คาถาธรรม ๖

ฝึกให้จริง

ผู้ที่จะมีจริงเป็นจริงของแต่ละคน ๆ ก็เพราะว่าผู้นั้นกระทำจริง ฝึกหัดจริง ปฏิบัติอบรมตนจริง สังวรระวัง เรียนรู้ศึกษา มีสติ ธัมมวิจัย วิริยะ เกิดดี เกิดละลดได้ เป็นปีติ เป็นปัสสัทธิ สั่งสมลงเป็นความตั้งมั่น สมาธิ หรือความได้ยิ่งๆขึ้น เรียกว่าสมาธิ จนเป็นที่สุด เรียกว่าอุเบกขา จนเป็นฐานอาศัย จนเป็นความเป็นไปได้ เป็นความเป็นความมี ก็เพราะตนของตนเป็นผู้ทำ เพราะกรรมเป็นของของตน เราเป็นทายาทของกรรม เราทำได้เท่าใด มันก็ไม่ใช่จะได้เต็มทีเดียว ได้แล้วยังต้องซับซ้ำย้ำอีก และแม้ว่าย้ำ บางทีมันก็ยังเลือน บางทีมันก็ยังลด เพราะฉะนั้น การฝึกปรือ ดัดหรือขัดเกลาตนมาสู่ทิศทางใหม่ ซึ่งไม่ใช่ความชินแบบเก่าๆ ที่สั่งสมมานานับชาติ เป็นโลกียะนั้นไม่ใช่ของง่าย จึงต้องอาศัยการทำให้มาก เป็นพหุลีกตา กระทำ เมื่อรู้แล้ว เข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว เห็นจริงแล้ว เชื่อมั่นแล้ว เป็นศรัทธา เราก็จะต้องทำให้เป็นความเชื่อ ไม่ใช่เชื่อมั่นเท่านั้น

เราจะต้องทำให้ทรงไว้ ทำให้เป็นทำให้มี ด้วยการฝึกอบรมให้มาก เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติธรรม เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว จึงจะไม่เผลอ จึงจะไม่ขี้เกียจ จึงจะต้องพยายามสังวร ระวังอบรมตนของตน ไม่มีผู้อื่นจะมาอบรมตนของตน ด้วยการปฏิบัติจริง ฝึกจริง เป็นจริง มีจริง ให้แก่ตนได้

๑ มิถุนายน ๒๕๒๗


 

 

ความรู้ในธรรม

ชนเหล่าใด มีความรู้ในธรรม อันหาสาระมิได้ว่าเป็นสาระ และมีปกติเห็นในธรรม อันเป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้นมีความดำริผิด เป็นโคจร ย่อมไม่บรรลุธรรมอันเป็นสาระ

ชนเหล่าใด รู้ธรรมอันเป็นสาระโดยความเป็นสาระ และรู้ธรรมอันหาสาระมิได้ โดยความเป็นธรรมอันหาสาระมิได้ ชนเหล่านั้นมีความดำริชอบ เป็นโคจร ย่อมบรรลุธรรมอันเป็นสาระ

ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่บุคคลมุงไม่ดี ฉันใด ราคะย่อมรั่วรดจิตที่บุคคลไม่อบรมแล้ว ฉันนั้น ฝนย่อมไม่รั่วรดเรือนที่บุคคลมุงดีแล้ว ฉันใด ราคะย่อมไม่รั่วรดจิตที่บุคคลอบรมดีแล้ว ฉันนั้น

บุคคลผู้ทำบาป ย่อมโศกเศร้าในโลกนี้ ย่อมโศร้าโศกในโลกหน้า ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง บุคคลผู้ทำบาปนั้นย่อมเศร้าโศก บุคคลผู้ทำบาปนั้น เห็นกรรมที่เศร้าหมองของตนแล้ว ย่อมเดือดร้อน

ผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้ ย่อมบันเทิงในโลกหน้า ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง ผู้ทำบุญไว้แล้วนั้น ย่อมบันเทิง ผู้ทำบุญไว้แล้วนั้น เห็นความบริสุทธิ์แห่งกรรมของตนแล้ว ย่อมบันเทิงอย่างยิ่ง

๑๑ มิถุนายน ๒๕๒๗


 

 

อย่าตัดสิน

อย่า...คือ ความเจริญของผู้มีปัญญานั้นๆ ผู้ที่โง่หรือผู้ที่ไม่ฉลาด เท่าขอบเขตของความไม่ฉลาดของตน มักจะมองเห็นความสูง ความเกินภูมิของตนนั้นเป็นความผิด, เช่นเดียวกันกับปุถุชน จะมองเห็นกรรมของพระอริยบุคคลกระทำ เป็นทวนกระแสกัน เห็นเป็นความผิด

