เม็ดทราย
๑
ใ ค ร ! !
เขา...เป็นชายแก่ ที่อายุมากกว่าใครในโลกนี้
เขา...สืบมาจากตระกูลที่เก่าแก่ ยิ่งกว่าตระกูลใด
บ้านของเขาเล็กจิ๋วแต่ใหญ่ ยิ่งกว่าบ้านใคร
บ้านของเขาอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง...
วันเวลาโผบินผ่าน
เขายิ่งกลับหนุ่มขึ้นๆ
กาลเวลายิ่งผ่านเร็ว
ความหนุ่มของเขาก็ยิ่งมาแรง!...
ร่างของเขาสูงตระหง่านยิ่งกว่าภูผา
เงาของเขาทอดยาวทะมึน จนจรดขอบฟ้า
ผิวของเขาเหลืองนวลยิ่งกว่า รัศมีจันทรา
รอยย่นยับ ต่างก็ล้วนผิดหวังในตัวเขา
พละกำลังของเขา แรงกล้ายิ่งกว่าพายุร้าย
มากมายยิ่งกว่า น้ำในมหาสมุทร...
ดวงปัญญาของเขา
เจิดจ้ายิ่งกว่าสายฟ้า
ละเอียดลึกยิ่งกว่า การเห็นหุบเหวบนปลายเข็ม
และกว้างใหญ่จนเลยเปลือกฟ้า...
แม้ขุนเขาก็ยังสั่นสะเทือน
พระยามัจจุราชก็ต้องยืนสำรวม
ด้วยรอยยิ้มของเขา
หัวใจของเขาสงบ...เย็น
ซึ่งแรงยิ่งกว่าใจกลาง แห่งดวงตะวัน...
ทุกครั้งที่เขาย่างก้าว
โลกก็หวั่นไหวกระหึ่มร้อง
เสียงครวญครางและโห่ฮึก ระคนกันเซ็งแซ่
กลองรบได้ถูกลั่นกึกก้องกัมปนาท อย่างเงียบกริบ...
ณ หนแห่งที่เขาพำนัก
ความโศกเศร้าก็ร้องอย่างรันทด
ความทุกข์ทั้งหลายต่างก็หวาดผวา
กาลเวลานั่งนิ่งด้วยความสงบ
ปีกของมันได้ถูกเด็ดทิ้งไว้ชั่วคราว...
เขา...ชายแก่คนนั้น
สร้างฐานะให้แก่ตัวเอง
ยิ่งกว่าเสื่อผืนหมอนใบ
เพราะเขาจนยิ่งกว่านั้น
เขามีแต่หัวใจอันเปล่าเปลือย เป็นต้นทุน
เขาทำงานหนักยิ่งกว่าขี้ข้า
แต่เปลืองข้าวของ น้อยกว่ากระยาจก...
ยิ่งแก่ เขาก็ยิ่งทำงาน
เขาไม่เคยหยุด
เขาไม่เคยพัก
ในหนึ่งวัน เขาทำงาน ๒๕ ชั่วโมง...
อาชีพของเขา
เป็นมรดกตกทอดกันมานาน จนเกินนับ
คนแล้วคนเล่า
ต่างก็ได้ถ่ายทอดฝีมือ ให้รุ่นต่อๆไป
เขา...กำลังทำหน้าที่ ตามรอยบรรพบุรุษของเขา
ซึ่งมอบกันด้วย วิญญาณแห่งปัญญา
และรับผิดชอบยิ่งกว่าล้านเท่า ของชีวิตแห่งตน...
งานของเขาเล็กละเอียด
ยิ่งกว่าขนอ่อนของสายลม
แต่ยิ่งใหญ่กว่าแผ่นฟ้า
ไม่มีใครเห็นงานของเขา
ถ้าหากใช้ตามอง
แต่งานของเขาครอบคลุมทั่ว ทุกตารางนิ้ว บนพื้นโลก...
งานของเขา
หรือสิ่งที่เขารับมาเป็นหน้าที่
ไม่มีใครกล้าแย่งทำ
เพราะมันเล็กจนยิ่งใหญ่ มหาศาลเกินกำลัง...
เขาเป็นช่างเจียระไน
เพชรพลอยเป็นสิ่งที่ต่ำเกินกว่า มือเขาจะเอื้อมถึง
หลายต่อหลายคนขอร้องให้เขาทำ ด้วยน้ำตา นองใบหน้า
อ้างปริมาณอันมหาศาล
อ้างจำนวนอันมหึมา
แต่เขาก็ปฏิเสธด้วยความอ่อนละมุน
เขามีเพียงหน้าที่เดียว
คือเจียระไน "อัญมณีแห่งโลกุตระ"...
เพราะอัญมณีแบบนี้
มีน้อยคนที่สามารถ
เขารู้ว่าโลกต้องการในสิ่งที่เขาทำ อย่างรีบด่วน
เขาไม่มีเวลาพอที่จะไปทำสิ่งอื่นๆ
ไฟประลัยกัลป์เริ่มแลบเลีย
และเสียงร้องคร่ำครวญ เริ่มโหยหวน และกระชั้นถี่
หลายต่อหลายคน ที่ซมซานมาหาเขา
ยื่นมืออันสั่นเทาร้องขอ เพชรพลอย
แต่เขาหันหน้ามาปฏิเสธ ด้วยความอบอุ่น
เขายังคงก้มหน้าทำงานต่อไป...
และเขายังรู้ว่า อัญมณีของเขา
ต่างจากอัญมณี แห่งโลกุตระที่อื่นๆ
เพราะเขาต้องระดม ความสามารถ เท่าที่มี
สร้างเหลี่ยมมุม ที่แสนพิสดารลึกซึ้งลงไป
จนมันสามารถเปลี่ยน สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวของมัน
ให้กลายเป็นหยาดหยด อัญมณีแห่งโลกุตระ
อันใสบริสุทธิ์ตามไปด้วย
ที่สามารถเปล่งสะท้อน ทอประกายอยู่แวววับ
จนฉีกม่านสีดำในยามมืด ให้ขาดวิ่น...
นับวันงานของเขาเพิ่มขึ้น หนักขึ้น
ร่างกายของเขา เริ่มยิ่งตั้งตระหง่าน
ทุกก้าวที่ย่างเดินผ่าน
ต่างสั่นสะเทือน ด้วยความหนักหน่วง
บรรยากาศรอบรอบ เริ่มคลี่คลาย
ความอึดอัดเริ่มหายไป
เสียงร้องไห้กำลังยืนตายซาก
ความตายเกาะกุมทุกทุกอย่าง
แม้เศษเสี้ยวชีวิต ก็เริ่มคลายเกลียวด้วยความปีติ
เขากำลังทำงานเพิ่มขึ้น ใน ? วัน ให้เป็น ? ชั่วโมง
เ ข า คื อ ใ ค ร ! ! ?
สูญญาณู
๒๗ มกราคม ๒๕๒๗
สารอโศก ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๙ เมษายน ๒๕๒๑
เราจะต้องมีการกระทำ
เพราะนั่นเป็นทางที่จะให้ ธรรมชาติของตนปรากฏ
แต่การปรากฏอันนี้ จะยังไม่สมบูรณ์
ตราบใดที่การกระทำของเรา ยังไม่เป็นอิสระแท้จริง
ที่จริงธรรมชาติของเรามืดมัว
ก็เพราะการกระทำอันเกิดด้วย ความต้องการ หรือความกลัว
มารดาแสดงธรรมชาติแท้จริง ของเธอออกมา
ด้วยการประคบประหงมบุตร
ดังนั้นความอิสระอันแท้จริงของเรา
ไม่ใช่อิสรภาพจากการกระทำ
แต่เป็นอิสรภาพในการกระทำ
ซึ่งเป็นไปได้ก็ด้วยความรักบริสุทธิ์
รพินทรนาถฐากูร
พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
โคลงโลกนิติ
เ ม ต ต า อั ล ลิ ก ะ
"สัตว์ทั้งหลาย อย่าเบียดเบียนกันเลย
ฉันรักพวกเธอ เอ็นดูพวกเธอ..."
"เธอทำอะไรอยู่ ?"
"ฉันกำลังแผ่เมตตา"
"กินแผ่หรือเปล่า ?"
"แผ่"
"ตอนเคี้ยวเนื้อเพื่อนล่ะ ?"
"แผ่"
"โอ! ฉันยอมแพ้เธอ เธอเก่งกว่าฉัน"
แม้แต่ขณะกัดกินเนื้อเพื่อน
เธอก็ยังมีกะใจแผ่เมตตา
ฉันทำไม่ได้ ฉันจึงต้องเลิกกิน
ฉันทนไม่ได้ ถ้าเนื้อเพื่อนอัดอยู่เต็มปาก
เศษเอ็นติดอยู่นอกฟันยั้วเยี้ย
ฉันทำไม่ได้ ฉันจึงเลิกกิน
ฉันอดขมขื่นไม่ได้ หมดกะใจแผ่เมตตา
ถ้าหากเรอกลิ่นเนื้อเพื่อนของฉัน
ฉันเจ็บปวดทุกครั้ง จนแผ่เมตตาไม่ได้
ขณะที่ฉันบอกให้คนอื่นรักกัน สงสารกัน
เพราะต่างก็รักชีวิตของตัวเองทั้งสิ้น
แต่เมื่อเช้า ปากฉันยังไม่จาง
กลิ่นคาวคาวของเพื่อน
เธอเก่งจริงๆ ฉันต้องขอยกนิ้ว
เพราะฉันทำไม่ได้
กลิ่นเหม็นศพเพื่อน ระเหยออกจากปาก
เธอก็ยังมีสมาธิมั่นคง ที่จะแผ่เมตตา
เธอเยือกเย็นได้ทุกครั้ง แม้จะกินเนื้อเขา
แต่ก็สอนเมตตากันได้
ใครเล่าจะเก่งกว่าเธอ
จะหนักแน่น สงบนิ่งยิ่งกว่าเธอ
ที่สามารถทนกินเนื้อเพื่อนได้
แต่ยังมีกะใจแผ่เมตตาให้อย่างสงบ
และแสนจะเบิกบาน
เธอนั้นจะต้องมีธรรมะชั้นสูง
เห็นอนัตตาธรรมชัดแจ้ง
ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขา
เห็นทุกสิ่งไม่มีตัวตน
แม้เสียงร้องของเพื่อน ที่ตื่นตระหนก
จะพลัดพรากญาติมิตร
จะร้องเจ็บปวดรวดร้าว ขวัญหาย
จะเลือดรินหลั่งไหล นองกระจาย
แต่เธอก็ยังเห็น ไม่มีเขา ไม่มีเรา
ธรรมะของเธอคงสูง
จนเห็นทุกอย่าง ไหลไปตามกระแส
จนวางจิตวางใจ ได้หมดจด ไม่ทุกข์ร้อน
เห็นอนิจจังแตกสลาย
เห็นทุกขังแตกกระจาย แหลกเหลว
เห็นอนัตตาสิ้นฤทธิ์ในบัดดล
เธอจึงกินเนื้อเพื่อนได้อย่างเฉย
ฉันทึ่งใจทุกครั้ง ที่เห็นเธออ้าปาก
กัดกินเนื้อเพื่อน
เธอค้อมหัวด้วยความสำรวม
ทอดตาลงปลงเนื้อเพื่อน ด้วยความสุภาพ
ไม่มีแววเศร้าหมองในดวงตา แม้แต่น้อย
เธอช่างเก่งเสียนี่กระไร
ที่สามารถตัดรอบ เป็นปัจจุบันธรรม
ตัด ไม่ยอมคิดอดีตแห่งต้นเหตุ
ไม่ต้องสนใจว่า จะถูกฆ่าอย่างไร
จะมีที่มาชั่วช้า ต่ำทรามแค่ไหน
เอาเดี๋ยวนี้ ตรงนี้
เป็นชิ้นๆ อยู่ต่อหน้า
ไม่ได้ฆ่า ไม่ได้เจตนาเป็นพอ
จิตของเธอมั่นคงกว่าฉันนัก
เพราะทุกครั้งที่ฉันกิน
ฉันก็มักจะเห็นที่มา แห่งความปวดร้าว
ได้ยินเสียงโหยหวน ของเพื่อนฉัน
ฉันจึงทนไม่ได้ ถ้าจะกิน
หัวใจของฉันฟุ้งซ่านคิดหนัก
จิตใจมันดื้อ ไม่ยอมเชื่อ
พูดเท่าไหร่ๆ ว่า มันเกิดมา
เพื่อเป็นอาหารของเรา
เวรกรรมของหัวใจ ที่ไม่ยอมคล้อยตาม
แต่หัวใจของเธอซิแน่
ตัดปัญหาพวกนี้ได้สิ้นเกลี้ยง
มีอะไรก็กินกินไป ไม่ต้องคิด
ไม่ถือตัว ถือตน ถือคน ถือสัตว์
กัดฉีกกินพลาง แผ่เมตตาไปพลาง
ไม่โศก ไม่เศร้า ไม่ละอาย ไม่กลัว
๓ เธอนี่ช่างเก่งเสียจริง
ละอองร้าว
๔ เมษายน ๒๕๒๑
ที่นี่..เป็นที่ยังไม่หมดความฝัน ความรักของฝูงชน
ที่นี่..เป็นที่พักผ่อนเป็นสุข ของฝูงชน
ที่นี่..เป็นที่ไม่ต้องแบกหนัก อยู่สบายของฝูงชน
จิตใจของฝูงชน อยู่ง่ายง่าย อยู่สบาย
จิตใจของฝูงชน พักผ่อน ตามธรรมชาติมีอยู่
แต่ฝูงชนได้ยินเสียงฝูงชนเรียก
ให้ฝูงชนไปอยู่ที่กว้าง
ในที่กว้างที่มีคนอยู่ด้วยกัน สันติมากมาย
ให้ฝูงชนช่วยกันสร้างสรร สร้างเสริม
ใช้บทเพลงสันติ สร้างสรรสันติ
สำหรับฝูงชนทุกคน
จ่าง แซ่ตั้ง
การเมืองที่ปราศจาก
หลักธรรมทางศาสนา
เป็นเรื่องของความโสมม
ที่ควรสละทิ้งเสียเป็นอย่างยิ่ง
การเมืองเป็นเรื่องของประเทศชาติ
และเรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพ ของประเทศชาตินั้น
ต้องเป็นเรื่องของผู้ที่มี ศีลธรรมประจำใจ
เพราะฉะนั้น เราจึงต้องนำเอาศาสนจักร
ไปสถาปนาไว้ ในวงการเมืองด้วย
มหาตมะ คานธี
โจทิตา เทวทูเตหิ เย ปมชฺชนฺติ มาณวา
เต ทีฆรตฺตํ หีนกายูปคา นรา
คนเหล่าใด อันเทวทูตตักเตือนแล้ว ยังประมาทอยู่
คนเหล่านั้น ต้องเข้าถึงกายอันเลว เศร้าโศกอยู่ สิ้นกาลนาน
พุทธพจน์
เขาเริ่มยิ้มได้อย่างไร
ใบหน้า...ใบหน้าของเขา ที่เต็มไปด้วยรอยย่น
รอยย่นแห่งความคิด...
ดวงตาที่เหม่อลอย หม่นหมอง ไม่สดใส
ริมฝีปากที่ปิดสนิท เหมือนคนไม่มีปาก
รอยยิ้มที่พยายามยิ้มเท่าไร ก็ไม่เป็นรอยยิ้ม
สีหน้าของเขาบ่งบอกถึง ความทุกข์ ความผิดหวัง
เสียงถอนลมหายใจ แสดงถึงความหมดอาลัย ในชีวิต
ร่างกายเขา เหมือนท่อนไม้ไม่เคลื่อนไหว
เหมือนซากศพที่มีลมหายใจ
เขารู้สึกว่า เขาแบกโลกไว้คนเดียว
แบกทุกข์ไว้ทั้งหมด
โลกนี้ช่างแคบไม่น่าอยู่
เสียงช่างหนวกหูไม่น่าฟัง
เขาเกิดมาทำไม ?
อะไร ที่ชีวิตของเขาต้องการ
เขาตั้งคำถาม... ถามตัวของเขาเอง
และใครจะตอบคำถามให้เขาได้ ...เขาคิด !
นั่น คือ วันนั้น
เอ๊ะ! แต่วันนี้ ทำไม !
ทำไม! ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป
ใบหน้าของเขาเริ่มยิ้ม และยิ้มขึ้นเรื่อยๆ
จนใบหน้าของเขา เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ที่แฝงไปด้วย ความสงสาร
สงสารเพื่อน... เพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมโลก
ถึงแม้บางครั้ง เขาจะไม่ได้ตั้งใจยิ้ม
ก็มีรอยยิ้ม ปรากฏออกมา
ดวงตาของเขาสดใส มีชีวิตชีวา
สีหน้าบ่งถึงความร่าเริง แจ่มใส
คำพูดที่อ่อนหวาน แสดงความเป็นไมตรี
ไม่มีเสียงถอนลมหายใจ ของเขาอีกแล้ว
โลกนี้ช่างน่าอยู่
เสียงหนวกหู ไม่สามารถ จะทำอะไรเขาได้อีก
เขารู้ว่า เขาเกิดมาทำงาน
สิ่งที่ชีวิตของเขาต้องการ คือความพ้นทุกข์
ผู้ที่ตอบคำถามให้เขาคือ...!
ศิษย์วัด
เพลงชีวิตหมายเลข ๒
โลกจึงคือ เสียงหัวเราะ และเสียงร้องไห้
ที่เกิดขึ้น แล้วก็หยุดไป
คละเคล้าสลับกันอยู่ อย่างไม่รู้จบ
แต่...
ถ้าเราไม่ร้องไห้เลย
ทั้งไม่หัวเราะเลย
ในทุกทุกกาล
และไม่ว่า ณ ที่ใดๆ ด้วย
นั่นแหละ เราคือเจ้าของ "ความแท้จริง"
ที่ไม่มีเปลี่ยนแปลง อย่างเด็ดขาด
ไม่ว่าด้วยอำนาจโลก หรืออำนาจของวิญญาณ
"ความแท้จริง"นี้นี่เองคือ "อริยสัจ"
คือความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
(เฉพาะท่อนที่ ?)
