ความคิดเห็นผมขณะนี้ คือ อยากจะให้มีการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ทั่วประเทศ ว่าเขาเห็นด้วย กับการเป็น ประชาธิปไตยยิ่งขึ้น หรือว่าเห็นด้วยกับ การที่จะดึงมาสู่ ระบอบเผด็จการ อีกครั้ง
ณะนี้ทุกท่านก็ทราบว่า มีบุคคลสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการให้มีประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น เมื่อครบบทเฉพาะกาล ๔ ปี ในวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๖ อีกฝ่าย ต้องการให้เป็น เผด็จการ ต้องการให้ข้าราชการประจำ มาเป็น รัฐมนตรี มาเป็นนายกฯได้ ต้องการยืดอำนาจ วุฒิสมาชิก ออกไปอีก ๔ ปี เพื่อค้ำจุนตัวเอง ส่วนการเลือกตั้ง แบ่งเขต รวมเขต แบ่งหมายเลข รวมหมายเลข เป็นประเด็นบังหน้า อันนี้ไม่ต้องถามประชาชน มันก้ำกึ่งกัน
จะว่าผมเชิญชวนก็ได้นะครับ ใครที่มีความคิดสนับสนุนเผด็จการ โผล่ออกมาเลย จัดให้มีการโต้กัน ระหว่าง คนที่มีความคิด สองฝ่าย จะโดยทางเวที ของสถาบันศึกษา ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ หรือ มหาวิทยาลัยอะไรก็ได้ หรือจะให้ดี ออกโทรทัศน์ ออกวิทยุ ว่ามีความเห็นอย่างไร ว่าการไปสู่ประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น หรือการจะดึงไปสู่ เผด็จการ ชาติมันจะรอด
ประชาชนที่เขาติดตามการเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็จะได้เขียนจดหมายมาถึงส.ส. ถึงวุฒิสมาชิก แสดงความคิดเห็นออกมา เราจะได้ไม่เอาไปอ้างกัน พล่อยๆว่า "ผมไปจังหวัดโน้น ประชาชน ให้ทำอย่างนี้" มันทุเรศ นี้คือ ความคิดเห็นของผมขณะนี้ ถ้ามีเวทีไหน ก็ขอให้บอกกันด้วย ผมคนหนึ่งละ ที่ไม่เห็นด้วย กับการที่จะให้ ข้าราชการประจำ มาเป็นรัฐมนตรี หรือนายกฯ ในขณะเดียวกัน คือ เอาทั้งสองตำแหน่ง ในขณะเดียวกัน ข้าราชการประจำด้วย รัฐมนตรีด้วย หรือ เป็นนายกฯ ด้วย ผมไม่เห็นด้วย แล้วก็ไม่เห็นด้วย ที่จะให้ ยืดอำนาจ วุฒิสมาชิก ต่อไปอีก ๔ ปี
ส่วนการเลือกตั้งแบบใหม่แบบเก่า อย่างที่ผมเรียนให้ทราบแล้วว่า นั่นเป็นเพียงประเด็นบังหน้า ไม่จำเป็น ต้องมาพูด ให้เสียเวลา มันก้ำกึ่งกัน จะเอาอย่างไร ก็ไม่มีผล แตกต่างกันเท่าไร สำหรับส่วนตัวผม ผมพร้อม ที่จะโต้กัน ที่ไหนก็ได้ ทั้งที่ผมเป็นทหาร และ วุฒิสมาชิก ถ้าจะเอาพลเรือนมา เดี๋ยวจะหาว่า พลเรือนเกลียดทหาร