เขาไม่สามารถมองสภาพของพระอริยะออก ฉันใด ผู้มีภูมิไม่สูง ภูมิต่ำอยู่ แม้จะได้เลื่อนฐานะขึ้นมาสู่ภูมิสูงบ้างแล้ว ก็จะมองภูมิที่สูงขึ้นไปอีก ความรู้ที่สูงขึ้นไปอีกนั้นไม่ออก มองเป็นความผิด ความใช้ไม่ได้

ฉันเดียวกันกับปุถุชน มองอริยบุคคลไม่ออก เห็นว่าผิด เห็นว่าทวนกระแส เห็นว่าใช้ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะความมีอำนาจแห่งปัญญา หรือความรู้ ความมีภูมิ เป็นความจริง เขามองไม่ออก มองไม่ได้ เห็นไม่ได้ จึงเห็นตีกลับ เป็นความผิดได้เช่นเดียวกัน

ความจริงอันนี้ ได้ฆ่าผู้ที่มีความดีบ้างแล้ว ผู้ที่มีภูมิสูงขึ้นมาบ้างแล้ว และก็มีภูมิที่ยังไม่สูงพอ จึงได้มองเห็นความสูงยิ่งๆขึ้นไป เป็นความผิด และก็ไม่พอใจ เมื่อไม่พอใจ เขาก็ถูกฆ่าด้วยตัวของเขาเอง ถูกภูมิอันไม่สูงของเขาเอง เป็นตัวฆ่าเขา หลุดร่วงออกไปจากหมู่ผู้สูงนั้น ได้เช่นเดียวกันเสมอมา

ดังนั้น ผู้ฉลาด ย่อมมองปราชญ์ มองผู้สูงยิ่ง และเข้าซักไซ้ไล่เลียงไถ่ถาม สำหรับผู้ที่มีภูมิสูงยิ่งไว้เสมอๆ อย่าตัดสินความผิด ความใช้ไม่ได้ เท่าที่ตัวเองมีปัญญาตัดสินเอง เป็นเครื่องชี้ขาด จนให้ตัวเองหลุดร่วงจากหมู่จากกลุ่ม ที่เราสมควรจะอยู่ด้วยเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้น เราจะเป็นผู้หนึ่ง ที่ได้ถูกฆ่าตัวเองออกไปจากหมู่ด้วย เช่นเดียวกัน

๑๘ มิถุนายน ๒๕๒๗


 

 

ใจเป็นหัวหน้า

ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไม่ตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้ลากเกวียนไปอยู่ฉะนั้น

ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ

ถ้าบุคคลใด มีใจผ่องใส กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไม่ไปตามบุคคลนั้น เพราะสุจริต ๓ อย่าง เหมือนเงา มีปกติไปตามฉะนั้น

ก็ชนเหล่าใด เข้าไปผูกเวรไว้ว่า คนโน้นด่าเรา คนโน้นได้ตีเรา คนโน้นได้ชนะเรา คนโน้นได้ลักสิ่งของของเรา ดั่งนี้ เวรของชนเหล่านั้นย่อมไม่ระงับ ส่วนชนเหล่าใด ไม่เข้าไปผูกเวรไว้ว่า คนโน้นด่าเรา คนโน้นได้ตีเรา คนโน้นได้ชนะเรา คนโน้นได้ลักสิ่งของของเรา ดั่งนี้ เวรของชนเหล่านั้นย่อมระงับ

ในกาลไหน ๆ เวรในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับเพราะความไม่จองเวร ธรรมะนี้เป็นของเก่า ก็ชนเหล่าอื่น ไม่รู้สึกว่าพวกเรา ย่อมย่อยยับในท่ามกลางสงฆ์นี้ ส่วนชนเหล่าใด ในท่ามกลางสงฆ์นั้น ย่อมรู้สึก ความหมายมั่นย่อมระงับจากชนเหล่านั้น

๒ กรกฎาคม ๒๕๒๗


 

 

ความขยัน

นักปฏิบัติธรรม คือ ผู้ที่จะ ลดละ ขยัน กล้าจน ทนเสียดสี หนีสะสม นิยมสร้างสรร สวรรค์ นิพพาน

ซึ่งคำเหล่านี้ มันจะสลับซับซ้อน ในสภาวะจะมีสภาพสอดซ้อนหนุนเนื่อง และก็ทั้งขัดเกลาสิ่งที่เป็นกิเลส คนจะขยันด้วยกิเลส ก็จะต้องลดละกิเลส จนเราไม่ต้องดันที่จะขยัน ไม่ต้องพยายามเพิ่มพลังในจิตที่จะขยัน แต่จะกลายเป็นคนขยันเอง โดยที่มีปัญญาตัวรู้ เท่านั้น แล้วไม่ต้องใช้ความอุตสาหะวิริยะ, ความขยันนั้น จะต้องเกิดอย่างเบา ง่าย เป็นไปโดยอัตโนมัติเอง และมีพฤติกรรมขยันนั้น ดังนี้เป็นต้น เราจะลดละ จึงจะเกิดการขยันที่ไม่มีกิเลสได้

