3
๑๗. พบพระดัง
 
 
 
page: 17/21
โรงเรียนกินนอน

๑๗ พบพระดัง

พระคุณเจ้า, นักศึกษา และท่านผู้ฟังที่เคารพครับ

ที่จริงแล้วหัวข้อที่เราจะพูดกันวันนี้ ทุกท่านก็ทราบคำตอบมาแล้วว่า ระหว่างสงครามกับสันติภาพนั้น จะเลือกอะไร และอะไรดีกว่า แต่ทราบ ก็อาจจะยังไม่ซึ้ง

เมื่อเร็วๆนี้ อีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง คณะวิศวะ จึงได้ยกพวกไปทำสงครามกับ คณะครุศาสตร์ ดีกว่าอยู่เปล่า

นี่ก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆเหมือนกัน ว่าแล้วคณะนักศึกษารามคำแหง กลุ่มรามบูชาธรรม นึกขึ้นมาได้ เลยไปจับ พระกับฆราวาส มาพูดกัน ดีกว่าอยู่เปล่าๆ

การจัดงานของกลุ่มรามบูชาธรรมนี้ เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ พระพุทธองค์ได้เคยตรัสเอาไว้ว่า "ประชาชน ทั้งหลาย ย่อมพึงพอใจในความเกษมสำราญ ครั้นเมื่อตถาคต พูดถึงเรื่อง ที่ตรงกันข้าม ประชาชนทั้งหลาย ก็พากันมาฟัง ประชาชนทั้งหลาย ก็ตั้งใจฟัง เป็นสิ่งมหัศจรรย์ไม่เคยมี"

อยากจะให้บันทึกลงไปว่า ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ สิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว ในช่วง ๔ วันนี้ ปรากฏว่า มีคนมาฟังธรรมกันมาก อย่างเมื่อวานนี้ มีการประชันขันแข่งกัน ระหว่างที่อภิปรายธรรมะ กับวงดนตรี วงดนตรีก็แพ้ลุ่ยเย็นลงมา เอามาอีกวงหนึ่ง ตอนนี้คัดเอาตัว ยอดๆเลย มีการอภิปรายการเมือง ผู้คนโหรงเหรง สู้ที่นี่ไม่ได้

ทั้งๆที่ประชาชนก็รู้นะครับ ทั้งพระและฆราวาสที่มาในงานของกลุ่มรามบูชาธรรมนี้ คงจะไม่มีใคร คนใดคนหนึ่งละครับ ที่จะพูดเพื่อส่งเสริม ให้ล่องลอย ไปตามกระแสโลก ล้วนแล้วแต่ ขัดกระแสโลกทั้งนั้น แต่ท่านทั้งหลายก็มาฟัง ท่านทั้งหลาย ก็สนใจฟัง พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ไม่เคยมี แม้ผู้ที่มาเทศน์ แม้ผู้ที่มาพูด จะมิใช่ตถาคต ก็ตาม

วันนี้ พระพยอมซึ่งเป็นพระดัง มาพูด ก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ ที่มีคนมากันเยอะ ท่านอยู่เฉยๆ ที่วัดสวนแก้ว บางใหญ่ นนทบุรี แต่เสียงท่าน แพร่ไปหมด ตั้งแต่ป้ายรถเมล์ ไปยันสังคม ที่เขาถือกันว่า ใหญ่โต หรูหรา จะไม่เรียกว่า ท่านเป็นพระดัง ได้ยังไง

ท่านทั้งหลายครับ เรื่องที่ผมจะพูดในวันนี้ เห็นหัวข้อแล้ว ผมเห็นท่าจะต้องพูดถึง เรื่องสงครามเป็นส่วนใหญ่ จะทิ้งส่วนนี้ไว้ให้ พระคุณเจ้า พระพยอมพูด ก็คงจะทำให้ท่าน บกพร่องในพระวินัย

วันนี้เกิดความมหัศจรรย์จริงๆ ในมหาวิทยาลัยรามคำแหง เกิดมาอายุจะ ๕๐ แล้วครับ ผมเพิ่งเคยเห็น เต็นท์เดินได้ เต็นท์มี ๖ ขาน่าดู แต่ละขา ก็มีอีก ๖ ขา ประคองกันมา เดินกันมา เป็นแถวๆ ทางฝั่งขวา ของผมนี้ เต็นท์เดินมาต้อนรับผู้คน ที่หลั่งไหลกันมาฟัง

ผมอยากจะเรียนท่านทั้งหลายนะครับว่า วันนี้เป็นโอกาสดี เห็นมั้ยครับ โอกาสดีได้แสดงให้เห็นแล้ว ได้เกิดการเทน้ำมนตร์ ซึ่งเทวดาได้ฝากไว้ บนหลังคาเต็นท์ ตั้งแต่เมื่อวาน ไหลรินลงมา ก่อให้เกิด ความชุ่มฉ่ำ แล้วจะไม่ว่าเป็นโอกาสดี เป็นความมหัศจรรย์ได้อย่างไร

ไม่เป็นไรครับ ลมพัดทำให้น้ำฝนที่ขังอยู่บนหลังคาเต็นท์ เทลงมา ทำให้เราชุ่มฉ่ำ ฟังธรรมกันต่อไป

อย่างที่ผมเรียนให้ทราบแล้วนะครับว่า ผมเห็นท่าจะต้องพูดถึงเรื่องสงครามนี่เป็นส่วนใหญ่ ส่วนเรื่อง ทางธรรมะนั้น ก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วละครับ ฟังจากพระพยอม นั้นดีที่สุด

เรื่องรบกันนั้นนะครับ ท่านผู้ฟังทั้งหลายก็ทราบอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเรียนอะไรมากมายนัก รบกันง่ายๆ มีคน มีอาวุธ ก็ยกไปถล่มกัน ก็รบกันได้ ครั้งแรก ก็ต้องทำลาย กำลังข้าศึก ให้อ่อนเปลี้ย เพลียแรงเสียก่อน เขาทำอย่างไรครับ เอาเครื่องบิน บรรทุกระเบิด ไปทิ้งไกลๆ เอาปืนใหญ่ยิงไกลๆ ทำให้ข้าศึกอ่อนแอลง จะใช้นโยบาย ทางการเมือง หรือจะใช้อุบาย เล่ห์กลอะไร ก็แล้วแต่ ทำให้ข้าศึกอ่อนแอลง แล้วถึงจะ เข้าจู่โจม

วัสสการพราหมณ์ อาสาไปเป็นครูของลูกกษัตริย์ลิจฉวี วันหนึ่งก็เรียกลูกกษัตริย์มาคนหนึ่ง แล้วก็ถามว่า

"อย่าติและหลู่ ครูจะเฉลย

เธอน่ะเสวยภัตกะอะไร

ในทินนี่ดีหรือไฉน

พอหฤทัยยิ่งละกระมัง"

เพื่อนๆ ก็สงสัยกันใหญ่ แหม ท่านอาจารย์นี่ ทำไมเรียกเพื่อนเราไปกระซิบนะ จึงเรียกเพื่อนมาถาม "เมื่อกี้อาจารย์ว่ายังไง" เพื่อนก็บอกตามตรงว่า อาจารย์ท่านเรียกไปถาม "วันนี้กินข้าวกับอะไร พอใจมั้ย" เพื่อนก็บอก "ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ นี่นะ… ไม่รักกันจริง เรื่องแค่นี้ก็ไม่ยอมบอก ไม่ไหว ไม่ไหว เราไม่คบด้วย"

