็นนักสวด ชั้นยอด มรณภาพลง ก็เอาพระลูกศิษย์ มาสวดให้ท่านฟัง จะอ้างเหตุผล ข้างๆดูๆ ยังไงๆ ก็ฟังไม่ขึ้น
เราทำไป ตามประเพณีเละๆอย่างนี้ คนแล้วคนเล่า ถ้าไม่ยืนหยัดยืนยัน แก้ไขให้ถูกต้อง ทำอะไร ให้มีเหตุผลเสียบ้าง แล้วจะไปแก้ เอาเมื่อไร ชาติหน้า หรือชาติไหนๆ ก็แก้ไม่ได้ทั้งนั้น
เมืองไทยเราร่ำรวยอะไรกันนักหนา ถึงได้มาผลาญมาพร่าด้วยงานพิธีฟุ้งเฟ้อ เด็กตายเพราะขาดอาหาร ปีละเป็นหมื่นๆ บางแห่ง ต้องผลัด กันหยุด ผลัดกันไปโรงเรียน เพราะใส่เสื้อผ้า ชุดเดียวกัน
อย่าเข้าใจผิดว่า เจ้าภาพทุกราย ที่จัดงาน ใหญ่โต ล้วนแล้วแต่ฐานะดี กู้เขามาเสียก็มาก เอาที่เอาทางไปขาย ไปจำนอง เพื่อจัดงานใหญ่ กันเสียหน้า
ใครจะช่วยแก้เรื่องนี้ได้ ถ้าไม่ใช่เรา เอาละ ขัดเขาไม่ได้ เตือนเขาไม่ได้ เนื่องจากทำกัน เป็นประเพณี มานานแล้ว ตัวเรา คู่ครองเรา ลูกเราล่ะ คิดจะแก้บ้างไหม
ป่าวประกาศปาวๆ ทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ สวดศพเท่านั้น เท่านี้คืน ทำให้ใครต่อใคร ต้องวุ่นวายกัน อยู่บางเขน ไปงานศพที่บางแค อยู่บางแค ไปบางเขน วันหนึ่งๆ สูญเสียค่าน้ำมัน เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
ทำไมไม่ยกศพให้โรงพยาบาล ถ้าเขามีพอแล้ว ก็น่าจะรีบเผา เผาโดยไม่ต้องรอญาติที่อยู่ไกล รีบเผาตามคำตรัสของ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจะประกาศ ให้ใครรู้ ก็ประกาศเพียงว่า "เขาไปเสียแล้ว" ผู้สนิทมักคุ้น จะได้ไม่ต้องติดต่อเก้อ
จะรักใคร่ ชอบพอกัน ขนาดไหน ก็ทำกันเสียตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่ เผาทำไมปราสาทหลอกๆ เผาทำไม กระดาษที่บรรจง ทำเป็นรถเก๋ง ราคาล้าน ถ้าแน่จริง ว่าคนตายจะได้รับ ทำไมไม่เผาของจริงๆ ส่งไปให้เล่
การติดกัณฑ์เทศน์ ในงานศพเดี๋ยวนี้ ถวายเงินมากน้อย ตามยศของพระที่มาเทศน์ เป็นเรื่องแปลกใหม่ ที่ได้ไปพบ ไปเห็นมา มีการกำหนด กฎเกณฑ์ว่า พระชั้นยศนั้น อย่างต่ำต้องติดกัณฑ์เทศน์ กี่พัน กี่หมื่น ถ้าถวายสูงกว่า ราคาขั้นต่ำ ขึ้นไปได้เท่าไหร่ แสดงถึงความมั่งมี ความมีหน้ามีตา ของเจ้าภาพเท่านั้น
ใครล่ะ ที่จะแก้ ถ้าไม่ใช่ฆราวาสอย่างเราๆ ท่านๆ พระท่านเรียกร้องตรงๆ ไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่สาระแน ไปจัดการให้ท่าน จนกระทั่ง เป็นประเพณีเละๆ สืบต่อกันไปอีก
นี่ถ้าไม่มีมูลนิธิที่ช่วยเผาศพอนาถาให้ คนยากจนอนาถา จะไม่มีสิทธิ์ตายแน่ๆ โดยเฉพาะในกรุง - เมืองที่ อะไรต่อมิอะไร คิดเป็นเงิน แพงๆทั้งนั้น
น่าจะมีเมรุเผา ตามธรรมชาติ เผาไม่เสียเงิน เจ้าภาพหาเชื้อเพลิง มาเผาเอง ถ่าน ฟืน หรือเสื้อผ้า ที่สะสมไว้ เป็นตู้ๆ จะได้มองเห็นของจริง ได้ปลง ได้ละ ได้ลด ความโลภ ความบ้าคลั่ง อำนาจ ลงเสียบ้า
งานศพ นอกจาก จะแสดงการตายสวย ตายหอมแล้ว ยังต้องตายให้ดังอีกด้วย พลุยิ่งมีจำนวนมาก ยิ่งดังแสบแก้วหู เท่าไหร่ ย่อมหมายถึง ศักดิ์ศรีอันสูงส่ง ของคนตายเท่านั้น
นอกจากของชำร่วย ของแจก ติดไม้ติดมือ ผู้มาในงานศพแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ ในสมัยนี้ก็คือ หนังสือเผยแพร่ เกียรติคุณ ของผู้ตาย มีรายไหนบ้าง ที่เขียนตรงไป ตรงมาว่า ผู้ตาย เมื่อครั้ง มีชีวิตอยู่ เลวอย่างนั้น ชั่วอย่างนี้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้ผู้อ่าน ระมัดระวัง ไม่ชั่วตาม ไม่มี อย่าหาเสียให้ยากเลย ที่จะเขียน บอกกล่าวกันจริงๆ
ถ้าตายแล้ว คิดจะจัด งานศพใหญ่โต มีแขกเหรื่อไปกันเยอะๆ เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะเตรียมพูด อัดเสียง ตัวเอง เอาไว้พูดกับแขก ในวันงาน วิจารณ์ตัวเอง ให้หมดเปลือก ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว ที่ตนเองสร้างไว้ จะแปลกใหม่ และเป็นสาระ ประโยชน์ ต่อแขกผู้มาในงาน เป็นอย่างยิ่ง ฟังเสียงกันชัดๆ ฟังกันให้ซึ้ง อยากจะเตือนอะไร อยากสั่งเสีย อะไร ทำได้ทั้งนั้น
คงจะดีกว่าแจกหนังสือเป็นไหนๆ ลงทุนก็น้อยมาก มิหนำซ้ำ ถ้าเป็นคติซาบซึ้ง ตรึงใจ เจ้าภาพ อาจอัดเท็ป ขายเผยแพร่ บำรุงการกุศล ได้อีกด้วย เรียกว่า ได้บุญทั้งขึ้น ทั้งล่อง ขายได้เงินมากๆ แล้วไม่รู้จะเอาไป บำรุงอะไร ให้เกิดบุญกุศล ที่แท้จริง ก็ถามกันได้
มกราคม ๒๕๒๖
อ่านต่อ ตอน ๖ |