จะเห็นว่า ประเด็นในการเปิดสภานั้น เขาพูดเรียงลงมา ใช่ไหมครับ จากการที่ผู้สื่อข่าว เสนอข่าวว่า ประเด็น ที่หนึ่ง เปลี่ยนแปลง การเลือกตั้ง ประเด็นที่สอง ยืดอำนาจ วุฒิสมาชิก และ ประเด็นที่สาม ให้ข้าราชการ ประจำ มาเป็นรัฐมนตรี มาเป็นนายกฯได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว ความสำคัญ มันกลับกัน เขาไม่กล้าพูดตรงๆ ซึ่งจริงๆแล้ว ที่เขาต้องการ มากที่สุด คือ ต้องการให้ ข้าราชการประจำ มาเป็นรัฐมนตรี มาเป็นนายก รัฐมนตรีได้ ที่เขาอยากได้รองลงไปคือ ให้วุฒิสมาชิก ยืดอำนาจออกไป อีก ๔ ปี ส่วนเรื่อง การเลือกตั้ง อย่างที่บอก เป็นเรื่องบังหน้า โกหกได้เฉพาะเด็กๆ
ความคิดของผมที่จะชี้ชวน เพราะเราไม่มีทางเลือกแล้ว หาที่พึ่งยากเสียแล้ว มีที่พึ่งอย่างเดียว คือ ประชาชนเห็นอย่างไร ก็เขียนมา เขียนถึง วุฒิสมาชิกทุกคน ส.ส.ทุกคน ส่งมาที่รัฐสภา เริ่มเขียนได้แล้ว หรือ จะรอไว้ฟัง ถ้ามีใครเขาใจกว้าง ออกมาโต้ ให้เห็นเป็นบุคคล ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง สนับสนุนเผด็จการ อีกกลุ่มหนึ่ง สนับสนุน ประชาธิปไตย ตอนนั้น จะได้เห็นชัด ไม่ใช่จะพูดฝ่ายเดียว แล้วใช้เครื่องมือของรัฐ ทุกช่อง ทุกสถานี ทำกันอย่างที่แล้วมา
เมื่อเห็นอย่างนี้ จะทำอย่างไรต่อไป
นั้นต่อไป ผมจะติดต่อกับพรรคการเมือง จะโดยหัวหน้าพรรค กรรมการพรรค หรือโดยสมาชิกของพรรค ที่สนิทสนมกัน เป็นรายบุคคล ก็สุดแท้แต่ เพื่อขอร้อง เชิญชวน ให้พรรคการเมืองทั้งหลาย ได้ยืนหยัดยืนยัน ที่จะปกป้อง ประชาธิปไตย อย่าให้เผด็จการ มันกลับมาอีก ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่ จะทำหรือไม่ทำ มันเรื่องของเขา
ช่วงเวลาเหลือน้อยแล้ว จะทันหรือไม่
จะทันหรือไม่ทัน จากการที่ผู้สื่อข่าว พยายามจะพบผมบ้าง ถามผมบ้างแล้ว ผมเห็นว่า ผมควรจะ อดทนต่อไป แต่ขณะนี้ ผมทนไม่ได้แล้ว เมื่อท่านถาม ผมก็ตอบทันที ทนไม่ได้ ต่อคำขู่ของทหาร
เขาขู่ว่าไง
ก็รู้กันอยู่ ว่าเขาขู่อะไรบ้าง ท่านเป็นคนเขียน แล้วผมเป็นคนอ่านเท่านั้น ผมทนไม่ได้ต่อคำขู่ของท่าน ทนไม่ได้กับ การพยายามจะทำลาย ประชาธิปไตย จึงต้องแสดง ความคิดเห็น ในวันนี้
ทีนี้เรามาดูบรรยากาศการเมืองที่แล้วมา เป็นผลดีประการหนึ่ง คือ ได้มีการแสดงความกล้าหาญ ทางการเมือง ได้เปิดหน้ากากออกมา โดยจงใจ หรือจำเป็น หรือ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ไม่ทราบ ได้บอก ให้ประชาชน ทราบว่า คนนั้น เป็นนักประชาธิปไตย คนโน้นเป็นเผด็จการ และคนนั้นๆ เป็นลูกน้อง เผด็จการ อีกประเภท ได้แสดง ความกล้าหาญ ทางการเมือง ออกมาว่า ตัวคือประเภทที่สาม เป็นไม้หลัก ปักขี้เลน เอนไป เอนมา แม้กระทั่งคำขู่
