คาถาธรรม ๕ เพียรเพื่อธรรมะ เพียรเพื่อธรรมะ แต่ว่าเราก็มักจะกระทำกันยังไม่ได้อยู่เสมอ ก็คือ หลักใหญ่หลักสำคัญของการปฏิบัติ ในการก้าวย่างไปสู่หลักชัยนั่นเอง คือ โพชฌงค์ ๗ ที่เราจะต้องสังวรระวัง ให้มีสติรู้ตัว มีธัมมวิจัย มีวิริยะ อย่างแท้จริง การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม และมีธัมมวิจัย เป็นผู้ตื่นอยู่นั้น ไม่ใช่การมีสติรู้ธรรมดาสามัญ การมีสติรู้ธรรมดาสามัญ คือรู้ว่าเรากำลังทำอะไร แล้วเราก็เป็นไปตามอำเภอใจ ส่วนเราจะวิริยะ พยายามใช้ความเพียร ความเพียรนี้ เป็นสิ่งที่เราจะต้องเพียรเพื่อธรรมะ และมีธัมมวิจัยให้จริง จริงๆ ตรวจตรา พยายามวิจัยกาย พยายามวิจัยจิต กายในกายนอก สิ่งที่แวดล้อมสัมพันธ์อยู่ และพฤติกรรมของเรา แม้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นั่นเอง วิจัยให้เห็นกุศล-อกุศล หรือสุจริต-ทุจริต แท้จริงให้ได้ เท่าที่เราจะมีความเพียร มีปัญญา โดยความจริงใจ แล้วพยายามปรับตนเองจริง จริงๆเสมอ ผู้ใดได้พากเพียรดั่งนี้จริง และได้กระทำได้มาก ผู้นั้นย่อมมีผลมาก เพราะการก้าวเช่นนี้นั้น เป็นหลักธรรมที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จะเป็นผู้ค้นพบ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่อุบัติ หลักโพชฌงค์ ๗ นี้ จะไม่เกิดในมนุษยโลกเลย ๑๒ เมษายน ๒๕๒๗
ความพรั่งพร้อม ผู้ที่นิยมความพรั่งพร้อม เห็นดีในความพรั่งพร้อม มีจิตใจนิยมชมชอบ เห็นดีแล้ว ก็กระทำตน เป็นผู้ที่ประสานความพรั่งพร้อม สนับสนุนความพรั่งพร้อม ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ที่มีน้ำใจเป็นเลิศ และเป็นคนที่สร้างความเจริญ ให้แก่มนุษยชาติ ความพรั่งพร้อม เป็นของยากสำหรับคนที่มีกิเลส ความพรั่งพร้อม เป็นของที่หาได้ไม่ง่ายเลย ในสังคมของมนุษย์ที่มีกิเลส เพราะฉะนั้น ในหมู่ชนใดที่มีความพรั่งพร้อม ในหมู่ชนนั้นเป็นหมู่ชนอารยะ เป็นหมู่ชนเลิศ เป็นหมู่ชนที่น่ารักน่าเอ็นดู เป็นหมู่ชนที่น่าชื่นชม ขอให้พวกเรา ได้พยายามเห็นความสำคัญ ในความพรั่งพร้อม เพราะความพรั่งพร้อมเท่านั้น ที่จะทำให้กำลังของกงล้อธรรมจักร เคลื่อนไปได้อย่างเจริญงอกงาม ๑๖ เมษายน ๒๕๒๗
ผู้มีน้ำใจ เราทุกคนที่มาปฏิบัติธรรมนั้น มาปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างจิตสร้างใจ เพื่อที่จะเป็นคนมีน้ำใจ เพราะฉะนั้น เราพึงตระหนักและพึงระลึกเสมอว่า การล้างกิเลส และล้างตัวตนออกนั้น ไม่ได้หมายความว่า เราจะมาเอาแต่ตัวตน เห็นแก่ตน เอาแต่ความคิดของตน เอาแต่ความเห็นของตน เสพย์อยู่แต่ตน แต่เราจะมาเป็นผู้ละความเสพย์ของตน พยายามที่จะละหรือปล่อย หรือประสานความเห็นของตน ออกไปกับผู้อื่น เราจะไม่เอาแต่ตัวแต่ตน เราจะเสียสละตนเองนั้นต่างหาก เราจะเป็นคนมีน้ำใจ เราจะเป็นคนมีจิตใจ จิตวิญญาณที่กว้างขวาง แผ่รอบ มีความเมตตาเอื้ออารี และใจดีต่อกันทุกๆคน การปฏิบัติธรรม เราจะต้องตระหนักในจุดนี้ให้มาก เมื่อเรามีหมู่มีมวล เรามีองค์ประกอบที่มาก เรายิ่งจะมีแบบฝึกหัดมาก สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่จะกระแทกกระทุ้ง ให้เรากลับเข้ามาหาตัวตน หรือ กิเลสของตนมากขึ้น เราจึงต้องระมัดระวัง และรู้เท่าทัน แล้วก็แก้ไขปรับปรุง ละตัวละตน ปล่อยวาง และเห็นแก่สิ่งที่ดีที่ควรมากขึ้น คือ เราจะต้องเป็นผู้มีน้ำใจให้มากขึ้นๆ นั่นเอง แล้วเราจึงเป็น ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้กำไร ๗ พฤษภาคม ๒๕๒๗
