เม็ดทราย ๑๐
เพลงอริยะ หมายเลข ๙
เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ ปรากฏตนขึ้น
ปฏิกิริยาแตกตื่นและสั่นสะเทือนหวั่นไหว
อันประดุจดังแผ่นดินไหว
ย่อมเกิดขึ้นในโลกแห่งพุทธศาสนิกชน
เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ ได้ประกาศก้ององอาจกล้าขึ้น
ปฏิกิริยาแตกตื่นและสั่นสะเทือนหวั่นไหว
อันประดุจดังแผ่นดินไหว
ย่อมเกิดขึ้นในโลกแห่งพุทธศาสนิกชน

เมื่อใด "พุทธ" แสดงปาฏิหาริย์แท้ๆ ขึ้น
ปฏิกิริยาแตกตื่นและสั่นสะเทือนหวั่นไหว
อันประดุจดังแผ่นดินไหว
ย่อมเกิดขึ้นในโลกแห่งพุทธศาสนิกชน
เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ กระทบจิต
แล้วจับจิตจับใจมนุษย์เทวดานั้นๆ
อาการ "ตรึง" ชะงักงัน..."ซ่าซ่าน" ซาบซึ้ง
ย่อมเกิดขึ้นในผู้นั้น ๆ

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ กระทบจิต
แล้วบาดจิตบาดใจอมนุษย์มารยักษ์
อาการ "ฉงน" ร้อนเร่า..."ตื่น" ดาลเดือดทุรนทุราย
ย่อมเกิดขึ้นในผู้นั้นๆ
เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ กระทบจิต
แล้วผ่าแตกแบ่ง "ขาวกับดำ" ออกจากกันได้
ไปจนกระทั่ง แม้แต่แยก "สะอาดกับธุลีด่างที่ซ่อนแฝง" ออกจากกันได้
ย่อมเกิดสุขสันติขึ้นในผู้นั้นๆ และในโลกแล้ว

เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ กระทบจิต
แล้วแตกแยก "ธรรมกับอธรรม" ออกชัดแท้
"ความแตกแยก" อันถึงสัจธรรมสุดท้าย
ย่อมเกิดจริงเป็นจริง
เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ กำลังทำการผ่าตัดผ่าแตกผ่าแยกอยู่
ปฏิกิริยาแตกตื่นและสั่นสะเทือนหวั่นไหว
อันประดุจดังแผ่นดินไหว
ย่อมเกิดขึ้นในโลกแห่งพุทธศาสนิกชน

เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ เกิดได้เต็มตัว
และเป็นได้เต็มรูปแข็งแรง
อาการ "โตเร็ว" อย่างน่าฉงน..."เปล่งปลั่ง" แตกเนื้อแยกนวล
ย่อมเกิดขึ้นในโลกแห่งมนุษย์เทวดา ทั่วจักรวาล
เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ เกิดแล้วสมบูรณ์
ปฏิกิริยาเบิกบานแจ่มใส-รู้-ตื่น
อันประดุจดังแผ่นดินสงบ สันติ ร่าเริง
ย่อมเกิดขึ้นในโลกแห่งมนุษยชาติ

เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ แผ่บุญฤทธิ์อยู่ในชนกลุ่มใดๆ
ความ "แตก" ต่าง จะ "แยก" ให้เห็นได้
ว่า "แตกแยก" จากชนกลุ่มที่มีแต่บาปนั้นๆ
ย่อมเกิด "ความแตกแยก" อันประเสริฐขึ้นแล้วหนอ !

เมื่อใด "ศาสนิกชน"ใด รู้ยิ่งใน "เกิด" ไม่หลงใหลกับความ "เกิด"
และรู้ยิ่งใน "ตาย" ดับสนิท
ทั้งทำ "ตาย" ดับสนิทเองได้ในตนจริง
ย่อมรู้เห็นจะแจ้งในความ "แตก" ต่าง "แยก" ได้ชัดเชิง

และอีกทั้งยังสามารถจับความ "เกิด" และความ"ตาย"
ที่เป็น "ความแตกแยก" กันแล้วจริงนั้น
มาใช้ร่วมกัน มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
อย่างราบรื่น เรียบร้อย สันติ โคจรอยู่ในมหาจักรวาลเดียวกัน
หรือต่างคนต่างเกิดต่างตาย ต่างคนต่างอยู่ อย่างรู้เกิดรู้ตาย
หยุดถือสากันสนิท ! ปล่อยวางสะเด็ด !
แต่ก็ยังเห็นแจ้ง "ความแตกแยก" นั้น ซึ่งก็ยังมีอยู่แน่นอน
ด้วยน้ำใจที่เกื้อกูลเข้าใจกันจริงๆ เป็นปกติ

เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ ใด เป็น "พุทธ"แน่แล้วจริง
เมื่อนั้นก็จะเห็นแจ้ง "ความแตกแยก" ทั้งที่เป็นความแตกแยก ทั้งที่เป็นเอกภาพ
โอ! "ความแตกแยก" อันแสนประเสริฐ เป็นสุทธิสัจจะ
ได้เกิดขึ้นแล้วและดำเนินไปอยู่ด้วยประการฉะนี้

สัมมาสัมพุทธสาวก
๑๔ พ.ย. ๒๕๒๒


 

องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร
องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย

พร้อมเบญจพิธจัก ษุจรัสวิมลใส
เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง
กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง
สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ
ข้าขอประณตน้อม ศิรเกล้าบังคมคุณ
สัมพุทธการุญ- ญภาพนั้นนิรันดร.


 

สักวาว่าสงฆ์มีหลงคอก
ประพฤตินอกพระวินัยน่าใจหาย
พระบาลีมีอยู่กลับดูดาย
วาดลวดลายเลื้อยไปตามใจตัว

โอ้หนอสงฆ์ทรงศีลมีกลิ่นบาป
ใจมันบาปเยี่ยงเปรตน่าเฉดหัว
สีผ้าเหลืองเรืองรองจึงหมองมัว
เพราะพวกมั่วมาตุคามหมดงามเอยฯ

น้องใหม่ เมืองเก่า



เมื่อผู้นำทางศาสนาทั้งหลาย
มหาสังฆนายก พระผู้ทรงฐานันดรศักดิ์
คณะกรรมการวัด และทายกสภา
ผู้ห่วงใยแต่ผลประโยชน์ของวัด
พยายามยัดเยียดความกดดันทางศีลธรรม ให้ประชาชน
ชื่นชมกับการยอมรับเอาอย่างงมงาย ของประชาชน
ในนามของศาสนา และศานติธรรม
นั่นไม่ถูกเรียกว่าความรุนแรง

แต่เป็นเพียงภารกิจทางศาสนา
พวกเขาพร่ำบ่นเรื่อยไป ไม่รู้จบสิ้น
ด้วยวลีที่ว่างเปล่า ด้วยภาษาที่ล้าสมัย
ตามหลักเกณฑ์ซึ่งคลุมเครือ
อย่างเป็นทาสต่อประเพณี
และพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ อันไร้ประโยชน์
เรี่ยไรเงินไม่หยุดหย่อน จากประชาชน
เพื่อก่อสร้างอาคารและศักดิ์ศรีของตนไว้
แต่ผู้นำทางศาสนาเหล่านี้ กลับหุบปากเงียบและวางเฉย
ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ของประชาชนอย่างแท้จริง

โยฮัน เทวนันทะ



"กิน นอน ถ่าย สืบพันธุ์"... เท่านั้นหรือ ?
ที่คนถือยึดเห็นเป็นข้อใหญ่
ลดตัวเป็นสัตว์ต่ำอยู่ร่ำไป
ความดีไยไม่สร้างกลับห่างเมิน
สร้างความดีศรีสวัสดิ์พิพัฒน์ผล
เป็นมงคลมิ่งขวัญน่าสรรเสริญ
สร้างความชั่วกลั้วกายไม่ประเมิน
เหมือนยิ่งเดินห่างนามความเป็นคน

ศิลป์อักษร



การศึกษาคืออะไรแน่ ?
และท่านเข้าใจความนั้นเป็นไฉน ?
ถ้าท่านตรองดูให้ดี ความจะปรากฏชัดขึ้นทุกทีว่า
การศึกษานั้นเป็นสิ่งอันหนึ่ง ซึ่งยิ่งกว่าการให้ความรู้
ยิ่งกว่าการเตรียมเด็ก สำหรับครองชีวิต
ยิ่งกว่าการเพาะพลเมืองดี
ยิ่งกว่าการเพาะความรู้

การศึกษาควรจะเพ่งเล็ง ที่จะทำให้บังเกิดภูมิธรรมขึ้น
ในหมู่ชนอันเป็นพลเมืองของชาติ
คำว่า ภูมิธรรม ข้าพเจ้าหมายความถึงสุขภาพ
ซึ่งเกิดจากความเข้าใจ ในอรรถแห่งเมตตา
แห่งการช่วยเหลือผู้อื่น ในทางชอบ
แห่งความเห็นใจและรู้ใจผู้อื่น ในทางที่ชอบ
แห่งปฏิสันถารธรรม แห่งคารวธรรม แห่งขันติ
แล้วและปฏิบัติคุณธรรม ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นนิตยนิรันดร

พระยาอินทรมนตรี



เมื่อนกเริงไพรได้อย่างไร้ขอบข่าย
เมื่อไม้เล่นลมอย่างไม่อนาทรกับโลก
เมื่อโลกไม่สร้างบทเพลงขึ้นมาอีก
ในช่วงแห่งเวลาใดเวลาหนึ่ง
เมื่อนั้นแหละ คือ "ความอิสระ" แท้จริง

ก็ใครเล่าผูกท่านไว้กับสิ่งใดใดในโลก
นอกจากท่านเองผูกตัวเองไว้
กับสิ่งที่ตัวเองยังหลงยินดี
ทิ้งความยินดีนั้นเสียสิ !
ท่านจะเป็นแมกไม้ที่ไม่กังวลโลก
ท่านจะเป็นนกน้อยปีกแข็ง
ที่จะโผบินไปไหนก็ได้ในโลกกว้าง

อโศก


 

เมื่อการงานประสบความยากลำบาก
คนบางคนก็ท้อแท้ คอตก
งงงัน ไม่รู้จะจัดการอย่างไร
หรือกระทั่งตำหนิโทษผู้อื่นว่า
ไม่ควรมอบหมายให้ตนทำชิ้นนี้
สูญเสียความมั่นใจในการทำงานอย่างสิ้นเชิง

ส่วนคนบางคน เมื่อประสบความยากลำบาก
ก็ยิ่งเพิ่มกำลังใจต่อสู้ยิ่งขึ้น
ถือว่านี่เป็นโอกาสที่ทดสอบตนได้มาถึงแล้ว
ดูซิว่า ตนเองจะมีความสามารถ พิชิตความยากลำบากได้หรือไม่
เมื่อผ่านการไตร่ตรองค้นคิดอย่างหนัก ก็พบวิธีแก้ไข
และเอาชนะ ความยากลำบากได้ในที่สุด
จิตใจและความมั่นใจ ในการทำงานของเขา ก็ทวีสูงขึ้น
สติปัญญาความสามารถของเขา ก็สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นกันอยู่เสมอ

พิราบ


 

ป ร ะ โ ย ช น์ ต น
ผลไม้ย่อมมีเปลือกติดกับเนื้อ
ธรรมะก็ย่อมมีประโยชน์ท่าน ติดอยู่กับประโยชน์ตน
สำหรับผู้ยังไม่บรรลุ
ประโยชน์ท่านคือตัวพา
ประโยชน์ตนคือตัวเกาะ
การงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับชีวิตที่ใฝ่พุทธะ
เพราะการงานทำให้เราได้สำรอก กิเลสตัณหา
มีแต่การงานเท่านั้น ที่จะทำให้เห็นจิตตน
ต้นไม้มันไม่เคยปฏิเสธแสงแดด
ขณะทำงาน ย่อมไม่ปฏิเสธที่จะมองใจตน

ทุกครั้งที่กระทบ
ทุกครั้งที่ผัสสะ
หยิบจิตขึ้นดู
หยิบใจขึ้นมาชำแหละ
ดูความหลงใหญ่แห่งอัตตาตัวเอง
ที่เบ่งพองดังท้องหญิงมีครรภ์
ดูความเอาแต่ใจตัวดุจทารกน้อยๆ
ดูความยึดมั่นถือมั่น ดุจเขี้ยวสุนัขร้ายยามกัดศัตรู
ดูความ "ไม่ยอม"ที่ตะโกนร่ำร้อง
ดุจสตรีจัดจ้านร้องด่ากลางตลาด อยู่ในหัวใจ

อย่ามัวแต่เลี้ยงให้คนอื่นโต
จนลืมเลี้ยงตัวเอง
เพราะหากเป็นเช่นนั้น
สักวันเราก็จะตายอย่างไร้ค่า
เราจะไม่เป็นเพียงสารถีผู้ขับส่ง
แต่เราจะเป็นผู้โดยสารกับเขาด้วย

อย่ามัวแต่ซ่อกๆ ทำงานสักแต่ว่าทำ
แต่ควรอ่านใจที่ผุดเกิด
จับลีลาแห่งโลภะที่หื่นกระหาย
จับลีลาแห่งโทสะที่กระหึ่มคำราม
หากเราสร้างสรรได้แต่เปลือก
จนล้มเนื้อแท้ที่ควรทำ
มันก็เปล่าดายอย่างน่าสงสาร

อย่ามัวแต่บ้างานอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
แต่จงขยันงานอย่างเข้าใจจิตตน
อย่าให้งานมาสิงเราจนตัวสั่น
อย่าให้งานมาบงการเรา จนเศร้าหมอง
งานก็คืองานที่ควรเป็นไป
แต่จะมาอยู่เหนืออารมณ์สงบ ของเราไม่ได้
เพราะการทำงานที่แท้
จนถึงกับเราจะละเลย ล้วงประโยชน์ตนออกมาใช้

งานก็คืองาน
เป็นเพียง ที่อาศัย เพาะเชื้อประโยชน์ตน
อันคือข้ามฝั่งแห่งวัฏสงสาร
งานก็คืองาน
มันก็แค่นั้น
แต่แก่นแท้ก็คือหลอกล่อตัวกิเลส ให้คำรามออกมา
อย่าเป็นเพียงคนใช้ ที่ได้แต่คอยรับใช้
อย่าเป็นเพียงรองเท้า ที่ให้อาศัยแก่เท้า
อย่าเป็นเพียงช้อนแกง ที่สักแต่ว่านอนอยู่ในแกง
อย่าเป็นเพียงถนน ให้คนอื่นเหยียบย่ำ เพื่อบรรลุเป้าหมาย

ทุกครั้งที่เราละเลย "ประโยชน์ตน"
ไม่มองตน อ่านกิเลสในจิต
วาสนาของเรา แทนที่จะเป็นนักปฏิบัติธรรม
จะเป็นได้ก็แค่ "คนใช้"
เรามาทำงานก็เพื่อรู้ตน
แต่อย่าให้งานทำเรา จนได้นรก !

กัมมันโต



พักเมื่อไหร่ ก็สบายเมื่อนั้น
ทำงานเมื่อไหร่ ก็สนุกเมื่อนั้น

จิ้งจก


 

อยากพ้นทุกข์ แต่หลบทุกข์ เมื่อทุกข์เกิด
ทั้งที่ทุกข์ ธรรมประเสริฐ เกิดให้เห็น
ธรรมเกิดแล้ว ยังน้อมไว้ ใช้ไม่เป็น
เอาแต่เร้น หลีกหลบ กลบเกลื่อนบัง

การกลบเกลื่อน มักมีแต่ แส่หาเหล้า
หรืออย่างดี ก็เข้า เฝ้าโรงหนัง
มีมากราย พึ่งพนัน ปันประทัง
มันยิ่งบัง ทางพ้นทุกข์ ขลุกขลิกไป

จะให้ถูก มันต้องถอย คอยตั้งหลัก
แล้วมาพัก ค้นคิด วินิจฉัย
ก็จะเห็น เหตุแห่งทุกข์ แจ้งในใจ
อุปาทาน นั่นไง ถอนไวเอย

นิราลัย



ชีวิตไร้สาระขณะนี้
ยังไม่สายเกินที่จะแก้ไข
แม้นชีวิตเหลือน้อยลงเพียงใด
ควรภูมิใจที่ได้ทำดีทัน

มีคนเห็นหรือไม่เป็นไรเล่า
ควรเลือกเอาความดีที่สบสันต์
ใครไม่เห็น ช่างใคร ไม่สำคัญ
ใจเรานั้น รู้ว่าดี เท่านี้พอ

ศิริวรรณลักษณ์



อิสรภาพเจ้าเอย
อิสรภาพเจ้าเอ๋ย...เจ้าอยู่หนใด
โปรดจงได้รับรู้เถิดว่า
ข้าแสวงหาเจ้า ข้าต้องการเจ้า
ข้าอยากพบและอยู่แนบชิดกับเจ้า จนวันตาย
ขออย่าให้ใครมาพรากเราจากกันเลย
ข้าจะขอตายร่วมกับเจ้า ชั่วนิรันดร

อุปสรรคหนอ...เจ้าอุปสรรค
เมื่อไหร่เจ้าจะเปิดทางให้ข้าได้พบกับ สิ่งที่ข้าแสวงหา
ข้าเป็นหนี้เจ้ามาแต่ครั้งใด
ข้าใช้หนี้ให้เจ้ายังไม่พออีกหรือ
ขอให้หมดกันที สิ้นกันที
สำหรับหนี้ชีวิตที่ข้าจะใช้ให้เจ้า
ต่อแต่นี้ไปข้าขอ...ข้าขอ
ข้าขอชีวิตของข้าเถิด
ข้าขอชีวิตข้า
เพื่อพลีเป็นพุทธบูชา
แด่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ข้าขอเดินตามรอยพระยุคลบาท ของพระพุทธองค์

พระพุทธองค์ท่านไปสู่ดีแล้ว มิใช่หรือ
ข้าเป็นลูก ข้าขอเดินตามรอยเท้าพ่อ
อย่าขวาง อย่าห้ามข้าเลย
ข้าพบพ่อแล้ว พบทางแล้ว
ทางที่จะนำข้าเข้าสู่กระแส แห่งความหลุดพ้น
ข้าจะพยายามทุกวิถีทาง
เพื่อข้ามห้วงโอฆสงสาร ให้ถึงฝั่งพระนิพพานให้ได้

ปล่อยข้าไปเถิด... อย่าขัดขวางข้าเลย
เจ้าอุปสรรคเอ๋ย ไยเจ้าไม่เห็นใจข้าบ้าง
สิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด ดอกหรือ
ทำไมเจ้าจึงต้องคอยขวางคอยกัน

ข้ารู้แล้วว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
ไม่มีอะไรที่จะเป็นของข้าเลย อย่างแท้จริง
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของสมมติ เป็นของโลก
ข้ายืมมาใช้ชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อถึงเวลา ข้าก็ต้องคืนให้กับโลกไป

ฉะนั้น ข้าจึงพยายามปล่อย พยายามวาง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่สมมติเป็นของข้า
ข้าก็พยายามสลัดคืนให้กับ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
เพื่อปลดหนี้เวรหนี้กรรม ให้หมดสิ้น
แต่เจ้ากิเลส คนทั้งหลายก็ยัง ไม่ยอมหยุดยอมพอ
เขายังจะพยายามดึงข้าไว้ เพื่อสนองกิเลสเขา
ไม่ยอมปล่อยให้ข้าพ้นจาก กรงกรรม

มิไยข้าจะขอร้อง
ขอชีวิตข้าสู่อิสรภาพ ด้วยความปลอดโปร่งใจ
ทุกคนกลับจะสร้างแต่ความกังวลให้ข้า
โธ่เอ๋ย!... จะทรมานใจข้าไปถึงไหน
ยังไม่พอกันอีกหรือ
สำหรับการชดใช้หนี้เวร หนี้กรรม
ตลอดชั่วชีวิตที่ข้าต่อสู้กับโลก มาเกือบ ๕๐ ปี
ข้าสร้าง ข้าก่อ ข้าหามาเพื่อใคร
ข้าหอบ ข้าหวง ข้าสะสมไว้ให้ใคร
ยังไม่พอกันอีกหรือ
พอกันเสียทีสิ... พอกันเสียทีเถิด

ต่อแต่นี้ไปข้าขอ... ข้าขอ
ขอเวลา ขอชีวิตที่เป็นอิสระแก่ตัวเองบ้าง
ข้าขอหยุดใช้หนี้กรรมเสียที... พอเสียที
ข้าไม่ต้องการเป็นผู้มาเปล่า ไปเปล่า
ข้าขอสร้างทางเดินไปสู่ ที่อันพึงเกษม
เพื่อประโยชน์สุขของข้าบ้าง
ข้าขอเป็นพุทธบุตร
ข้าขอเป็นบุตรของพระพุทธองค์
ข้าจะทำทุกอย่าง เพื่อพลีแก่พระองค์ ด้วยความสุจริตใจยิ่ง