สำหรับความคิดของผมนั้น ว่าสมควรไหม ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเก่า ที่เขาพูด กันมาแล้วก็ตาม ประเดี๋ยวท่าน ก็จะต้องมาถาม ผมคิดว่า น่าจะให้สภาใหม่ เขาแก้รัฐธรรมนูญ โดยให้ พรรคการเมือง ระบุไปในนโยบาย ของพรรคเลย เพราะมันเหลืออีก ไม่กี่มากน้อยแล้วว่า ถ้าพรรคของตัว ได้รับการเลือกตั้ง ทางการเมือง จะเอาอย่างไร จะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าแก้ไข จะแก้ตรงไหน แล้วเวลา ประชาชน เลือกตั้งเข้ามานั่นละ เขาได้แสดงเจตนา ของเขาแล้ว อันนี้ผมคิดว่า จะดีที่สุด
แต่มันก็ไม่เป็นไปตามนั้น ได้พยายามกันทุกวิถีทาง ที่จะให้มีการแก้กัน ในระยะที่ขลุกขลัก อย่างที่ทราบ กันแล้ว ขู่ก็แล้ว ทั้งส.ส. และวุฒิสมาชิก บางคน ลาออกก็แล้ว เสียงก็ยังไม่ครบ ไม่ครบทำอย่างไร ก็ต้องใช้วิธีโกหก ด้วยการเลี่ยงรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๙๔ ที่ในนั้น ระบุเอาไว้เลยว่า ญัตติที่จะแก้รัฐธรรมนูญ ต้องมาจาก คณะรัฐมนตรี หรือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นี่ก็เลี่ยงไปเสีย ทั้งๆที่เจตนา ที่จะเปิดสภา ก็เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่โกหกไปเสียว่า เปิดเพื่อทำอะไรก็ได้ แท้ที่จริงแล้ว ที่อยู่ในหัวใจ ที่อยากจะทำ อย่างยิ่ง การเปิดนั้น ก็เพื่อจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ นี่คือการโกหก ที่เห็นอย่างชัดๆ เพราะอย่างที่เรียน ให้ทราบแล้ว คือ ขู่ก็แล้ว ลาออกก็แล้ว เสียงก็ยังไม่ครบ ก็เลยต้องใช้วิธีนี้
นี่คือการโกหกกันครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้ว ลองทำความชั่วโดยการโกหกคล่องๆปากได้ การที่จะทำ ความชั่ว ความเลว ให้กับบ้านเมืองนี้ ก็ทำได้ต่อไปอีก
ถ้าเราจะพูดให้เพราะที่สุด คือ ใช้คำว่าโกหก การโกหกนี้ มันเป็นความชั่วด่านแรก ลองโกหก ได้คล่องๆ ปากแบบนี้ อีกหน่อย ก็ความชั่ว ความเลว ความทราม ให้กับชาติ บ้านเมือง ได้ต่อๆ กันไปเรื่อยๆ เขาทำอย่างไร พวกท่านก็คงทราบกันแล้ว มีนายพลไปเดินตระเวน ขอให้วุฒิสมาชิกบางคน ลงนาม ร่วมกับ ส.ส.ให้ครบ เพื่อปิดสภา
เรื่องนี้เป็นการฉายหนังซ้ำ ท่านคงจำได้นะครับ การต่ออายุ ผบ.ทบ.คราวที่แล้ว ก็มีแบบนี้ แต่ว่าต่างกัน ในรายละเอียด เท่านั้น หลายคน ที่เขาลงนามไป ไม่ใช่ลงนามไป ด้วยความสบายใจ นี่ก็เป็นเรื่อง ที่ผ่านมาแล้ว เราก็จะไม่ไป ต่อล้อต่อเถียง เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่า ทำกันถึงขนาดนี้ มีใครเถียงบ้าง ที่พูดมา ทั้งหมด เดี๋ยวจะกลายเป็น การพูดคนเดียว มีใครมีข้อมูลอย่างอื่น ที่ไม่ใช่อย่างนี้บ้าง มันเป็นอย่างนั้น
อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า ผมไม่ต้องการมาต่อล้อต่อเถียง เรื่องที่ผ่านไปแล้ว เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่า มันไม่ถูกต้องนะ ถ้าขืนทำไม่ถูกต้อง อย่างนี้ ได้อีกครั้งหนึ่ง ต่อไป ทำได้เรื่อย ถ้าเช่นนั้น จะมีกำหนดไว้ทำไม ในมาตรา ๑๙๔ ของรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ต้องกำหนดไว้ซิ ว่าญัตติการขอแก้ไข รัฐธรรมนูญ ต้องมาจากใคร ก็โละ มันออกไป ยาวไปเปล่าๆ รัฐธรรมนูญ ถ้าเผื่อจะใช้วิธี โกหกกันอย่างนี้
เขาบอกว่า เพื่อความมั่นคงของชาติ
เพื่อความมั่นคงของชาติ คำหนึ่งก็ชาติ สองคำก็ของชาติ แต่ขอให้นึกไว้ในใจว่า เพื่อตัวเอง เพื่อหมู่คณะ หรืออย่างไร
เอาซิ ก็ออกมาโต้ เพื่อความมั่นคงของชาติ ขอให้เป็นเผด็จการ ก็มีอีกฝ่ายหนึ่ง เขาจะต้องโต้ว่า เพื่อความมั่นคง ของชาติ เลิกเป็นเสียทีเหอะ เผด็จการ
ท่านมหาจำลองจะเป็นคนแรกที่จะนำโต้
ผมยินดีนะครับ ผมเสนอตัวเองด้วย ถ้าพิจารณาเห็นว่า ผมอยู่ในข่ายที่จะไปเสนอความคิดเห็นได้ ในฐานะที่เป็น วุฒิสมาชิก และเป็นทหารด้วย จะว่าผมท้าทาย ก็ยังได้ แต่มันจะมากเกินไป เดี๋ยวเขาจะเกิด โมโหขึ้นมา
ออกมาพูดอย่างนี้ ไม่กลัวจะมีผลอะไรมากระทบตัวหรือ
มีผลประการหนึ่งสำหรับตัวของผม คือ ผมทนไม่ได้ที่จะต้องแสดงความคิดเห็นออกมา แม้ว่าต่อไป จะถูกบีบคั้น กดดัน หรือกลั่นแกล้ง อะไรต่างๆ ก็ไม่คำนึงถึง ขอให้ลง ตรงไป ตามนี้ สำหรับผม ผมไม่ห่วง ไม่มีปัญหา ถ้ากลัวแล้ว ไม่พูด ถ้าพูด ก็ต้องไม่กลัว
ในการประชุมรัฐสภา พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านหรือไม่?
ถ้าท่านประธานให้โอกาสผม ผมอยู่ในสภานี้มาเกือบครบ ๔ ปี ผมเคยขอพูดครั้งเดียว ในการต่อต้าน กฎหมายทำแท้ง แล้วครั้งนี้ ผมขอพูดอีกครั้งเดียว ถ้าท่านชี้ ให้ผมพูด ถ้าท่านไม่ชี้ ก็สุดแท้แต่ท่าน
นี่เป็นเรื่องสำคัญ จำเป็นของประเทศชาติ ไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยให้ผ่านไป กันอย่างง่ายๆ
ทีนี้มาตอบคำถามว่า ทำไมเห็นความสำคัญของการที่จะให้ข้าราชการประจำ มาเป็นรัฐมนตรี มาเป็นนายกฯได้ ถึงขนาดต้อง ใช้วิธีตะแบง ต่างๆ นานา จนกระทั่ง มีการเปิดสภา เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ประเด็นแรกก็คือ ต้องทำความเข้าใจว่า เสียงในกองทัพใด กองทัพหนึ่ง ก็ไม่เป็นเอกฉันท์นะครับ ไม่ใช่ว่ าเขาเห็นด้วยนะครับ ที่จะเอาระบบ เผด็จการเข้ามา ข้อนี้ จะต้องมีคน โต้แย้งว่า ทหารรักกันจริง มีความสามัคคี เห็นเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน ก็ผมบอกแล้วครับว่า บ้านนี้เมืองนี้ โกหกกันได้เรื่อยๆ แทบทุกวัน
เสียงในกองทัพใดกองทัพหนึ่ง ที่จะดึงระบบเผด็จการเข้ามา ไม่ได้เห็นพ้องต้องกัน ด้วยทั้งหมด เมื่อไม่เห็นพ้องต้องกันแล้ว การจะทำอะไร มันก็ฝืด ติดหน่วยนั้น หน่วยนี้ จะให้ดี คือปูทางไว้ เพื่อให้มาเป็นรัฐมนตรี โดยเฉพาะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะได้ใช้เผด็จการ คุมมันทั้งสามกองทัพ หรือถ้ามาเป็น นายกรัฐมนตรีได้ ก็ยิ่งดีใหญ่ จะได้ใช้ผด็จการ คุมทั้งประเทศไปเลย