ต่อมาวัสสการพราหมณ์ ก็ใช้เล่ห์เพทุบายอีก เรียกเด็กคนใหม่ เป็นลูกกษัตริย์ลิจฉวีเหมือนกัน ถามว่า

"จะถูกผิดกระไรอยู่มนุษย์ผู้กระทำนา

และคู่โคก็จูงมาประเทียบไถมิใช่หรือ"

เพื่อนๆก็ล้อมวงกันอีก "ท่านอาจารย์ว่ายังไง ว่ายังไง" เด็กคนนั้นก็บอกว่า ท่านก็เรียกไปถาม "คนทำไร่ทำนา เขาจูงโคไปนี่ เขาเอาไปเทียมไถใช่มั้ย" เพื่อนบอก "ปัดโถ ! ไม่เชื่อหรอก เรื่องอะไรอาจารย์จะมาพูดแค่นี้" ว่าแล้วลูกกษัตริย์ลิจฉวี ก็ทะเลาะกัน กษัตริย์ลิจฉวีก็ทะเลาะกัน ทำให้อ่อนกำลังลง และเสียเมือง ได้โดยง่ายดายที่สุด

ท่านทั้งหลายครับ ผมเองเกิดไม่ทันหรอกครับ สงครามโลกครั้งที่ ๑ แต่ท่านนักศึกษาทั้งหลาย ผมยืนยัน ได้เลยว่า ท่านเกิดไม่ทัน ทั้งสงครามโลก ครั้งที่ ๑ และ ครั้งที่ ๒ ใครจะโชคดี หรือโชคร้ายกว่ากัน ก็แล้วแต่

ผมยังจำได้ติดตานะครับ ในตอนที่เครื่องบินข้าศึกมาทิ้งระเบิด มันชอบมากลางคืนดึกๆ เราก็ง่วง ตอนนั้น ยังเล็ก เพิ่งจะจำความได้ใหม่ๆ เวลาเครื่องบิน ข้าศึกมานี่ ทางฝ่ายเรา เอาไฟฉายส่องขึ้นไป เอาปืนต่อสู้ อากาศยาน ที่เรียกว่า ป.ต.อ. ระดมยิงกันใหญ่ ข้าศึกก็ทิ้งระเบิดมา เป็นการใหญ่ ถ้าคืนไหน ง่วงหน่อย ก็ไม่ได้ดูหรอกครับ ไปยืนขวาง ปากหลุมหลบภัย ใครจะลง ก็ลงไม่ได้ เพราะยืนหลับ อยู่ตรงนั้น เขาก็ต้อง ใช้มือบ้าง เท้าบ้าง ช่วยกันเขี่ยให้ผมลงไป ลงไปนั่งจับเจ่าในหลุม ที่น้ำก็เจิ่ง ยุงก็ชุม เราก็ได้แต่ นั่งบ่นว่า เมื่อไหร่จะเลิกกันเสียทีวะ อยากจะนอนเหลือเกิน ไม่เห็นสนุกเลย

ตอนกลางคืนก็ต้องแต่งชุดหนูน้อยผจญศึกนะครับ มีอะไรบ้าง แม่ไปหาผ้ายันต์มาโปะเข้าที่หน้าอก ที่บั้นเอว ก็มี ตะกรุดเยอะแยะไปหมด ที่คอไม่ต้องนับ ว่ามีหลวงพ่อ กี่องค์ แล้วยังมี ทรายวิเศษ มีอะไรวิเศษ เยอะแยะไปหมด นี่คือ สภาพของเด็กๆ ที่พอจำความได้ ในตอนสงครามโลก ครั้งที่ ๒

วันหนึ่ง ๆ จะต้องคอยฟังลางร้ายอีกนะครับ ผู้ใหญ่ให้คอยฟังว่า วันนี้ตุ๊กแกมันขันกี่ที ถ้าตุ๊กแก มันขัน ผิดปกติ หวอมาอย่าลืมนะ รีบลงหลุมทันที มิฉะนั้น จะต้องไปเจอ กับยมบาล

การเชื่อถือโชคลางนี่นะครับ มีตั้งแต่เด็ก ไปจนกระทั่งถึงผู้ใหญ่ มีทั้งในยามสงคราม และยามสงบ เขาเล่าว่า มีผู้หลักผู้ใหญ่ คนหนึ่งครับ กำลังจะย้าย ไปรับตำแหน่งใหม่ ถึงเวลาย้าย โอ้โฮ ผู้คนมาเต็ม ใต้ถุนบ้าน ไปหมดเลย เขามารอ รอเพื่อส่งท่าน ตั้งผู้แทนคนหนึ่ง ขึ้นไปถาม เอ๊ ! ถึงเวลาแล้ว ทำไมไม่ลงมาเสียที

ท่านมัวดูเวลาครับ ดูเข็มนาที ดูเข็มวินาที จนกระทั่ง ถึงเวลาเป๊ะ ท่านทำยังไง รู้มั้ยครับ ยกมือขึ้นมาแตะจมูก สั่งขี้มูกซ้ายที ขวาที แล้วสังเกตดูว่า ข้างไหนมันคล่อง เพราะอาจารย์บอกไว้ว่า ข้างไหนคล่องกว่า ให้ก้าวเท้า ข้างนั้นก่อน ว่าแล้วก็นวยนาดลงมา ตามโชคลางที่ท่านถือ ปรากฏว่า เกิดเรื่องขึ้นมาครับ จะโดยอะไร ก็แล้วแต่ มีการตั้งกรรมการ สอบสวน แล้วผู้หลักผู้ใหญ่ ที่ทำตามโชคลาง ทุกขั้น ทุกตอนนั้น ก็ถูกปลดออก ในเวลาไม่นาน

ยามสงคราม ข้าวของก็ขาดแคลน แล้วก็แพงมากด้วย ท่านผู้ฟัง ซึ่งอายุตั้งแต่ ๕๐ ขึ้นไป คงจำได้นะครับ ในตอนนั้น ผมจำได้ ผมชอบมากเลย ชอบอะไรครับ ชอบกางเกง สมัยนั้น กางเกงยามสงคราม ขาดง่าย หายาก และแพงด้วย เขาเลยเอาผ้าใบหนาๆ มาทำเป็นกางเกง เราชอบ เพราะว่าครูเฆี่ยนเท่าไร ไม่รู้จักเจ็บ

ตอนนั้นไม้ขีดไฟก็ไม่มีใช้นะครับ สักก้านเดียวก็ไม่มี เขาดัดแปลงเอาหินมาก้อนหนึ่ง เอาแผ่นเหล็ก หนาประมาณ ครึ่งเซนต์มาตี มีสำลีที่อัดในกระบอกไม้ เรียกว่า ชุดคอยรับ ประกายไฟ

หลังสงครามโลก ครั้งที่ ๑ ทุกคนเห็นพิษภัยของสงคราม มีการรวมตัว เพื่อป้องกันไมให้เกิดสงครามต่อไปอีก รวมตัวกันขึ้น เป็นสันติบาตชาติ แล้วเป็นยังไงครับ ไม่สำเร็จ เกิดสงครามโลก ครั้งที่ ๒ จนได้ พอเกิด สงครามโลก ครั้งที่ ๒ แล้วเขาก็คิดตรงกันว่า เราต้องป้องกันสงคราม ว่าแล้วประเทศต่างๆ ก็มารวมตัวกันอีก เกิดเป็น องค์การสหประชาชาติ ซึ่งทำงานมา จนถึงทุกวันนี้ เสร็จแล้ว มันก็เหมือนเดิมครับ มีการรบพุ่ง กันเรื่อยมา ตั้งแต่ตั้ง องค์การสหประชาชาติ จนถึงทุกวันนี้

ในประวัติศาสตร์ ท่านนักศึกษาเรียนแล้ว กษัตริย์สปาร์ต้าองค์หนึ่งนามว่า อาร์คิมุส ได้พูดกับ พี่น้อง ประชาชนว่า "พี่น้องชาวสปาร์ต้า ทั้งหลาย ข้าพเจ้าเคยทำ สงครามมาแล้ว หลายครั้ง ตลอดชีวิต ของข้าพเจ้า เราไม่อยาก ก่อสงครามขึ้น เราไม่คิดเลยว่า สงครามจะเป็นเรื่องที่ดี หรือปลอดภัย"

ครุสช็อพ ผู้นำโซเวียตเคยพูดไว้ "ข้าพเจ้ากล่าวได้ว่า มีแต่เด็กและคนปัญญาอ่อนเท่านั้น ที่ไม่กลัวภัยสงคราม เด็กไม่กลัว เพราะไม่รู้ ส่วนคนปัญญาอ่อนนั้น ไม่กลัวเพราะ พระเจ้าบิดเบือน"

เสร็จแล้วเป็นยังไงครับ กษัตริย์สปาร์ต้าก็พูดไปแล้ว ครุสช็อพเองก็พูดไปแล้ว ชาวสปาร์ต้า รบกับชาว เอเธนส์ อยู่ถึง ๒๗ ปีเต็มๆ ส่วนครุสช็อพนั้น ได้ยั่วยุ ที่จะให้เกิดสงคราม ตั้งหลายครั้ง

ตอนนี้ก็กำลังซัดกันนัว ท่านที่ติดตามข่าวทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ และวิทยุกระจายเสียง ก็คงจะทราบ ได้ดีนะครับ รบกันทั้งในทวีป อเมริกาใต้ อาฟริกา และอาเซีย

อิรัค กับ อิหร่าน อยู่เปล่าๆ ไม่รู้จะทำยังไง กลัวจะรวยขึ้นมา เพราะน้ำมันมันขายดี๊ ขายดี เอาเงินที่ได้ จากขายน้ำมัน ไปซื้ออาวุธมา แล้วก็ขนทั้งอาวุธ ทั้งคน ไปถล่มกันใหญ่ ๒ ปีกว่า แล้วครับ แหลกลาญกันไป ทั้งสองข้าง ยังไม่ยุติ ไม่รู้เมื่อไหร่ จะยุติเหมือนกัน

ประเทศเล็กๆ ประเทศใหม่ๆ ซึ่งไม่ค่อยชินหูเรานัก ชื่อว่า ชาด ก็มีเรื่องอีนุงตุงนัง กันอยู่ในขณะนี้ ฝรั่งเศส ให้การสนับสนุน ทหารฝ่ายรัฐบาล เมื่อ ๒-๓ วันนี้ ใครฟังข่าว ก็คงได้ยินนะครับ อเเมริกา ให้การสนับสนุน ฝ่ายรัฐบาลของประเทศชาด อีก ๒๓๐ ล้านบาท ฝ่ายลิเบียนั้น ก็สนับสนุนฝ่ายกบฏ ตอนนี้ กำลังทำ สงครามกัน เป็นการใหญ่ ระหว่าง ฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายกบฏ

ประเทศเลบานอน ก็ยังนอนไม่ได้ครับ ประเทศตัวไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอก ถูกเขาผ่าเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่ง ก็เป็นของ ทหารฝ่ายรัฐบาลเลบานอน รวมกับทหารนานาชาติ ที่ไปรักษาความสงบ อีกส่วนหนึ่ง ก็เป็นของพวกซีเรีย และ กองโจรปาเลสไตน์ ส่วนพวกที่ ๓ ก็เป็นพวกอิสราเอล

ฝ่ายเพื่อนบ้านที่แสนวุ่นของเรา ทางฝั่งตะวันออก ก็รบกันไม่ได้ขาด แต่ก่อนนี้เราเคยมีความมั่นใจว่า พอเข้าหน้าฝน เข้าพรรษา การรบก็เบาบางลงไปเอง แต่ตอนนี้ ไม่ใช่ครับ ทั้งหน้าฝน หน้าแล้ง คือกันแหละครับ คือหนักเท่ากัน

ทุกวันนี้ทำสงครามกันหลายที่หลายแห่งนะครับ จนสุดที่จะสาธยาย ท่านที่ติดตามข่าว คงจะเห็นตัวเลข ที่น่าคิดนะครับ สถาบันวิจัย เพื่อสันติภาพ ณ กรุงสต๊อกโฮล์ม ได้เปิดเผยเอาไว้ว่า ในปี ๒๕๒๔ ทั่วโลก ได้ใช้งบประมาณทางทหาร ถึง ๑๔๘ ล้านล้านบาท กับอีก ๔ แสนล้านบาท เฉลี่ยวันละ ๕ หมื่นล้านบาท น่าตกใจมั้ยครับ

นี่แหละครับ งบประมาณที่คนทั้งโลก เขาเอาไปทุ่มในเรื่องสงคราม เฉลี่ยแล้วใช้วันละ ๕ หมื่นล้านบาท

สงครามโลกครั้งที่ ๑ ทหารต้องเข้าทำการรบถึง ๖๕ ล้านคน ตายไป ๘ ล้าน ๕ แสน ไม่นับผู้บาดเจ็บ ทุพพลภาพนะครับ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารเข้าทำการรบ น้อยกว่านั้น ๗ ล้านคน แต่กลับตายมากกว่านั้น ๗ ล้านคน เพราะได้พัฒนาอาวุธ ให้ร้ายแรงขึ้นอีกมาก

ในเวียดนามนั้น ประเทศอเมริกาผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ เสียไปเท่าไหร่ ท่านทราบไหมครับ ในการทำสงคราม ที่เวียดนาม สหรัฐเสียไป ๒ ล้านล้าน กับอีก ๔๙๔,๙๔๐ ล้านบาท มันมาก เสียจนบอกไม่ถูก นับไม่ถูก

ขณะนี้ประเทศต่างๆ กำลังรวบรวมสมัครพรรคพวก ที่จุดนั้นจุดนี้ อย่างเช่น ในยุโรป ฝ่ายโลกเสรี ก็ตั้งเป็นกลุ่ม สนธิสัญญาวอซอร์ เตรียมที่จะฉึ่งกัน ทุกวินาที

สามก๊กพูดไว้ในบทแรกๆว่า "เดิมแผ่นดินจีนทั้งปวงนั้น เป็นสุขมาช้านาน แล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้ว ก็กลับมาเป็นสุขอีก" น่าคิดมั้ยครับ ว่าเป็นสุขดีๆ มาช้านาน แล้วเรื่องอะไร ถึงกลับเป็นศึกอีก ทำไมไม่เป็นสุขต่อไป ก็สุขมันดีกว่าศึก มิใช่หรือ

ตำราพิชัยสงครามของประเทศของพม่า คู่รักคู่แค้นเรา บอกเอาไว้ว่า สงครามเกิดจาก การแย่งเงินบ้าง แย่งแผ่นดิน แย่งผู้หญิงสวยๆ แย่งช้างดี ม้าดี เกิดจากทรยศ หักหลังกันบ้าง เกิดจากความโกรธบ้าง เกิดจากความพยาบาทบ้าง เกิดจากการยุยงบ้าง ก็ดูๆ คล้ายๆกับว่ าครอบคลุมเอาไว้หมดเลย

