3
๑๕. หนังใหญ่
 
 
 
page: 15/21
โรงเรียนกินนอน

๑๕ หนังใหญ่

ท่านที่เคารพบางท่าน คะยั้นคะยอให้ไปดูหนังโรงใหญ่ บอกว่าดูวิดีโอน่ะ ไม่ซาบซึ้ง ไม่ตื่นตาตื่นใจเท่า ตัดสินใจอยู่นาน ไม่ได้ดูหนัง มาหลายปีแล้ว ไปทางไหน ก็จำไม่ใคร่ได้

 

แต่งตัวเสื้อผ้ายับยู่ยี่ด้วยกันทั้งคู่ เหมาะกับเรื่องหนังที่จะไปดู เพราะตัวเอกในเรื่อง นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว หลังจากที่เคย แต่งกายโก้หรู แบบผู้ดีอังกฤษ มามากต่อมากแล้ว

ภรรยานุ่งผ้าถุง ใส่รองเท้าแตะ ชวนกันเข้าดูหนังโรงใหญ่ คนที่ไม่รู้จัก อาจจะนึกว่า แม่ค้าขายกล้วยแขก หลบไปดูหนัง ไปถึงก่อนเวลาเลย แวะไปทำแว่นสายตา ข้างๆ โรงหนังนั้น

เจ้าของห้างกุลีกุจอออกมาต้อนรับขับสู้ โดยไม่คำนึงถึงเสื้อผ้าปอนๆ ที่เราสวมใส่เลย ยิ่งกว่านั้น ยังไปตามใครต่อใคร มาหมดทั้งร้าน ให้มารู้จักกับเรา แม้ภรรยา และลูกๆ กำลังนั่งรับประทานข้าวอยู่ ก็ไม่เว้น คงจะเป็นเพราะอิทธิพลหนัง เรื่องคานธีด้วย ที่จริงเราแต่งตัวอย่างนี้ มานาน ก่อนที่หนัง จะเข้ามาฉาย เป็นไหนๆ

วิสาขบูชาปีนี้ ตั้งใจปฏิบัติเพิ่มขึ้น ทั้งการฝึกจิต ควบคุมจิต และการลดละภายนอก เริ่มด้วยการไม่ใส่ รองเท้า ไปในที่ต่างๆ ที่เขาพอยอมรับได้ ที่ไม่มีกฎระเบียบ อะไรบังคับว่า จะต้องใส่รองเท้า

ได้เห็นผลของการไม่ใส่รองเท้ามานานแล้ว แต่ใจยังไม่แข็งพอ เหมือนอะไรจะเข้าข้าง จะเอาใจช่วย กำลังรอรถเมล์ ไปสวนจตุจักร คุณวิโรจน์ ญาติธรรม ผู้เคร่งครัด ท่านหนึ่ง ก็เดินเท้าเปล่า มาสมทบ ขึ้นรถเมล์ไปด้วยกัน

สายตาผู้โดยสารหลายคู่หันมามอง หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว ผู้หญิงสองคน นั่งอยู่หน้ารถ มองเท้าเรา แล้วก็คุยกันไปตลอดทาง เคอะเขินบ้าง เป็นธรรมดา ของการขึ้นรถ เท้าเปล่า ครั้งแรกๆ ใจก็นึก ไม่ได้ทำชั่ว จะไปอายทำไม "หมอเท้าเปล่า" ที่เรียกกัน, หมอไม่เท้าเปล่าหรอก เราต่างหาก ที่เท้าเปล่าจริงๆ

คุณวิโรจน์เปิดเผยความรู้สึกว่า ใหม่ๆก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ไม่กล้า กลัวไปหมด กลัวเชื้อโรคด้วย แต่เมื่อ ใจวางได้แล้ว ก็รู้สึกธรรมดาๆ ญาติธรรม ที่ยังไม่เคย ลองไปไหนมาไหน เท้าเปล่าดูบ้างก็ได้ จะได้พบได้เห็น อะไรแปลกๆ ใครเคยเป็นโรค เท้าพุเท้าเปื่อย อะไรต่อมิอะไร ก็จะหายไป