เมื่อเวลานั้นมาถึง
เมื่อเห็นว่าสมควรกับ การลดมื้ออาหาร
เพราะเราจะเลื่อนฐาน ให้แข็งแกร่งขึ้น
ชนะใจตนเองให้มากขึ้น
การลดมื้ออาหาร จึงเหลือสองมื้อ
ตามที่ตั้งใจกำหนดวันเวลาไว้
การอดเริ่มแล้วในวันนั้น
ใหม่ๆนั้น ฉันอิ่มเพราะความปีติ ฉันไม่หิว
อาจเป็นเพราะ รับประทานมากกว่าปกติ
พอนานวันไป ปีติที่เคยมีหายไป เรารู้สึกหิว
เพราะเราเห็นคนเขากินกัน อย่างเอร็ดอร่อย
น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มก่อกวน
แต่ด้วยสัจจะที่เราตั้งเอาไว้ ว่าต้องเหลือสองมื้อนั้น
เราก็ต้องพยายามหาวิธี ไม่ให้รู้สึกว่าหิวนั่นเอง
คือ ไม่ให้รู้สึกว่าหิว หยุดอยาก
ตัวเราเริ่มเบา ผอมลง จนแทบไม่มีแรงพยุงกาย
เสื้อผ้าหลวมจนคนทัก หน้าซีดลง เพราะยังไม่ลงตัว
นานวันต่อไป... ใจเราเบิกบานแล้ว
สบายดี ไม่มีอะไรน่าห่วง
ไม่หิว...คือย้ำตนว่าสองมื้อ ในเวลาไหน
นั่น! ไม่ใช่เวลาที่จะรับประทาน สักหน่อย
เตือนจิตเสมอ จนมันต้องยอมว่า อย่ามารู้สึกหิวนะ
คนเรา...ก็ว้าวุ่น แต่ในเรื่องกินจริงๆ
เพราะถือว่าการกิน คือการเชื่อมไมตรีชนิดหนึ่ง
พอเวลาต่อมา... ความผอมของเรา ก็เริ่มเลือนหายไป
เรารับสองมื้อ แต่ตอนนี้ทำไมเราอ้วนขึ้น จนแน่นเล่า
โอย! แย่จัง เอาละ ลดอาหารลง ในสองมื้อนั้นต่อไป
เราคงรับประทานเกินไปแล้ว ต่อหนึ่งวันน่ะซิ
เอ! ร่างกายเรานี่แปลก ให้กินหลายมื้อต่อหนึ่งวัน
สองมื้อต่อหนึ่งวัน ร่างกายเราก็ปกตินี่
มันก็อยู่ของมันได้ดี ทั้งที่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์
ที่เขาอ้างว่าโปรตีนสูง
ถ้าลงเหลือมื้อเดียว ก็คงเช่นกัน
แต่คงต้องใช้กำลังจิต
ต่อสู้กับความอยากของปาก มากพอดู
น่าพิสูจน์จังนะ ว่าเราก็อยู่ได้
โดยไม่เปลืองเท่าไรนัก สำหรับการดำรงชีวิต
เราก็คงจะผอมอีกแน่ตอนนั้น...
และเราก็คงอ้วนอีก ตอนนั้นแน่
จุดหมายของเรา ก็เหลือมื้อเดียว
เมื่อเวลานั้นมาถึง เราต้องฆ่ากิเลสตัวนี้ลง ได้เรื่อยๆ
เราจะชนะปากที่แสนอยาก ได้ดีขึ้นทุกวัน
ฝึกวันละนิดวันละหน่อย...
ฆ่ากิเลสอย่างผ่อนส่ง ลงทุกวัน
เราคงไม่ขาดทุนหรอก
มีแต่กำไร ที่เอามารร้าย ออกจากจิตเรานั่นเทียว
เราไม่อยากเก็บเจ้าต่อไป ในจิตอีกแล้ว...
กิเลสเอ๋ย !
ใต้ร่มโพธิ์๑๘ ก.พ. ๒๕๒๑
เห็นแก้ว แวววับ ที่จับจิต
ไยไม่คิด อาจเอื้อม ให้เต็มที่
เมื่อไม่เอื้อม จะได้ อย่างไรมี
อันมณี หรือจะโลด ไปถึงมือ
อันของสูง แม้ปอง ต้องจิต
หากไม่คิด ปีนป่าย จะได้หรือ
ไม่ใช่ ของตลาด ที่อาจซื้อ
หรือแย่งยื้อ ถือได้ โดยไม่ยอม
ไม่คิดสอย มัวคอย ดอกไม้ร่วง
คงชวดพวง บุปผชาติ สะอาดหอม
ดูแต่ ภุมริน เที่ยวบินตอม
จึ่งได้ออม อบกลิ่น สุมาลี
ท้าวแสนปม
ส อ น ใ จ เ ร า
ก็คือรุ่ง ก็อรุณ ก็จะเห็น
ก็สีทอง ก็ส่องฟ้า ก็คิดหลง
ก็เห็นเป็น ก็สัญญา ก็ว่าเป็น
ก็แสงวัน ก็เวลา ก็ของเรา
ก็ควรรู้ ก็เห็นด้วย ก็ปัญญา
ก็ว่าเป็น ก็แสงของ ก็สัมมา
ก็สัมพุท ก็ธเจ้า ก็คำนวณ
ก็รู้เห็น ก็ด้วยญาณ ก็ว่าเป็น
ก็แสงของ ก็ผีป่า ก็ซาตาน
ก็ชั่วร้าย ก็ที่เป็น ก็อันตราย
ก็ที่กับ ก็ดวงตา ก็เรียกว่า
ก็ตาต่ำ ก็มิถึง ก็ตาตุ่ม
ก็รุ่งแจ้ง ก็แต่งกาย ก็ถือชั่ง
ก็นั่งนิ่ง ก็รู้จริง ก็วางจริง
ก็ได้จริง ก็พ้นจริง ก็ถือชั่ง
ก็ช่างเขา ก็ช่างมัน ก็รู้เขา
ก็มันรู้ ก็หัวเผือก ก็ตามพันธุ์
ก็หัวมัน ก็ตามเถา ก็ประเภท
ก็ของเขา ก็ตามตัว ก็หัวเรา
ก็ตามกรรม ก็ตัวเรา ก็ผู้เขลา
ก็ทำเรา ก็เกิดมา ก็กิเลส
ก็เป็นเหตุ ก็เกิดเรา ก็จะพ้น
ก็กิเลส ก็สังเกต ก็ดูเอา
ก็การกิน ก็ให้รู้ ก็การอยู่
ก็ให้เป็น ก็การหลับ ก็ให้สบาย
ก็การนอน ก็ให้มี ก็ความสุข
ก็จะสนุก ก็ตามธรรม ก็ธาตุไง
สายลม
ธ ร ร ม ร า ช สี ม์
ณ ถิ่นแห้งแล้ง แดนกันดารเมืองโคราช
การหมุนกงจักรแห่งธรรม เริ่มสะท้านอีกครั้ง
มือน้อยๆแห่งอริยะอันน่ารัก หลายต่อหลายคู่
ได้ช่วยเป็นไม้เป็นมือ ช่วยเหลือ
ให้การหมุนแห่งธรรมจักร เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ทั่วทุกถิ่นเต็มไปด้วยโลกีย์ ร่านทุรน
พวกเขาต่างก้มหน้าก้มตาเข็น
คนละไม้คนละมืออย่างจริงจัง
แม้จะมีไม่กี่คน ก็เต็มใจ
พวกเขาไม่ได้อะไร
นอกจากให้บวรพุทธศาสนา สะอาดขาว
ให้สัจธรรมยืนยงกระจ่างชัด คู่ฟ้าดิน
ให้ ณ จุดนั้น เริ่มสว่างใส
ให้ ณ จุดนั้นสะอาดเย็น
ท่ามกลางความมืดที่แสนสะพรั่ง
ให้ธรรมธาราไหลอาบทั่วถิ่นไทย
แม้สายฝนจะสาดสะกัดกั้น
แม้รถโฆษณาหนังจะไล่หลัง รถโฆษณาธรรม
ก็ไม่สามารถหยุดกระแสคลื่น แห่งสัจธรรมได้
กงล้อแห่งธรรมหยุดผงาดเดิน
ท่ามกลางชาวประชาผู้ใฝ่ธรรม
ณ จุดเล็กๆ บนพื้นโลก
ได้เริ่มสั่นสะเทือนด้วยธรรมฤทธิ์อีกวาระ
กิ่งฟ้า
๒๖ เม.ย. ๒๕๒๑
ความอัศจรรย์ ๔ ประการ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ ประการ ย่อมปรากฏ
เพราะความปรากฏ แห่งพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้มีอาลัย (คือกามคุณ)
เป็นที่รื่นรมย์ ยินดีในอาลัย
บันเทิงในอาลัย
เมื่อตถาคต แสดงธรรม อันหาความอาลัยมิได้อยู่
หมู่สัตว์นั้น ย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมี ข้อที่ ๑ ย่อมปรากฏ
เพราะความปรากฏ แห่งพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้มีมานะ (ความถือตัว)
เป็นที่รื่นรมย์
ยินดีในมานะ
บันเทิงในมานะ
เมื่อพระตถาคตแสดงธรรม อันเป็นเครื่องปราบปราม มานะอยู่
หมู่สัตว์นั้น ย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมี ข้อที่ ๒ ย่อมปรากฏ
เพราะความปรากฏ แห่งพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้มีความไม่สงบ
เป็นที่รื่นรมย์ยินดีแล้ว ในความไม่สงบ
บันเทิงในความไม่สงบ
เมื่อพระตถาคตแสดงธรรม อันกระทำความสงบอยู่
หมู่สัตว์นั้น
ย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมี ข้อที่ ๓ ย่อมปรากฏ
เพราะความปรากฏ แห่งพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอวิชชา เป็นผู้มืด ถูกอวิชชารัดรึงไว้
เมื่อพระตถาคต แสดงธรรม อันเป็นเครื่องปราบปราม อวิชชาอยู่
หมู่สัตว์นั้น ย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมี ข้อที่ ๔ ย่อมปรากฏ
เพราะความปรากฏ แห่งพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ ประการนี้ ย่อมปรากฏ
เพราะความปรากฏ แห่งพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าฯ
จาก..อัจฉริยสูตร สุต. อัง. จตุก.