ให้ข้าได้ไหม... อย่าขัดขวางข้าเลย
น้อยคนนักที่จะขออย่างข้า
หายากคนที่เขาจะต้องการอย่างข้า
ข้ารู้ว่าข้าไม่ได้ขอเจ้า มากมายเลย
ข้าขอเพียงชีวิตและความอิสระ เท่านั้น

อนุญาตให้ข้าเถิด เจ้าเวรนายกรรมของข้าเอ๋ย
อย่าผูกเวรจองกรรมกับข้า อีกต่อไปเลย
ขอให้เราสิ้นชาติสิ้นกรรมกัน อย่างบริสุทธิ์ใจเถิด
ข้าขอลา...ลาชั่วกัลปาวสาน
หวังว่าเราคงไม่ต้องพบกันอีก ในโลกหน้าฯ

แม่ลูกหก


 

จะมีใครรู้ใครเห็นกับเราได้
การรู้จักตัวเองนั้นเป็นของยาก
กว่าจะเริ่มเข้าใจตัวของเราเอง
เราก็แทบจะแก่ตายอยู่แล้ว
ทำไมเราถึงเป็นคนมีดวงใจเป็นสอง
เราไม่เคยเข้าใจตัวเราเลย
เราจะต้องการให้มันเป็นหนึ่งเดียว
แต่พยายามเท่าไรเท่าไรก็ไร้ผล
บัดนี้เราได้เข้าใจแล้วว่า
เราจะต้องมีสองคือ เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ
เมื่อเราเข้าใจสภาพนี้ได้แล้ว
เราจึงไม่กลัวการต่ออีกต่อไป
เราจะตัดได้และเราก็จะต่อได้
ความเห็นของเราได้กระจ่างแล้ว
เรารู้หนทางเดินของเราแล้ว
มันได้พร่ามัวมานานเหลือแสน
เพราะเรามัวแต่หลงตัวของเราเอง
ว่าเรานี้เก่งและยิ่งใหญ่แต่ผู้เดียว
เราเห็นโทษของการเสพย์แล้ว
เราจะต้องหยุดเสพย์เสียที
เพราะการหยุดอยู่ ก็คือ ความถอยเสื่อมนั่นเอง

เราจะต้องมองคนอื่น
ให้เหมือนกับมองดูตัวเองเสมอ
การที่เรามองเห็นคนอื่นได้
ก็คือภาพสะท้อนของตัวเรา
ที่จะบอกตัวของเราเอง

เปรียบเสมือน เรากำลังส่องดูกระจก ที่สะท้อนเงาของเรา
การผัสสะจึงเป็นการช่วย ขุดคุ้ยกิเลสอาสวะ
ถ้าเราดูตัวเราเองแต่อย่างเดียว
โดยไม่อาศัยเหตุปัจจัยภายนอก
เราก็จะมีแค่โลกแคบๆ เท่านั้น
และหลงแต่ตัวเอง
แต่เมื่ออยู่กับคนอื่น
ผัสสะกับผู้อื่นทีไร
ใจมันเกิดปฏิกิริยาแปลกประหลาดทุกที
ก็เพราะเราหวงแหนของเสีย ของเรานั่นเอง
เราจึงไม่อยากคลุกคลีกับหมู่

แต่บัดนี้เราเข้าใจแล้ว
ว่าการอยู่กับหมู่ เป็นประโยชน์มหาศาล
ต่างคนต่างช่วยกันขัดเกลา
เราเป็นมนุษย์ที่เป็นสัตว์โขลง
ไม่ใช่สัตว์ดุร้ายที่คอยแต่จะปลีกเดี่ยว
เข้ากับใครเขาไม่ได้สนิทใจ

เราจึงเข้าใจถึงความสามัคคีของหมู่
และซึ้งในคำตรัสของพระพุทธองค์ที่ว่า
ศาสนานี้เป็นไปเพื่อยังประโยชน์
เพื่อความสุข เพื่อความเป็นแก่นสาร ของมวลมหาชน
และจะประดิษฐานไว้ ซึ่งความรู้ของยอดมนุษย์
ให้แก่มวลมหาชนอีกด้วย

ส.ม. ๔

(จาก..สารอโศก ฉบับสุทธิสัจจะ ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๒)



ธรรมะคือธรรมดา
ธรรมะคืออะไรนะ...
อย่าทำหน้าเหมือนกำลังค้นหา
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
อย่ามองเหมือนอยู่บนท้องฟ้าสิ
ใช่แล้ว ธรรมะคือสิ่งสิ่งหนึ่ง
มันไม่ใช่สิ่งยากเกินกว่าจะเข้าใจ
และมันก็ไม่ใช่ลึกลับดูชวนขลัง
ไม่ใช่มันจะมีแสงวูบวาบ พราวพร่าง
ไม่ใช่มันจะเจิดจ้า สว่างโพลง
ดุจทะลุเข้าถึงแดนมหัศจรรย์
ไม่ใช่จะดูอภิมหาน่าเขื่องน่าโต
มิใช่จะโก้หรู ราวกับยืนเด่นบนบัลลังก์
มิใช่งามสง่า เชิดหน้า อวดทรนง

ธรรมะนั้นมิใช่อะไรเลย
ที่ดูจะต้องประหลาดๆ
หรือต้องมีวิธีการที่แสนจะพิสดาร
ให้ดูทึ่ง ให้ดูขลัง ให้ดูยาก
เปล่าเลย เปล่าเลย
ธรรมะหาเป็นอย่างนั้นไม่
อย่ามัวแต่คิดว่า มันจะต้องมีอะไรพิเศษพิสดาร
เพราะนั่นแหละ เธอกำลังหลงทางเสียแล้ว

อย่ามองธรรมะเหมือนการกินอาหาร ที่จะต้องใช้มีดส้อม
และมีผ้ากันเปื้อนผูกคอ บนโต๊ะสูงที่มีเชิงเทียน
อย่ามัวแต่หลงสร้างอัตตา ให้แก่ธรรมะอยู่เลย
อย่าได้พรากมันออกจากชีวิต ของชาวบ้านๆ
เพราะธรรมะที่แท้ แม้ตาสีตาสาก็รู้ได้
บรรลุได้ ด้วยความเรียบง่ายอย่างพื้นๆ
ธรรมะนั้นคือสิ่งธรรมดา ที่แสนจะธรรมดา
เป็นสิ่งสามัญ ที่แสนจะสามัญ
ไม่แปลก ไม่ประหลาด ไม่เขื่องโข
เมื่อเธอจะบรรลุเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกับ "ธรรม"
เธอก็จะซอมซ่อและสันโดษ
เมื่อเธอมีหัวใจดวงเดียวกับ "ธรรม"
เธอก็จะวิเวกและมักน้อย
เปลืองวัตถุของโลก น้อยแสนน้อย
เปลืองอารมณ์ในหัวใจ นิดแสนนิด
เธอจะกินข้าวด้วยจานและช้อน ราคาถูกๆ
เธอจะนอนกลางดินกลางทราย ได้อย่างสบาย
เพราะที่พักอาศัยของเธอ ก็คือโลกทั้งโลก
เธอจะห่อหุ้มร่างกาย ด้วยเครื่องนุ่งห่ม ที่แสนเรียบง่าย
และจะต้องเชยแหลก ในสายตาของชาวโลก

"ธรรมะ" ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้แหละ
ไร้ศักดิ์ศรีและยศศักดิ์ เกทับกัน
เรื่อยๆ เป็นชาวบ้าน ๆ ธรรมดาคนหนึ่ง
เหมือนๆ ต้นหญ้ากระจอกๆ แต่สดใส
การเข้าถึงธรรมะของเขานั้น
ไม่ใช่ขี่รถ มียศ มีชั้น
ไม่ใช่ต้องสวมเสื้อนอก
หรือสร้างทฤษฎี จนชาวบ้านอ่านไม่รู้เรื่อง
เพราะธรรมะเป็นเรื่องของเหตุผล
เป็นเรื่องที่พอเข้าใจกันได้
เพราะธรรมะที่แท้ ที่พระผู้มีพระภาคสร้างทางไว้
เป็นทางเดียวที่เรียกว่า "ทางเอก"

นั่นก็คือการเรียนรู้ "ความชั่ว" ในตน
แล้วก็ละ ละ ละ ละทิ้งให้ได้อย่างเข้าใจ
รู้ความชั่วในตนให้ได้ทุกขณะ
เพียรพิจารณา ทั้งข่มทั้งล้าง ให้ได้ทุกครั้ง
นี้แหละคือธรรม
ที่มีวิธีการอย่างพื้นๆ ที่แสนจะธรรมดา
ไม่หวือหวาอะไรเลย แม้แต่น้อย

มะกรูด



สงฆ์ใดสาวกศาสดา
รับปฏิบัติมา แต่องค์สมเด็จภควันต์
เห็นแจ้งจตุสัจเสร็จบรร-
ลุทางที่อัน ระงับและดับทุกข์ภัย
โดยเสด็จพระผู้ตรัสไตร
ปัญญาผ่องใส สะอาดและปราศมัวหมอง
เหินห่างทางข้าศึกปอง
บมิลำพอง ด้วยกายและวาจาใจ
เป็นเนื้อนาบุญอันไพ-
ศาลแก่โลกัย และเกิดพิบูลย์พูนผล
สมญาเอารสทศพล
มีคุณอนนต์ อเนกจะนับเหลือตรา
ข้าขอนบหมู่พระศรา-
พกทรงคุณา นุคุณประดุจรำพัน
ด้วยเดชบุญข้าอภิวันท์
พระไตรรัตน์อัน อุดมดิเรกนิรัติสัย
จงช่วยขจัดโพยภัย
อันตรายใดใด จงดับและกลับเสื่อมสูญ


 

ปัญหาสำคัญของมนุษย์ในสังคมก็คือ
ค่านิยมที่เลวนั้นทำได้ง่ายดายกว่า
ค่านิยมดีไม่ค่อยทำกัน
เราขาดการกระตุ้น ถึงคุณค่าที่แท้จริง ของค่านิยมที่ดี
รวมทั้งผู้นำ ที่จะต้องปฏิบัติตาม ในสิ่งที่พูดด้วย

คำว่าผู้นำ ในที่นี้มิใช่ว่า ต้องเป็นใหญ่เป็นโตมาจากไหน
เราทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นผู้นำ
ที่จะสร้างสรรค่านิยมที่ดี ให้แก่สังคม
เป็นการจรรโลงสังคม ให้ผาสุกและสดใส
เราจะปัดความรับผิดชอบให้แก่สังคมไม่ได้
ในเมื่อเราทุกคน เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ที่จะต้องรับผิดชอบ

เราคือสังคม และสังคมก็คือเรา
สังคมเดือดร้อน เราก็จะเดือดร้อนตามไปด้วย
หากเราสร้างค่านิยมที่ดีงามได้ ก็จงรีบสร้าง
แม้จะเป็นน้ำใสบริสุทธิ์หยดหนึ่ง ในน้ำโคลน ก็ขอให้เป็น
ยังดีกว่าที่จะมีแต่ น้ำโคลนทั้งหมด

อโศก



การทำบุญบูชาประสายาก
เพียงแต่ฝากใจไว้ในกุศล
ก็จะได้บุญบันดาลมาบันดล
ให้เราพ้นนรกได้หากใจเพียร

ไม่จำเป็นซื้อดอกไม้ไปไหว้พระ
ก็คงจะสุขได้ไว้เสถียร
บุญยิ่งใหญ่... ตัดกิเลสเหตุเบียดเบียน
อาบแสงเทียนสว่างใจด้วยไฟบุญ
ละม่อม รัตนดิลก



ในอุทยานแห่งชีวิต ณ ที่นี้
ประกอบด้วยพฤกษชาติเขียวขจี
สีสันต่างๆ นานาพันธุ์
ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนต้น
อีกทั้งธัญพืช วัชพืช และไม้พิษ
แลดูมากมายหลายหลากตา
ใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน
จัดเหตุปัจจัยให้ครบพร้อมสิ้นทุกสิ่ง
พฤกษชาติชนิดพันธุ์นั้นๆ
ก็จะค่อยๆ งอกเงยขึ้น
ชูดอกออกช่อประดับฟ้าดิน
แม้นรังเกียจสาปแช่งวิงวอน สักปานใด
ก็ไม่อาจทำให้มันเหี่ยวเฉา โรยราลงได้ตลอดกาล
แต่ถ้าเมื่อใดที่เกียจคร้าน
ไม่ดูแลเอาใจใส่
ถึงจะก้มกราบร้องไห้วิงวอนขอ สักปานใด
ก็ไม่อาจทำให้พฤกษชาติ งอกเงยเบ่งบานขึ้นมาได้
ตราบชั่วนิจนิรันดร

๒๑ ส
(จาก..สารอโศก ฉบับ อโศก' ๒๓ ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๒)


เม็ดทราย หน้า 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13

หน้า ๑๐