เราจะกล้าจน โดยที่ไม่ต้องมีกิเลส เพราะต้องเลิกละ ลดละกิเลส ที่เราจะต้องยอมจน ยอมมักน้อย ยอมสันโดษลงได้

เราจะทนเสียดสี จนเราไม่ต้องทน แล้วเราจะมีปัญญา เราจะรู้ว่า เราจะทรงสภาพ หรือทรงธรรมอย่างไร โดยไม่มีกิเลส ไม่ใช่มานะ ไม่ใช่อวดอ้าง และไม่ใช่หน้าด้าน

เราจะหนีสะสม โดยสภาพ เมื่อเวลาเราเป็นคนดี เป็นคนที่ยกย่องสรรเสริญ และเคารพนับถือ เราจะเป็นผู้ได้ จะเป็นผู้มี แม้ไม่ต้องทำงานแลกเปลี่ยน ก็จะมีผู้ให้อย่างจริง ศรัทธาเลื่อมใส ที่จะส่งเสริมสนับสนุน ร่วมไม้ร่วมมืออุดหนุน เราจะเป็นผู้ให้ และเราจะเป็นผู้ที่หนีสะสม ไม่ใช่แต่เพียงกล้าจน แต่จะหนีสะสม เพราะเราจะไม่จน

ถ้าเราไม่ละไม่เลิก ไม่ลดกิเลสลงไป เราจะกลายเป็นคนที่จะต้องสะสม จะกลายเป็นคนที่มั่งมี จะกลายเป็นคนที่ร่ำรวย เหมือนอย่างผู้ที่ได้อยู่ฐานะ ที่ได้รับการเคารพนับถือ ยกย่อง และเขาก็จะเป็นผู้มีลาภมาก และเขาก็จะสะสมลาภนั้น อย่างแก้ตัวอยู่ในตัว เขาจะไม่หนีสะสมอย่างแท้จริง เป็นสภาพที่จะต้องกล้าจนจริงๆ สอดซ้อนลงไป หนีการสะสมให้ได้ อย่างละเอียดลออ เพราะการแก้ตัวของกิเลส จะมีอยู่เสมอว่า ไอ้นั่นก็จำเป็น ไอ้นี่ก็จำเป็น ไอ้นั่นก็ควรมีควรเป็น ก็เป็นของบริสุทธิ์ที่เราได้ อะไรเช่นนี้เป็นต้น

เป็นความละเอียดซับซ้อนสอดซ้อน อยู่ในตัวของมันเอง อีกหลายชั้น ตั้งแต่ขยัน กล้าจน ทนเสียดสี หนีสะสม สอดร้อยมาเรื่อยๆ เมื่อผู้ใดมีความขยัน มีปัญญา ก็จะรู้การสร้างสรร จะรู้การกระทำการงาน กระทำโดย ไม่ต้องการที่จะอยากเด่น อยากโด่งอยากดัง กระทำด้วยความรู้ ด้วยปัญญา จะเป็นผู้ที่นิยมการสร้างสรร จะเป็นผู้ที่ทำงานโดยไม่ต้องมีอะไรมาบังคับ และไม่จำเป็นจะต้องเป็นความอยาก เป็นคนมีจิตเปล่า ขยันก็เปล่าๆ นิยมสร้างสรรก็เปล่าๆ และแม้จะมีตัวซ้อนอยู่ในความกล้าจน ก็เปล่าๆ ง่ายๆ จะมีคนเสียดสีด้วยสภาพใดๆ จะทั้งขึ้นทั้งล่อง ทั้งลบทั้งบวก ก็จะเป็นคนมีจิตเปล่าๆ ดั่งนี้เป็นต้น

สภาพสมบูรณ์ของทั้งหมด ตั้งแต่เลิกละ ลดละ ขยัน กล้าจน ทนเสียดสี หนีสะสม นิยมสร้างสรร ตลอดมา สมบูรณ์เมื่อใด ก็เป็นสวรรค์ขึ้นไปยิ่งเท่านั้น สมบูรณ์อย่างที่สุด ก็เป็นนิพพานอย่างแท้จริงนั่นเอง

๙ กรกฎาคม ๒๕๒๗


 

 