เ พื่ อ น รั ก
เพื่อนรัก...
นั่นเธอจะไปไหน...?
นั่น! หยาดน้ำตาบนใบหน้าของเธอ ?
นั่น! เธอกำลังทุกข์?!
มือสองข้างของเธอ แนบขนานกับร่างกาย
มือของเธอปราศจากเรี่ยวแรง
ที่จะยกขึ้นปาดหยาดน้ำตาให้ตัวเอง
นั่น! เธอกำลังจากฉันไป ?!
เธอคงจะไปหาใครสักคนหนึ่ง
ให้เขาปาดหยาดน้ำตาให้กับเธอ
ไปเถิด...ไป...เพื่อนรัก
ไปหาผู้ที่เธอคิดว่า
เขาจะปาดหยาดน้ำตาให้กับเธอ
ไปหาผู้ที่เขาพร้อมที่จะปลอบใจให้กับเธอ
ไปหาผู้ที่จะชี้แสงสว่างให้กับเธอ
ในขณะที่เธอลืมฉันไป
แม้ว่าฉันจะเป็นเพื่อนของเธอ
ก็เหมือนไม่ใช่เพื่อนของเธอ
ตราบใดที่เธอยังไม่ไว้วางใจในตัวฉัน
เมื่อใดที่เธอพบว่า ไม่มีใครเหลียวแลเธอ
ขอเธอจงกลับมา...
ฉันจะคอยและคอยเธอ
แขนทั้งสองของฉัน จะคอยประคอง
และพยุงเมื่อเธอล้มลง
เพื่อนรัก...
เราจะมีความ"สัมพันธ์" ซึ่งกันและกัน
แต่มิใช่..."ความผูกพัน"ต่อกัน
เมื่อใดที่เธอเข้าใจ... และไว้วางใจในตัวฉัน
ขอเธอจงจำไว้ว่า...
เมื่อใดที่เธอมีทุกข์
ขอให้คิดถึงฉันเป็นคนแรก
และเมื่อใดที่เธอมีสุข
ขอให้คิดถึงฉันเป็นคนสุดท้าย
ฉันจะคอย...และคอยเธอ
จาก..เพื่อน
กบเกิดในสระใต้ บัวบาน
ฤาห่อนรู้รสมาลย์ หนึ่งน้อย
ภุมราอยู่ไกลสถาน นับโยชน์ก็ดี
บินโบกมาค่อยคล้อย เกลือกเคล้าเสาวคนธ์
อัทธุวัง เม ชีวิตัง ชีวิตเราเป็นของไม่ยั่งยืน
ธุวัง เม มรณัง ความตายเป็นของเรายั่งยืน
อนิยตัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเราไม่เที่ยง
นิยตัง เม มรณัง ความตายของเราเที่ยง
จ า ก ใ จ ถึ ง เ ธ อ
ฉันรู้อยู่แก่ใจว่า พวกเราที่มาล้วนแต่ปรารถนาดี
แต่บางครั้ง ฉันยอมรับว่า ฉันยึดดีมากเกินไป
ฉันลืมคิดไปว่า คนเรานั้นมันต่างจิตต่างใจ
จะเอาอะไรเล่าให้ได้อย่างใจ แม้แต่ความว่าง
การฝึกตนเองให้อารมณ์อยู่กับ ความวาง ความว่าง
มันไม่ใช่เป็นของง่ายเลย สำหรับฉัน
ฉันไม่อยากเห็น แม้ใครสักคนในโลก มีความโกรธ
แม้แต่พวกเรา ซึ่งรวมถึงตัวฉันเองด้วย
แต่ฉันทำให้เธอต้องโกรธ ต้องทุกข์ใจ
ยกโทษให้ฉันด้วยเถอะ
ฉันไม่มีเจตนาเช่นนั้นเลย
จิตใจที่อึดอัด ขัดเคือง
มันเป็นความทรมานเหลือหลาย
ฉันรู้จักหน้าตาของมันดี
ได้โปรดเถิด เธออย่ายึดผิด ยึดถูก
ยึดถูกในเรื่องนั้นอีกต่อไปเลย
ฉันยอมแล้ว ฉันอยากเป็นผู้ผิด
มันเป็นความยึดดีของฉันเอง
นะเธอ ! อย่าถือสาเรื่องที่ผ่านไปแล้วเลยนะ
ต่อไปฉันจะไม่ทำอย่างนั้นอีก
ฉันจะพูดกับเธอแต่คำดีดี
เป็นอรรถเป็นธรรมที่ชวนฟัง
แม้จะต้องเจือด้วยน้ำตาลบ้าง ฉันก็จะยอม
ให้อภัยเถิดนะ
อย่ามองฉันแต่แง่ร้ายเลย
ปล่อยเถิดนะ เธอจะได้ไม่ทุกข์ใจ ยังไงล่ะ
ไหนว่า... เราจะมาละ มาปล่อยไงล่ะ
งั้นเรื่องนี้...เธอจงเข้าใจให้ชัดเถิด
และให้อภัย พวกเราจะสบายนิรันดร
คนอง คำนึง ๓๐ มี.ค. ๒๕๒๑
ความหวังของแม่ให้
เมื่อก่อนนี้
ฉันขายแต่ของเน่าเสีย
ตามรอยบรรพบุรุษของฉัน
ต่อมา
มีคนทำให้ฉันได้คิด
ลูกคิดรางแก้ว รัวขึ้นลงอยู่หลายนาน
ฉันเปลี่ยนอาชีพใหม่
ใครใคร แม้แต่พ่อแม่ต่างพากันด่าว่า
แต่อาชีพพ่อค้าอย่างฉัน
กำไรคือสิ่งสำคัญ
ตลาดไม่เคยอิ่มตัว
เพราะมันตั้งอยู่ที่เปลือกลม กับผิวแดด
สินค้าของฉัน
ผลิตจากโรงงานในตัวฉัน
ไม่ต้องลงทุน
ไม่ต้องมีคนงาน
แต่มันก็มีมากมาย
ราคาของมัน จะเอาเงินมาวัดไม่ได้
มีตั้งแต่ชิ้นเล็ก ไปจนถึงชิ้นยักษ์
ตั้งแต่ระดับ"คนบาป" ไปถึง"คนบุญ" ใช้
เมื่อฉันวางขาย
ฉันไม่ต้องเซ้งร้าน
ไม่ต้องกลัวตำรวจจับ
เพราะสินค้านั้น
แขวนวางไว้ที่แผงของหัวใจ
ศูนย์สรรพสินค้าใหญ่ๆ
ก็จุได้ไม่เท่าแผงร้านของฉัน
มีขายทั้งโกรธ ทั้งโลภ ตัวอยากได้ อยากใหญ่
หลงชม กลัวเขาว่า
โมโห ขุ่นเคือง น้อยใจ เสียใจ
ออเซาะ สำออย อ้อยสร้อย ตอแหล..!! ฯลฯ
สินค้าเหล่านี้ น่าขายทั้งนั้น
เมื่อลูกค้าสนใจชนิดใด
มันก็จะลอยออกมาข้างหน้า!
สินค้าจะออกมาโชว์
ก็ต่อเมื่อมีลูกค้ามา
เมื่อลูกค้ากลับหมดแล้ว
มันก็จะนอนคอยอย่างสงบนิ่ง
เพื่อนฉันหลายคน ก็หันมาขายอย่างฉัน
ลูกค้าบางรายที่ไปซื้อกับเขา
ต่างก็หอบพะรุงพะรัง
แต่บางรายก็กลับไปมือเปล่า
เพราะเพื่อนฉัน
บางทีก็ลืมอาชีพของเขา
เผลอคิดถึงอาชีพเก่า
ที่เคยขายของเน่าเสียอยู่ร่ำไป
จึงมักด่าว่าลูกค้า
ที่ทำให้สินค้ามันตื่นออกมา
ว่า "มาซื้อทำไม?"