การเดินเท้าเปล่า จะต้องมีสติตลอดเวลา เผลอเมื่อไร เป็นได้แผลทันที เตะโน่น เตะนี่ เหยียบโน่น เหยียบนี่ อุตลุด ไม่ลองถอดรองเท้าดูบ้าง ก็ไม่รู้ เพราะจะเตะอะไร เหยียบอะไร รองเท้ารับไว้หมด ตลอดจนที่ ที่สกปรกมากๆ ตอนที่ใส่รองเท้า ไม่เคยคำนึงถึง เดินลุยไปได้เรื่อยๆ แทบจะไม่ต้อง เหลือบไปดู พื้นถนนเลย

เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้โทษคนอื่น แต่ให้สำรวจตัวเอง เท้าถูกเศษแก้วบาด ก็อย่าไปโทษ คนที่ทิ้งไว้ หรือโทษ คนทำความสะอาดถนน แต่โทษตัวเรา ทำไมเดินไม่มีสติ ทำไมไม่ดูให้ดี ถ้ามัวแต่ โทษคนอื่น แก้ปัญหาไม่ได้แน่ๆ

ถ้าหลายๆคนหันมาถอดรองเท้าตามรอยพระพุทธองค์บ้าง อะไรจะเกิดขึ้น บ้านเมือง จะสะอาดกว่านี้แน่ๆ โดยไม่จำเป็นต้อง พูดกรอกหู เช้าเย็น ไม่ต้องเขียนป้าย แผ่นโตๆ ทั้งขู่ ทั้งปลอบ เพราะใครๆ ก็รักเท้าของตัว กลัวเจ็บ กลัวเชื้อโรคเข้า ช่วยกันรักษาถนน เหมือนบ้านของตนทีเดียว

ตามภาพประวัติเก่าๆ คานธีนุ่งผ้าเตี่ยว ใส่รองเท้าแตะ ถ้าคานธีเดินเท้าเปล่า ชาวโลกจะได้ปรัชญาอะไรดีๆ จากคานธี เพิ่มขึ้นอีก ขนาดนี้ ผู้ทำบทภาพยนตร์ ยังออกตัวเลยว่า ไม่สามารถนำเอาชีวิต ความเป็นอยู่ ของคานธี มาบรรจุในหนังเรื่องเดียวได้

ไม่ใช่ของง่ายเลย ที่จะกินน้อยใช้น้อย ละลดสิ่งติดยึดต่างๆ ได้เหมือนคานธี ทำได้อย่างไร นักกฎหมาย นักเรียนนอก ผู้เคยมีชีวิต แบบผู้ดีอังกฤษ หันมานุ่ง ผ้าเตี่ยว อยู่อย่างยาจก เป็นใคร ใครก็อาย เป็นใคร ใครก็ทำไม่ได้ ทวนกระแสสิ้นดี สมแล้วกับคำกล่าวของ ขุนนางอังกฤษผู้หนึ่ง

"แน่นอน กว่าอินเดียและโลก จะได้พบเห็นบุคคลเช่นท่าน มหาตมะคานธีอีก ก็คงจะกินเวลา หลายร้อยปี"

คานธีไม่ได้เป็นอย่างนี้มาแต่กำเนิด คานธีเคยขี้ขลาด กลัวขโมย กลัวผี กลัวงู กลัวความมืด เพื่อนๆ กล่าวหาว่า เป็นเพราะไม่กินเนื้อสัตว์ คานธีเชื่อตาม อยู่พักหนึ่ง และมีความคิดว่า ถ้าคนอินเดีย กินเนื้อสัตว์ คงจะเอาชนะอังกฤษได้ ลองแอบกินเนื้อสัตว์ เพื่อจะได้เป็นคนเข้มแข็ง แล้วโกหกแม่ นึกขึ้นมาได้ว่าไม่ดี เลยเลิกโกหก เลิกกินเนื้อสัตว์เหมือนเดิม

"การฝึกกายต้องออกกำลังกายฉันใด การฝึกใจก็ต้องอาศัยการออกกำลังใจฉันนั้น" เป็นคำกล่าวที่คานธี ได้ค้นพบ ด้วยตัวเอง และการฝึก กำลังใจ ที่ได้ผลที่สุด ก็คือ การละลด สิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยต่างๆ ซึ่งจำเป็น ต้องฝืน ต้องใช้กำลังใจมากมาย กว่าจะทำได้

คานธีมีความเป็นอยู่อย่างซอมซ่อ เพราะอยากดัง อยากให้ชาวอินเดีย ชาวโลก หันมาสนใจเช่นนั้นหรือ คำกล่าวนี้ จะเป็นคำตอบ ได้อย่างดี "หลังจาก ที่ได้เปลื้อง เอาคราบของ ความเป็นผู้ศรีวิไล ออกเสียได้แล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ตัวของข้าพเจ้าเบา และมีเสรีภาพมากขึ้น"

เรื่องความอดทน การให้อภัย ไม่มีใครเทียม ตอนที่คานธีเดินทางไปทำงานที่อาฟริกาใต้ มีสถานที่แห่งหนึ่ง ถือผิวมาก คานธีถูกปา ด้วยก้อนหิน, ก้อนอิฐ, ไข่เน่า ถูกรุมต่อยเตะ จนเกือบเป็นลม เผอิญมีคน มาช่วย ไว้ทัน และแนะให้ฟ้องศาล คานธีกลับห้ามเสียอีก

พี่น้องใคร ใครก็รัก เพื่อนร่วมชาติของใคร ใครก็รัก รักมากกว่าคนอื่น แต่สำหรับคานธีแล้ว เห็นเหมือนกัน หมด ไม่มีความแตกต่าง ระหว่างญาติ กับคนอื่น ระหว่าง เพื่อนร่วมชาติ กับต่างชาติ ปุถุชนคนธรรมดา อย่างเราๆ ท่านๆ ทำออย่างนั้นได้ไหม

การเฝ้าสำรวจตนเอง และทำความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป เป็นเรื่องสำคัญมาก คานธี มักจะถ่อมตัวเสมอว่า ยังมีตัณหา ราคะ อยู่มาก แต่ไม่ท้อแท้ จะต้องฝ่าฟัน ความลำบากต่อไป จะต้องลดตัวเอง ให้เหลือแค่ศูนย์ มิฉะนั้น จะพ้นทุกข์ไปไม่ได้

การลดละเกี่ยวกับอาหารการกิน มีผลต่อการปฏิบัติธรรมมาก ชาวพุทธส่วนใหญ่ มองข้ามไป ทั้งๆ ที่ได้ปรากฏ คำสอนของ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหลายที่ หลายแห่ง คานธีแม้จะนับถือ ศาสนาฮินดู ยังกล่าวว่า "หากข้าพเจ้าเอง ไม่ควบคุม และยับยั้ง ในการกินแล้วไซร้ ก็น่ากลัวว่า ตนจะไม่ผิดอะไร กับเดรัจฉาน และคงถึง กาลวิบัติไปนานแล้ว"

หลายต่อหลายคนเถียงคอเป็นเอ็นว่า ประกอบอาชีพนั้นอาชีพนี้ ถือศีลไม่ได้ ขืนถือละก็อดตายแน่ๆ คานธีค้านเต็มที่ เช่น ค้านความคิดที่ว่า "ธุรกิจกับศาสนา จะควบคู่ ไปด้วยกันไม่ได้ สัจจะในการค้านั้น มีขอบเขต" เกี่ยวกับอาชีพของตนเอง คานธีกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเคยได้ยิน คนพูดว่า อาชีพทนายความ เป็นอาชีพของคนพูดเท็จ ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจ ต่อคำพูด ในทำนองนี้"

น่าเสียดาย ที่หนัง "คานธี" มีแต่เรื่องการต่อสู้ทางการเมืองเป็นส่วนใหญ่ เพราะผู้สร้าง จงใจเช่นนั้น โชคดี ที่ได้มีผู้แปล ชีวประวัติของ มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ไว้เป็นหลักฐาน ให้ได้ศึกษา ค้นคว้ากัน ซึ่งเพียบพร้อม ไปด้วย เรื่องที่เกี่ยวกับ คุณธรรมที่หยิบยกมาเล่านั้น เป็นเพียงส่วนน้อยนิด จากหนังสือดังกล่าว

พฤษภาคม ๒๕๒๖

 

อ่านต่อ ตอน ๑๖

ทาง ๓ แพร่ง เล่ม ๒