มีสติสังวรตน

ผู้ปฏิบัติธรรม ที่จะเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมนั้น ย่อมรู้ดีว่า หลักปฏิบัติ อันคือสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗, มรรคองค์ ๘ เป็นหลักสำคัญที่สุด โดยนัยะละเอียดก็คือ เราจะต้องมีสติ สังวรตนอยู่ตลอดเวลา ตามกรรมฐานของเรา และจะต้องระวังกายวาจาใจ วิจัยธรรม ในส่วนเป็นมิจฉาให้เป็นสัมมา แล้วเราก็ตั้งใจปฏิบัติ มีการละลด ปลดปล่อย กระทำอย่างจริงจังจริงใจ ให้มากขณะที่สุด ไม่ว่าจะเป็นส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียด ตามฐานะของตนๆ ตามศีล ในขอบเขตความหมายของตนๆ ที่เราได้สมาทานแล้ว และ ตรวจตราสอบทาน การปฏิบัติของตนด้วยเตวิชโช เสมอๆ

ผู้เอาจริง มีอิทธิบาท มีฉันทะ มีความเพียรพยายาม อย่าให้ขณะร่วงหล่น ต้องพยายาม ให้มีความประพฤติ มีสติสังวร กระทำให้ได้มากขณะที่สุด เท่าที่เราสามารถตั้งใจได้ ไม่ถึงกับเคร่งเครียด แต่เป็นผู้เคร่งครัด

ผู้กระทำอยู่จริง เอาจริงเท่านั้น จึงจะเป็น ผู้ได้ผล

๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗


 

 

ชีวิตที่มีค่า

ชีวิตมนุษย์ล่วงไปๆ ตามวันเวลา ผู้ที่ได้มีปัญญา เข้าใจลึกซึ้งต่อสัจธรรม เห็นความจริงว่า ผู้ที่มีชีวิตอยู่ เพื่อดำเนินบทบาทของชีวิตไป ด้วยการแสวงหาลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข ให้แก่ตน แต่ละขณะ แต่ละนาที แต่ละชั่วโมง วันแล้ววันเล่า กับผู้ที่ได้ใช้ชีวิต แสวงหาโมกขธรรม พยายามมีอุตสาหะวิริยะ ดำเนินตามรอย พระยุคลบาท มีมรรคองค์ ๘ เป็นทางประพฤติ แสวงหาต่างกัน เป็นผู้มีชีวิตอยู่ เพื่อจะละลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยความอุตสาหะ ที่จะอดทนพากเพียร กระทำด้วยใจจริง ปัญญาอันลึกซึ้ง ปัญญาอันยิ่ง ย่อมจะเห็นจริงขึ้นทุกเมื่อ ว่าชีวิตที่ปราศจากลาภก็ดี ปราศจากยศก็ดี ปราศจากเสียงสรรเสริญเยินยอก็ดี ปราศจากโลกียสุขก็ดีนั้น มิใช่ชีวิตที่อับเฉา มิใช่ชีวิตที่จะเป็นไปไม่ได้ แต่หากกลับเป็นชีวิตที่เบาง่ายว่างสบาย และเพียงแต่ว่า เราจะเป็นผู้ที่ได้สร้างสรร ได้กอปรก่อประโยชน์คุณค่า ในแต่ละขณะ แต่ละนาที แต่ละชั่วโมง แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีไป ผ่านไปกับกาลเวลานั้นๆ ได้มากเท่าใดๆ เท่านั้น เมื่อมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ชีวิตของมนุษย์ผู้ใฝ่หาโมกขธรรม และพากเพียรประพฤติ เพื่อสร้างความมีคุณค่าประโยชน์ และโมกขธรรมให้แก่ตนอยู่นั้น ย่อมจะเป็นผู้มีชีวิตที่มีค่าแน่นอน และเดินทางไปสู่โมกขธรรม สมควรแก่ธรรมของผู้นั้นๆ ได้อย่างแท้จริง

๒๐ กรกฏาคม ๒๕๒๗


 

 

ความสงบ ประณีต

การปฏิบัติธรรมด้วยหลักโพธิปักขิยธรรม มีสติปัฏฐานเป็นเอก มีโพชฌงค์ ๗ เป็นตัวหลัก และมีมรรคองค์ ๘ เป็นตัวกระทำประจำ หลักใหญ่ๆ ที่เราได้ศึกษา ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี้ ผู้ที่ปฏิบัติได้จริงเป็นจริง จะเกิดพัฒนาการให้แก่ตนเอง โดยผู้ปฏิบัติธรรมนั้น จะเป็นคนมีสติเร็วยิ่งขึ้น ไว รอบชัด และรู้ยิ่งๆขึ้น มีปัญญายิ่งๆขึ้น จะเป็นปัญญาที่รู้ในกุศลทั้งหลายแหล่ โดยเฉพาะกุศลที่สำคัญ คือ ความสงบประณีต ความละเอียดลออ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะรู้เอง ซาบซึ้งเอง เราจะรู้จักความสงบจากกิเลส ที่ชัดเจน เราจะรู้ความประณีตสุขุม จะรู้จักความละเอียดลออ ของตั้งแต่สิ่งนอกที่ควรจะรู้ จนกระทั่งถึงพฤติกรรมของตน ที่ละเอียดหรือหยาบ ตั้งแต่พฤติกรรมกายวาจา จนถึงพฤติกรรมของจิต เราจะรู้ได้อย่างจริงจังชัดเจนเอง และจะซาบซึ้งเอง เพราะฉะนั้น