ศาสนา ศาสนา คือพลังรวมสังคม สภาวะใดสภาพใด ที่ไม่เป็นไปเพื่อความร่วมความรวมกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเอกภาพ สภาวะเช่นนั้น สภาพดังนั้น จะไม่ใช่สภาพที่สอดคล้องลงตัว หรือเป็นไปเพื่อความเกิดศาสนา แม้บุคคลใด จะมีความเห็นไม่ลงร่องลงช่องกันกับหมู่ ถึงแม้ว่าจะถูกต้อง เป็นความคิดที่ดีเลิศปานใดก็ตาม แต่ถ้าเผื่อว่า ผู้นั้นไม่เข้าใจคำว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี นั้นเป็นทั้งสิ้นของศาสนา และเราก็ไม่วางใจ หรือวางใจไม่ได้ วางใจไม่เป็น รวมเข้าเป็นทั้งสิ้นของศาสนาไม่ได้ ผู้นั้นจึงคือผู้ที่ยังไม่ใช่ศาสนา อยู่แต่ผู้เดียวเท่านั้น ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๗
นักปฏิบัติมิใช่นักคิด การปฏิบัตินั้นไม่ใช่เอาแต่คิด ที่จริงนั้นต้องรู้ และก็อยู่กับความจริง ขณะใด เรากำลังเดิน ต้องรู้เดิน เห็นความเดินของเรา เราเดินดีแล้วหรือ เราเดินผิดเดินถูก เราเดิน เรายืน เรานั่งนั่งดีแล้วหรือ เรานอนนอนดีแล้วหรือ เรากำลังกระทำอาการกิริยาใดๆอยู่ ดีแล้วหรือ หรือยังไม่ดี เราจะต้องรู้ต้องเห็น ไม่ใช่คิด แม้พูด เรากำลังพูด รู้ตัวทั่วพร้อมว่าเรากำลังพูด รู้คำพูด รู้เสียงสำเนียงพูด รู้องค์ประกอบ ส่วนที่ประกอบรอบตัวเรา กำลังพูดกับใครอย่างไร รู้ความจริง เห็นความจริง แล้วจึงจะมีความคิด ตามประกอบกับที่เราเป็นอยู่ กายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรม ควบคุมอยู่ทั้งสิ้น เรารู้ และเราก็ธัมมวิจัย ใช้ความคิดพิจารณา ไม่ใช่คิด คิดๆ ออกนอกกายกรรม ออกนอกวจีกรรม ออกนอกตัวนอกตน ถ้าคิดแต่ออกนอกตัวนอกตน เราเรียกว่าตรรกะ หรือเหตุผลเท่านั้น เป็นเรื่องของความคิด คิดอะไรไปก็ได้ ซึ่งไม่ใช่ภาคปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นความฟุ้งซ่าน เป็นที่สุด ขอให้พวกเราพระโยคาวจรทั้งหลาย ได้รู้ ได้เข้าใจชัดแจ้ง กระทำให้ถูกตรงว่า พระโยคาวจร หรือนักปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่นักคิด แต่เป็นนักรู้ นักเข้าใจความจริง มีสติสัมปชัญญะ มีธัมมวิจัยต่อกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ปรับให้เป็นสุจริตกรรม รู้ด้วยความรู้ว่า อาการกาม อาการพยาบาท อาการเข้าสู่ถีนมิทธะ เข้าสู่อุทธัจจะกุกกุจจะ เป็นเช่นนั้นๆ เห็นให้จริง ไม่สงสัย มีความแยบคาย มีความรู้รอบอย่างชัดแจ้ง ต่อความจริงเหล่านั้นเสมอๆ ความรู้ของใครก็ของใคร จะพยายามปรับตน สมเหมาะสมฐานะของตนๆ ยิ่งขึ้นๆ อย่าทำเลย ศีลที่เราสมาทานเกินไป อย่าเคร่งเครียดเกินตัว ทำอย่างประมาณที่สมควรทำ ให้พอหมาะพอดีก็ทำ ถ้ามันเกินไป ก็รู้ตน ทำอย่างนี้ได้เสมอๆ อินทรีย์พละของเราจะสมตัว แล้วเราจะปรับความจริง เป็นผู้ที่มีความงาม และความถูกต้อง ได้ปรับปรุงกายวาจาใจ เข้าสู่สภาพเจริญยิ่งๆอยู่ ได้อบรมจิตจริงๆด้วย ขัดเกลากิเลส อันที่จะทำตามใจชอบของเรา ไปได้อย่างเก่งยิ่ง เสมอๆ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๗
อริยมรรค บุคคลผู้ประกอบตามอริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ เรียกว่า "พรหมจารี" หรือ ผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ในศาสนานี้ ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีทฤษฎี มีความประพฤติปฏิบัติ มีหลักอันกระทำได้ กระทำตรงตามทฤษฎี และเป็นผู้ที่รู้จักต่อการปฏิบัติ จนเกิดอริยคุณอยู่เสมอๆ หรือ เดินอยู่ตามทางแห่งการประพฤติ ที่เรียกว่าอริยมรรค คือเดินตามทาง เรียกว่า มรรค แล้วเกิดอริยคุณ ได้ประโยชน์ ได้ธรรมะที่เป็นกุศล สั่งสมใส่ตนเองอยู่เสมอๆ หรือตามเสขสูตร ที่ว่า บุคคลผู้ประกอบตามอริยมรรค อันประกอบด้วยมรรคองค์ ๘ นั้นคือ พระเสขะ ก็มีความหมายเดียวกัน ผู้ละราคะละโทสะละโมหะได้สิ้น นั้นคือ ที่สุดของพรหมจรรย์ หรือผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จึงเป็นแก่น การปฏิบัติจึงเป็นหลักเอกแห่งการปฏิบัติ อันผู้เป็นลูกศิษย์พระตถาคต จะต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งละเอียด ในความหมาย ในทางปฏิบัติที่ชัดแจ้ง แล้วปฏิบัติตาม อย่างมีอริยคุณแท้จริง เราจึงจะเป็นผู้ที่เดินทางอยู่ในศาสนาพุทธ หรือ เป็นผู้จบพรหมจรรย์นี้ได้ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๒๗
ผู้ที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง ผู้เกิดมาเพียงได้แต่ศึกษา แม้แต่ศึกษาขั้นทำตามพ่อแม่ พี่น้อง วงศ์วานเหล่าเครือ ที่ได้พากันทำการงาน สร้างสรร หรือเป็นอยู่ สามารถประคองชีวิตไปได้ สามารถสร้างสรรให้ตัวเองอยู่ได้เท่านั้น ก็เป็นการศึกษา ที่จะทำให้ชีวิตรอดไปได้แล้ว เป็นความดีขั้นพื้นฐาน ยิ่งมนุษย์ได้มีการศึกษายิ่งกว่านั้น ได้เรียนรู้ทั้งด้านความเป็นอยู่ พฤติกรรมทางกายวาจาใจ ที่เป็นเครื่องช่วยเหลือเกื้อกูล สร้างสรร เป็นประโยชน์ต่อตน เป็นประโยชน์ต่อท่านมากขึ้น ก็ยิ่งเป็นการศึกษา ที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ หรือผู้มีจิตใจสูง เป็นผู้ที่มีความประเสริฐ ความดีงามมากขึ้น ยิ่งมนุษย์ได้รับการศึกษา ฝึกฝนตนให้เป็นคนได้ละกิเลส ได้เป็นผู้เสียสละ และเป็นผู้สร้างสรร ทำประโยชน์ให้มาก ไม่เสพย์ไม่ติด เป็นผู้ที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงตลอดชีวิต สามารถละลดกิเลสได้ยิ่งๆเท่าใด ก็ยิ่งจะมีคุณค่าประโยชน์ยิ่งๆขึ้น เท่านั้นๆ ตราบจนสูงสุด ได้มีการศึกษา มีระบบมีระเบียบมีวิธีการ มีผู้นำพาศึกษาอบรมประพฤติ ให้ตนได้เป็นผู้เจริญงอกงามขึ้นอย่างจริงจัง ผู้นั้นยิ่งถือว่า เป็นผู้ที่มีโชค มีประโยชน์คุณค่าได้จริง เมื่อเราได้พากเพียรอบรมตน ศึกษาตามระบบของปราชญ์ ของบรมศาสดา ของผู้ที่ได้รู้ยิ่งรู้ยอดมาก่อน ผู้นั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่าโชคดีที่สุด และสามารถจะเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐสูงสุด เป็นผู้ที่มีคุณค่าประโยชน์มากที่สุดได้ ถือว่าเกิดมาในโลกนี้ เป็นสิ่งสูงสุดที่สุด ไม่มีอะไรเทียบเท่า ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๒๗
พรหมจารี คำว่า "อริยมรรค" อันประกอบด้วยองค์ ๘ นั้น เราจะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม เข้าใจในความหมาย แล้วก็รู้ว่า เรากำลังอยู่ในอิริยาบถใดๆ เราก็เป็นผู้ที่มีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ พยายามพากเพียรรู้ พากเพียรวิจัย พากเพียรที่จะปรับเข้าสู่กุศล เข้าสู่สุจริต เข้าสู่สิ่งที่ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเชิงคิด ไม่ว่าจะเป็นเชิงวาจากรรม หรือกายกรรม กระทั่ง กระทำอยู่ให้ต่อเนื่องเป็นส่วนมาก เราจะมีความพยายาม กระทำอยู่เช่นนั้นจริง ผู้ที่มีโพชฌงค์ ๗ ในขณะใด ๆ และได้กระทำตามมรรคองค์ ๘ มีอริยคุณอยู่จริง ผู้นั้นๆ คือ พรหมจารี คือผู้ที่กำลังเป็นผู้เดินทางสู่สุคติ เป็นผู้ที่เป็นลูกศิษย์ หรือเป็นลูกพระพุทธเจ้า อยู่ในพรหมจรรย์นั้น ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๗
เบิกบานไว้ก่อน ทุกขณะ เราจะต้องตั้งสติ พยายามวิริยะอุตสาหะโดยแท้จริง ให้มีสติ รู้ตัว และตั้งตนสู่ความเจริญ หรือสู่กุศล อย่างน้อยที่สุด จิตใจของเราเป็นประธาน จะต้องเบิกบานแจ่มใส ปรับให้เบิกบานแจ่มใสเท่านั้นแหละ เสมอๆ เท่ากับเราอยู่สวรรค์เสมอๆ เรื่องอื่นใด มันย่อมมี แล้วเราก็ใช้ปัญญาทำงาน ใช้ความคิดทำงาน แล้วก็ทำกรรมกิริยา อะไรต่ออะไรไป ด้วยความเบิกบานแจ่มใส เรื่องจะหนัก วิบากจะมาก อุปสรรคจะเยอะปานใดก็ตาม นั่นเป็นเรื่องที่เราจะประจัน ทุกคนไม่มีใครพ้นอุปสรรค แต่กำไรที่เราได้ เมื่อเราทำจิตใจเบิกบานแจ่มใสแล้ว เราก็ได้ปรับปรุงปฏิบัติธรรมะ อย่างแท้จริงด้วย แล้วเราก็จะได้ทำกรรมกริยา ด้วยความไม่หม่นหมอง ไม่ฝ้ามัว ไม่มีอะไรมาคั่น เมื่อเราได้ปรับอย่างแท้จริง ผู้ที่ระลึกได้ อย่าช้า ทุกขณะทุกวินาที เราจะต้องเป็นพุทธะ ผู้เบิกบาน เป็นปฐม ก่อนอื่น ความไม่สบายใจใดๆ สลัดทิ้ง อย่างไม่มีข้อแม้ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๗
อย่าปล่อยให้เวลาล่วงไปเปล่า คนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ ชนเหล่านั้นชื่อว่า ล่วงขณะ ชนเป็นอันมากกล่าวเวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาละบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลกหนึ่ง การได้กำเนิดเป็นมนุษย์หนึ่ง การแสดงสัทธรรมหนึ่ง ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก ชนผู้ใคร่ต่อประโยชน์ จึงควรพยายาม ในกาละ ดังกล่าวมานั้น ที่ตนพอจะรู้จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ย่อมเศร้าโศกอยู่ หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรม ตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้ เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน เหมือนพ่อค้า ผู้ปล่อยให้ประโยชน์ล่วงไป เดือดร้อนอยู่ฉะนั้น คนผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ พรากจากสัทธรรม จักเสวยแต่สงสาร คือ ชาติและมรณะ สิ้นกาลนาน ส่วนชนเหล่าใด ได้อัตภาพเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อตถาคตประกาศสัทธรรม ได้กระทำแล้ว จะกระทำหรือกระทำอยู่ ตามพระดำรัสของพระศาสดา ชนเหล่านั้นชื่อว่า ได้ประสพขณะ คือ การประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมในโลก ชนเหล่าใด ดำเนินไปตามมรรคา ที่พระตถาคตเจ้า ทรงประกาศแล้ว สำรวมในศีลสังวร ที่พระตถาคตเจ้า ผู้มีจักษุ เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้ว คุ้มครองอินทรีย์ มีสติทุกเมื่อ ไม่ชุ่มด้วยกิเลส ตัดอนุสัยทั้งปวง อันแล่นไปตามกระแสบ่วงมาร ชนเหล่านั้นแล บรรลุความสิ้นอาสวะ ถึงฝั่ง คือ นิพพานในโลกแล้ว ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๒๗ สมณะโพธิรักษ์ คาถาธรรม ๖ / คาถาธรรม ๗ / คาถาธรรม ๘
|