เมื่อปี ๒๕๑๘ ประเทศอังกฤษทำสงครามกับไอซ์แสนด์ แย่งอะไรกัน ท่านนึกออกไหมครับ แย่งปลา ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์นี้เลย สงครามในครั้งกระนั้น เขาเรียกว่า สงครามปลาค็อด

รัชกาลที่ ๖ ท่านทรงนิพนธ์บทกวีเอาไว้ หลังจากเลิกสงครามครั้งที่ ๑ ใหม่ๆว่า "ความโลภของมนุษย์ ไป่มีสิ้นเลย" ท่านที่อ่านหนังสือพิมพ์ เมื่อวันจันทร์ ที่ผ่านมานี่ คงจำได้นะครับ หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ได้ถ่ายทอดคำเทศน์ของ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ท่านเทศน์เอาไว้ ว่า ความเห็นแก่ตัวนี่แหละ ขยายเป็น สงคราม จึงเห็นได้ว่า ทั้งในหลวง รัชกาลที่ ๖ ทั้งท่านอาจารย์พุทธทาส ได้ให้คำจำกัดความ ของสงครามไว้ได้ อย่างเหมาะเหม็งที่สุด

คงจำกันได้อีกนะครับว่า เมื่อไม่นานมานี้ มีองค์กรทางศาสนาเรา เที่ยวออกล่าลายเซ็น ผมคิดว่าหลายคน ที่อยู่ในที่นี้ เซ็นเข้าไปแล้ว เซ็นว่าท่านต้องการ สงครามมั้ย ปัดโธ่! ใครๆ เขาก็รู้ เขารู้กันมานานแล้วละลุงว่า ไม่ต้องการสงคราม เสร็จแล้ว ก็ไปปิดป้ายอันใหญ่ๆ เสียเงินเสียทองไป ไม่รู้จักเท่าไหร่นะครับ ตามสามแยก สี่แยก บอกว่า คนไทย ไม่ต้องการสงคราม

องค์กรนั้นพยายามอย่างยิ่งนะครับ ที่จะก่อให้เกิดสันติภาพในโลก แต่ไม่ทันหันมาดู บ้านเมืองเรา หรอกครับว่า ขณะนี้เมืองไทย ก็ยังไม่มีสันติภาพ เมืองไทยยังมีสงคราม

ท่านดูในหน้าหนังสือพิมพ์ซีครับ ทุกวันเลย มีฉบับไหนบ้าง มีวันไหนบ้าง ที่ไม่ลงว่า ใครฆ่ากันตาย ในปี ๒๕๒๔ นะครับ มีสถิติโดยแน่ชัดเลยว่า ในปีนั้นนะ คนไทยเฉลี่ยแล้ว ฆ่ากันดีกว่าอยู่เปล่าๆ ถึงวันละ ๔๙ คน คิดดูซิครับ มันมากมายแค่ไหน

หันมาดูทางด้านผู้ก่อการร้ายบ้าง เดี๋ยวนี้มีข่าวใหญ่ๆนะครับ มีขบวนการดาวเขียว ดาวเหลือง ดาวแดง หลายคนฟังแล้วก็บอก "เฉยเหอะ" ดาวเขียวก็ไม่กลัว ดาวแดงก็ไม่กลัว ดาวเหลืองก็ไม่กลัว ไม่กลัวทั้งนั้น กลัวอยู่ดาวเดียว "ดาวเงิน"

แล้วมีข่าวฮึ่มๆอีก จะก่อให้เกิดสงครามแย่งชิงการศึกษาประชาบาล "การแย่งชิงการศึกษาประชาบาล คือการแย่ง งบประมาณ และ บริการของครูสาว" นี้เป็นการให้ข่าว ของข้าราชการผู้ใหญ่ ที่เกี่ยวข้อง

นี่ก็ฮึ่มๆอีกเหมือนกันครับ ได้ยินมั้ย เมื่อสองสามวันนี้ รัฐมนตรีหมอหู ให้สัมภาษณ์ทางวิทยุกระจายเสียง ว่ากำลังจะเซ็น กฎหมาย ทำแท้งเสรี ซึ่งแพ้ไป เมื่อคราวที่แล้วนี้ เอากลับ เข้าสภาใหม่ คงต้องการ จะตัดปัญหา ยุ่งยากให้หมดไป ปัญหาที่โทษกันไป โทษกันมาว่า "ทีทับไม่ร้อง ทีท้องจะให้รับ"

ถ้าออกกฎหมายทำแท้งเสรีได้สำเร็จละก็ ต่อไปนี้ทั้งหญิงทั้งชาย จะก่อให้เกิดสมานฉันท์ ทับก็ไม่ร้อง ท้องก็ไปรีด รีด รีด รีด สบาย สบาย ง่ายดีนะครับ ท่านก็จะได้ติดตาม สงครามนี้ต่อไป หลายคน จะต้อง โดดมาช่วยสู้กับสงครามนี้นะครับ กฏหมายทำแท้งเสรี จะทำความเหลวแหลก ให้กับสังคม ดังที่ประเทศอื่นๆ โดนมาแล้ว

เมืองไทยนี้นะครับ พูดถึงเรื่องการสงครามแล้ว ไม่มีใครเหมือน แล้วก็ไม่เหมือนใครด้วย จำได้มั้ยครับ เมษายน เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว เมืองไทย มีสงคราม ชนิดที่ไม่เคยมี ในโลกเลยครับ

สงครามทางโทรทัศน์ ฝ่ายหนึ่งออกมาด่าทางโทรทัศน์ ปลดกันทางโทรทัศน์ อีกฝ่ายหนึ่ง ก็ออกมาด่าโต้ตอบ ปลดโต้ตอบ เราในฐานะคนดู ได้เห็นความคล่อง ของผู้ใหญ่บางคน ตอนแรก ท่านมาออกโทรทัศน์ของฝ่ายนี้ พอเห็นท่า จะไม่ดี ท่านวิ่งปรื๋อ ไปออกโทรทัศน์ของฝ่ายโน้น คล่องเหลือเกินครับ ทหารผู้น้อยไม่คล่อง คล่องอย่างนั้น ไม่ได้ ผิดวิสัยของนักสู้ ก็เลยซวย ซ้วย ซวย ตั้งแต่วันนั้น มาจนวันนี้

เมืองไทยเรานี่ไม่เหงา ท่านเห็นมั้ยครับ แม้กระทั่งแม่น้ำ ก็โดดไปทำสงครามกับ สัตว์เดรัจฉานได้ ทำกันอย่าง ถึงพริกถึงขิง ไม่ยอมหยุดง่ายๆครับ จนกระทั่ง ถึงวันนี้ ยังไม่ยุติ คือ สงครามระหว่าง แม่โขงกับหงส์ทอง ทำสงครามกันจริ๊ง คุณลองนึกดูซิครับว่า ใครจะชนะสงครามนี้ ทายไม่ออกหรอกครับ แต่ที่ทายออกแน่ๆ คนที่แพ้ แพ้ตลอดกาลคือ คนโง่ ที่ไปซื้อเหล้ากิน นั่นเอง

เมืองไทยเรานี่นะครับ มีคนนับถือพุทธศาสนาถึงร้อยละ ๙๕ แต่เมืองไทยมีครบ มีทั้งฆ่าฟัน แล้วก็ฆ่าแกง เมื่อกี้ผมพูดไปแล้ว เรื่องฆ่าฟันเท่านั้น มาดูฆ่าแกงบ้าง ฆ่าแกงนี่ เราฆ่าเป็ด ไก่ หมู วัว ควาย ปีละเท่าไร นึกไม่ออกหรอกครับ มันเยอะแยะเหลือเกิน บรรดาผู้ที่ทำให้เขาฆ่าแกงกัน ก็มานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ฆ่าหมู เป็ด ไก่ วัว ควาย ปีละกว่า ๓,๗๙๐,๐๐๐ ตัว

มนุษย์มีการฆ่าแกงกันประหลาดๆ เขาจับลิงมามัดไว้ใต้โต๊ะ ให้หัวลิงตรงกับช่องที่เจาะ เสร็จแล้ว ก็เฉาะสมองลิงกินเอ๊า กินเอา ลิงมันก็ร้องเจี๊ยกจ๊าก เจี๊ยกจ๊าก ดิ้นอยู่ใต้โต๊ะ เขาบอกว่า การกินชนิดนี้ โอชาที่สุด

ที่เมืองจีน บางคนได้ดูหนังมาแล้ว อาจจะเรียกว่า ปลานรกก็ได้ เขาทำยังไงครับ เอาปลาตัวใหญ่ๆมา เทคนิคของ การทำปลานรก ก็คือว่า อย่าให้มันตายนะ ถ้ามันตายไปก่อนนี่ หมดรสชาติเลย เอาปลามา ค่อยๆขอดเกล็ด อย่าให้ตาย, เอามีดมาเฉือนเป็นบั้งๆ ระวังอย่าให้ตายอีกเหมือนกัน ตั้งกระทะ เคี่ยวน้ำมัน ให้ร้อน จับหัวปลา เอาตัวมาจุ่มลงไปในแป้ง แล้วก็หย่อนลงไปในน้ำมัน ปลาจะอ้าปากพะงาบ พะงาบ ก่อนที่มันจะตาย รีบเอาเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ

เมืองไทยก็ไม่ใช่ย่อยนะครับ หลายท่านก็รู้มาแล้วว่า ไก่นรกเขาทำยังไง เขาเอาไก่ไปฝังดินนะครับ ให้โผล่มาเฉพาะคอ เสร็จแล้ว ก็หยอดน้ำ หยอดข้าวเปลือก ไปทีละนิด ละนิดอย่าให้มันเข้าไปมาก มากเดี๋ยวอ้วน จะไม่อร่อย เสร็จแล้วก็ประคบประหงม อยู่ในดินนั่นแหละ แล้วก็เอาไปฆ่า เขาว่าอย่างนี้ อร่อยที่สุด ไก่นรก เนื้อตัวมันเหลือง นิ่มนุ่มไปหมด ใครอยากจะไปนรกตามไก่ ก็เชิญนะครับ

ที่สวนลุมท่านก็ทราบแล้ว มีการกรีดเลือดงูกินกันสดๆ ขณะนี้ไม่ทราบว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ตอนที่กองทัพธรรมมูลนิธิ และมูลนิธิธรรมสันติ ไปเผยแพร่ธรรมะ ในตอนนั้น ก็ยังมี

มนุษย์ทุกวันนี้นะครับ มหาตมะ คานธี ท่านกล่าวเอาไว้… เมื่อเอ่ยถึงมหาตมะ คานธี นักมังสวิรัติชั้นนำ ทำให้ผมนึกไปถึง เจ้าของนวนิยาย เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่อง ที่เรากำลัง พูดกันอยู่ เวลานี้ คือ "สงคราม และสันติภาพ" ท่านเป็นนักมังสวิรัติ ผู้มีชื่อเสียงของโลก คือ ตอลสตอย ท่านได้แต่งหนังสือเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเหตุจูงใจของผม อีกเหตุหนึ่ง ที่รับเชิญ จากนักศึกษา มาพูดในวันนี้ ก็คือว่า ร้อยวัน พันปี จะได้พูดถึงเรื่อง ซึ่งตรงกับชื่อหนังสือ ที่แต่งโดย มหาบุรุษ นักมังสวิรัติ ชั้นนำของโลก สักทีหนึ่ง ผมเป็นนักมังสวิรัติ กระจอกๆ ก็ย่อมตื่นเต้น เป็นธรรมดา

มหาตมะ คานธี กล่าวเอาไว้นะครับว่า "มนุษย์ทุกวันนี้ ไม่มีความละอายแก่ใจเลย ที่จะพร่าชีวิตผู้อื่น เพื่อความดำรงอยู่ ของสังขาร อันไม่จีรัง ของตน และ เพื่อให้สังขารของตน ได้ยืนนานต่อไป ผลก็คือ มนุษย์ต้องฆ่าตัวเอง ทั้งกายและใจ" ใครไม่อยากฆ่าตัวเอง ทั้งกายและใจ ก็จงละเว้น การฆ่าแกง เสียตั้งแต่ วันนี้นะครับ

กลุ่มรามบูชาธรรม ได้จัดการเลี้ยงอาหารมังสวิรัติมา ๔ วันเต็มๆ ท่านที่เดินผ่านมา ก็คงเห็นนะครับ หลายท่าน ก็ลองชิมดูแล้ว เป็นการจัดงานบุญจริงๆ ในงานนี้ ไม่มีการฆ่าแกงกันเลย แม้กระทั่ง กุ้งตัวเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ต้องมาเสียชีวิต เพราะงานนี้ เป็นเรื่องน่าดีใจนะครับ ที่คนรุ่นใหม่ ทำได้ถึงเพียงนี้

ขณะนี้ทางภาคอีสาน และภาคเหนือ มีโรคอะไร ท่านทราบไหมครับ เมื่อ ๒ วันนี้เป็นข่าวใหญ่เลย มีโรค พยาธิใบไม้ในตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวอีสาน เป็นกันถึง ๖ ล้านคน เพราะอะไร เพราะชอบกินปลา ดิบๆ สุกๆ ใครไม่กินปลาเลย ไม่กินเนื้อสัตว์เลย ก็ยืนยันได้เลยครับ ไม่เป็นโรคนี้แน่

ในวันนี้ เมื่อพูดถึงสงครามและสันติภาพ ผมอยากจะเชิญชวน ท่านทั้งหลาย ให้มาทำสงคราม ต่อต้าน โรคภัยไข้เจ็บ และความไม่ถูกไม่ต้อง ทั้งหลายแหล่ โดยการงดกิน เนื้อสัตว์ เสียตั้งแต่วันนี้ จะงดได้น้อย ได้มากเท่าไร ก็แล้วแต่วีธิการ ของแต่ละคน บางคนบอกว่า วัวควายมันให้แรงงาน ทำข้าวมาให้เรากิน เราต้องกตัญญู งดวัวควายก่อน

บางคนก็บอกว่า นอกจากวัวควายแล้ว สัตว์ใหญ่ทั้งหมดงดก่อน กินสัตว์เล็ก บางคนแหลมลึกไปกว่านั้น เลิกกินเนื้อสัตว์ โดยเลิกกินสัตว์ ที่มีเสียงก่อน ท่านก็ไปนึกดูนะครับ แต่เมื่อท่าน ฟังแล้วเห็นว่า ไม่เข้าท่าเลย ขอกินต่อไป ก็ตามสบายนะครับ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ

พูดถึงศึกสงคราม ผมเคยไปรบมาสองศึก เจ๊ากันทั้งสองศึก ไม่มีแพ้ไม่มีชนะ สมัยนี้เขารบกันเจ๊าๆ ทั้งนั้น ถ้าจะรบ ให้ทันสมัย ต้องรบแบบเจ๊าๆ

ในลาว ผมไปทำงานหลายตำแหน่งครับ ตำแหน่งหลังเป็นผู้บังคับหน่วยรบพิเศษ ที่ภูผาที ประเทศลาว ในตอนนั้น มีการรบปะทะกัน ดุเดือดมาก ทางกรุงเทพฯ ก็ได้จำหน่ายแล้ว ว่าตายเรียบ รวมทั้งผมด้วย ได้พบเห็นภาพ ที่สยดสยองมาก ในครั้งกระนั้น แต่ก็ไม่เข็ดครับ กลับจากลาว ผมสอบแข่งขัน จากโรงเรียน เสนาธิการ ไปรบเวียดนามอีก ทหารไทยนี่ ไม่ใช่ธรรมดานะครับ จะไปรบ บางทีต้องสอบแข่งขัน

ลาวเท่าที่ไปเห็นมา ก็อย่างที่ท่านทั้งหลายทราบ มีลักษณะคล้ายประเทศไทยมาก แต่มีอะไรๆแย่กว่าเรา น่าสงสารกว่าเรา ได้เคยพบกับ นายทหารสหรัฐฯ ซึ่งช่วยพัฒนา ประเทศลาวอยู่ เขาพูดกับผม เป็นภาษา ไทยปนลาวว่า "เปิ้นเอาพันธุ์ถั่วเขียว ไปแจกนายบ้าน นายบ้านก็ว่าดีดี แล้วนายบ้านเปิ้นก็เอาไป ต้มกินโม้ด" แจกทีไร เอาไปต้มกินหมดทุกที เวลาทหารลาว เขาจะยิงปืนใหญ่ ท่านคงไม่ทราบหรอก เขาต้องคัด กระสุนปืนใหญ่ ที่ปลอกทำด้วยเหล็กเขาไม่ยิง จะยิงแต่ปลอกทองเหลือง เท่านั้น เพราะทองเหลือง ขายได้ราคา ดีกว่าเยอะ

ในภาคใต้ของลาว คืนวันหนึ่ง หัวหน้านายทหารติดต่ออเมริกา ถืออาวุธมาเต็มอัตราศึก หน้าตาตื่น ถามว่า เกิดอะไรขึ้นหรือ ลาวยิงกันทั้งเมืองเลย ข้าศึกมันเข้ามาตรงไหน ไหนลองบอกมา ให้ฟังหน่อยซิ มันเลวร้าย ถึงขนาดนี้แล้วหรือ ผมบอกว่า ใจเย็นๆ อย่าไปห้ามเขาเลย คุณห้ามยังไง เขาก็ไม่หยุด เพราะว่าคนลาวนี่ ขี้สงสาร เขาแหงนมอง บนฟ้า เห็นว่าราหู กำลังข่มเหงพระจันทร์ ก็เลยยิงปืนขึ้นช่วย จะหยุดก็ต่อเมื่อ ราหูมันเลิกรังแกพระจันทร์ หรือไม่ก็กระสุนของท่าน หมดนั่นแหละ เขาถึงจะเลิก

เป็นยังงั้นจริงๆครับ ใครมีอะไร งัดกันมายิงหมด ไม่ว่าปืนเล็ก ปืนกล ยิงขึ้นฟ้า เฟี้ยวฟ้าว กระสุนส่องแสง พุ่งไปพุ่งมา ยังกับมีงาน เฉลิมฉลอง มโหฬาร ครั้นเมื่อ ราหูเลิกอมจันทร์ เขาก็หยุด สนามรบ ก็เงียบสงบเป็นปกติ

ไทยไม่ได้แตกต่างกับเขานะครับ อย่าหลงภูมิใจ อีกครั้งที่เวียดนาม ผมเป็นผู้ช่วยนายทหารฝ่ายยุทธการ เผอิญเข้าเวร ที่กองบัญชาการ กองพล คืนนั้นพอดี ทหารไทย ยิงกันทั้งค่าย แบร์แคตเลยครับ ยิงกันใหญ่ ยิงขึ้นฟ้า ยิงกันอุตลุดเลย ผู้บัญชาการกองพลโมโหมาก ออกไปเที่ยวได้ห้าม ทีละคน ทีละหมู่ ให้เลิกยิง ไม่ไหวหรอกครับ ไม่มีใครเชื่อ ท่านก็เลย ลั่นวาจาว่า เมื่อไม่สามารถ ที่จะปกครอง บังคับบัญชาได้ ไม่สามารถ จะห้ามลูกน้องได้ ก็ขอลาออก เสร็จแล้ว ก็สั่งอีกอย่างหนึ่ง คือ ห้ามหุงหาอาหาร ในวันรุ่งขึ้น

คนญวนที่พวกเราจ้างซักรีดเสื้อผ้า ถามกันใหญ่ เอ๊ ประเพณีนี้มีในเมืองไทยด้วยหรือ ถึงวันปีใหม่ มีการฉลองด้วยการ อดข้าวหรือไง ฝ่ายผู้บัญชาการกองพล กับนายทหารคนสนิท ก็ขับรถ แอบออกไปหากินในเมือง ส่วนทหารไม่หุงหาอาหาร ก็ไม่เป็นไร งัดเอาเสบียงแห้ง มาเปิดกระป๋อง กินกันใหญ่

เรื่องการลาออกนั้น เขามีวิธีแก้ครับ คือ เล่นละครให้นายทหารกลุ่มหนึ่งไปขอขมา สารภาพว่า ได้ทำความผิดไปแล้ว ขอให้ท่าน ผู้บัญชาการกองพล อันเป็นที่รัก ของพวกเรา จงอยู่ในตำแหน่ง ต่อไปเถิด ต่อไป จะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว ปรากฏว่า คนที่ไป ไม่ใช่คนยิง คนที่ยิง มันไม่ได้ไป เสร็จแล้ว ผู้บัญชาการ กองพล ก็เล่นตามบทบาทครับ มีความเห็นอกเห็นใจ ลูกน้องเหลือเกิน ที่อุตส่าห์มาขอ ก็เลยทนอยู่ ในตำแหน่งต่อไป จนกระทั่ง กลับมาเมืองไทย แล้วก็จำใจ อยู่ในตำแหน่ง จนกระทั่ง ได้เลื่อนยศ ขึ้นสูงลิบ แล้วก็เกษียณไป น่าเห็นใจ ในความจำใจ ของท่าน

ที่เวียดนาม เรื่องการปฏิบัติการจิตวิทยา เขาก็คุยนักคุยหนา เวลามีคนสำคัญไปเยี่ยม เขาก็สร้างฉากขึ้นมา ผู้บังคับหน่วย ลุกขึ้นยืนโม้ "ท่านพี่น้องที่รัก ทั้งหลายครับ ที่ท่านยืนอยู่นี่ สมรภูมิแห่งนี้ เคยเป็นสมรภูมิเลือด ครั้นเมื่อหน่วยทหาร ของข้าพเจ้า ได้ยาตรามาถึง เรามีชัยชนะ อย่างเด็ดขาด ขณะนี้เราสามารถเข้าถึง ประชาชนทุกคน ประชาชน เป็นฝ่ายเราหมดสิ้น" พอพูดขาดคำ วันรุ่งขึ้น ชาวเวียตนาม ซึ่งเป็นสายลับ ของหน่วยทหารไทยหน่วยนั้น ก็ถูกเวียดกง มันเข้ามาเอามีดปักอกตาย กลางหมู่บ้านเลย แล้วมิหนำซ้ำ ที่น่าเจ็บใจก็คือว่า ที่ดาบปลายปืน มันเขียนเอาไว้ว่า "อนุญาตให้ครอบครัวทำศพได้" ถ้าไม่อนุญาต ทำศพ ไม่ได้นะครับ มันเอาตาย

การรบในตอนนั้น เขาถือว่าใครฆ่าข้าศึกได้มากที่สุด คนนั้นเก่งที่สุด เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "บอดี้เค้า" เป็นการนับซากศพ ทหารไทยส่วนหนึ่ง มีพฤติกรรม ซึ่งเราฝ่ายเสนาธิการ เรียกกันตามประสาเราว่า "บอดี้ขุด" บอดี้เป็นภาษาอังกฤษ ขุดเป็นภาษาไทย ไปลาดตระเวนที่ไหน ก็มีพลั่วติดหลังไปด้วย ได้กลิ่นตึๆ ที่ไหน ก็ขุดมันที่นั่น ขุดได้ขาหนึ่ง ก็บอกว่า ฆ่าข้าศึกได้ศพหนึ่ง ขุดได้สองขา ก็บอกว่าฆ่าข้าศึกได้สองศพ ขุดไปขุดมาก็รู้ว่า ฝ่ายเสนาธิการมีอยู่น้อย ผู้บัญชาการกองพล ไม่มีโอกาส ตรวจแนวรบได้ทั่ว อย่ากระนั้นเลย ขุดนี่มันอุจาด ยกเมฆเอาดื้อๆ วันนี้ฆ่าได้ห้า พรุ่งนี้สิบ มะรืนยี่สิบ

บางครั้ง ผู้บังคับหน่วยถึงขนาดขึ้นเฮลิคอปเตอร์บัญชาการเลย วิทยุที่กองบัญชาการกองพลรับฟังได้ชัดว่า ขณะนี้ได้ประทะกันแล้ว ร้องตะโกนสั่งการ ชี้บอกกันทางวิทยุ จากเฮลิคอปเตอร์ "ดูใต้ต้นไม้นั่น มีหรือเปล่า" ทางนั้นก็รู้กัน "อ๋อ มีครับๆ ผมเจอแล้วห้าศพ" "เอ้า ดูที่อื่นต่อไป โน่น โน่น ข้างๆเนินนั่น เห็นตะคุ่มๆ" "มีอีกสิบศพครับ" รายงานกัน เป็นการใหญ่

ในฐานะฝ่ายเสนาธิการ เราก็มานั่งบวกเลขดู ปรากฏว่า ทหารไทยเก่งกล้าสามารถครับ เพียงสองสามเดือน ก็สามารถฆ่าข้าศึก ได้มากกว่าจำนวนข้าศึก ที่มีอยู่จริง ในพื้นที่นั้น

อีกครั้งหนึ่งครับ ผู้บัญชาการกองพล เห็นหนูในค่ายชุมมาก ก็ให้ค่าหาง ใครฆ่าหนูได้ ให้ตัดหางหนูมาขึ้นเงิน ทหารเอาหางหนูมาขึ้นเงิน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หนูในค่ายไม่ลดลง ได้ความว่า ทหารไทยนี่เก่งครับ ฉลาดมาก เขาไม่ฆ่าให้โง่หรอกครับ เขาก็ไปประกาศกับพ่อค้าแม่ค้าญวน ที่อยู่ใกล้ๆค่าย ให้เอาหางหนู มาขาย ราคาถูกๆ แล้วไปขายเอากำไร จากผู้บัญชาการกองพล อีกทีหนึ่ง

ในเมืองไทยก็มีนะครับ อย่างที่บางท่านเคยได้ยินได้ฟังแล้วที่โคราช นายกเทศมนตรีสมัยหนึ่ง สละเงินเดือน ปราบแมลงวัน ให้ค่าหัวแมลงวัน อย่างนี้แหละครับ ปราบยังไง ก็ไม่สำเร็จ เขาไม่ได้เอาแมลงวันที่อื่น มาขายที่โคราชหรอกครับ เขาตั้งหน้าตั้งตา เพาะแมลงวัน เป็นล่ำเป็นสันเลย เพาะมันในอำเภอเมือง นั่นแหละ ขายให้นายกเทศมนตรี

ท่านทั้งหลายครับ สงครามครั้งต่อไป ท่านก็คาดได้แล้วนะครับว่า มันจะโหดร้ายกว่านี้อีกหลายเท่า เหลือเกิน หลังจากที่สหรัฐฯ เอาระเบิดปรมาณู ไปทิ้งที่ญี่ปุ่น สามารถหยุดยั้ง สงครามได้ หลายประเทศ รีบเร่ง พัฒนาใหญ่ รีบแข่งกันสร้างปรมาณู เป็นการใหญ่ เดิมมีมหาอำนาจทางปรมาณู ห้าชาติ มีอเมริกา รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน ต่อมาก็มีประเทศอื่นๆ พยายามอีกครับ ทั้งๆที่คนของตัว ยากจนแสนเข็ญ เหลือเกิน อย่างเช่น ประเทศอินเดีย เป็นต้น

นักวิชาการและนักการทหารอเมริกันสิบคน ได้ร่วมกันคำนวณ เมื่อปี ๒๕๒๒ คือ เมื่อ ๔ ปีที่แล้วว่า ถ้าอเมริกา ทำสงครามปรมาณู กับรัสเซีย ใครจะตายเท่าไหร่ ผลปรากฏว่า อเมริกาจะตาย ๑๑๐ ล้านคน รัสเซียจะตาย ๘๐ ล้านคน ที่ตายน้อยกว่า เนื่องจากว่า ความหนาแน่นของผู้คนในเมือง มีอยู่ต่างกัน ทั้งอเมริกา และรัสเซีย จึงกลัวมาก เมื่อปี ๒๕๑๔ ได้ทำสัญญากันขึ้น ให้มีการติดต่อสายตรง ป้องกัน สงครามปรมาณู ที่อาจเกิดขึ้น จากการเข้าใจผิด

นักศึกษาครับ ขณะนี้เรากำลังพูดอยู่ที่ ลานพ่อขุนฯ นะครับ พ่อขุนรามคำแหง ทำสงคราม ตั้งแต่อายุ ๑๙ ปี ชนช้างชนะขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด หลังจากนั้น ต่อมาอีกหลายปี เมื่อท่านครองราชย์แล้ว ท่านก็ได้ขยายอาณาเขตออกไป แต่ท่านเลือกแนวสันตินะครับ ไปอ่านดูให้ดี

ท่านเห็นว่า ถ้าจะขยายลงทางใต้ จะต้องไปปะทะกับขอม จะต้องเสียไพร่พลทั้งขอม ทั้งไทยมากมาย ท่านจึงพยายามขยาย ไปทาง ตะวันออกเฉียงเหนือ และ ตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนจดแหลม มลายู ซึ่งขณะนั้น มีคนไทย ไปทำมาหากิน อยู่เยอะแล้ว ก็มีเจ้าผู้ครองนครต่างๆ มาสมทบด้วย มากมาย เรียกว่า เป็นการขยาย โดยสันติ

พ่อขุนรามคำแหง สร้างพระแท่นมนังคสิลาอาสน์ที่สวนตาล วันพระ ก็ให้พระขึ้นเทศน์ ส่วนวันธรรมดา ท่านก็ขึ้นอบรม สั่งสอนประชาชน ประชาชนสมัยนั้น ก็อยู่เย็นเป็นสุข ไม่มากไปด้วย อบายมุข ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อ ร้อนใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าท่านได้ช่วยกัน ทั้งฝ่ายสงฆ์ และฝ่ายฆราวาส

พ่อขุนรามคำแหง ท่านได้สนับสนุนให้เกิดสันติภาพ เกิดความเจริญรุ่งเรือง ในอาณาจักรกรุงสุโขทัย มากมายก่ายกอง เหลือที่จะคณานับ อย่างเช่น ได้สนับสนุน การหัตถกรรม ถึงขนาดเราสามารถ ส่งเครื่องสังคโลก ไปขายถึงมลายู และหมู่เกาะฟิลิปปินส์ แล้วท่านก็ยังได้สร้าง ป่าหมาก ป่าพลู ไม่ใช่สร้างไว้ ให้เคี้ยวเล่นแจ๊บๆๆ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ ไม่ใช่นะครับ สร้างป่าหมาก ป่าพลู คือ ท่านปลูกต้นไม้ ปลูกผักไว้ ทุกมุมเมือง วันพรุ่งนี้ เป็นวันเข้าพรรษา เราถือว่า เป็นวันต้นไม้แห่งชาติ ก็น่าที่จะเอื้อมเอ่ยถึง พระราชกรณียกิจ ของพ่อขุน ในเรื่องนี้บ้าง

ท่านก็ทราบอีกละครับ การปลูกผักในสมัยพ่อขุนนั้น เป็นที่เลื่องลือมาก เลื่องลือจนถึงขนาดว่า มีคนได้ดิบได้ดี เพราะปลูกผัก ใคร นึกออกไหมครับ มักกะโท ไงล่ะครับ

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองนั้นแล้ว ท่านทั้งหลายก็ทราบนะครับว่า เกิดสงครามอีกเยอะแยะ ไปหมดเลย คือ สงครามกู้ชาติ แต่ว่ามีมหาบุรุษ ของโลกคนหนึ่ง ไม่เลือกหรอกครับ สงครามพุ่งรบ เพื่อกู้เอกราช ที่คนจะต้องตายกันเป็นเบือ มหาตมะ คานธี ใช้วิธีแนวสันติ เมื่อใดก็ตามที่มหาตมะ คานธี เห็นว่าผู้ร่วม ขบวนการ ชักจะใช้มาตรการ รุนแรงแล้ว ท่านหยุดทันที เมื่อเขาหายรุนแรงแล้ว ท่านจึงเดินหน้าต่อไป

หลายคนเคยอ่าน ตำรับพิชัยสงครามของซุนจื้อ นักปราชญ์จีน ผู้แต่งตำราพิชัยสงคราม บันลือโลก ซุนจื้อ กล่าวเอาไว้ว่ายังไง ผมอยากจะขอยกให้ฟัง ซุนจื้อกล่าวเอาไว้ว่า "การยึดเมือ งโดยไม่ต้องทำลาย เป็นวิธีประเสริฐ แต่ถ้ายึดได้.โดยจะต้องทำลาย ถือว่าเป็นรอง"

"การหักเอาโดยไม่ต้องทำลายกองพล เป็นวิธีประเสริฐ ถ้าต้องทำลาย ถือว่าเป็นรอง"

"ไม่ต้องทำลายทั้งหมวด ทั้งหมู่ เป็นวิธีประเสริฐ ถ้าต้องทำลาย ถือว่าเป็นรอง"

ดังนั้น การชนะด้วยการรบร้อย ทั้งร้อยครั้ง จึงไม่ถือว่าเป็นวิธีประะเสริฐแท้ ชนะโดยไม่ต้องรบ ประเสริฐยิ่ง

เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ร่ำเรียนเรื่องการรบพุ่งมามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชาธนูศาสตร์ ลูกกษัตริย์ไม่ว่า ราชวงศ์ไหน สู้ท่านไม่ได้เลย แต่ท่านก็เห็นว่า การสงครามนั้น ไม่สามารถ แก้ไขปัญหาได้ ไม่สามารถทำตัวเอง ให้หมดสงคราม ให้เกิดเป็นภาวะ สันติสุขได้ วันนี้วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่ พระพุทธองค์ ทรงเริ่มสอนคนอื่น ให้ทำสงครามชนะสงครามตัวเอง ก่อให้เกิดสันติภาพ กับตัวเอง

วันนี้เป็นนิมิตหมายอันดีนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกพ่อขุน ซึ่งสถาบันการศึกษาแห่งนี้ มีนักศึกษา มากที่สุด ในประเทศไทย มากที่สุด ในทวีปเอเชีย แล้วก็มาก ที่สุดในโลก ถ้าลูกพ่อขุน ได้ช่วยกันถือ นิมิตหมายนี้ มาทำสงครามกับตัวเอง สร้างสันติให้เกิดขึ้นกับตัวเอง มากๆเข้า ผมเชื่อเหลือเกินครับ ว่าความหวัง ของพระพยอม จะประสพผลสำเร็จ แน่นอน ในเรื่องการปราบอบายมุข และสิ่งชั่วร้ายต่างๆ

วันนี้กลับไปถึงบ้าน ลองนั่งเฉยๆ อย่าหลับตานะครับ เดี๋ยวจะหลับไปเลย นั่งเฉยๆ แล้วนึกดูซิว่า เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันนี้ วันที่องค์สมเด็จ พระศาสดาเรา ทรงสอนพระสาวก รุ่นแรก ให้ทำสงคราม กับตัวเอง จนกระทั่งชนะ เกิดสันติขึ้นมา เรายังมีอะไรที่เรายัง ติดงอมแงม ไม่ว่าจะสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ค่อยๆเลิก เลิกมันให้หมด อย่างน้อยที่สุด ก็มีฆราวาสยืนยัน ผมคนหนึ่งละครับ ที่ยืนยัน และอีกหลายคน ยืนยัน ไม่ใช่มีหนึ่ง ไม่ใช่มีสอง ไม่ใช่มีหนึ่งร้อย ไม่ใช่มีสองร้อย ไม่ใช่มีห้าร้อย มีมากกว่านั้น ก็อยาก จะให้กำลังใจ กับท่านทั้งหลาย มาฟังทั้งที ขอให้ได้ดีกลับไป นะครับ

ท่านทั้งหลายครับ เรื่องต่างๆนานาเหล่านี้ ถ้าเราสามารถที่จะทำสงคราม ชนะตัวเราเองก่อน สามารถ ทำตัวเราเอง ให้เกิดสันติได้แล้ว ท่านก็จะสามารถ พิสูจน์พุทธพจน์ ของพระพุทธองค์ที่ว่า "ชนะตนเองนั่นแล ประเสริฐที่สุด" ผมขอจบข้อคิด ความเห็นเรื่อง "สงครามและสันติภาพ" ไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ

(คำอภิปรายของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เรื่องสงครามและสันติภาพ อภิปรายร่วมกับ พระพยอม กัลยาโณ และคุณอุษณีย์ พรหมมาศ ที่ลานพ่อขุน, มหาวิทยาลัยรามคำแหง ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๒๖)

อ่านต่อ ตอน ๑๘

ทาง ๓ แพร่ง เล่ม ๒