ผู้ที่เป็นพระโยคาวจรที่มีปัญญา ก็จะฝึกตนกับความประพฤติสุขุม ความละเอียดลออเหล่านั้น จะเป็นคนมีความสุขุมประณีต จะเป็นคนมีพฤติกรรมที่มีสุขุม ประณีตละเอียดงดงาม เราจะรู้ว่าความละเอียด สุขุมประณีตนั้น ควรทำอย่างไรบ้าง ควรจะได้จัดการกับการกระทำของเราที่เป็นกรรม ประกอบอยู่ตลอดเวลา ประจำชีวิต ไม่ว่ากายกรรมวจีกรรม ซึ่งมาแต่มโนกรรม เป็นผู้ซาบซึ้ง เป็นผู้จัดแจงดัดแปลงปรับปรุง กระทำตนของตน ให้เป็นคนที่มีอิริยาบถ มีพฤติกรรม มีการกระทำตอบ ต่อสิ่งภายนอกและภายในของตน ลักษณะรวมแล้ว ดั่งนี้ เราเรียกว่า ความสงบประณีต สันตา ปณีตา เพราะฉะนั้น ผู้ที่ปฏิบัติจริง มีการเจริญขึ้น ในทางธรรมจริง ก็จะเป็นคนที่สุภาพสงบอย่างแท้จริง เป็นคนมัธยัสถ์ด้วย เป็นคนเบิกบานแจ่มใสผ่องใสด้วย ตามจุดหมายปลายทาง ที่เราได้ประพฤติปฏิบัติ ว่าเราจะเป็นผู้ที่ได้รับสภาพ เบิกบาน แจ่มใส มัธยัสถ์ สงบ สุภาพ และ กิเลสก็จะสิ้นไปตามลำดับ หมดความอยาก สิ้นความเสพย์ ไปอย่างแท้จริง

๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗


 

 

กิเลสโคตร

ผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อศึกษาด้วยปัญญา สังเกตหลักการ จากศีลข้อต้นๆง่ายๆ เราจะเห็นได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนให้เราละ มีระดับขั้นที่ชัดเด่น เช่น ให้ละโทสะ ละโลภะ ละราคะ เห็นได้จากศีลข้อหนึ่ง ละโทสโคตร ไปตลอดสาย ศีลข้อสอง ละโลภโคตรไปตลอดสาย ละศีลข้อสาม ละราคโคตร เช่นนี้เป็นต้น

เมื่อผู้รู้แล้วรู้ว่า เรามาปฏิบัติธรรมนั้น เพื่อที่จะถอนโคตรถอนเหง้าโทสโคตรนั้น ไม่มีข้อแม้ เมื่อรู้อารมณ์ ตั้งแต่หยาบกลางละเอียด แม้แต่เหตุเกิดเพียงความขัดข้องใจ ความไม่สบายใจ ความอึดอัดขัดเคือง เล็กๆน้อยๆ ปานใด ก็ไม่มีข้อแม้ เราสลัดออก หรือปรับจิตไม่ให้มีได้ทันที เพราะอาการเช่นนั้นในโทสโคตรทั้งสาย ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแก่ตนๆ หรือแก่ผู้อื่น ส่วนทางสายโลภโคตรก็เช่นเดียวกัน ราคโคตรก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรารู้ในหยาบกลาง เราก็ทำได้ทันที ส่วนละเอียดที่เป็นความมุ่งหมาย เป็นเจตนารมณ์ เป็นความปรารถนาดี ปรารถนาเพื่อกุศล ปรารถนาเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่นนั้น จะเรียกว่าสายปรารถนา สายโลภะหรือราคะ หรือว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่ โลภะคือโลภ แต่ถ้าเผื่อว่าเป็นกิเลสจริง ก็คือโลภมาให้แก่ตน ตนเสพย์ ตนได้ ตนมี ตนเป็น

ราคะ ก็คือ จิตที่ยังมีสภาพที่ยังไม่ล้างสนิท ยังไม่ปลดปลง ยังมีอาการเป็นเมถุน เป็นความปรุงอยู่ แต่เราก็จะต้องมีสภาพที่รู้ถึง ที่ลึกซึ้งว่า เราจะปรุงเพื่อสร้างสรร ปรุงเพื่อผู้อื่น ปรุงเพื่อความเจริญงอกงาม ย่อมเป็นคุณค่าอยู่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ฝึกละฝึกวาง ฝึกหยุดฝึกดับ

ผู้ที่ทำได้อย่างสนิท เรียนรู้ทั้งสภาพที่ควรปล่อยควรวางอย่างยิ่ง และสิ่งที่อาศัยดังกล่าวแล้ว ในขั้นละเอียด ผู้นั้นก็จะรู้จักสภาพล้างสะอาด และเหลือที่อาศัย พอเป็นคุณค่าประโยชน์แห่งชีวิตและในโลก ผู้นั้นจึงจะเป็นผู้มีคุณค่าทั้งสิ้น

โมหะ คือ ความหลงผิด ที่ไม่ถูกตรงตามจริง อะไรที่หลงผิด สลับสับเปลี่ยนไป ไม่แน่จริง ไม่ถูกจริง ไม่สมบูรณ์ด้วยสัจจะ สิ่งนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า โมหะทั้งสิ้น การศึกษาของผู้ปฏิบัติธรรม ย่นย่อลงเหลือ การล้างโคตรของกิเลส ด้วยประการฉะนี้

ผู้มีสติอยู่ ฝึกตนอยู่ รู้ฐานะของตน ทำไปเป็นขั้นเป็นตอน ตามหยาบกลางละเอียด สมฐานะ และเลื่อนอธิศีล ให้แก่ตนๆ ตามทฤษฎีอันเอก คือ มรรคองค์ ๘ ย่อมรู้ความเจริญของตนๆ และจะพาสมบูรณ์ได้ด้วย อุตสาหะวิริยะพากเพียร สั่งสมบุญบารมีของตนไป จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งที่สุดได้

๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๗


 

 

จุดสูงสุด

ชีวิตของใคร ก็เป็นของของใคร ผู้ใดที่จะสร้างชีวิต จะทำชีวิตของตนๆ ให้เป็นเช่นใด ผู้นั้นก็ย่อมจะต้อง ใช้ความพยายาม กระทำให้แก่ตนเอง เราได้ศึกษาชีวิต ได้ศึกษาทั้งดูผู้อื่นและดูตัวเรา เราได้เข้าใจชีวิต ว่าชีวิตควรจะเป็นเช่นใด และเราก็เลือกความมีชีวิตให้แก่ตนๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้รับซับซาบ รู้ชีวิต เช่นกับเรารู้ว่า ชีวิตที่เกิดมานั้น มีทิศทางไปอย่างไร และที่สุดท่านก็ตรัสรู้ ว่าชีวิตควรจะดีที่สุดอย่างไร และท่านก็เลือกทางเดินของชีวิตให้แก่ตนเอง พบจุดสูงสุด และนำความสูงสุดนั้น มาตีแผ่เปิดเผยให้แก่มนุษยโลก ได้รู้ได้เห็นความจริงว่า ชีวิตควรจะเป็นเช่นใด ควรจะไปทางใด แล้วก็สอนวิธีให้เดินไปทางนั้น

เราผู้เป็นศิษย์ตถาคต เป็นศิษย์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำนึกและสำเหนียกให้ดีที่สุดว่า การมีชีวิต ที่จะเดินทางไปในทางที่ พระบรมศาสดาของเรา ได้พารู้ พากระทำ พาฝึกฝน เพื่อที่จะไปสู่ที่สูงสุดนั้น ดีจริงหรือ และเราได้พากเพียร เพื่อที่จะไปสู่ทิศทางที่ดีที่สุดนั้น เท่าใดๆ ความมั่นใจ ความแน่ใจ กับความพากเพียร จะเป็นสิ่งที่นำพาตัวเรา ไปสู่ทิศทางที่สูงสุด เท่าที่เรามุ่งหมายได้อย่างเร็ว และดีที่สุดด้วย

๖ สิงหาคม ๒๕๒๗


 

 

การตัดกิเลส

ผู้ที่มีจิตใจมั่นคง และมีปัญญาเห็นแท้ ในทิศทางที่จะเดินทางไปสู่ความประเสริฐ รู้ว่าความประเสริฐของชีวิตนั้น คือการตัดกิเลส การปฏิบัติตน คือการละล้างสิ่งที่เป็นอวิชชาทั้งหลาย มั่นใจเห็นจริง มีปัญญาเข้าใจชัด ไม่โลเลสงสัย แม้ผู้นั้นจะมั่นใจเห็นจริง และไม่สงสัยถึงปานใดก็ตาม แต่ถ้าไม่พากเพียร เดินโพชฌงค์ ๗ จึงจะต้องพยายามรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติให้มากอยู่กับตนเสมอๆ และรู้ต่อสัมผัส สังวรในอินทรีย์ทั้ง ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้จักกรรมกิริยาของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของตนๆ แล้วก็วิจัยธรรม

รูปที่พบก็ดี สัมผัสแล้วเกิดอาการที่จิต เสียงได้ยินก็ดี สัมผัสแล้วเกิดอาการที่จิต กายกรรมที่เราจะทำก็ตาม วจีกรรมที่เราจะพูดออกไปก็ตาม เราก็จะสังวรระวังต่อสภาพที่เกิด เพราะมาแต่จิต จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง แม้ประตูออกประตูเข้า ดังกล่าวนี้ จะเข้าไปในทวารใน จากตาหูจมูกลิ้นกาย จะออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม ออกมาจากจิตวิญญาณประตูในของเรา ถ้าเราได้มีธัมมวิจัยต่อกรรมกิริยา มีธัมมวิจัยต่อสิ่งที่สัมผัส แล้วก็ไปเกิดผลที่จิต เลือกเฟ้นกุศลธรรม ปฏิบัติต่อตน ละลดกิเลสที่เกิดจากกุศลอกุศล ที่เราวิจัยได้นั้น มีกรรมวิธีของตนๆ ที่จะลดละจางคลาย ไม่ให้เกิดอกุศล ไม่ให้เกิดทุจริต ตลอดเวลาๆ อยู่เมื่อไร ผู้นั้นจึงจะไปสู่ความประเสริฐ ดังที่เรามั่นใจ ดังที่เรามีปัญญาแจ้งชัดแล้วได้

หากไม่พยายามอุตสาหะวิริยะ ดังกล่าวนี้ จะมีความมั่นใจ มีปัญญา ไม่โลเลสงสัยอย่างชัดแจ้ง ปานใดก็ตาม ก็ได้แต่หวังเปล่าๆ อยู่เท่านั้น

๑๑ สิงหาคม ๒๕๒๗


 

 

อริยะ-โลกียะ

ปุถุชนคนโลกีย์ เขาตื่นอยู่ เขาไม่ค่อยหลับ และพยายามกระปรี้กระเปร่า ขยันสร้างสรรอยู่ ก็เพื่อเขาจะได้ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นธรรมดาของปุถุชนคนโลกีย์ เขาย่อมตื่นอยู่ได้ มีอุตสาหะวิริยะพากเพียร เป็นผู้ตื่นอยู่ แววไว เช่นเดียวกัน

ผู้ที่เป็นอริยะ เป็นผู้ที่ตื่นอยู่ มีความกระปรี้กระเปร่า มีความขยันสร้างสรร แต่ไม่ใช่เพื่อโลกียะ ไม่ใช่เพื่อลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข ทว่า เป็นผู้ที่ตื่นอยู่ เพื่อความสดชื่น เป็นผู้กระปรี้กระเปร่า ขยัน สร้างสรร เพื่อประโยชน์แห่งประโยชน์ ในโลก

ถ้าโลกนี้ ไม่มีคนเช่นอริยะ ก็คงมีแต่สิ่งที่เรียกว่าโลกียะ ที่ทำเพื่อแลกเพื่อเปลี่ยน เป็นอามิสตลอดโลก และเขาก็แย่งชิงโลก ฆ่าแกงกัน สร้างทุกข์ไปตลอดนานัป ผู้เป็นอริยะ และรู้แจ้งเห็นจริงเช่นที่กล่าวนี้ จึงเป็นผู้ที่ได้พิสูจน์ความจริง แม้จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดเช่นนี้ และกระทำการดั่งนี้ คนกลุ่มนั้น ก็จะเห็นความจริงของโลกอีกโลกหนึ่ง ที่นอกจากจะเป็นผู้ที่ตื่น เพื่อความสดชื่นเบิกบานของตน สร้างสรร ขยันเพียร กระปรี้กระเปร่า เพื่อคุณเพื่อประโยชน์แห่งประโยชน์แล้ว หมู่คนกลุ่มนั้น จะได้พบความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีมนุษยสัมพันธ์ มีความเป็นภราดรภาพ มีความสันติ ที่ไม่มีการแย่งชิงข่มเบ่ง ทะเลาะเบาะแว้งแตกร้าวกัน จะเป็นกลุ่มชนที่มีความเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความรัก อันไม่ใช่ความรักอย่างโลกๆ

สิ่งเหล่านี้ ปราชญ์เอก คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ค้นพบความจริง ทั้งวิธีการให้คนพิสูจน์ ถ้าเชื่อว่าศาสนานี้จริง พระพุทธเจ้าพบความจริง ขอให้เราได้พากันมาพิสูจน์ สิ่งที่พระพุทธเจ้ค้นพบกันนี้เถิด

๑๙ สิงหาคม ๒๕๒๗


 

 

สัปปุริสธรรม ๗

การปฏิบัติธรรม ที่จะจัดสัมมา จัดให้มัชฌิมาได้ดี และได้สมบูรณ์ที่สุด ต้องใช้ทฤษฎี หรือใช้สูตรสัปปุริสธรรม ๗ ประการ ทุกคน ไม่ว่าขั้นต้น ขั้นกลาง หรือขั้นปลาย จะต้องเข้าใจในสัปปุริสธรรม ๗ ประการ เพื่อการปฏิบัติธรรมประกอบ เมื่อเราปฏิบัติโดยหลักมรรคองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ ปฏิบัติโดยมีกรรมกิริยา ปฏิบัติโดยมีการสัมผัสแตะต้อง ทำงาน รับรู้ จึงจะต้องมีการประมาณเสมอๆ จริงๆ เพราะฉะนั้น ทุกคนจะต้องศึกษาสัปปุริสธรรม ๗ ประการ รู้ความหมาย และพึงปฏิบัติตาม พิจารณาประกอบเสมอ มีธัมมวิจัยประกอบเสมอ แล้วใช้ให้ได้สัดได้ส่วน ทั้งในการเป็นประโยชน์ตน ที่ละลดกิเลส และควบคุมพฤติกรรมอันพอดี ทั้งกายวาจาใจ ที่จะสัมพันธ์ต่อสังคม สัมพันธ์กับผู้อื่นเสมอๆ เราจึงจะได้ทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน อันมีการพัฒนาอยู่เรื่อยไป เป็นผู้ประเสริฐและเป็นผู้เจริญ ได้สัมมา ได้มัชฌิมา ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้ง ไม่ใช่เป็นเรื่องตื้นเขิน

ถ้าผู้ใด ไม่ใช้หลักใช้สูตรดังกล่าวนี้ จะช้า ปฏิบัติธรรมสู่หลักสัมมา หรือหลักมัชฌิมาของพระพุทธเจ้า ไม่สำเร็จเลย ตลอดชีวิต

๓ กันยายน ๒๕๒๗


 

 

ไร้กังวล

บุคคลผู้สบาย คือผู้มีจิตแจ่มใส ไร้กังวล อดทน ขวนขวาย และมีการศึกษา โดยเฉพาะมีศีลศึกษา จิตศึกษา ปัญญาศึกษา เป็นผู้ที่ขวนขวาย อดทน และรู้จักสภาพที่ตนเองเป็นอยู่ อย่างไร้กังวล ทำใจให้แจ่มใสเบิกบานร่าเริง อยู่ได้สม่ำเสมอ เมื่อมีการศึกษาด้วยศีล อธิศีล ปรับปรุงตน ผู้นั้นย่อมเจริญด้วยการศึกษา ที่นำพาไปสู่ความประเสริฐ อันเป็นทฤษฎีอันเอก ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ โดยแน่แท้

๑๐ กันยายน ๒๕๒๗


 

 

ผู้ทวนกระแส

มนุษย์ปุถุชน ที่เป็นผู้หวังโลกียสุข และเป็นผู้ที่ยังมีความปรารถนาโลภ และยังเป็นผู้ที่เห็นความโกรธ เป็นรสที่ตนเองจะต้องเป็นต้องมี ไม่ได้รู้สึกว่า การมีอาการโลภ มีอาการโกรธนั้น เป็นบาปเป็นทุกข์ นอกจาก ผู้ที่ได้มาศึกษาอย่างมีธรรมจักษุ และมีปัญญาเข้าใจอย่างชัดแจ้งเห็นจริง มีหิริโอตตัปปะ เกิดในใจอย่างแท้จริง จึงจะเป็นผู้ที่ทวนกระแส กลับเข้าสู่ความละลดปลดปล่อย เห็นอาการโลภ อาการโกรธ เป็นพิษเป็นภัยต่อ ชีวิตอันประเสริฐ และจะเป็นผู้ที่ตั้งใจลดละอาการโลภ อาการโกรธ อาการหลง ที่มีอยู่ในตนๆ อย่างแท้จริง

ขนาดที่ผู้มาศึกษาประพฤติได้รู้ รู้ยิ่งเห็นจริงว่า อาการโลภ อาการโกรธ อาการหลงทั้งหลายนั้น เป็นอาการ ที่น่ารังเกียจ เป็นอาการที่เราอยากจะให้หมดไปจากตัวเรา ในบัดนั้นๆ และเราก็ได้พยายามเพียรทำ เพียรขจัด ด้วยสามารถอยู่เสมอๆ ปานใดๆ มันก็มิใช่ง่ายเลย ที่อาการโลภ อาการโกรธ อาการหลง จะหลุดจะหายออกไปได้ โดยง่ายดาย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่รู้เลยว่า อาการโลภ อาการโกรธ อาการหลงนั้น เป็นสิ่งที่น่าขจัด จึงก็อย่าหวังเลยว่า เขาจะได้พ้นอาการเหล่านั้นได้ ด้วยประการใดๆ ในโลก

๒๔ กันยายน ๒๕๒๗


สมณะโพธิรักษ์

คาถาธรรม ๗ / คาถาธรรม ๘ / คาถาธรรม ๙