เอาละครับ สมมติว่า ข้อนี้เป็นไปตามที่เขาต้องการกลับเข้ามา เป็นใครก็ตาม ที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างนี้ มาเป็นรัฐมนตรี หรือนายกฯได้ ทั้งที่ยังเป็น ข้าราชการประจำ ก็ยังไม่แน่ ว่าตัวจะอยู่ ได้นานเท่าไร จะให้อยู่ได้นานกว่านี้ ต้องมีมาตรการ ขั้นที่สอง คือให้ยืดอำนาจ วุฒิสมาชิก แล้วก็พูดหลอกลวง โกหกสารพัดว่า วุฒิสมาชิก ต้องมาจาก บุคคลหลายอาชีพ ซึ่งที่จริง มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่คนหลายอาชีพ ที่จะแต่งตั้งเข้ามา ก็คนของตัวทั้งนั้น เพราะไม่ได้มาจาก การเลือกตั้ง
ผมอยากจะเน้นนะครับว่า ความพยายามที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้เป็นใหญ่ ในประเทศนี้ มันเหมือนกับ ความพยายาม ในการแก้ไขกฎหมาย ให้มีการต่อ อายุราชการ ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อปี ๒๕๒๓ กลับไปอ่านหนังสือพิมพ์ ของพวกท่านดูก็ได้ ผมเคยให้สัมภาษณ์ไว้ วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๒๓ ที่ปักษ์ใต้ มีหนังสือพิมพ์ บางฉบับ ลงว่า การวางแผนต่ออายุ ผู้บัญชาการทหารบกนั้น เป็นแผนการ ของคนคนหนึ่ง เพื่อขึ้นมา สืบต่ออำนาจให้ทัน และเมื่อสองปีผ่านไป ผลเป็นอย่างไร เป็นตามนั้น ตอนนั้น เมื่อมีการคัดค้านกันมาก เขาทำอย่างไร ใช้วิธีเหมือนเด็กทะเลาะกัน สู้ไม่ได้ก็ไปฟ้องครู ขออำนาจครูมา ตอนนั้น มีการต่อต้านกัน เห็นท่าจะเจ๊งแน่แล้ว เพราะไม่มีใคร เขาเห็นด้วย ทำอย่างไรครับ อย่างที่เรารู้กัน ไปโน้มเหนี่ยว เอาของรักของหวง ของคนทั้งชาติ มาเพื่อประโยชน์ของตัว แล้วนี่จะมาเล่นซ้ำอีกแล้ว ใครคราวนั้น ท่านก็ทราบ ใช่ไหม เกิดมีศัพท์คำใหม่ขึ้น "ข้อมูลใหม่" นี่ก็จะฉายซ้ำอีกแล้ว แล้วจะเกิดอย่างนี้ อีกสักกี่ครั้ง
เถียงกันหรือเปล่า ว่าการต่ออายุ ผบ.ทบ.คราวนั้น ได้ก่อให้เกิด ความไม่ดีไม่งามขึ้น ในบ้านเมือง มาเท่าไรแล้ว ถ้าเราจะสืบสาว ราวเรื่องกันแล้ว นี่จะทำอีกเรื่องแล้ว ความแตกแยก ในกองทัพ ไม่ใช่มาจาก การต่ออายุ ผู้บัญชาการทหารบกหรือ เว้นแต่จะพูด หรือไม่พูดกัน เท่านั้น
และแล้วคนนั้น ก็ไปเที่ยวพูดว่า ต่ออายุ ผบ.ทบ. ต่อหรือไม่ต่อ ผมไม่ได้ว่าอะไร ผมไม่เกี่ยวข้องด้วย แต่เขาก็ทำทุกอย่าง จนเกิดศัพท์ "ข้อมูลใหม่" ขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน
เท่าที่ติดตามมาโดยตลอด เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ว่ามีช่องทางสำเร็จหรือไม่ ?
มีช่องทางสำเร็จ โดยการออกคำขู่ อ้างศัพท์เก่าว่า "ข้อมูลใหม่" ยุทธวิธีไม่มีอะไรมาก หนึ่งอ้าง "ข้อมูลใหม่" สอง ถ้าส.ส.ไม่เอาด้วย ก็ขู่ว่าจะมีการปฏิวัติ
ผมอยากจะเรียนผ่านไปทางสื่อมวลชน ไปยังส.ส.ว่า ไอ้การปฏิวัติน่ะ ทำอย่างไร เขาก็ปฏิวัติอยู่ดี ถ้าเขาตั้งใจจะปฏิวัติ สถานการณ์ มันสร้างกันได้ มันอ้างกันได้ นี่อยู่เฉยๆ ขณะนี้ เขาก็อ้างได้ว่า ทางชายแดน มีการยิงกันตูมๆ ผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารบ้านเมืองต่อไป ต้องมาจากทหาร จึงจะควบคุม สถานการณ์ เขาอ้างแค่นี้ ก็อ้างได้แล้ว เหมือนหมาป่า กับลูกแกะ เถียงไปข้างๆคูๆ มึงไม่ได้ทำน้ำขุ่น พ่อมึงก็ทำน้ำขุ่น ถ้าพ่อไม่ทำ ปู่มึงก็ทำ จะปฏิวัติเสียอย่าง
เพราะฉะนั้น การที่ทำตามเขา ด้วยการดึงประเทศชาติเข้าสู่ระบอบเผด็จการ ไม่ใช่การป้องกันการปฏิวัติ การที่พยายาม แบบที่ทำกัน อยู่ขณะนี้ ไม่ใช่การป้องกัน การปฏิวัติ ส.ส.คงเข้าใจว่า ถ้าผู้มีอำนาจ บอกอย่างนี้ แล้วทำตาม เป็นการป้องกันการปฏิวัติ
แต่ การทำแบบนี้ คือการดึงประเทศไปสู่เผด็จการ ดังนั้น ถ้าพูดให้ลึกไปอีกหน่อย คือการทำแบบนี้ ไม่ใช่การป้องกันการปฏิวัติ ทำแค่นี้เขาก็ไม่พอ เขาอยากได้ อย่างอื่นอีก ทำไง ต้องทำตามอีก
อีกเรื่องหนึ่ง ผมอยากจะชี้ให้เห็น ในฐานะที่เคยเป็นคนหนึ่ง ซึ่งเป็นกลไกเล็กๆ ในคณะรัฐบาล แม้ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ตาม คือ เวลานี้ ใครเป็น นายกรัฐมนตรีกันแน่
เมื่อท่านนายกฯ และรัฐบาลยืนยันมา "๓ไม่" ว่าไม่ปรับคณะรัฐมนตรี ไม่เปิดสภา ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง มีคนกลุ่มหนึ่ง บอกว่า ต้องแก้ เสร็จแล้ว รัฐบาลก็โอนอ่อน ผ่อนตามว่าแก้ ถามว่า ใครคือนายกรัฐมนตรี ใครคือรัฐบาลที่แท้จริง ของประเทศในขณะนี้ เราจะยอม ให้เป็นอย่างนี้หรือ อยู่กันได้อย่างไร เมื่อรัฐบาล มีแนวนโยบายว่า "๓ไม่" แล้วคนกลุ่มหนึ่ง มาพูดว่า "ต้องอย่างนั้น อย่างนี้" แล้วเปิดการโน้มน้าว ประชาชนว่า อย่างนี้ดีที่สุด อย่างนี้ประเทศชาติ อยู่รอด อย่างนี้คือ ความมั่นคง ของชาติ รัฐบาลจะมาบอกว่า ไม่รู้ ไม่เห็นไม่ได้ ผมยืนยันเลยว่า ร้อยทั้งร้อย รัฐบาลรู้ทั้งนั้น เพียงแต่มาโกหก เท่านั้นเอง
ผมถึงเรียนท่านทั้งหลายว่า การโกหกน่ะ ถ้าโกหกกันทั้งบ้านทั้งเมือง ประเทศชาติไปไม่รอด
อีกอย่างหนึ่ง ผมจำได้ว่า เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ แล้วผมก็นำไปเขียนในหนังสือ "ทางสามแพร่ง" เรื่องที่สาม บอกว่า การแต่งตั้งคนสำคัญๆ ทางทหาร ถ้าแต่งตั้งผิดคน ก็จะดึงประเทศชาติ ไปสู่ระบอบเผด็จการ และแล้ววันนี้ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็น ทีละน้อยๆ แล้ว
นายกฯ ควรทำอย่างไร
สุดแท้แต่ท่าน แต่ผมชี้ให้เห็นว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป นายกฯ จะมีแต่เป็นสาละวันเตี้ยลง ๆ เตี้ยมาเยอะแล้ว จะเตี้ยลงไปอีก ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ
มีทางออกอย่างไร
ทางออกขณะนี้ ความคิดเห็นของผม อยากให้มีการโต้กันระหว่างคน ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่ง เป็นฝ่ายที่ต้องการให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น คือ ให้เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้แล้ว อีกกลุ่มหนึ่ง ต้องการเป็นเผด็จการ แล้วให้ประชาชน เขาเป็นคนฟัง ให้เขาเขียนมา แสดงความคิดเห็นถึง ส.ส. และ วุฒิสมาชิก โดยเสรี
เขาจะเขียนมาอย่างไรก็ได้ ส.ส.และวุฒิสมาชิก ก็พิจารณาตามนั้น เพราะว่าตัดสินใจโดยสภานี้นี่ จะไปยกป้าย แล้วมาทวงกันทีหลัง ๔๐ บาท ไม่เข้าท่า
จะเริ่มติดต่อพรรคการเมืองเมื่อไร
ผมเริ่มมาบ้างแล้ว ตั้งแต่เช้า แต่ขออนุญาตไม่บอกว่าติดต่อใครบ้าง
ยังมีความหยังอยู่
ชีวิตนี้มีหวังอยู่ แต่จะหวังมากน้อยก็แล้วแต่ เพราะแต่ละพรรคเขามีข้อจำกัดของเขา และจะต้องมีแถลงการณ์ ต่อต้านผมขึ้นมา นับแต่วันนี้ เป็นต้นไป เพราะฉะนั้น ถ้าผมมาบอกว่า ติดต่อคนโน้น เขาว่าอย่างโน้น คนนี้เขาว่าอย่างนี้ ก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้
ถ้าเขาจะให้มีการอภิปรายกันที่ไหนก็ได้ ต้องมีคน ๒ ฝ่าย จะไปตามใครมาก็ได้ แล้วถ้าไม่มีคนที่จะมาเถียง ในฝ่ายที่ว่า ไม่ควรจะแก้ ให้ข้าราชการประจำ มาเป็นรัฐมนตรี และ ไม่ควรยืดอายุ วุฒิสมาชิก ถ้าจะเอาผมไปด้วยก็ไป เพราะผมไม่เห็นด้วย กับการจะให้มีการแก้ สองข้อนี้
ในกรณีที่ไม่อาจจัดเวทีให้ทั้ง ๒ ฝ่าย ออกมาโต้กันได้
รัฐบาลเป็นกลางเสียหน่อยจะได้ไหม เพราะอันนี้เป็นการเมืองที่สำคัญ ของประเทศชาติ จัดให้มีการ ออกอากาศ ออกโทรทัศน์ก็ได้ ส่วนประเด็น การเลือกตั้งน่ะ ไม่ต้องมาเถียงกันหรอก มันก้ำกึ่งกันแล้ว มันไม่ก่อให้เกิด ความเสียหาย มากน้อยอะไรเท่าไร ที่เสียเห็นชัดๆ คือ ๒ ประเด็นหลัง
เอาทั้ง ๒ ฝ่าย เพราะมีคนเสนอแนวความคิดเผด็จการ ออกมาแล้ว เปิดหน้ากาก ออกมาแล้วว่า "กูคือเผด็จการ" "กูคือลูกน้องเผด็จการ" ดังนั้น จะเอาตัวหัวหน้า หรือ ตัวลูกน้องมา ก็ไม่เกี่ยง ไม่เกี่ยงทั้งยศ และอายุ
ไม่เกี่ยงทั้งนั้น ขอให้ใจกว้างจัดขึ้นมาเหอะ คราวที่แล้ว ยังใช้วิทยุ ใช้โทรทัศน์ ตั้งเยอะแยะ ของคนฝ่ายเดียว คราวนี้เอาทั้ง ๒ ฝ่ายได้ไหม
จะเอากันเมื่อไรดี
เมื่อไรก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ จริงใจหรือเปล่าล่ะ ถ้าจริงเพื่อประเทศชาติ ต้องทำ ถ้าไม่จริงใจ จะงุบงิบ โกหกพกลม คนทั้งชาติต่อไปก็เอา
ไม่กลัวหรือ
บอกแล้วไงว่าไม่เกี่ยง ชาตินี้จะเอาอะไรกันนักหนา แต่ขออย่าได้พูดกันคนทีละ ในหนังสือพิมพ์นะ มาพูดเจอกันเลย
ผมอยู่ในสภามา ๔ ปี ขอพูดเรื่องสำคัญๆ ๒ เรื่อง คือ เรื่องกฎหมายทำแท้ง แล้วนี่อีกเรื่องหนึ่ง ผมขอย้ำนะครับว่า การพูดครั้งนี้ ไม่เอ่ยชื่อ ตัวบุคคล แต่ใครจะกินปูน ร้อนท้อง ออกมาโต้ก็ได้
ถ้าเขาทำแล้วแก้ไขได้สำเร็จ อยากให้มองอนาคตของประเทศ
มืดมน คิดหรือว่า ถ้าตัวขึ้นมาเป็นเผด็จการแล้ว จะแก้ไขปัญหาของชาติได้ วิเศษแค่ไหนเชียว ผมอยากรู้ เรียนอะไรมานักหนา มีประสบการณ์อะไร มาแค่ไหน
ถ้าเผื่อเขาจะขอพิสูจน์ล่ะ
ก็ได้ แต่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันนะ ไม่ใช่ทำให้เละไป แล้วไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ เรียนอะไรมานักหนา มีประสบการณ์อะไรมา จึงมั่นใจว่า ถ้ากูเป็นเผด็จการแล้ว ประเทศชาติ จะรอด ถ้าจะขอลอง ก็ลองได้ แต่ต้องมีหลักประกัน
คิดอย่างไร ถึงออกโรงมาวันนี้
ผมไม่ได้คิดว่า ผมจะออกมา ผมพยายามใช้ความอดทนนะ ผมเห็นกับผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายคน ในบ้านเมือง ผมจึงทน เรื่อยมา แต่คราวนี้ มันทนไม่ได้แล้ว
ขอให้ลงตรงๆนะ ผมอยากจะเชิญชวน ให้แสดงความกล้าหาญ ทางการเมืองบ้าง ด้วยการลงแบบนี้ อย่าไปเกรงใจใคร
(หนังสือพิมพ์มติชน ถอดเท็ปการให้สัมภาษณ์ของ พ.อ.จำลอง ศรีเมือง ที่รัฐสภา ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖)
อ่านต่อ ตอน ๗