แม้ว่าจะแพ้ในยกแรก เพราะรัฐสภารับหลักการรัฐธรรมนูญ "ฉบับสีขี้ม้า"ไปแล้ว แต่"มหาจำลอง" ก็ยังคงเดินเเครื่อง สู้ต่อไป อย่างถวายชีวิต
ลองหันมาดูคู่ชีวิต ของท่านมหามั่ง คือ พันตรีหญิงศิริลักษณ์ จะรู้สึกในเรื่องนี้ยังไง ก็ได้รับคำตอบว่า "ระยะนี้มีคนถามดิฉันเสมอว่า ไม่ห่วงคุณจำลองหรือ ที่กล้าออกไป ขวางทางปืน อย่างอาจหาญ ดิฉันก็ตอบว่า ปกติแล้วเป็นคนไม่ชอบห่วง เพราะมันทุกข์ ดิฉันเชื่อในกฎแห่งกรรม เมื่อมีอะไรจะเกิดขึ้น มันก็เป็นวิบากกรรม ของใคร ก็ของมัน ช่วยกันไม่ได้ ยิ่งคุณจำลองปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ถือศีลกินเจ กินน้อยใช้น้อย ไม่หอบหามสะสมดิฉันก็ยิ่งมั่นใจว่า"ธรรมนั่นแหละ ย่อมคุ้มครอง ผู้ประพฤติธรรม"
คุณศิริลักษณ์เธอปลงตกแล้ว ซึ่งเธอได้ให้เหตุผลว่า
"แต่ถ้าจะมีอะไรเกิดมันก็ย่อมเกิด เราจะห้ามหาได้ไม่ ในเมื่อคุณจำลองได้ทำถูกต้องแล้ว ในฐานะประชาชน คนหนึ่ง แม้จะเป็นการกระทำ ที่เสี่ยงต่อชีวิต แต่เมื่อการกระทำนั้น เป็นผลดี ต่อส่วนรวม ก็น่าที่จะเสียสละ มิใช่หรือ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ก็จะได้รู้กันว่า บ้านนี้เมืองนี้ สกปรกเกินไปกว่า ที่เธอจะอยู่ และก็เป็น ความไม่เก่ง ของเธอเอง นี่หรือคือ ประชาธิปไตย และดิฉันก็เห็นว่า เธอเกิดมาคุ้มค่า ของความเป็น "คน" แล้ว ไม่เป็นโมฆบุรุษ (เสียชาติเกิด) เพราะยังมีความดี ติดตัวไปมั่ง"
สำหรับความตายนั้น คุณศิริลักษณ์บอกว่า
"การตายนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เกิดหนเดียวก็ตายหนเดียว คนเราที่เกิดมาทุกคน ก็ถูกสั่งประหารกันมา ตั้งแต่ลืมตา ดูโลกแล้ว เพียงแต่รอวัน ลงอาญา เท่านั้น แต่การเกิดมาแล้ว เราได้ทำความดีอะไรไว้ ให้แก่โลก ให้แก่คนอื่นมั่ง นั่นต่างหาก ที่มีค่ายิ่งกว่า"
คุณศิริลักษณ์ได้ระบายความในใจเกี่ยวกะ "มหาจำลอง" ต่อไปว่า
"แม้เธอจะหันหน้าเข้าวัด แต่ก็ยังสดับตรับฟังข่าวคราวบ้านเมืองอยู่ และเมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องเสี่ยง เช่นครั้งนี้ เธอก็ออกมา และกล้าทำ ในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า ถ้าสิ่งนั้น ถูกต้องตรงธรรม จะเห็นว่า คนที่ปฏิบัติธรรมแล้ว จะรักตัวเองน้อยลง รักผู้อื่นมากขึ้น ยอมเสียสละ แม้ลาภยศ ชื่อเสียงได้ ส่วนใครจะเข้าใจ หรือไม่เพียงไร ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ที่จะใช้วิจารณญาณว่า แกทำเพื่ออะไร และทำเพื่อใคร เมื่อทำแล้วไม่กลัว ถ้ากลัวก็ไม่ทำ แม้ดิฉันจะเคยเตือนว่า น้ำเชี่ยว อย่าเอาเรือ เข้าไปขวาง หมูเขาจะหาม อย่าเอาคาน เข้าไปสอด แต่เธอคงเหลืออดจริงๆ"
คุณศิริลักษณ์ได้เน้นว่า "คุณจำลองบอกดิฉันเสมอว่า ชีวิตนั้นน้อยนิดหน่อย และสั้นนัก เราเล่นละครกัน ไม่นานนักหรอก ไม่มีเวลา จะมาล่าช้าอีกแล้ว เธอจึงรีบ ทำความเพียร เร่งทำความดี ซึ่งน้อยคนนัก จะทำได้ เธอยึดคติที่ว่า "เราจะทำ ในสิ่งที่บุคคลอื่น ทำได้ยาก เราจะอดทน ในสิ่งที่บุคคลอื่น ทนได้ยาก เราจะสละ ในสิ่งที่บุคคลอื่น สละได้ยาก เราจะเอาชนะ ในสิ่งที่บุคคลอื่น เอาชนะได้ยาก" เธอได้ทำแล้ว และกำลังทำอยู่ อย่างที่เห็นกันอยู่นี้"
ครับ
ก็สู้ต่อไป จนกว่าเผด็จการ จะม้วยมรณา