พูดอ่อยๆว่า
"ก็เห็นตั้งขายอยู่ ใครจะรู้ได้ว่า ไม่อยากขาย"
แต่ร้ายไปกว่านั้น
เขาหาว่าลูกค้า
แอบขโมยสินค้า ไป"เติม"ไว้ในร้านเขา !
สินค้าพวกเราขายดี
เพราะลูกค้าที่มา ต่างก็อยากได้
ฉันไม่เคยปล่อยให้เขา กลับไปมือเปล่า
แต่บางขณะเหมือนกัน
ที่ฉันลืมอาชีพของตัว
มันก็เลยมีเรื่องกัน...
ตะวันเริ่มตกดิน
นกบินกลับรัง
ฉันยังคงขายอยู่
สินค้าเหล่านี้
คนที่เขาเก่งจริงๆ
แม้ยามหลับ เขาก็ขายได้
ซึ่งฉันก็กำลังฝึกอยู่
ฝึกขายให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
สินค้าของฉันเริ่มลดน้อยลง
ฉันอยากจะขายให้หมดๆ
แม้จะไม่เปลืองที่
แต่มันก็หนักยิ่งกว่า น้ำหนักใดใด
มันถ่วงหัวใจของฉัน ให้จมดิ่ง
คนอื่น เขาก็ถูกถ่วงเหมือนกัน
แต่พวกเขาสนใจ แต่การขายของเน่า
จึงละเลยมันไป
ฉันกำลังเร่งขาย
แข่งกับเวลาของชีวิต
เมื่อสินค้าชิ้นใดลูกค้าซื้อไป
ฉันก็เอา "เมล็ดพืชแห่งพุทธะ" มาขายแทน
ฉันหวังว่า
หากสินค้าชิ้นสุดท้าย
มีคนซื้อไป
เมื่อนั้น...
ฉันจะเปลี่ยนเป็นร้านขาย
"เมล็ดพืชแห่งพุทธะ" โดยสมบูรณ์
แม่ค้าเก่า / ๑๐ ก.พ. ๒๕๒๑
บุคคลผู้ประกอบด้วย คุณธรรมสูงส่ง
มิได้ผยองว่า ตนเองมีคุณธรรม
ดังนั้น เขาจึงเป็นผู้มีคุณธรรม
บุคคลผู้ประกอบด้วย คุณธรรมเพียงเล็กน้อย
พยายามดิ้นรน รักษาคุณธรรมของตนไว้
กลับต้องสูญเสียมันไป
ผู้สูงส่งด้วยคุณธรรม ดูคล้ายกับเฉื่อยชา
แม้กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ก็สำเร็จเรียบร้อยลง
ผู้ต่ำต้อยด้วยคุณธรรม ทำแล้วทำเล่า
แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง กลับไม่สำเร็จผล
ผู้มีเมตตายิ่งนั้น กระทำโดยปราศจาก การกระตุ้นเตือน
ผู้มีความยุติธรรมยิ่งนั้น กระทำโดยการกระตุ้นเตือน
ผู้ยึดถือประเพณีอันเคร่งครัด กระทำโดยการกระตุ้นเตือน
ผู้ยึดถือประเพณีอันเคร่งครัด กระทำลงไป
เมื่อมิได้รับการตอบสนอง จากผู้ใด
ก็หันมาใช้วิธีการบังคับ
เนิ่นนานต่อมา ผู้คนจึงค่อยๆเชื่อถือ ตามอย่างประเพณี
จาก...บทที่ ๓๘ (ท่อนแรก)
ของ..."เต๋าเต็กเก็ง"
อันทรัพย์สิน ถิ่นฐาน ทั้งบ้านช่อง
อีกเงินทอง ไร่นา มหาศาล
เป็นสมบัติ ของตัว เพียงชั่วกาล
ต้องผันผ่าน จากกัน เมื่อวันตาย
ส่วนความดี มีสัตย์ สมบัติแท้
ถึงตัวแก่ กายดับ ไม่ลับหาย
จะสถิต ติดแน่น แทนร่างกาย
ชนทั้งหลาย สรรเสริญ เจริญพร
น้ ำ ต า ตั ด โ ล ก
เมื่อเขามา
สละทิ้งการงาน
ที่มีรายได้เป็นเงินตรา
มาฝึกหัดเป็นนักเรียนโลกุตระ
ใครใครต่างก็พากันประณามเขา
หาว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว เอาแต่สุขสบาย
ตัดช่องน้อยเฉพาะตน
แม้แต่ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ก็ไม่เข้าใจเขา
แต่เขาก็ไม่ได้หนีโลกไปไหน
เขายืนท้าทาย กลางเตาหลอมเหล็ก
มิได้หนีผู้ห่างคนไปเสพสุข
ถ้าเขาเห็นแก่ตัว เขาก็อยู่ป่าได้สบาย
แต่เขาก็ไม่ได้อยู่
ถ้าเขามาสบาย เขาจะนอนเมื่อไหร่ก็ได้
แต่เขาก็มีกฎ ห้ามนอนกลางวัน
ที่เขาทำอยู่ก็เป็นงาน
แต่เป็นงานสร้างความเจริญ ให้แก่หัวใจทุกๆคน
จำต้องใช้ความสุขุม และละเอียดลออ ในการศึกษา
จำต้องใช้อาศัย ผู้กล้าเสียสละ อย่างยอมตาย
งานทางด้านศาสนา ยังต้องการกำลังคนอีกมาก
เขาจึงสละทุกอย่าง
ที่เป็นสิ่งผูกพัน ให้เขาต้องกังวล
แม้จะเจ็บปวดยิ่งกว่าเจ็บปวด
แม้จะรักแสนรัก อาลัยแสนอาลัย
ทุ่มตัวทั้งชีวิต หันมาช่วยจรรโลงความดี
มันเป็นงานที่มีค่าเกินตีราคา
แต่เขาก็มิได้มีเงินทองตอบแทน แต่อย่างใด
เขายังคงทำงานเช่นเดียวกับชาวโลก
แต่งานของเขา ไม่มีผลตอบแทน
แม้จะกินก็ไม่ได้กิน จะนอนก็ไม่ได้นอน
ชีวิตมีแต่การฝึกหัด สำรวมระวัง
เพียรล้างคราบชั่ว ออกจากหัวใจ
เพียรฝึกข่มรู้ตัดกิเลส
แม้จะปวดร้าว ยิ่งกว่าปวดร้าว
ทุกๆวันเขายังคงเป็นนักเรียน
ผู้ต้องหัดบังคับ เอาชนะตนเองอยู่เสมอ
ในหัวใจของเขามีแต่การรบ
แม้จะเหน็ดเหนื่อยก็ไม่ถอย
แม้คาวเลือดจะคละคลุ้ง ก็ไม่สะท้าน
แต่ญาติมิตร พ่อแม่ และพี่น้อง
ก็ยังหวงห่วง กันเขาไว้อยู่กับโลก
ให้เขาเป็นผู้ร่วม การแก่งแย่งในสังคม
ทั้งๆ ที่รู้ว่าโลกนี้ไร้คุณธรรม
จะหาผู้เสียสละ ช่วยกันสรรสร้าง ก็แสนยาก
งานศาสนา แม้จะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่
เกินกว่าจะเปรียบเทียบ กับความกตัญญู
การเผยแพร่สัจธรรม กำลังต้องการอย่างรีบด่วน
ทุกชีวิตต่างก็เร่าร้อน
จึงจำต้องเทิดทูน ค่าของศาสนาเหนืออื่นใด
มิไยลูกเมียหรือผัวจะร่ำร้อง
มิไยพ่อแม่จะคร่ำครวญ
สัจธรรมย่อมเหนือสิ่งอื่นใด
แม้จะรักแสนรักก็ต้องตัด
แม้จะปวดแสนปวดก็ต้องยอม
เขามิได้มาสบาย แต่เขามาทำงาน
มิใช่เพื่อญาติมิตร หรือวงศ์วานเพียงแคบๆ
แต่เพื่อคนส่วนใหญ่ ที่กว้างออกไป
เพราะดวงตาที่ไร้ธรรม
สัตวโลกจึงโหดร้าย เบียดเบียนกัน
เพราะดวงตาหนาทึบ ด้วยม่านธุลี
สัตวโลกจึงมองเห็นแต่ ผลประโยชน์ของตัว แต่ถ่ายเดียว
เวลาเหลือน้อยทุกที
โลกกำลังร้อนระอุ
การเผยแพร่คุณธรรม ย่อมอยู่เหนือเหตุผล ของทุกๆสิ่ง
แม้จะเป็นลูก หรือพ่อแม่ก็ตาม
เขาทำงานใหม่ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ไม่มีคำว่าพัก
ทุกลมหายใจที่เคลื่อนผ่าน
แม้ในขณะที่หลับตาพักผ่อน
แม้น้ำตาจะนองใบหน้า เขาก็ปักมั่น
เขามิได้มาสบายหรือเห็นแก่ตัว
แต่เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไร
ในวันที่เขาเริ่มเปลี่ยนสมมติ
จาก"นาค" มาเป็น"เณร"
พ่อแม่พี่น้องต่างก็มากันคับคั่ง
แม้พ่อแม่จะไม่เข้าใจเขา
แต่เขาก็ได้ทำสมเจตนารมณ์ ของพ่อแม่
เพราะพ่อแม่ทุกคน ต่างก็อยากให้ลูกของตัวสูง
อยากให้ลูกของตัว เจริญก้าวหน้า
แต่ท่านไม่รู้เท่านั้นเองว่า
นี่แหละคือความสูง ความเจริญ ที่แท้ยิ่งกว่าแท้
พิธีบรรพชาเริ่มอย่างสงบ
เขากำลังจะเปลี่ยนรูปสมมติ
เพื่อเป็นแบบอย่าง ของผู้ทำงานด้านศาสนา
ด้วยเลือดเนื้อและวิญญาณ
ก้าวเข้าสู่การงานละเอียด แต่หนักหน่วงขึ้น
ครอบครัวของเขา น้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า
ด้วยวิญญาณที่รู้ว่า นี่มิใช่การบวชเล่นๆ
แต่เป็นการแลกชีวิตด้วยชีวิต
น้ำตาหลายหยดตกลงพื้น
เสียงสะอื้นในจมูกดังอย่างเบาๆ
ความอาลัยอาวรณ์ ยังคงก่อเกิดความโศก
ไม่มีอะไร ที่ไม่พลัดพรากจากกัน
แต่นี่คือ การพลัดพราก เพื่อทำงานที่มีค่ายิ่งกว่า
เขานี่หรือที่เลี้ยงมา ตั้งแต่แบเบาะ
หิวก็ร้อง ชอบใจก็หัวเราะ
คุยกัน ทะเลาะกัน ด้วยความกลมเกลียว
ทุกๆวันก็พร้อมหน้า บนโต๊ะกินข้าว
แต่นี่เขากำลังจะตายจากไป
พิธีกรรมยังคงเป็นไป อย่างสงบสำรวม
เขาประนมมือ รับการให้ศีล
ตั้งแต่นี้ คือการตัดหัวถวาย ต่อศาสนา
จะไม่มีการถอยหลังอีกต่อไป
หมดสิ้นแล้ว ซึ่งสภาพโลกๆ
ตั้งแต่นี้คือการดำรงชีวิต แบบนักบวช
เขากำลังตัดวัฏฏะอันกว้างไกล ให้หลุดออก
ความสุขทั้งหลาย
จะต้องถูกถอนรากถอนโคน ให้สิ้นเกลี้ยง
น้ำตาก็เริ่มเอ่อไหล จนท่วมท้น
มันมิใช่น้ำตาแห่งความปีติ
แต่เป็นน้ำตาแห่งความเศร้า
ที่ยังอาลัยอาวรณ์ ในความเป็นโลก ด้วยสายใยสุดท้าย
แม้จะโหยหาและอาลัย อย่างซ่อนเร้นและแฝงลึก
เขาก็จะตัดให้ขาดสนิท
เขามิใช่ผู้มาสุขสบาย
เขาก็ปวดร้าวได้
แต่เขาก็รู้หน้าที่ อันแท้จริงของเขา
ในฐานะที่เกิดมาเป็น มนุสโส
นับแต่นี้การงานของเขา เริ่มกระจ่างชัดขึ้น
เขากำลังก้าว เข้าเสริมเป็นหน่วยหนึ่ง ของกองทัพธรรม
เพื่อช่วยเข็นกงล้อแห่งธรรม ให้ระบือไกล
หยาดน้ำหยดสุดท้าย ถูกเช็ดทิ้ง
พร้อมกับการก้มกราบ เบญจางค์อุปัชฌาย์ และหมู่สงฆ์
นับแต่บัดนี้ สัจธรรมย่อมเหนือสิ่งอื่นใด
วิญญาโณ
๑๙ เม.ย. ๒๕๒๑
ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร?
เกิดมาเพื่อตาย...!
ถ้าอย่างนั้นเกิดมาทำไม ?
เกิดมาทำงาน...!
ทำงานเพื่ออะไร...?
เพื่อให้ตายอย่างมีคุณค่า...
สมกับที่ได้ เกิดมาเป็นมนุษย์
สารอโศก ปีที่๑ ฉบับที่๙ เมษายน ๒๕๒๑
ป่าเขาแห่งดวงใจ
หัวใจแห่งเดียรถีย์
ผู้ชอบเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่
เขามักจะเปรียบเทียบทุกแห่ง และตัดสินทุกที่
โดยเอาหัวใจของเขาเป็นหลัก
ผิดจากที่เขาคิด ก็หาว่าผิด
ผิดจากที่เขาเห็น ก็เหยียดหยาม
ผิดจากที่เขารู้ก็เยาะเย้ย
บางคนอาจจะพูดในทันควัน
แต่บางคนเขาก็จะทำยิ้ม อย่างยิ่งใหญ่
ด้วยหัวใจที่ร้องเฮอะๆ อยู่ภายในอย่างเขื่องโต
บางคนอาจจะแข็งกร้าว
แต่บางคน อาจจะทำดุจผู้อ่อนโยน แสนสุภาพ
มองทุกๆแห่งที่เขาผ่าน ด้วยสายตาของ ผู้ใหญ่มองดูเด็ก
เมื่อเขาเห็นขุนเขาลำเนาไพร
หมู่ไม้กระจายคลุมทั่วท้องฟ้า
เขาจะเริง
เขาจะชื่น
เขาจะยิ้ม
ราวกับสมใจที่เกิดมา
หัวใจของเขายังอ่อนแอ และเปราะบาง
หวั่นไหวง่ายดาย ยิ่งกว่าสายลม
จิตวิญญาณยังรัก ที่จะสมสู่กับหมู่พฤกษ์
ดวงใจของเขายังรัก ที่จะซุกอยู่ในอ้อมกอด แห่งขุนเขา
ยังรักที่จะเกลือกกลิ้ง บนร่างอันเปลือยเปล่า ของต้นหญ้า
ยังคลั่งไคล้ที่จะเสวนา กับสัตว์ป่า
ชีวิตของเขาก็มีแค่นั้น
สำหรับการเกิดมา ที่ยากแสนยาก
เพียงหวังเบียดกายนอนซุก ในอ้อมอกแห่งชู้ไพร
แต่หัวใจแห่งพุทธะ
ผู้รู้สัจจะแห่งชีวิต
ไม่เพ้อฝันคลั่งไคล้ไปกับสิ่งใด
เขาสามารถจับแก่นแท้ ของทุกเรื่องได้ อย่างวิเศษ
ธรรมชาติแห่งขุนเขาแมกไม้ ก็คือ ขุนเขาแมกไม้
ธรรมชาติแห่งมนุษย์ก็คือมนุษย์
แต่ด้วยหัวใจแห่งพุทธะ
แมกไม้ก็จะกลายเป็นมนุษย์
มนุษย์ก็จะกลายเป็นแมกไม้
เขาจะไม่ออเซาะหรือออดอ้อน
เขาจะไม่เพ้อคลั่งหรือปีติซ่าน
เขาจะไม่ร่ำร้องหรืออยากเหลือแสน
ที่จะวิ่งหาอ้อมกอดแห่งธรรมชาติ
ซบบนแผงอกแห่งพงพี
เมื่อเขาเห็นป่าเขาอันเขียวชอุ่ม
เหล่าไม้ที่ยืนเด่นตระหง่าน อย่างท้าทายทั่วทุกแห่ง
อันโอบกอดกันด้วยความรัก
ต่อให้พายุบ้าซัดกระหน่ำ
ต่อให้ฟ้าคะนองก้องสะท้าน
ขุนคีรีแห่งป่าชัฏ ก็มิได้หวั่นเกรงแต่อย่างใด
มันยังคงแข็งแกร่งหนักแน่น และสุภาพอย่างจริงใจ
ไม่มีภัยใด ที่จะทำให้ขลาดกลัว หรือหวาดผวา
มันยังคงทอดแขนโอบกอดกัน
แม้บางส่วนจะหักสลายไป
ไม่มีน้ำตาแห่งความเสียใจ
เสียงหรีดหริ่งแมลงใหญ่น้อย
ยังคงก้องระงมทั่วป่าพฤกษ์
ธารน้ำยังคงไหลไปอย่างชุ่มฉ่ำ
ประสานกับบทเพลง
ของนกทั้งหลายที่เริงไพร
มันยังคงยืนอย่างสงบและสันโดษ
พลังฤทธิ์แห่งไอเย็น ยังคงกระจายไปทั่ว
จะหาที่ใดร่มรื่นไปกว่านี้ ?
แม้ขุนไพรจะมีฤทธิ์ยิ่งใหญ่
แม้จะโอบช่วยสรรพชีวิต ให้สุขสบาย
แต่มันก็นอบน้อมถ่อมตน อย่างสง่างาม
ใบไม้ทุกใบ เถาวัลย์ทุกต้น หญ้าทุกเรียวเส้น
ยังคงไหวอย่างอ่อนโยน
ไร้ความกระด้างเย่อหยิ่ง หรืออวดดีแม้น้อยนิด
มันยังคงสงบ ไม่หวั่นไหว
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
และด้วยอานุภาพแห่งพุทธะ
แสงที่สุกเย็นก็สว่างไปทั่ว ทุกซอกในดวงใจ
แทนที่จะไปออเซาะ ต่อป่าเขาผู้แข็งแกร่ง
แทนที่จะเป็นทาสแห่งป่าดง พงพี อันสงบวิเวก
แทนที่จะเพ้อหา ดั่งลูกแห่งผู้พลัดแม่
แทนที่จะคอยฝันคะนึง อยู่ทุกลมหายใจ
หวังเสมอที่จะแอบซุกไซ้ ภายใต้กระดองแห่งไพรพง
เมื่อพุทธะได้หยั่ง ณ กลางทวารแห่งดวงใจ
เขาจะลุกขึ้นอย่างมั่นคง
และยกมือโอบขุนเขาทุกลูก ต้นไม้ทุกต้น
เขาจะเหนี่ยวเอาไม้ทุกเถา ใบไม้ทุกใบ
ก้มลงวักธารน้ำทุกสาย แหล่งน้ำทุกแหล่ง
หงายฝ่ามือรองรับหยาดน้ำค้างทุกๆหยด
และคุกเข่าลงอย่างสุขุม
กว้านเก็บไม้เล็กทุกต้น ใบหญ้าทุกเส้น
บดรวมทุกๆ สิ่งที่ได้มา
ยกไปปลูกไว้ในจิตวิญญาณ
ด้วยความเอาจริง
ด้วยความกดข่ม ด้วยความอดทน
และด้วยความเพียร อย่างสม่ำเสมอ วันแล้ววันเล่า
ให้ธรรมชาติแห่งป่าเขาเอ่อล้น
ให้ความเย็นร่มรื่นไหลซึม
ให้ความไม่หวั่นไหวหรือเศร้าโศก พุ่งทะลัก
ให้ความสันโดษและวิเวก ฉาบคลุมไปทั่วกาย
ให้ทุกอย่างกลั่นกรองออกมา จากดวงวิญญาณ
และเมื่อนั้น
บทเพลงชีวิตของเขา ก็จะเริ่มเบิกบานแจ่มใส
ไม่มีโศกใดจะทำให้เขาโศก
ไม่มีหมองใดจะทำให้เขาหมอง
เขาจะเลิกร่ำร้องคู่สวาท แห่งไพรสณฑ์
ไม่มีอีกต่อไป ที่เขาจะวิ่งไปซบ บนแผงอกแห่งแมกไม้
ด้วยความกระหาย ด้วยความอ่อนแอ
ด้วยความหวาดหวั่น ด้วยความออเซาะ
หมดแล้วซึ่งความเป็นทารก
สิ้นแล้วซึ่งความเป็นลูกแหง่
เพราะขณะนี้เดี๋ยวนี้
ธรรมชาติแห่งป่าดง ได้ซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ด้วยความอบอุ่น ด้วยความมั่นใจ
ฤาษีเก่า
๒ พฤษภาคม ๒๕๒๑
สารถึงโพธิสัตว์
ถ้าเธอจะไปนิพพาน
หรือถ้าเธอจะอยู่เพื่อมวลชน
เธอก็ต้อง จนกว่าจนให้ได้
จนต่อวัตถุ ที่จะอุปการะกาย
จนต่ออารมณ์ ที่จะค้ำจุนใจ
จนที่สุด ยิ่งกว่าผู้ยากไร้
เมื่อนั้น
มันจะทำให้เธอยิ้มได้ อย่างเบิกบาน
และยิ้มอย่างอาจหาญ
เพราะเธอได้ทำแล้ว ซึ่งสัจจะแห่งปัจเจก
เพราะเธอได้ทำแล้ว ซึ่งสัจจะแห่งปวงชน
ด้วยหัวใจของเธอ
เธอสามารถยกตัวเธอ ให้สู่ดวงดารา...
ด้วยกายกรรมของเธอ
เธอสามารถ ยกชาวประชาให้สุขเย็น
ด้วยปาก..ที่ผลิตด้วยถ้อยคำ
ด้วยรูปแบบ..ที่เป็นตัวอย่าง
ณ เวลานั้น
ยิ้มของเธอจะได้เป็นยิ้ม ที่สมบูรณ์ ที่ยิ่งใหญ่
เป็นยิ้มของผู้ที่ช่วยตน และช่วยโลก
ตรงนี้...เวลานี้...
ฉันหวังว่าเธอ
คงจะสร้างเศษเสี้ยว แห่งการยิ้มที่บริสุทธิ์
ด้วยการยังชีวิต ที่ปราศจากเลือดเนื้อ
ฉันก็คงปีติ
ปีติที่รอยยิ้มของเธอ
มิใช่รอยยิ้มของราชสีห์
ที่นอนเกลือกกลิ้ง
มองเหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย ด้วยความเอ็นดู
ภายหลังจากที่ฉีกกระชาก เจ้าเหยื่อน้อยน้อย
ผู้น่าสงสารมาแล้ว
อนุพุทธ
เราก่อบาปด้วยตัณหา ในความรื่นรมย์
ไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้น น่าประสงค์
แต่แสงเพลิงแห่งราคะของเรา...
ทำให้มันดูน่าประสงค์
เราขวนขวายหาสิ่งต่างๆ
ไม่ใช่เพราะมันมี ธรรมชาติในตนยิ่งใหญ่
แต่ความโลภของเรา ทำให้มันดูมหึมา...ฯ
รพินทรนาถ ฐากูร
ใครก็ตามพูดคัดค้านการฆ่า
และใครก็ตามที่ต้องการไว้ชีวิต...
ให้แก่สรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง
นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เป็นสิ่งที่ดีงาม ในการคุ้มครองชีวิตให้
แม้กระทั่ง จะเป็นเพียงสัตว์หรือแมลง
แต่...เราจะกล่าวอย่างไร
ต่อบุคคลที่ฆ่าทำลายเวลา
ต่อบุคคล ที่ได้ทำลายความสมบูรณ์
และต่อบุคคล ที่ทำลายเศรษฐกิจ
เราไม่ควรจะเพิกเฉย ต่อเขาเหล่านี้
ยิ่งไปกว่านั้น...
อะไรก็ตามที่บุคคลได้ท่องบ่น
หรือเทศน์สั่งสอนไปนั้น
โดยตนเองปราศจากความรู้แจ้ง
นั่นแหละ... เขาผู้นั้นกำลังฆ่าศาสนาพุทธ
กาซาน
แ ส น แ ส บ
หลบงานเป็นนิจ ป่วยจิตเป็นประจำ
ฟังธรรมชอบเลี่ยง ส่งเสียงชวนคุย
ทำชุ่ยอยู่เสมอ พอเผลอชอบหลับ
โค้งคำนับตลอดเวลา หูตาล่อกแล่ก
ชอบแจกรอยยิ้ม กรุ้มกริ่มออเซาะ
ฉอเลาะมารยา เจรจาสามหาว
ยกตนข่มขู่ ลบหลู่คุณท่าน
เพ่งโทสตลอดวัน สำคัญว่าตนดี
ธุระมีตลอดวัน ธุระท่านก็ไม่เอา
งานเบาก็ไม่สู้ งานหมู่ก็ไม่สน
มรรคผลก็จะเอา แต่หนักเน่าข้างใน
จัญไรไม่เอาออก มักหลอกตนเอง
อยู่ไม่ติดที่ อยากยึดดีมากนัก
ความดีเลยทะลัก เป็น"สุนัขขี้เรื้อน"
ซี ม่ า โ ล ชั่ น
นักสร้างบทเพลง ผู้ยิ่งใหญ่
เสียงร้องไห้ดังขานรับช่วงต่อกัน เป็นทอดทอด
บางครั้งก็สอดแทรกการหัวเราะ อย่างโง่เง่า
เพลงชีวิตบนพสุธาแผ่นนั้น
ถูกสอดใส่ ลีลา ซ้าซาก
บทเก่าๆ ร้องแล้วร้องอีก
คนแล้วคนเล่า
ดักดานอยู่ที่ตัวโน้ต บนแผ่นพสุธาใบนั้น
เสียงแหบเครือ ดังบาดระคายหู
ฉอเลาะ ออดอ้อนก็แค่นั้น
พร่ำเพ้อ ราวกับคนละเมอ
กระซิก กระซี้ ถวิลไห้
ระริกระรี้อย่างจริตจะก้าน
บทกระแทกกระทั้น ประดุจไฟนรก กระพือโหม
บทหวาน แม้มดก็อิ่มตาย
โน้ตทุกตัวยังคงอึดอัดอยู่ในเส้น
มันหมองคล้ำยิ่งกว่าคืนแรม กลางม่านหมอก
และหงิกงอ สุดแสนอัปลักษณ์
เบียดเสียดกัน ราวกับกลัวพลัดพราก
ช่วงหายใจ จึงหาแทบไม่ได้ขณะร้อง
เพลงชีวิตบทนี้ ใครหนอที่ทนฟังได้ แม้เจ้าตัว ?
และแล้ว...
เมื่อแสงสว่าง สาดส่องทั่วบ้านหัวใจ
เธอจับแก่นแท้แห่งบทเพลงได้มั่นคง
เธอเริ่มวิเคราะห์อย่างช้าๆ แต่ขยัน
โน้ตทุกตัวถูกขัด ฟอก ชะล้าง จนใสสะอาด
ถูกดัดให้ตรงตั้งตระหง่าน
ขยายช่องว่างระหว่างโน้ต ให้ห่างสวย
เสียงเพลงเริ่ม ใส กระจ่าง
เริ่มรื่นหู คลายอึดอัด สะอาด
ไม่ร้อน ไม่โอ่ ไม่เพ้อ
ฮึกเหิมเร้าใจอยู่ในที
จริงจัง อย่างชวนดื่มด่ำ ในท่วงทำนอง อันบริสุทธิ์
ยัง...ยังหรอก
บทเพลงของเธอ ยังไม่บรรลุจุดสุดยอด
แม้เธอจะคลุกคลีอยู่ ณ แดนแห่งบ่อเกิด ธรรมคีตะ ขนานแท้
จนรู้แจ้งสร้างบทเพลงชิ้นใหม่ได้
แต่เธอยังพอใจ ที่จะใช้เครื่องดนตรีชิ้นเดียว
ขับประสานกับบทเพลง
เธอยังไม่สามารถเข้าถึง แก่นแท้แห่งบทเพลงได้
เพลงชีวิตของเธอจึงไพเราะ แต่ก็ไม่ไพเราะ
เบิกบานซึ้ง แต่ก็ไม่เบิกบานซึ้ง
เมื่อแสงสว่างสาดส่อง กระทบทั่วดวงใจอีกครั้ง
ไม่มีมุมมืดใด ที่จะรอดพ้น
และแล้วอีกครั้งหนึ่ง
โน้ตทุกตัว ถูกดัดแปลงให้เหมาะสม
ทุกตัวโน้ต เต็มเปี่ยมไปด้วย พลังไร้สภาพ
ดนตรีทุกชิ้น ถูกระดมมาร่วม
ต่างก็เพราะพริ้งกัน คนละแบบ
แฝงพลังแห่งความไพเราะ คนละลีลา
สูง-ต่ำ ทุ้ม-แหลม ดัง-ค่อย
ต่างก็เกรียงไกรในเชิงของตัว
เมื่อบทเพลงเริ่มขับ
เสียงเครื่องดนตรีทุกชนิด ก็เริ่มประสาน
ดังกระหึ่มกังวานอย่างวิเวก
กู่ร้องอย่างฮึกเหิม
แข็งแกร่งยิ่งกว่าขุนคีรี
อ่อนโยนดุจสายน้ำที่เอื่อยไหล
และเบิกบานยิ่งกว่าเบิกบาน
จนไม่มีความเศร้าหมองใด จะทำลายได้
จนไม่มีความโศกใด จะกล้าประจัน
เสียงแห่งการขับประสาน
กู่สะท้อนไปทั่วเขตขัณฑ์
ผ่านใบหญ้า ยอดสน ทิวไม้
ปลุกบทเพลงชีวิตผู้อื่น ให้รู้ตาม
เพื่อช่วยกันขับประสาน ให้โลกทั้งโลก กระหึ่มเย็น
ดอกหญ้า
๒๒ มีนาคม ๒๕๒๑
มีเงินทอง กองล้น พ้นภูเขา
จะซื้อเอา ชีวิตไว้ ก็ไร้ผล
อันความตาย หมายทั่ว ทุกตัวคน
ติดสินบน สักเท่าใด ชีพไม่คืนฯ
มีอำนาจ วาสนา อย่าผยอง
หลงลำพอง คะนองจิต คิดโอหัง
ชีวิตไซร้ ไม่มี สิ่งจีรัง
อนิจจัง ทั้งนั้น หมั่นคำนึงฯ
เด็กจะดี เพราะมีธรรม ประจำจิต
พูด ทำ คิด พินิจหนัก รักเหตุผล
อนาคต ประเทศชาติ ปราศมืดมน
เพราะเยาวชน มีธรรม ประจำใจฯ
ชาติผู้ดี ใช่ดี ที่ทรัพย์สิน
หรือปริญ- ญาบัตร หรือหลักฐาน
หรือโคตรเหง้า เผ่าพงศ์ วงศ์สิงคาร
เครื่องหมายอ่าน ผู้ดี อยู่ที่ธรรม ฯ
มงคลภาษิต
เราอาจกล่าวถึงคุณธรรมในเธอได้
แต่มิอาจกล่าวถึงความชั่ว
เพราะความชั่วร้ายนั้นมิใช่อื่นไกล
มันคือคุณธรรมอันถูกทรมาน
โดยความหิวกระหายของตนเอง
แท้จริงนั้น เมื่อคุณธรรม เกิดความหิวโหยขึ้น
มันย่อมดื่มได้ แม้น้ำโสโครก
เธอมีคุณธรรม ในเมื่อเธอเป็นหนึ่งเดียว กับตนเอง
แต่เมื่อเธอมิได้เป็นหนึ่งเดียวกับตนเอง
เธอก็มิได้ชั่วร้าย
เพราะบ้านที่แตกแยกนั้น ก็ยังมิได้เป็นซ่องโจร
ยังคงเป็นเพียงบ้านที่แตกแยก
และนาวาไร้หางเสือ
แม้จะล่องลอยไป อย่างไม่มีจุดหมาย
ในท่ามกลางหินโสโครก
แต่ก็ยังมิได้จมลงสู่ก้นสมุทร...ฯ
คาลิล ยิบราน
ตัดหัวรายใหม่
เมื่อมรสุมพัดผ่าน
ท้องฟ้าก็เริ่มแจ่มใสอีกครั้ง
หลังจากถูกบดบัง ด้วยหยาดฝน และก้อนเมฆ
ดวงอาทิตย์นั่งรออย่างสงบ
เมื่อความอึงคะนึงโกลาหลหายไป
เม็ดฝนกับสายลม เลิกทะเลาะต่อสู้กัน
ดวงไฟใหญ่บนฟากฟ้า ก็เดินทางต่อไป ด้วยรอยยิ้ม
ขณะเปล่งเผา หยดเลือดแห่งธรรมชาติ ให้เหิดระเหย
พลางชำเลืองลงมา ณ จุดหนึ่งอย่างสนใจ
ณ ที่นั้น แม้การต่อสู้ของธรรมชาติ ได้หยุดลง
เพลงรบบทใหม่ถูกลั่นขึ้นมา อย่างสงบและทระนง
กระหึ่มก้องไปทั่ว อย่างไร้สำเนียง
ใบไม้หยุดกระดิก ด้วยความกลัว
การต่อสู้ของโลก กำลังจะเริ่มในไม่ช้า
วันแห่งประวัติศาสตร์ กำลังถูกบันทึกลง
นี่คือสงครามล้างผลาญ ที่จะต่อสู้กัน เป็นครั้งสุดท้าย
ของชายหนุ่ม
ผู้ฝังตัวเอง ลงในหินผาแห่งสัจจะ
และสะสมความตาย อยู่ทุกลมหายใจ เข้าออก
เสาร์ที่ ๒๐ พฤษภา ๒๕๒๑ บ่ายตรง
เริ่มแล้ว ! เริ่มแล้ว !
กองรบระเบิดขึ้นแล้ว
เสียงร้องอย่างเจ็บปวด ดังไปทั่วสารทิศ
ผู้ขลาดกลัวกระโดดหนี อย่างตื่นตระหนก
ดัง! ดัง! หนวกหู! หนวกหู! อย่างเงียบเหลือเกิน
ชายหนุ่มรุกกระหน่ำตี อย่างไม่สะท้าน
เหล่ามารแตกพ่ายกระเจิง
เขาเดินหน้ารุกเข้าไป อย่างอาจหาญ และสุภาพ
จวนแล้ว ด่านสุดท้ายของเหล่าริปู กำลังจะแตกทลาย
๑๓.๔๘ น. ทลายแล้ว
หยดเลือดแห่งธรรม สาดกระจาย
คลุกเคล้ากับหยดน้ำ
เซ็นกระสายใส่นักรบอื่น จนถ้วนทั่ว
เย็นเอยเย็นหนอ สงบเอยสงบหนอ
หัตถ์พระพุทธองค์สั่นไหว ด้วยของหนัก
"อานนท์ อะไร ?"
"ศีรษะนักรบใหม่ ฝากถวายพระเจ้าค่ะ"
"ใ ค ร ?"
"ผู้ทรงไว้ซึ่งชัยชนะ......"
หิ่งห้อย
๒๑ พฤษภาคม ๒๕๒๑
สารอโศก ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๑
เม็ดทราย หน้า 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |