เม็ดทราย ๑๑
พ่อค้าเริ่มเพิ่มค่าราคาของ
คนจนต้องทุกข์ทวีช้ำที่สุด
ค่าครองชีพบีบคั้นมันแสนทุด
ใครจักฉุดให้พ้นบ่วงผลกรรม
ทางแก้ไขไทยผองต้องประหยัด
มัธยัสถ์ปฏิบัติตนให้พ้นต่ำ
ขยันพลีหนีอบายหมายทางธรรม
แล้วผู้นำช่วยแก้ไขอย่างไรฤา...?
จำเนียร อุทัศน์
คนจน
ถ้าจะตายก็ตายเพราะอดหิว
ตายเพราะป่วย หมอไม่รักษา
ตายเพราะขาดเงินตรา การศึกษาน้อยเกินไป
ฝังในป่าช้าอย่างไร้ญาติ
ใครจะอยากอาสาเป็นญาติของศพขอทาน
นานนานไป ป่าช้าวัดดอนก็มีป่อเต๊กตึ๊ง ไปล้างรื้อ
ขุดเอาหัวกะโหลก ซากศพขึ้นมาเผารวมกัน
ง่ายง่าย สงบเงียบ
คนรวย
ถ้าจะตายก็ตายเพราะอิ่มเกิน
ตายเพราะหัวใจตัน ไขมันอุดหลอดเลือด
ตายเพราะกลัวจน กลัวปล้นจี้
ฝังในที่งดงามโอ่อ่า
ไม่ว่าใครก็ขันอาสาเป็นญาติของ ศพเศรษฐี
ถึงวันเผาก็มีเมรุหรูหรู ผู้คนมากหน้าไปอาลัย
กดปุ่ม เผาไหม้ในเตาอบไฟฟ้า
ศพร้องไห้ เพราะเสียงวิวาทของญาติมิตร
...ใคร จะได้เสพมรดกมากกว่ากัน
ในความตายนั้น แบบไหนน่าสงสารที่สุดหนอ
"ธันว์อังคาร"
ค รู
คำว่า "ครู" แปลว่า หนัก, สำคัญ, ยิ่งใหญ่
ทำไมจึงหนัก จึงสำคัญ จึงยิ่งใหญ่
ก็เพราะว่า การจะทำตนให้เป็น ให้ได้อย่างนั้นๆ มาก่อนนั้น
มันแสนยาก ยิ่งทำตนให้เป็นคนผู้หมดกิเลสแล้ว
คือ หมดจิตโลภ-โกรธ-หลง ในโลกธรรม ๘ นั่นเอง ยิ่งยอดยากใหญ่
จึงเป็นเรื่องยากเรื่องหนัก เหลือเกิน
เมื่อทำแก่ตนได้แล้ว ก็มาสอนคนอื่นให้ทำได้บ้าง
มันก็ไม่ใช่ของง่ายเลยจริงๆ
สอนให้เขาสร้างเขาเป็นอะไร เขายังอยากได้อยากเป็นกันง่าย
สอนให้เขาละกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน นี่สิ
สิบยาก ร้อยหนัก กว่าการสอนสร้าง สอนก่อ ยิ่งนัก
สมณะโพธิรักษ์
ปีนี้ปีเด็กปีชาวนา
อีกเป็นปีสงครามบ้าน่าฉงน
ฆ่าเด็ก...ฆ่าชาวนา...ฆ่าผู้คน
ตายเกลื่อนกล่นปนควันปืน
มวลเด็กน้อยด้อยค่าถูกพร่ารัก
ทั่วท้องนาระเบิดปักแทบทั้งผืน
ข้าวถูกกินเพิ่มพลังคลั่งโหดหื่น
เคลื่อนเป็นคลื่นเข้าห้ำหั่นเพื่ออันใด
หรือปีนี้ปีสงครามนามสากล
ทุกแห่งหนจึงสับสนตึงเครียดใหญ่
ให้บทเรียนแก่กันด้วยฟืนไฟ
เพื่อสิ่งไร...ตอบข้า...ประชาชน
เลอวุฒิ ศรีเปารยะ
เสียงปึงปัง ดังสนั่น โลกหวั่นไหว
หมอกควันไฟ ปกคลุม หุ้มเวหน
เลือดไหลริน มิสิ้นสุด ดุจสายชล
ศพเกลื่อนกล่น บนพื้น ธรณี
ที่เหลือตาย ดูคล้ายเปรต เศษมนุษย์
ต้องพบจุด ทุพภิกขภัย ปัจจัยสี่
ต้องหิวโหย โรยแรง แห่งชีวี
เพราะสงคราม ไม่มี... เมตตาธรรม
ชัยมุสิก เขมนนท์
พิ ร า บ เ ลื อ ด
พิราบบินเกาะลงตรงริมรั้ว
เลือดท่วมตัวปีกขาวกลิ่นคาวขื่น
คลุ้งเคล้าคราบสงครามท่ามควันปืน
อดซมโซกล้ำกลืนจนเจียนตาย
อีแร้งรุกจิกตีดุจปีศาจ
ขุดหลุมฝังเอกราชซึ่งมาดหมาย
ปีกทะมึนบังแสงอันเพริศพราย
ทำลายล้างเผ่าพันธุ์สันติธรรม
เมื่อปืนสร้างสงครามการห้ำหั่น
ก่อผลิตภัณฑ์การฆ่าขยี้ขย้ำ
จึงความสยดสยองของลำนำ
ย่อมตอกตราตรึงจำอยู่จับใจ
และก่อเกิดคำถามของความหวัง
สันติภาพรองรังวางอยู่ไหน
ว่าแม่เอยแม่ธรณีนี่เลือดใคร
แล้วทำไมจึงทำไมได้ฆ่ากัน
พิราบร่างราดเลือดจนเดือดด้าว
กระพือปีกวับวาวไร้ข่าวขัน
บินจากรั้วไปตามแสงแห่งตะวัน
ไปสร้างสรรต่อตีปีศาจร้าย
การต่อสู้พิทักษ์ธรรมคือคำตอบ
แม้พายุคลุมครอบโหมกระหาย
แต่กองกูณฑ์ส่งเสียงอยู่เรียงราย
คือเสียงแห่งความตายเพื่อเป็นไท
สันติภาพแท้จริงมิปรากฎ
ถ้าสงครามอัปยศยังเป็นใหญ่
เสียงปืนเพื่อเอกราชประกาศไกล
ว่าต้องล้มลงไปพวกใจทมิฬ
พิราบอินโดจีนจึงบินพล่าน
เพื่อเสริมสานเอกราชที่ขาดวิ่น
"เขมร" จึงสรรค์เสียงปืนเป็นเสียงพิณ
เพื่อแผ่นดินที่ถูกย่ำอยู่ตำตา
สำราญ รอดเพชร
บนเส้นทางสายนั้นสู่สันติ
ดอกที่ผลิเบ่งบานกลางลานฝัน
จึงทุกค่ายบ่ายหน้าไปหามัน
การฝ่าฟันกว่าจะถึงจึงล้มตาย
สงครามเกิดเพราะแบ่งฝ่ายหลายลัทธิ
พกทิฐิอุดมการณ์ที่ฉาบฉาย
ศึกทายท้าพร่าผลาญการทำลาย
สันติภาพจึงพร่าพรายในสายตา
มนันทญา-จิตรามีน
สักวาว่าคนจะพ้นโศก
หากชาวโลกร่วมกันแก้ปัญหา
ไม่งัดข้อก่อเหตุมีเมตตา
ทั่วโลกาเกิดสุขสนุกนาน
ถ้าอวดใหญ่ใช้พลังมีหวังเรียบ
โลกจะเงียบงำศัพท์เสียงขับขาน
มิยับยั้งชั่งใจคงใกล้กาล
อวสานสิ้นสุดมนุษย์เอย
นิรนาม
ถึงเวลาแล้วคนไทย
ร่วมใจร่วมกันแก้ปัญหา
เศรษฐกิจ ค่าครองชีพบีบมา
ไทยอย่าช้าช่วยกันมัธยัสถ์
อบายมุขอย่าข้องจะหมองหม่น
ยากจน ตีนถีบ ปากกัด
ขยันหมั่นนึกตรึกตรองพัฒน์
จักขจัดภัยชั่วตัวอัปรีย์
จำเนียร อุทัศน์
เปรียบคนเราดังเรือน้อยลอยสมุทร
ทรงหรือทรุดใจพรั่นให้หวั่นไหว
โดนคลื่นลมเห่โหมอาจล่มไป
จะมีใครรู้ได้ว่าชะตากรรม
เมื่อคิดไปกายเราก็เท่านี้
ควรหรือที่หวาดกลัวจนมัวหมอง
ตั้งหน้าทำกรรมดีที่โลกมอง
ตามลบองกฎเกณฑ์เช่น "พระธรรม"
บุษกร
ฆ่ามันด้วยมือเรา
เมื่อกามราคะสุกงอม
ในบทบาทหนึ่ง มันก็จะหยาบคายก้าวร้าว
และในอีกบทบาทหนึ่งนั้น
มันก็จะสุภาพและอ่อนโยน
ใครใครต่างก็เรียกมันว่า "ความรัก"
แต่หารู้ไม่ว่า
มันเป็นเสียงมายาบทหนึ่งแห่งกาเม
ใครหนอจะกล้าพูดว่า รักเพราะใคร่
ทุกคนต่างก็เชื่อมั่นว่า รักเพราะรัก
บทบาทแห่งจิตจึงยอกย้อน
และเจ้าเล่ห์จนแม้เจ้าของชีวิตก็ตามไม่ทัน
ความใคร่จึงถูกสวมหน้ากาก กลายเป็นความรัก
แต่มีอะไรหนอที่จะเที่ยงแท้ ในสังสารวัฎอันกว้างใหญ่
เกิดมาแล้วก็จากไป ดั่งพยับแดดและเกลียวคลื่น
เราพบกัน คุยกัน หัวเราะกัน
แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืด
และในความเงียบอันกว้างใหญ่ไพศาล
โลกหนอโลก
จะเอาอะไรกันนักหนา
การเดินทางของชีวิต
คล้ายดุจนั่งอยู่บนรถเมล์
ต่างเมื่อถึงที่หมายก็ทยอยลง
แต่สำหรับผู้มีความออดอ้อนแห่งอัตตา
ยังมีความโพรกเพรกในหัวใจ
เขาก็จะแสวงหา
จะเกาะเกี่ยวผู้โดยสารข้างเคียง
นะ นะ นะ จ๊ะ จ๊ะ จ๋า จ๋า
และสุดท้าย รถเมล์ก็จะเหลือแต่ความว่างเปล่า
ไม่มีใครคนนั้นที่ฝันถึง
ไม่มีใบหน้าอันงามสง่า
ไม่มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ
ไม่มีดวงตาหวานซึ้งแบบนั้นอีกต่อไป
โอ! ชีวิต
สำหรับผู้หลงเกาะเกี่ยว
ช่างเจ็บปวดสิ้นดี
มีอะไรบ้างไหมหนอ ที่ไม่รู้จักการพลัดพราก
อย่าไปเกาะอยู่เลยสหาย
พรากออกเสียแต่เดี๋ยวนี้
ดีกว่าจะต้องไปพรากในวันต่อไป
เพราะหากเป็นวันนี้
มือของเรานี่แหละ คือผู้ลิขิต
แต่ถ้าเป็นวันข้างหน้า
ธรรมชาติแห่งชีวิตจะเป็นผู้แยก
ให้ทั้งเราและเขา หลุดออกจากกัน
แน่นอน มันย่อมไม่แยกอย่างอ่อนโยน หรือทะนุถนอม
แต่มันจะฉีกเราทั้งสอง ให้สาดกระจาย
ด้วยความทรมาน
ด้วยความปวดร้าว
พรากเสียแต่วันนี้เถิด สหายแห่งเรา
ยังไม่สายเกินไป
อย่าเสียดาย
อย่าพะวง
ถึงรอยยิ้ม...
ถึงใบหน้า...
ถึงดวงตา...
ถึงนิสัยใจคอของเขา เพราะอีกไม่นาน มันก็จะผุกร่อน
แตกสลาย
สูญหายไปกับแผ่นดิน แผ่นน้ำ และแผ่นฟ้า
โลกนี้มีแต่ความแปรปรวน
ชีวิตเกิดมาแล้วก็ตายจาก แยกจากกัน
ไยจึงให้ความรักมาผูกพัน ให้ปวดร้าวเล่นอยู่ทำไม
วิราคา
7 ก.ค. 2522
ตัณหาคือแม่น้ำ โหดหืน
รักใคร่หรือจักยืน ยั่งย้ำ
หวังพุทธพจน์คงคืน หวนสู่ อดีตดัง
ช่วยจิรังโลกล้ำ จวบผู้ อวสาน
ตัณหาคือแม่น้ำโหดหืนรัก
ใคร่หรือจักยืนยั่งย้ำหวัง...
พุทธพจน์คงคืนหวนสู่อดีตดัง
ช่วยจิรังโลกล้ำจวบผู้อวสาน
ละม่อม ศิริสร้อย
*****
บาป คือการทำให้สัจธรรมหมองมัว
และครอบคลุมความรู้สึกจิตใจของตนเอง ให้มืดมน
เราก่อบาปด้วยตัณหาในความรื่นรมย์
ไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นน่าประสงค์
แต่แสงเพลิงแห่งราคะของเรา ทำให้ดูน่าประสงค์
เราขวนขวายหาสิ่งต่างๆ
ไม่ใช่เพราะมันมีธรรมชาติในตนยิ่งใหญ่
แต่ความโลภของเราทำให้มันดูมหึมา
รพินทรนาถ ฐากูร
สิ่งเดียวที่ปรารถนา
อะไร...อะไรกันแน่ ที่ฉันต้องการ ?
สิ่งสมมติทางโลกหรือ ?
ไม่...ไม่...ฉันไม่ต้องการอะไรเลยจริงๆ
แต่สิ่งเดียวในชีวิตที่ฉันปรารถนา
สิ่งนั้นคือพระนิพพาน
ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า พระนิพพานคืออะไร ?
ฉันรู้แต่เพียงว่า ฉันไม่ต้องการเกิดอีกแล้วในโลก
ฉันเบื่อ เบื่อแสนเบื่อโลกแห่งความมายา
จะหาใครใดๆเลยในโลกีย์ ที่จะไม่มายากับฉันนั้น ฉันยังหาไม่พบ
สุดท้าย... ฉันเบื่อตัวของฉันเอง
ตัวฉันเองที่ยิ่งกว่าจอมมายา
ฉันรู้ว่า...ฉันโดดเดี่ยว...ฉันเดียวดาย
และบางครั้ง...ฉันว้าเหว่...
แต่...เปล่า ฉันไม่ได้ต้องการหรือเรียกร้อง ขอสิ่งใดจากใครใดๆ เลย
ฉันรู้-ฉันทนได้กับสภาพของ ความว้าเหว่
ฉันเคยชินเสียแล้วกับความรู้สึกเช่นนี้
แม้...ในห้วงลึกของหัวใจ ฉันปรารถนามีเพื่อน
เพื่อนที่คอยให้กำลังใจ คำแนะนำ และความอารักขา
ฉันรู้ว่า...หัวใจของฉันอ่อนแอ
แต่ฉันก็ต้องการเพียงเท่านี้... ในขณะนี้
ขณะที่กำลังเดินทาง...
ทางสู่พระนิพพาน...
ฉันไม่ได้ต้องการเพื่อนกาย...
แต่ฉันต้องการเพื่อนใจ...
ฉันไม่ต้องการเพื่อนที่มีตัวตน
เพราะมันเป็นภาระ... มันหนักเกินไปสำหรับฉัน
ฉันไม่รู้ - ฉันไม่เข้าใจ
ว่าเพื่อนที่คิดว่าเขาคือเพื่อน
เขาจะยินดีเป็นเพื่อนของฉันไหม
หรือเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม... ฉันไม่สนใจ
เพราะฉันไม่รู้ว่า เขาคือ อะไร ?
ฉันรู้แต่ว่า... ฉันไม่ต้องการอะไรจากเขา
นอกจากเพื่อนร่วมเดินทาง
เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง
เราต่างก็คือ..อากาศธาตุ... เช่นกัน
บาดาลใจ
เ ร า คื อ เ พื่ อ น
ทะเลแห่งสังสารวัฏกว้างไกล สุดขอบฟ้า
ยากนัก...ยากนักที่จะแล่นถึงฝั่ง
ด้วยพละกำลังแห่งชีวิตที่เดียวดาย
เดียวดายอย่างโดดเดี่ยว
ฟ้าพุทธศาสน์ โอบมาได้เกือบ สามพันปี
สังขารเริ่มผุกร่อน กิเลสมนุษย์
แข็งแกร่งดังหินผา
แน่นหนาดุจศิลา
รอบตัวนับแต่เกิด
วัตถุแทบทุกชนิด
ปลี่ล้นด้วยพลังแห่งกามา
โอบกระหวัดชีวิตทั้งหลาย ให้มัวเมา
ยากเอย...ยากนัก
ยากนักที่จะแล่นถึงฝั่งแต่ลำพัง
จึงจำเป็น
จำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องมีเพื่อนร่วมทาง
ซึ่งมิใช่ร่วมทางกาย
หรือเพียงก่อความอบอุ่นทางใจ
แต่เป็นเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์ แห่งอรหัตตา
ที่จะชี้แนะข้อผิดพลาด
ตักเตือนข้อบกพร่องได้ตลอดเวลา
มีหัวใจที่อบอุ่น
อบอุ่นไปด้วยพลังแห่งสัลเลขธรรม
ต่างจะช่วยกันสร้างดวงประทีป
สร้างพลังแห่งชีวิต
เพื่อโลดแล่นให้ถึงฝั่ง อันทวนกระแส
มิใช่พร่ำเอาใจ
ปลอบใจให้คลายไปวันวัน
ป้อนแต่คำหวาน คำนุ่มหู
ขลาดกลัวยิ่งนัก
หากจะให้คำขมแก่เพื่อนร่วมทาง
แต่เพื่อนก็คือเพื่อน
เพื่อนก็คือผู้ชี้แนะ
กล้าพูด กล้าบอก
แม้จะเจ็บปวดอย่างไรก็ต้องกล้า
มีคำตรัสองค์พระสัมมาฯ
ตรัสถึงการพูดไว้ว่า
"ขอให้พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์
ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็จะพูด!"
ความเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ นั้นสูงส่ง
เพราะหมายถึงการช่วยกันสูง
แต่มิใช่ จูงกันต่ำ
และหากผู้ใดจะถือสา
ผู้นั้นก็ไม่เหมาะที่จะมีเพื่อน
เพราะเท่ากับการประกาศตัวให้เดียวดาย อีกวาระ
ความเป็นเพื่อนนั้น
จึงสูงค่าเกินพรรณนา
มิใช่จะเอามาทำต่ำชั้น
เพียงแค่เอาไว้คุยกัน รู้จักกัน
หรือเอาใจกัน
กลัวแต่การจะมีเรื่อง จนระวังตัวแจ
แทบจะไม่กล้าแสดงทิฐิใดใด
เพื่อนก็คือเพื่อน
เพื่อนคือผู้ช่วยชี้แนะข้อผิดพลาด
ปลุกระดมให้จิตหน่ายกลับฮึกเหิม
เพื่อนก็คือเพื่อน
มิใช่คนใบ้ที่ห้ามแสดงความคิดเห็น ที่ผิดแผก
จะต้องมามัวเออออ
เพื่อนก็คือเพื่อน
มิใช่ที่รองรับอารมณ์เพียงอย่างเดียว
แต่ไม่มีสิทธิโต้แย้ง
เพราะเพื่อนนั้นไม่ใช่กระโถน
ไม่ใช่ถังขยะ ไม่ใช่ภาชนะ
ไม่ใช่คู่รัก
แต่เพื่อน..คุณค่าสูงกว่านั้น
สูงกว่านั้น ๆ ๆ
เจริญจิตต์
เป็นมนุษย์สุดประเสริฐที่เกิดพบ
สุขสงบในธรรมอันล้ำค่า
เป็นสตรีหากไร้ศีลสิ้นราคา
ชายหมดค่าเพราะขาดศีลภิญโญรุจ
สกุลสูงจักต่ำลงไม่คงที่
เพราะว่ามีอบายอยู่เป็นผู้ฉุด
บุญกุศลเหมือนเสบียงเลี้ยงมนุษย์
เสบียงสุดคนก็ดิ้นสิ้นลมปราณ
บุษกร
ที่นี่..เป็นที่ยังไม่หมดความฝันความรัก ของฝูงชน
ที่นี่..เป็นที่พักผ่อนเป็นสุขของฝูงชน
ที่นี่..เป็นที่ไม่ต้องแบกหนักอยู่สบาย ของฝูงชน
จิตใจของฝูงชน อยู่ง่าย อยู่สบาย
จิตใจของฝูงชน พักผ่อน ตามธรรมชาติมีอยู่
แต่ฝูงชนได้ยินเสียงฝูงชนเรียก
ให้ฝูงชนไปอยู่ที่กว้าง
ในที่กว้างที่มีคนอยู่ด้วยกันสันติ มากมาย
ให้ฝูงชนช่วยกันสร้างสรร สร้างเสริม ให้บทเพลงสันติ สร้างสรรสันติ
สำหรับฝูงชนทุกคน
จ่าง แซ่ตั้ง
(สารอโศก ฉบับ อโศก '23 ปีที่ 3 ฉบับที่ 5 ธันวาคม 2522)
ค ลื่ น แ ห่ ง รุ่ ง อ รุ ณ
เมื่อเหล่าพุทธบริษัท
ต่างจับมือกระชับมั่น
คล้องแขนเกี่ยวไว้ซึ่งกันและกัน
บนเส้นทางที่สมเด็จพระผู้มีพระภาค ตรัสไว้
อันคือ "จรณะ 15"
เมื่อนั้น
ย่อมยากที่อานุภาพเหล่ามารใดจะหาญสู้
และไม่มีทางเลยที่กองทัพอวิชชาจะยืนยง
เมื่อมือต่อมือของพุทธบริษัท ๔ เหล่า
ชูธรรมประทีปขึ้นลอยฟ้า
จะไม่มีแสงแห่งอำนาจใดหาญประชัน
ด้วยเป็นดวงธรรมแห่งสุริยันดารา
นับแต่เสียงหวีดหวิวของเหล่ามาร ดังสะท้านเป็นครั้งแรก
เปรียบประดุจสัญญาณเตือนภัยเหล่าผีร้าย
ให้รู้ว่าต่อแต่นี้
ได้หมดสิ้นสมัยเสียแล้ว ที่มันจะหยิ่งผยอง
หมดโอกาสเสียแล้ว ที่ธรรมจะโห่ร้อง...
มีแต่เสียงหวีดหวิว...หวีดหวิว ที่ดังขึ้น... ดังขึ้นอย่างถวิลเทวษ
มือเล็กๆ ของพุทธบริษัทสี่เหล่า
อันไม่มากมายในอดีต
เริ่มผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด
ท่ามกลางเสียงโหยไห้อย่างเศร้าแสน
มันเคยชนะ...เคยชนะ
ไม่เคยคิดเลยว่าจะพ่ายแพ้
หารู้ไม่ว่าเมื่อครั้งกระโน้น ก็คือครั้งกระโน้น
ทุกอย่างย่อมพลิกเปลี่ยนได้เสมอ
คู่ต่อสู้ที่มันจะต้องประจัญนั้น
คือพุทธบริษัทที่จูงดึงกันมา
มีศาสตราวุธอันประกอบขึ้นจากธาตุ จรณะ ๑๕
ที่แข็งแกร่งและคมกริบ อย่างน่าสะพรึงกลัว
สามารถผ่าโลก แยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ณ บัดนี้
ท่ามกลางท้องฟ้าอันแจ่มใส ไร้เมฆหมอก
ละอองแห่งธรรมเริ่มคลุ้งตลบ
ทัพสี่เหล่าแห่งพุทธบริษัท
เริ่มแล้ว...พร้อมแล้ว
ที่จะประกาศมหิทธานุภาพ อันไพศาล
แห่งความเป็นพุทธศาสนิกชน ขนานแท้และดั้งเดิม
ยาตราแล้ว...
กองทัพธรรมเริ่มยาตราแล้ว
โอ ! จะมีพลังใดที่หาญเทียบ โอ ! จะมีอำนาจใดที่กล้าประชัน
มาแล้ว...โหมเข้ามาแล้ว
คลื่นแห่งพุทธบริษัทโหมเข้ามา ไม่ขาดสาย
ซัดแล้ว !...ซัดแล้ว !
พลังธรรมเริ่มประกาศปาฏิหาริย์แล้ว
ตูม !...ตูม !
เหล่ามารเลือดสาด ดิ้นพราด...
มันกำลังพลิกตัว
ยันตัวขึ้นมาต่อสู้
มาแล้ว...มาแล้ว
รี้พลแห่งกองทัพธรรม หนุนตีเข้าไปอีกแล้ว
มาร...
น่าสงสาร...
มันไม่รู้หรอกว่า
บัดนี้
ได้ก้าวเข้าสู่ยุค "รุ่งอรุณแห่งศาสนา" แล้ว
ที่กองทัพธรรมจะโหมบุก ดุจราวกับคลื่นในมหาสมุทร
เที่ยง ณ ตะวัน
21 มกราคม 2523
ในการพัฒนาด้านการเมือง
หมายถึง
การจัดระบบการเมืองให้มั่นคง แน่นอน
โดยมีอุดมการณ์ของชาติที่ว่า
จะต้องพัฒนาระบบการเมือง
ในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตย
ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ด้านเศรษฐกิจและสังคม
ประชาชนจะต้องไม่เอารัด เอาเปรียบกัน
ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
พระในนั้นสดใส ส่องเห็น
ทำให้จิตใจเย็น อยู่เสมอ
พระนอกนั้นมันเป็น โง่เขลา งมงาย
พากันขายจนเฟ้อ หลงเห่อ โฆษณาฯ
พระภายนอก บอกกันสร้าง อย่างสับสน
พวกเขลาคน พระอยู่ใน มองไม่เห็น
คงคิดว่า พระภายใน ไม่จำเป็น
จึงวิ่งเต้น สร้างพระนอก ออกโฆษณาฯ
บัวทอง จินดานุรักษ์
แต่งแต่ตัวหัวใจไม่ยอมแต่ง
ข้าวของแพงอย่างไรไม่รู้สึก
หลงสวยงามตามแฟชั่นอันล้ำลึก
ไม่เคยนึกถึงกฎความหมดเปลือง
แต่งแบบนี้แต่งไปก็ไร้ค่า
หากใจยังต่ำช้ามาหนุนเนื่อง
ควรแต่งพร้อมหัวใจให้เมลือง
ดีกว่าเฟื่องแต่งกาย...ใจเฟะฟอน !
ศิลป์อักษร
ต า ม ห ญิ ง ไ ท ย
หญิงไทย
จะก้าวไปทางไหนของเธอนั่น
จะนั่งอบร่ำแป้งแประกระแจะจันทน์
เหมือนสาวสรรกำนัลในหรือไงเธอ
จับไรจอนถอนผมรมขนคิ้ว
นั่งวาดริ้วตาระรวยสวยเสมอ
สะอิ้งสไบให้สะอางอย่างเลิศเลอ
ให้ชายชมชายเผลอเหม่อตาลอย
แล้วก้าวขึ้นเวทีที่ประกวด
เดินกรายอวดทิ้งตาชำเลืองชม้อย
เมื่อได้ตำแหน่งแห่งแน่แม่เนื้อกลอย
แม่ก็ลงมานั่งคอยให้ชายชม
หญิงไทย
หรือเธอจะก้าวไปทางเหมาะสม
ทางที่คนก้าวหน้าเขานิยม
ก้าวให้พ้นโคลนตมที่เน่านาย
ร่วมต่อสู้เพื่อหมู่มนุษยชาติ
ที่น่าอนาถทุกข์เข็ญอีกมากหลาย
สิทธิของเธอนั้นเล่าก็เท่าชาย
อย่ามัวคิดประดิษฐ์กายแต่เย้ายวน
ขอให้เธอก้าวขึ้นมาเคียงคู่
ลบคำหลู่ดูหมิ่นให้สิ้นถ้วน
ใช่จะดีเพียงจิ้มลิ้มนิ่มนวล
เมื่อยามแกร่งเธอก็ชวนโลกชม
กุลา เสรี
ผู้ที่ชอบอ้าง ทำตัวเป็น "ครู" เป็นอาจารย์หรือเป็น "ปุโรหิตา"
แบบไม่ใช่ "ครู"แท้ อาจารย์แท้ ปุโรหิตาจริง
ก็เพราะว่าแม้แค่ทำตนเป็นอย่าง "คนแบกคนหาม"
กล่าวคือไปหัดท่องๆ จำๆ
ภาษาแห่งวิชา แห่งปัญญาต่างๆ มาให้ได้มากๆ
แล้วนำออกมา "ถ่ายเท" นำออกมาบอกกล่าวผู้อื่น
แล้ว "อาจารย์เก๊" ปุโรหิตาปลอม พวกนี้
ก็จะได้รับลาภ หรือยศ หรือสรรเสริญ หรือสุข
เป็นสิ่งตอบแทนอยู่เช่นกัน
จึงได้เกิดมี "อาจารย์เก๊" เกิดมี "ปุโรหิตาปลอม"
เกิด "ครู" ที่แสนเบา "ครู" ที่แสนง่ายขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง
เพราะเหตุแห่ง "ความโลภ" และความตื้นเขิน ดังนี้
สมณะโพธิรักษ์
การรู้แจ้งว่าวิญญาณ เป็นสิ่งต่างหากจากอัตตา
เป็นการก้าวแรกไปสู่ ความหลุดพ้นสูงสุด
เราจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่า
ความจริงนั้น เราเป็นอมตวิญญาณ
ซึ่งเราจะทำได้ก็โดยเอาชนะอัตตา
โดยยกระดับจิตขึ้นเหนือ ความละโมบ
ความหยิ่งผยอง และความหวาดกลัวทั้งหลาย
โดยกระทำความรู้แจ้งว่า
การสูญเสียทางโลกธรรม และความตาย
ไม่อาจพรากอะไรไปจาก ความจริงแท้
และความยิ่งใหญ่ของวิญญาณได้
รพินทรนาถ ฐากูร
ข้อสำคัญที่สุด ในการเรียนรู้ และปฏิบัติธรรมนั้น
อย่าสอน "อนัตตา" ก่อน "วิมุติ" เป็นอันขาด
ต้องให้รู้จัก "วิมุติ" และต้องมีสภาพ "วิมุติ" ในตนก่อนเสมอ
ให้มี "อัตตา" ที่เป็น "อรหัตผล" ให้ได้ก่อน
แล้วค่อย "ปฏินิสสัคคานุปัสสี" เป็น "อนัตตา" เป็นขั้นสุดท้าย
ถ้าผู้ใดเรียน "อนัตตา" ก่อน "วิมุติ" ก็จะเพ้อเจ้อไปแต่ความคิด
ยิ่งผู้มีปัญญาดี แต่ยังไม่มี "วิมุติ" อันใดในตน
ก็จะหลงผิด หลงตัวได้ง่ายๆ ที่สุด
บ้างก็ได้เพียง "รู้" วิมุติใด ที่มีเป็นบารมีเดิมติดตนมา
ก็จะได้เพียงเท่าเดิมนั้น แต่จะไม่รู้ตัวรู้ตน
โดยเฉพาะไม่อาจรู้ "เจโตวิมุติ" ของตนชัดเจนแน่แท้
จึงจะไม่ได้เพิ่มภูมิ "วิมุติ" ให้ตนอีก
หรือ บ้างก็จะได้เพียงรู้ภาษา เข้าใจเหตุผล เป็นเพียง "ตรรก"
แล้วก็ "หลงตน" กลายเป็น "ตักกี โหติ วีมังสี"
อันคือ นักรู้ด้วยคาดคะเนด้นเดา กันอยู่เท่านั้น
ระวัง ! กันให้ดีๆ เถิด
สมณะโพธิรักษ์
เป็น ครูควรรอบรู้ สอนคน
ครู หมั่นแก้ไขตน ค่าล้ำ
ต้อง มองเพื่อมุ่งผล ส่วนรวม รวมนา
ยึด แต่สิ่งช่วยค้ำ เทิดไว้คุณธรรม
คุณ ค่าใดเล่าล้ำ คุณครู
ธรรม จักรแผ่เฟื่องฟู ฟ่องหล้า
ของ ดีที่ควรชู ควรเชิด
ครู อื่นใดทั่วฟ้า ค่าน้อยพุทธครู
กรองทอง
"ครู" คือแม่พิมพ์ทองเอกของชาติ
เด็กฉลาดเพราะครูผู้สั่งสอน
เด็กโง่เขลาเพราะเราเองเร่งสังวร
จงอาทรเด็กไทยที่ไกลตา
"เขา" เฝ้าคอยคอย "ครู" ผู้มาใหม่
เพื่อจะได้เล่าเรียนเพียรศึกษา
แต่ "เขา" ต้องผิดหวังทุกครั้งครา
"ครู" ไม่มาเพราะกลัวยาก...ลำบากกาย
วรพันธุ์ จินจะยะ
แสงเทียนน้อยน้อยอาจด้อยค่า
สุริยายังส่องแสงสว่างฉาย
สุริยาลับฟ้าเคลื่อนคล้อยคลาย
สว่างพายมืดมิดจิตมืดมน
ครานี้แหละเทียนดวงน้อย เคยด้อยค่า
สว่างจ้าจรัสแสงทุกแห่งหน
เทียนสามารถส่องทางให้ผู้คน
ที่มืดมนเห็นหนทางสว่างไท
จงเป็นเทียนดวงน้อยน้อย แม้ด้อยค่า
นำประชาสู่หนทางที่สดใส
อนาคตของโลกจะก้าวไกล
หากเราไม่ปล่อยให้ใครใจมืดมน
สุวิมล ลิ่มลิขิต
เราจะรู้จัก "ทุกข์" ที่น่าเบื่อ
แต่เราจะไม่เบื่อที่จะอยู่กับทุกข์
ด้วยการทำตนให้อยู่เหนือทุกข์นั้นๆ ให้ได้
ถ้าเห็นว่าการนั้นดีแล้ว ควรแล้ว หรือจำเป็น
สมณะโพธิรักษ์
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
ฉันยังจำได้ติดตา และติดใจ
ไม่รู้ลืม...แม้บัดนี้
ว่า...น้ำทะเลสีเขียวสดใส
หาดทรายขาวผ่องดุจแพรวไหม
ฝูงปลาเริงร่าภายใต้สายน้ำใส
หมู่เรือใบลอยล่องสู่ท้องทะเล อันกว้างไกล
ท้องฟ้าสีครามงามปลอดโปร่ง
ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้...
ฉันยังจำได้ติดตา และติดใจ
ไม่รู้ลืม...แม้บัดนี้
ว่า...น้ำทะเลดำคล้ำแสนสกปรก
หาดทรายเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล
ฝูงปลาหาแทบไม่มี
หมู่เรือใบเกยตื้นรอวันผุพัง
ท้องฟ้ามืดมัว แลสลัวมืดครึ้ม
อากาศวิปริต...มืดมิด
แม้ใจฉันก็เถอะ...
อุทัย
ทะเล...มีแต่ความปั่นป่วน
หัวใจ...มีแต่ความทุกข์หมอง
ด้วยอำนาจแห่งศีล จะเริ่มแบ่งกั้นทะเลเป็นชั้นชั้น
ทะเลก็ทะเลเถอะ
จะเริ่มสงบ คลายจากความว้าวุ่น
กดศีลลงไป...กดลงไป
ด้วยความเข้าใจในสาระ...ในคุณค่า
ให้ลึกซึ้งขึ้น...ลึกซึ้งขึ้น
ทะเลก็จะเริ่มสงบ... หัวใจก็จะเริ่มผ่องใส
ใต้ร่มอโศก
บทเพลงพระยาเด็ก
อืม์ ! เป็นอีกแล้วซินะ หัวใจเจ้ากรรมของฉัน
อยู่ดีไม่ว่าดี แอบเอามีดมากรีดตัวเองเล่น
ไหนว่าเมื่อเข้าสู่แดนธรรม จะสละสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
ชีวิตนี้มีแต่การให้ ให้ ให้ ให้อย่างเต็มใจ
ฉันตรวจตัวชีวิตที่ก่อเกิด ที่ฟูมฟักมานานปี
เห็นแต่ "ศีล" ล้อมไปทั่วกายและใจ
จะกินจะอยู่ ก็ตั้งสติ
จะหลับจะนอน ก็สำรวมไม่เผลอไผล
เตือนตนตลอดอยู่ ทั้งกลางวัน กลางคืน
อุตส่าห์สลัดแอกสังคมที่ยึดถือ
อุตส่าห์เดินต้านทวนกระแส กับคนทั้งโลก
เอาชนะสิ่งที่คนทั่วๆ ไปเขายอมสยบมาได้
ใครเห็นก็คงคิดว่า นี่แหละ "ยอดมนุษย์"
นี่แหละคือ "มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่" ในยุคปัจจุบัน
ใครล่ะที่จะยอดเก่ง แสนฉลาดไปกว่านี้
แต่อนิจจา ตัวฉัน
ฟ้าเท่านั้นที่รู้ดี
แม้จะดูคล้ายดั่งผู้ใหญ่ที่หนักแน่น และอาจหาญ
จนใครๆ ก็ต้องขอคำปรึกษา ขอความช่วยเหลือ หารู้ไม่ว่าทุกวันนี้
ฉันกลับคุ้ยเขี่ยหาเศษรัก จากกองขยะ
ร่ำร้องความเห็นใจ อย่างโหยหา
เรียกร้องความสำคัญแห่งอัตตา อย่างบ้าคลั่ง
และจบลงด้วยความน้อยใจ
น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ
น้อยใจเพราะผิดที่คาดหวังเอาไว้
เสียใจเพราะไม่มีใครให้เกียรติฉัน
เศร้าใจเพราะไม่มีใครยอมรับ ความยิ่งใหญ่ของฉัน
หม่นหมองเพราะไม่มีใครเห็นฉัน เป็นคนสำคัญ
และแล้วบทเพลงพญาโศก ก็เริ่มดังอย่างอ้อยอิ่ง
อัตวินิบาตกรรมเริ่มเกิด อย่างเชื่องช้า
ณ มุมมืดในซอกของหัวใจของฉัน
ฉันบรรจงเอาเข็มแหลมทิ่มแทงตัว นับแสนนับล้านเล่ม
และแสนจะประหลาด ถ้าใครรู้ว่าฉันทำด้วยความพอใจ !
โอ้ ! หัวใจที่แสนจะออเซาะ และหลงตน
อย่าเลย หัวใจของฉัน อย่าเลย
อย่าเลยนะ
อย่ามัวแต่หลงตัวหลงตน ว่ายิ่งใหญ่
จนถึงขนาดนี้ ทุกอย่างจะต้องเป็นไป ตามที่ฉันคิด
อย่าเลย
อย่ามัวร่ำร้อง ความรัก ความเมตตาจากผู้ใด
ถ้าหากจะเป็นเพชร
ก็จงพอใจที่เป็นเพชร
แต่อย่าไปเที่ยวอวดให้ใครมารู้ว่า เราเป็นเพชร
เพชรในโคลนตม มันไม่เคยบอกโคลนทั้งหลาย ว่ามันเป็น
มันยังคงอยู่อย่างสงบ และเบิกบาน
อย่าเลย เจ้าหัวใจที่แสนจะออดอ้อน อย่าเลย
อย่ามัวแต่เป็นวณิพก เที่ยวขอเศษรักข้างถนน อย่างหิวโหย
อย่ามัวแต่ทำเหมือนนางระบำ เปลื้องผ้า
ที่โศกศัลย์ ยามที่ไม่มีใครปรบมือชมเชย ขณะแสดงเสร็จ
อย่าเลย เจ้าหัวใจที่แสนจะอวดดี อย่าเลย
อย่ามัวแต่ทำเหมือนคนเป็นผัวเมีย มาน้อยใจโยนใส่กัน
มีประโยชน์อะไรที่ฉันจะทำแบบนั้น
นอกจากจะทำให้กลับดิ่งลงหุบเหว
ฉันชนะมาแล้ว
ชนะคนทั้งโลกอย่างทระนงองอาจ
ชนะวิญญาณผีเปรตที่สิงสู่
ชนะกองทัพศัตรูที่ดาเข้ามา ทุกรอบทิศ
ฉันคือนักรบผู้ยิ่งใหญ่
นี่ฉันเก่งขนาดนั้นเชียวหรือนี่ ?
เรื่องอะไรที่ฉันจะมัวเอาเหล็กแหลม มาทิ่มแทง
เรื่องอะไรที่ฉันจะมัวเหน็บตัวเอง
พอกันที
ฉันมิใช่เด็กอีกต่อไป
ไม่ต้องหวังให้ใครมายอมรับ
เลิกกันที
ที่จะยอมให้ตัวเองเป็นอึ่งอ่าง พองลม
ฉันทุกข์มาพอแล้ว
ชีวิตของฉันจะทำแต่สิ่งที่ดีที่สุด โดยไม่หวังอะไร
ฉันจะโค่นต้นยูงยางในหัวใจ ให้เหี้ยนเตียน
จะปลูกกอหญ้าให้ดาษไสว ไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมาศรัทธา มาเคารพ
ฉันจะเป็นดวงดาวที่ไกลสุดโพ้น บนฟากฟ้า
พอใจที่จะสถิตอยู่ ณ ที่นั้น
แม้จะริบหรี่ จนไม่มีใครมองเห็นก็ตาม
แม้คนเขาจะตื่นเต้นกับดวงดาว ที่สุกสกาวสว่างใส
ที่ห่างออกไปจากตัวฉัน
ฉันก็ยังรื่นเริงอยู่ เบิกบานอยู่
ไม่มีความอึดอัดขัดเคือง
ไม่มีความเศร้าหมองต่อสิ่งใด
ดูตัวฉันซิ เล็กซะจนไม่มีใครสนใจ
ฉันอิ่มใจ พอใจ
แม้แสงจะสลัว มืดมัวอยู่กลางจักรวาล
โอ! เมื่อหัวใจไม่มีอะไร
มันสบายขนาดนี้เชียวหรือ ?
ทุกอย่างมันก็ยังคงมีอยู่
แต่ฉันจะไม่หลงไปแบกมันเอาไว้
ทางชีวิตของฉันเริ่มแจ่มใส
ฉันเห็นฝั่งวัฏฏะอยู่รำไร
เท้าของฉันเตะขวดนมลอยกระเด็น
หลังจากที่ดูดมันมาตั้งแต่เกิด
พอกันที
เจ้าตัวโศกเศร้าน้อยใจ ที่แสนจะเลวร้าย
ดอกหญ้า
4 ธ.ค. 2521
วิตกฺกมถิตสฺส ชนฺตุโน
ติพฺพราคสฺส สุภานุปสฺสิโน
ภิยฺโย ตณฺหา ปวฑฺฒติ
เอส โข ทฬฺหํ กโรติ พนฺธนํ
สำหรับผู้ที่คิดฟุ้งซ่าน มีราคะจัด
ติดอยู่ในสิ่งสวยงาม
ตัณหามีแต่จะเจริญยิ่งขึ้น
เขาย่อมทำเครื่องจองจำให้มั่นคงขึ้น
พระพุทธพจน์
ทุปฺปพฺพชฺชํ ทุรภิรมํ
ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา
ทุกฺโข สมานสํวาโส
ทุกฺขานุปติตทฺธคู
ตสฺมา น จทฺธคู สิยา
น จ ทุกฺขานุปติโต สิยา ฯ
การสละโลกียวิสัยออกบวช ก็ยาก
การจะยินดีในเพศบรรพชิต ก็ยาก
การครองเรือน เป็นทุกข์
การอยู่ร่วมกับผู้ไม่เสมอกัน ก็เป็นทุกข์
ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ ก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ไม่ควรเป็นผู้ท่องเที่ยวในสงสารวัฏ
และไม่ควรแส่หาความทุกข์ใส่ตน
พระพุทธพจน์
ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์
ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์
ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล
ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา
และนักปราชญ์ย่อมกล่าว ศีลกับปัญญา ว่าเป็นยอดในโลก
เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น
พระพุทธพจน์
(สารอโศก..ฉบับคลื่นแห่งรุ่งอรุณ ปีที่ 3 ฉบับที่ 6 มกราคม 2533)
เม็ดทราย หน้า ๑๑
เม็ดทราย หน้า 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |