ความรัก มิติที่: 1กามนิยม  2พันธุนิยม  3ญาตินิยม  4ชุมชนนิยม  5ชาตินิยม  6สากลนิยม  7เทวนิยม  8อเทวนิยม  9นิพพานนิยม  10พุทธภูมินิยม
 
ปล่อยวางอย่างพุทธ
page: 19/20
คำถามท้ายเล่ม

สารบัญ
ความรัก ๑๐ มิติ

มิติที่ ๑ กามนิยม

มิติที่ ๒ พันธุนิยม

มิติที่ ๓ ญาตินิยม

มิติที่ ๔ ชุมชนนิยม

มิติที่ ๕ ชาตินิยม

มิติที่ ๗ เทวนิยม

มิติที่ ๘ อเทวนิยม

มิติที่ ๙ นิพพานนิยม

อาริยบุคคล ๔
ตัณหา ๓
กัลยาณปุถุชน
อาริยชน
อมตชน

มิติที่ ๑๐ พุทธภูมินิยม

วิภวตัณหา๓ ระดับ
ปล่อยวางอย่างพุทธ

 ความมหัศจรรย์ 
 ของอมตชน   

คำถามท้ายเล่ม

  ความมหัศจรรย์ของอมตชน  

และภูมิอมตชนขึ้นไปเท่านั้น
ที่จะอยู่ใน "กามโลก-กามภพ" ก็ได้
จะอยู่ใน "ภวโลก-ภวภพ" ก็ได้
จะอยู่ใน "วิภวโลก-วิภวภพ" ก็ได้

เพราะท่านรู้แจ้งสภาพของ "โลกหรือภพ ทั้ง ๓ นั้น" ครบสมบูรณ์แล้ว และท่านก็สามารถอยู่อย่าง "ไม่มีตัวตนที่จะติดยึด อยู่กับโลกทั้ง ๓ นั้นได้เด็ดขาดแล้วจริง" ถ้าท่านจะอนุโลม ลงไปช่วยคนในโลก หรือในภพต่างๆ ดังกล่าวนั้น ท่านก็สามารถทำได้ จะเก่งกาจ สามารถ ช่วยรื้อขน สัตวโลก ผู้ยังไม่พ้นทุกข์ ได้เท่าใด แค่ไหน ก็ "เท่าฐานะแห่งภูมิ หรือแห่งบารมี" ของแต่ละท่าน เนื่องจากท่านมีภูมิ "เหนือโลกเหนือภพ" (โลกุตรภูมิ) นั้นๆแล้วจริง

เหนือโลกเหนือภพ หมายความว่า ท่านอยู่ในโลก หรือในภพนั้น ท่านอยู่อย่าง ไม่เป็นทาสใดๆในภพนั้น อยู่อย่าง"นาย" อยู่อย่างไม่เสพ อยู่อย่างไม่ติด หรือไม่ "ยึดมั่นถือมั่น" (อภินิเวส= หลงยึดเป็น "ที่อยู่ถาวร" ) อยู่อย่าง ไม่อยากมาให้ตน ไม่อยากได้ อะไรๆของโลกนั้น มาให้ตน

ผู้อยู่เหนือโลกเหนือภพจริง จึงมีแต่ "ความต้องการให้" ไม่มี "ความต้องการเอา" (มาเป็นตัวตน มาเป็นของตน)

"เท่าฐานะแห่งภูมิหรือแห่งบารมี" ของแต่ละท่าน หมายความว่า พระโพธิสัตว์ แต่ละท่าน จะมี"อภิญญา" หรือมี "ปฏิสัมภิทาญาณ" ต่างๆ มากหรือน้อย ตามฐานะ แห่งบารมีของแต่ละท่าน เท่าที่ได้ฝึกฝน อบรมบำเพ็ญมาได้ แต่ละท่าน จึงถนัดก็ไม่เหมือนกัน สามารถมากน้อย ก็ไม่เท่ากัน

ดังนั้น แต่ละท่าน เมื่อบำเพ็ญ "โพธิสัตว์" แม้ท่านจะไม่อยากได้ ไม่ต้องการ แต่ท่านก็รู้แจ้ง ในสัจธรรม ดีที่สุดแล้วว่า "กรรม"ใดที่ทำ มันย่อมเกิด ย่อมเป็นของตนอยู่เอง เมื่อท่าน "กระทำ" (กรรม) มันก็เกิดความรู้ ความชำนาญ เชี่ยวชาญ ในภูมิโพธิสัตว์ หรือเพิ่ม สัมมาสัมโพธิญาณ สูงขึ้นไปตามจริง หรือตามที่มี "กรรม" หรือมี "การกระทำ" จริงนั้นๆ ไม่พ้นไปได้ ท่านจึงเพียงแต่ พากเพียร เรียนรู้ อุตสาหะ อดทน ต่อสู้กับ "เหล่ากิเลสที่ครอบงำ ผู้คนทั้งหลาย" ว่า จะช่วยมนุษย์ในโลก ได้อย่างไร จึงจะดีที่สุด? และทำอะไร เพียงเพื่อให้เกิดคุณค่า สูงที่สุด เท่าที่จะพยายามให้ได้ เท่านั้น

ความอุตสาหะของท่านคำนึงเพียง "ประโยชน์ของประโยชน์" ที่สำคัญ และจำเป็นนั้นๆ ให้เกิดขึ้นในโลก ด้วย "ความรู้" โดยไม่ต้องมี "ความรัก" เป็นความบริสุทธิ์ใจแห่ง "ธรรมาธิปไตย" เต็มรูป แต่ด้วยความจริง แห่งพฤติกรรม และดวงจิต ที่เต็มไปด้วย ความเสียสละ เพื่อช่วยมวลมนุษยชาติ อย่างอุตสาหะ เหน็ดเหนื่อย นั้น ท่านคือ "ผู้รักมวลมนุษยชาติทั้งมวล" โดยแท้

เพราะฉะนั้น ท่านจึงบำเพ็ญ "กุศลกรรม" ยังกุศลกรรม ให้ถึงพร้อม ท่าเดียว เนื่องจาก "ท่านไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว" จริง และ "จิตท่านก็ผ่องใส บริสุทธิ์แล้ว" โดยไม่ต้องอยาก ได้นั่นได้นี่

นั่นคือ ไม่ต้องมี "ความรักมาเพื่อตัวเอง" ใดๆ อย่างมีภูมิถึงที่สุดแห่ง "ความรัก" สมบูรณ์สุดแล้ว

ผู้ที่ปรารถนา...ความเป็น "อมตชน" จึงต้องพัฒนา "ความรัก" ของตน ให้พ้นมิติต่ำๆ ไปสู่มิติที่สูงขึ้น จนถึง..มิติที่ ๑๐ คือ "พุทธภูมินิยม" หรือ "โพธิสัตวภูมินิยม"

หากผู้ใดสามารถเข้าใจ "ความรัก ๑๐ มิติ" ตามที่สาธยายมานี้ ดีเพียงพอ ก็จะสามารถ นำไปปฏิบัติ ดำเนินชีวิตให้เจริญ และเป็นสุขแท้ได้จริง


   [เลือกหนังสือ]
ปล่อยวางอย่างพุทธ
page: 19/20
คำถามท้ายเล่ม
   Asoke Network Thailand

อ่านต่อ ๒๐. คำถามท้ายเล่ม