หน้าแรก  
บันทึกปัจฉาสมณะ
โดย สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ ตอน...
บุญนิยมรอบกว้าง และใหญ่ขึ้น
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 231
หน้า 2/2

 

บริษัท ขอบคุณ จำกัด

“ตอนนี้บริษัทใหม่เกิดขึ้น ชื่อบริษัทขอบคุณ จำกัด ไปจดแจ้ง และ ได้รับใบอนุญาตมาแล้ว จากกระทรวงพาณิชย์ โอ้โฮ! จะไม่ให้เราแน่ะ บอกว่าไปซ้ำกับ ของคนอื่นเขา บริษัทแท้งค์กิ้ว เขาสะกด เป็นภาษาไทย ทับศัพท์ภาษาฝรั่ง ก็แท้งค์กิ้ว กับขอบคุณ มันคนละอย่าง นี่ภาษาไทย นั่นภาษาฝรั่ง ผู้อำนวยการ นี่ก็แปลก เราบอกว่า ภาษาต่างชาติ เราก็ไม่ได้ไปใช้ THANK YOU ด้วย ตอนนั้น เราไม่ทันคิด ถามอาจารย์ขวัญดี ว่าเอาอะไรดี อาจารย์ขวัญดี ก็บอกว่า ใช้ APPRICIATE ก็แล้วกัน ภาษาไทย ก็ใช้ขอบคุณ เขาก็ฟังๆ อยู่ ตอนหลัง เลยมาแก้ใหม่ เอาภาษาฝรั่งเศส แล้วกัน MERCI ซึ่งเขาออกเสียง ฝรั่งเศส และ เป็น ”ขอบคุณ” ของ ฝรั่งเศส

ทนายรินไทเดินเรื่อง และไปคุย ผู้อำนวยการบอกว่า ถ้าคุณไม่เอา ขอบคุณ คุณเอา MERCI ผมให้คุณเลย คิดดูขอบคุณไม่ให้ ให้ MERCI แล้ว THANK YOU ก็ขอบคุณ เหมือนกัน คุณคิดดูซิ MERCI ภาษาฝรั่งเศสให้ ไทยกลับไม่ให้ นี่เห็นไหม อาตมาว่า มีอะไร ซับซ้อนอยู่ในใจ อาตมาบอกว่า อย่าหยุด ผู้อำนวยการไม่ให้ ให้เดินถึงกระทรวง อาตมาบอกไว้ต่อเลยว่า ถ้าไม่ได้นะ คุณเป็นทนายด้วย ถึงศาล ให้ศาลตัดสิน พิจารณาว่า เราเสนอชื่อนี้ ทำไมไม่ให้เรา มันเป็นความผิดกฎหมายตรงไหนพอไปถึงกระทรวง ทางกระทรวงอนุมัติ บอกว่าได้ บริษัทขอบคุณ สังคมไทย แค่นี้ก็เป็นเรื่อง ที่สนุกน่าดู ต้องต่อสู้ อะไรไม่รู้ บริษัทนี้ จะไปจดทุนขั้นต้น ๓ ล้าน ใครจะซื้อหุ้น เชิญ ตอนนี้ มีกลุ่มหนึ่ง เขาซื้อหุ้นแล้ว ๑ ล้าน ยังเหลืออีก ๒ ล้าน บอกก่อนได้เลยว่า หุ้นที่นี่ไม่มีปันผล บุญนิยม เราพูดกันอย่างนี้ หากขายคืน เอาปันผล ยังถือว่าไม่ใช่บุญ มาช่วยลงทุน มาช่วยทำ บริษัทนี้ บริษัทนี้ จะเป็นบริษัท ขายสินค้า ของ ชาวอโศก เป็นบริษัทขายส่ง ต่างจากแด่ชีวิต แด่ชีวิตทำมา ได้ดีขนาดนี้ ก็ไม่เป็นไร มันจะเคี่ยวเป็นบุญนิยม ที่เข้มกว่านี้ ยังไม่ได้ อาตมาก็โอเค ไม่เป็นไร แด่ชีวิตค่อยๆ ทำไป ก็แล้วกัน ไม่แน่หรอก บจ.แด่ชีวิต อาจเจริญกว่าขอบคุณก็ได้ ในอนาคต“ขอบคุณ” เป็นบริษัทของส่วนกลาง แด่ชีวิต ก็ของส่วนกลาง แต่ว่าเริ่มต้นมา ยังมีรายได้อยู่บ้าง แต่ไม่มากหรอก เหมือนพลังบุญ เหมือนฟ้าอภัย เราก็เซ็นรับมาหมด ตามอัตรา ค่าแรงงาน ขั้นต้น แต่เอาจริงไม่ถึง เท่านั้นเอง นี่เป็นเรื่องของ การเสียสละ ของเขา เป็นสิทธิมนุษยชน ทางรัฐ มาละลาบละล้วง ไม่ได้ เขายินดีจะรับเท่านั้น เขาไม่ได้ผิด ตามบัญชีถูกต้อง ไม่ได้โกงอะไร แต่การเสียสละ เป็นเรื่อง ของ บุคคลบริษัทขอบคุณนี้ ทุกคนทำงาน ในบริษัทนี้ฟรีหมด ใช้เงินส่วนกลาง เป็นสาธารณโภคี ให้เพียวๆ เลย เราจะเริ่มต้น ลองดู มันจะต้องใช้ค่าใช้จ่าย อะไรต่ออะไรอยู่บ้าง จะพอหมุนพอใช้ หรือไม่ จะดำเนินดู เอ้าใครจะช่วย มาอุดหนุน ช่วยบริษัทนี้ให้รอด ต้องมาเสียสละ เงินคุณต้องมาจม ถ้าในอนาคต บริษัทรุ่งเรือง มีเงินพอ ที่จะซื้อหุ้นคืนได้ คุณก็มาไถ่ออก อย่างบริษัทพลังบุญ บริษัทฟ้าอภัย บริษัทพลังบุญ ขณะนี้ จดทุนไว้ ๙ ล้าน บริษัทฟ้าอภัย ๑๐ ล้านบาท ตอนแรกจด ๕ ล้านทั้งคู่ จ่ายหมดแล้ว และ ซื้อคืน มาเยอะแล้ว วิธีซื้อคืน เขาต้องมาศึกษา ในอนาคต หุ้นนี้ กลายเป็นหุ้น ไม่มีเจ้าของ เป็นหุ้นของ invisible man คือ มนุษย์เจ้าของ ไม่มีตัวตนขณะนี้ ๙ ล้านบาท ของบริษัทพลังบุญ หรือ ๑๐ ล้านบาท ของ บริษัทฟ้าอภัยนี่ ยังเหลือมีตัวตนอยู่ ไม่ถึง ๒๐% เพราะฉะนั้น ถ้าบริษัทนี้ล้ม ไม่มีตัวตนบุคคล มาดึงเอาทรัพย์สินไป แต่จริงๆ อสังหาริมทรัพย์ บริษัทสองบริษัท มีมากกว่า ๙ ล้าน มีมากกว่า ๑๐ ล้าน ขณะนี้ สองบริษัทนี้ เป็นไปได้ แล้วก็ไปคืนหุ้น คืนทุน กับผู้มาช่วย ตั้งแต่ต้น คืนไปเกือบหมดแล้ว บริษัทขอบคุณนี้ เริ่มต้น ก็จะเป็นอย่างนี้ ต่อไป จะคืนเหมือนกัน คืนหุ้นให้คุณ คุณได้มาลงทุน ช่วยเพื่อสร้าง ให้บริษัทนี้ เป็นรูปเป็นร่าง เป็นประโยชน์ ต่อสังคมม นุษยชาติต่อไป ใครสนใจ อยากจะซื้อหุ้น ก็ไปติดต่อ ที่ห้องเผยแพร่เท็ปเราค่อยๆ กอปรก่อไป ไม่ว่าการพาณิชย์ ซึ่งยิ่งใหญ่นะ ในโลกนี้ สมัยโบราณ มีแต่บาเตอร์ แลกของไป แลกของมา สมัยนี้ ไม่ใช้บาเตอร์แล้ว ใช้ธนบัตร แล้วมีวิธีซับซ้อน ในเรื่องการเงิน ค้าเงิน มีเชิงกล หมุนเอาเงิน ได้อย่างซับซ้อน โอ้โฮ! อาตมา ไม่มีความรู้เท่า เดี๋ยวก็ปั่นขึ้นปั่นลง มีวิธีโกยเงิน เข้ากระเป๋า แบบนี้บาป ไม่รู้จะบาปอย่างไร หลอกคน ปั่นคน มีคนบ้าจี้ แล้วดักเอา เงินพวกนั้น มาเข้ากระเป๋าตัวเอง โอ้โฮ! วิธีการพวกนี้ บาปน่าดูเลย ที่เอาเงิน เข้ากระเป๋าตัวเอง เป็นวิธีการ เลวร้ายมาก แต่ไม่รู้จะไป ห้ามเขาอย่างไร ทั่วโลกเป็นกันหมด วิธีการหาเงิน มักได้ มักมากอย่างนี้ ทวนกระแส ตรงข้าม กับวิธีการ บุญนิยม เพราะฉะนั้น ทุนนิยมนี่ หยาบคาย และ ซับซ้อนไปอย่างนี้ ส่วนบุญนิยมเรา ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ เห็นความจริง ให้ได้ว่า คนเราเสียสละ สร้างสรร เป็นประโยชน์ ต่อผู้อื่น เป็นคนดีใช่มั้ย เป็นคนควรเคารพ นับถือบูชาคนที่มีความเฉลียวฉลาด แล้วกอบโกย เอามาใส่กระเป๋า ตัวเอง เอามากินมาใช้ มาเสพ มาบำรุงบำเรอ ของตัวเอง ให้ฟู่ฟ่า เป็นศักดินา แค่เดินเข้ามาบ้านคุณ ก็น่าคร้ามเกรงแล้ว บ้านคุณ ก็มโหฬารพันลึก สวยสด งดงาม อะไรต่างๆ นานา ข่มเบ่งกัน ไม่เข้าเรื่อง ชีวิตก็ไป ทวนกระแส กับพระพุทธเจ้า ความเป็น มนุษย์วิเศษ มนุษย์ประเสริฐ มันไม่ใช่อย่างนั้น อย่างนั้น มันขูดรีด เอาเปรียบ แล้วทำแบบอย่าง ที่เลวร้าย ทำให้สังคม เดือดร้อนคนรอบนอก คนชั้นล่าง แย่ลงไปทุกวัน คนชั้นสูง ฉลาดขึ้น รวยยิ่งขึ้น กอบโกยขูดรีด ได้มากขึ้น เอาเปรียบ ได้เยอะขึ้น แล้วมีกรรมวิธีกด ซับซ้อน อาตมาพูดไม่หมด ไม่มีปัญญา จะไปรู้เขา มาพูดด้วย เพราะพวกนั้น เก่งจริงๆ ฉลาดแต่อวิชชา อาตมา ตราหน้าไว้ พวกฉลาดอวิชชา ทำลายโลก ทำลายสังคม ตัวเอง ก็ได้บาป แต่เขาฟังไม่เป็น บาปอะไรก็ไม่รู้ อาตมาพูดเรื่อง บุญนิยม คิดว่า คงได้ฟังอะไร เข้าใจขึ้นไปอีก แล้วสังคม อย่างนี้ อาตมา ขอยืนยันว่า มีประโยชน์ต่อ มนุษยชาติ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ จะอนุเคราะห์โลก จริงๆ ยิ่งทุกวันนี้ อาตมายิ่งเห็นชัดเจน มีอันนี้เท่านั้น ที่จะแก้วิกฤต ความเดือดร้อน ของโลกทั้งโลก แล้วอันนี้ เป็นสิ่งจริงใจ จนมีสุข เพราะเรา เต็มใจจน แต่เราไม่ได้อดอยาก...”

ทั้งหมดข้างต้นนี้ เป็นช่วง ที่พ่อท่านให้ข่าว ก่อนการแสดงธรรม ก่อนฉัน ในบรรยากาศ วันอาทิตย์ ๒๙ ต.ค.’๔๓ ซึ่งมีญาติโยม มาทำบุญ ฟังธรรมกัน มากกว่าวันธรรมดา โดยก่อนหน้านี้ พ่อท่าน ให้ข่าวเรื่องหนังสือ EQ โลกุตระ ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ข่าวที่สอง เป็นข่าวเรื่อง การจัดเตรียม โรงบุญ ๕ ธันวาฯ ซึ่งปีนี้ เป็นปีที่ ๑๘ แล้ว ใครจัดเล็ก จัดใหญ่อย่างไร ให้ส่งข่าวมา ที่ส่วนกลางด้วย ข่าวที่สาม เรื่องงานปีใหม่ “ตลาดอาริยะ” เราแจกเทียมขาย ขายต่ำกว่าทุนจริงๆ จัดมากว่า ๑๕ ปีแล้ว ถือเป็นประเพณี ของเรา ปีนี้คาดว่า คนจะมามากขึ้น พวกเรา น่าจะได้เตรียมตัว ไปเอากำไรอาริยะ (ขายต่ำกว่าทุน) กันให้ครึกครื้น ข่าวที่สี่ เกี่ยวกับ กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ข่าวเกี่ยว กับ บริษัทขอบคุณนี้ เป็นข่าวสุดท้าย

๒๔ ต.ค.’๔๓ ที่ปฐมอโศก ช่วงบ่าย พ่อท่านได้รับ โทรศัพท์ จากคุณแซมดิน แจ้งว่า ทางสถานีโทรทัศน์ UBC ติดต่อ อยากจะนิมนต์ พ่อท่าน ไปออกรายการ โทรทัศน์ พรุ่งนี้บ่าย ๒ โมง โดยจะสนทนา ในประเด็นเรื่อง พระระดับเจ้าอาวาส ที่เป็นข่าว ไปเที่ยวผับ และ กรณีการบวช พ่อท่านตอบรับ ข้าพเจ้า ได้รับรู้เพียงเท่านี้ ไม่ทราบรายละเอียดว่า รายการอะไร มีใคร ร่วมรายการด้วย หรือเปล่า สถานีโทรทัศน์ UBC อยู่ที่ไหน คาดว่า ไปถึงสันติอโศก พรุ่งนี้คงทราบได้

พ่อท่านโทรศัพท์ไปถึง สมณะเดินดิน ติกขวีโร ที่ราชธานีอโศก เพื่อชวน ให้มาร่วม สังเกตการณ์ ร่วมเรียนรู้ การออกรายการ โทรทัศน์ ของพ่อท่าน จะได้ไม่เกร็ง หากในอนาคต สมณะ เดินดิน ติกขวีโร จะต้องออก รายการโทรทัศน์ แทนพ่อท่าน หรือ ช่วงที่พ่อท่าน ล่วงลับ สมณะเดินดิน ติกขวีโร ตอบว่า ต้องอยู่ช่วย เตรียมงาน อบรมชาวบ้าน ไม่สามารถมาได้ถ้าเขียนอย่าง นวนิยายกำลังภายใน ก็ถือว่า พ่อท่าน จะพยายาม ถ่ายทอด วิทยายุทธ ให้สมณะเดินดิน ติกขวีโร ซึ่งที่จริง พ่อท่านก็เคยพูด ทำนองนี้ ในที่ประชุม สมณะ หลายปีก่อน ที่มีผู้เสนอ

อยากให้สมณะเดินดิน ติกขวีโร ออกจากหน้าที่ ปัจฉาสมณะ ไปอยู่ช่วยนำ ที่พุทธสถานอื่น มาแล้ว พ่อท่าน ก็ดึงเอาไว้ อยู่ด้วยเหตุผล เช่นนี้เหมือนกัน

๒๕ ต.ค.’๔๓ ที่ห้องรับแขก ของสถานีโทรทัศน์ UBC ชั้น ๑๒ A บนตึก NATION TOWER ถนนบางนา-ตราด พ่อท่าน และ พวกเรา ที่ติดตาม ไปถึงก่อนเวลา ออกรายการ

ครู่ต่อมา พระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดี มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย และ ดร.พระมหาต่วน สิริธัมโม วัดอัมรินทราราม เข้ามาในห้องรับแขก ด้วยสีหน้า ยิ้มแย้ม มีไมตรี พ่อท่าน และ สมณะที่ติดตาม ยกมือนมัสการ ท่านทั้งสองรูป ที่มีพรรษามากกว่า ซึ่งทั้งสองท่าน ก็มีท่าที มิได้ถือตัว หรือ ยศศักดิ์ ยกมือประณม ตอบรับการคารวะ ของ พ่อท่าน และ สมณะ อย่างมีอัธยาศัย ที่ดีต่อกัน

พ่อท่านเอ่ยคำทักทาย อย่างกับ รู้จักกันมานาน “แหม! วันนี้ กระทบไหล่ ดาราเลย ผมไม่ได้ออกทีวี มานานแล้ว”

พ่อท่านขยับตัว หยิบหนังสือ EQ โลกุตระ (ที่เพิ่งเร่งให้เสร็จ ในวันนี้ ก่อนออกเดินทางมา ๕ เล่ม) ถวายให้ทั้ง พระศรีปริยัติโมลี และ พระมหาต่วน

พระศรีปริยัติโมลี กล่าวเปิดพลิกดูหนังสือ EQ โลกุตระ

“...เห็นตามหาแก่นธรรมอยู่เรื่อยๆ...”

“มีข้อเสนอใหม่ๆ ให้สังคมอยู่เรื่อยๆ นะครับ...”

“แหมพระพุทธรูปเกาหลีนี่สวยมาก (จากหนังสือ EQ โลกุตระ) ”

พ่อท่านยังคงยิ้มๆ ตอบรับ ไม่ได้กล่าวอะไร

พระมหาต่วน เสริมกล่าวคำทักถาม และ ชวนพ่อท่าน คุยต่อ “สมัยที่ทำงานอยู่ทีวี เพลงเขียนเยอะใช่ไหม”

พ่อท่าน : ก็ไม่มากเท่าไหร่ เป็นงานอดิเรก ไม่ใช่งานหลัก พวกที่เขาแต่ง เป็นพันๆเพลงก็มี อย่างสุรพล โทณวณิก

พระมหาต่วน : มีเพลงธรรมะ ที่ดังๆ

พ่อท่าน : เพลงธรรมะไม่ดัง มีแต่ในชาวอโศก

พระมหาต่วน : พวกที่เขาอยู่ในวงการศิลปิน เขารู้หรือเปล่า

พ่อท่าน : เพลงธรรมะ นี่เข็นไม่ขึ้น

พระมหาต่วน : น่าจะเอาให้ดัง แบบเพลงปลุกกิเลส

พ่อท่าน : ขนาดเขาทำ ทุ่มทุนทุกสภาพ กว่าจะดัง แต่ละเพลง เขาต้องใช้ ๑๐ ล้าน นี่เพลงธรรมะ จะให้ดัง ก็คงสัก ๑๐๐ ล้าน ละมั้ง มันคนละอารมณ์ ของธรรมะ ไม่หวือหวา ไม่จัดจ้าน ไปเรื่อยๆ เงียบๆ อย่างเพลงระดับ กัลยาณธรรม เช่นเพลง ค่าน้ำนม เขารู้กันทั่ว แต่ไม่หวือหวา ถึงฤดูวันแม่ ก็ค่อยเอามา ร้องกัน

พระมหาต่วน : แล้วอย่างละคร มีไหม

พ่อท่าน : ผมไม่ค่อยทำละคร ไปทำสารคดี กับเด็ก เสียมากกว่า ตอนอยู่ทีวี ผมทำรายการพวกนี้ มากที่สุด

พระมหาต่วน : สมัยนั้น มีการแยกเพลง ลูกทุ่ง ลูกกรุง เป็นเพราะอะไร

พ่อท่าน : อันนี้เป็นแนวคิด ของคุณจำนง รังสิกุล โดยรวบรวม เอาเพลง ที่มีลักษณะ ลูกทุ่งๆ ตอนนั้น ยังเริ่มต้น ไม่เจตนา แต่เป็นความเข้าใจว่า น่าจะจัด หมวดหมู่ ให้เป็นลูกทุ่งๆ

พระมหาต่วน : สมัยนั้น ลูกทุ่ง จะเข้าทีวีก็ยาก

พ่อท่าน : ใช่จะถูกหยามๆในทีว่า เป็นคนชั้นล่าง เป็นศักดินา กันอยู่ในที เป็นเรื่องของ ใจคนถือ และ แบ่งกัน ถึงยังงั้น ก็ยังมีการแต่ง อย่างสมัยใหม่ ยิ่งเดี๋ยวนี้ ยิ่งแข่งกันเยอะ

พระมหาต่วน : สาระ คติธรรม มันน้อย

พ่อท่าน : สมัยนี้ มันจัดจ้านมาก

พระศรีปริยัติโมลี : ช่องมันเยอะ มีชาวอโศก ไปจัดรายการ บ้างไหมครับ จะได้ถ่วงๆ ดึงๆ ไว้

พ่อท่าน : ไม่มี เพราะทีวีมันแพง แล้วผมก็มีนโยบาย ไม่อยาก ให้แพร่หลายไปเร็ว หากทำรายการทางทีวี มันจะไปเร็วมาก คนจะมามาก เกินแรงเรา จะทำให้ฟ่าม และ จะเป็นปัญหา กับเราเอง ต่อไป

พระศรีปริยัติโมลี : อาจารย์มีประสบการณ์

พระมหาต่วน : ผมก็รู้สึกอยู่เหมือนกัน ที่เราประสบ เศรษฐกิจ ฟองสบู่ อยู่ทุกวันนี้ เพราะเราไปหลงใหญ่ อยากจะเป็น เสือตัวที่ ๕

พ่อท่าน : พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อ ความมักใหญ่ มักมาก นั่นไม่ใช่ ของเราตถาคต ขนาดนั้น ในหมู่พวกเรา ก็ยังมี ดึงๆ กันอยู่ ที่อยากจะเผย จะแพร่ กว้างๆ มากๆ ก็มีอยู่

พอดีคุณพรภัทร เพ็ญภาส ผู้ดำเนินรายการ เข้ามาแนะนำตัว และ บอกชื่อรายการ “สภากาแฟ”

พระศรีปริยัติโมลี เย้าเรื่องชื่อรายการ “ถ้างั้น ต้องเปลี่ยน ชื่อใหม่แล้ว เป็น สภาชาสมุนไพร เพราะสันติอโศก ไม่ฉันกาแฟ”

ต่อมาคุณพรภัทร แจ้งชื่อการสนทนา “การเป็นพระที่ดี เป็นอย่างไร” และ แจ้งประเด็นหลักๆ ที่จะซักถาม สนทนากัน เมื่อคุณพรภัทร กล่าวถึง การตั้งคำถาม ประเด็นต่างๆ จะโยงมาถามทาง สันติอโศกด้วย ว่าเห็นอย่างไร

ท่าน พระศรีปริยัติโมลี ท้วงเพื่อให้เกิดภาพที่ดี ในการนำเสนอ รายการว่า “ถามทั่วๆ ไป อย่าไปเน้นถาม สันติอโศก เดี๋ยวจะเป็นปัญหา...”

หลังจากที่คุณพรภัทร ออกไปประสานงานต่อ กับทางห้อง ถ่ายทำรายการ พระศรีปริยัติโมลี บอกเล่าถึงข่าว ที่มีชาวบ้าน ทางเชียงใหม่ คิดทำจาน รับสัญญาณดาวเทียม จากกระทะ และ เชือกผูก เป็นตาข่าย รับสัญญาณภาพ จากดาวเทียมได้ โดยไม่ต้องซื้อ จานรับสัญญาณ ดาวเทียม จากบริษัท

พ่อท่าน : เมืองไทยแย่ตรงที่ ชาวบ้านมีแนวคิด ทำอะไรได้ดีๆ แต่รัฐไม่ส่งเสริม แล้วยังริษยาเสียอีก ช่วงชีวิตผม เห็นมามาก

พระศรีปริยัติโมลี : คนไทย อิจฉาริษยากันสูง

พระมหาต่วน : เราเมืองพุทธ มีธรรมะ ทำไมจิตใจ จึงเป็นอย่างนั้น

พ่อท่าน : พูดไปแล้ว ธรรมะไม่เข้าเป้า ไม่เข้าถึง ผมพูดแล้ว จะจับเข้าคุกอีก เขาไม่ฟัง แล้วเขาก็มีอำนาจ เสียอีก

พระมหาต่วน : ความจริงไม่ตาย แต่คนพูดจะตาย

พระศรีปริยัติโมลี : ตอนนี้ มีพระอยู่เยอะไหม

สมณะชัดแจ้ง : มี ๑๐๒ รูปครับ ผมเอง กว่าจะได้บวชก็ ๔ ปี จะบวชก็ยาก

พ่อท่าน : ขนาดยากอย่างนี้ ยังมีสึกกันเลย

พอดีคุณพรภัทร เข้ามานิมนต์ ให้เข้าไปในห้อง ถ่ายทำรายการ ในห้องถ่ายทำรายการ ฉากหลัง เป็นกระจก มองทะลุไปยัง ห้องทำงาน ฝ่ายข่าว มีจอภาพโทรทัศน์ ตามจุดต่างๆ ให้ตรวจดู

พ่อท่าน และพวกเราที่ติดตาม เข้าไปนั่งรอ ขณะที่ พระศรีปริยัติโมลี และ พระมหาต่วน ไปห้องน้ำ

คุณพรภัทร หันมาถามพ่อท่าน ”ผมจะใช้คำ นมัสการ ท่านได้ไหมครับ”

พ่อท่านตอบ “ได้ ก็เป็นพระนั่นแหละ เพียงแต่เขา กล่าวหาว่า อาตมา ไม่ใช่พระ”

ในห้องถ่ายทำรายการ ไม่กว้างใหญ่เท่าไหร่นัก ขนาดกว้างยาว ประมาณ ๑๐ x ๑๐ เมตร มุมอีกด้านหนึ่ง มีโต๊ะยาว และ ฉากหลัง สำหรับ ออกรายการข่าว หรือ รายการอภิปราย สัมภาษณ์ ในมุมภาพ ที่ต่างจาก ที่พ่อท่าน นั่งเตรียมตัว ออกรายการ ถ่ายทอดสด มีกล้อง ถ่ายทำรายการ ๓ ตัว

ก่อนเข้ารายการ คุณพรภัทร ดูสัญญาณจาก จอภาพ ข้างหน้า และบอก ผู้ร่วมงานทั้งหมด ให้เตรียมตัว “อีก ๓๐ วินาที เข้ารายการนะครับ”

มีเสียงรายการที่กำลังจะจบ ส่งเสียงเข้ามา ให้คนภายใน ห้องถ่ายทำได้ยิน ผู้ดำเนินรายการ จะได้เตรียมตัว และ พูดต่อรายการ ที่กำลังจะหมดลงไปได้

“เป็นพระที่ดี...เป็นอย่างไร?” เป็นประเด็นนำไปสู่ การสนทนา

คุณพรภัทร เริ่มต้นคำถาม ถามพ่อท่าน ด้วยเรื่องราว พระนอกรีต นอกรอย กรณี พระเที่ยวคาเฟ่ ตามที่เป็นข่าวนั้น พ่อท่านเห็นอย่างไร

“เห็นอย่างทุกคนเห็น คนมีความเข้าใจ รู้สึกเหมือนๆ กัน พระไม่น่า ประพฤติอย่างนั้น” พ่อท่านตอบ

เข้าใจว่าพ่อท่าน คงจะระมัดระวังภาพ “ได้ทีขี่แพะไล่” จึงตอบ อย่างระมัด ระวังถ้อยคำ

ไม่ตามกระแสสื่อ ที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ กันมากอยู่แล้ว อีกทั้ง ลักษณะความผิด ก็หยาบ และ ชัดเจนมาก จึงไม่จำเป็น ต้องวิเคราะห์ วิจัยอะไรอีก

เมื่อคุณพรภัทร ถามในลักษณะ สาวหาเหตุ ของการประพฤติผิด ว่าวัตถุนิยม มีผลอย่างไร ทำให้จิตใจ ของพระผู้ใหญ่ เปลี่ยนไป

ลักษณะ ของคำถามนี้ ค่อนข้างจะชี้นำ ให้ตอบว่า วัตถุนิยม มีผลต่อ การประพฤติผิด ของพระ แต่พ่อท่าน ไม่ได้เห็นคล้อย กับการชี้นำ ของ คำถาม จึงเป็นโอกาส ที่ได้อธิบาย ความลุ่มลึก ของศาสนาพุทธ ที่พ่อท่านเข้าใจ

“ศาสนาพุทธ ไม่ได้ปฏิเสธวัตถุ เรียนรู้เท่าทันทั้งวัตถุ และ จิตวิญญาณ เรียนรู้ ทั้งสองด้าน เข้าใจอย่างชัดเจน

โดยเฉพาะ เรียนรู้ทางปรมัตถ์ เรียนรู้กุศล อกุศล ที่อยู่ในจิต แล้วลดละ อกุศล ปฏิบัติจนเกิด โลกุตรจิต จิตอยู่เหนือวัตถุได้ อยู่เหนือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ได้จริงๆ แล้วก็ใช้วัตถุ อย่างสร้างสรร มีประโยชน์ คุณค่าต่อสังคม โดยที่ใจเรา ไม่เป็นทาส วัตถุเลย”

อีกคำถามหนึ่ง ที่น่าสนใจ “ท่านคิดว่า การบวช ในมหานิกาย หรือ นิกายอื่น ของ พุทธศาสนาในไทย ท่านคิดว่า การบวชง่าย หรือ ยากครับ”

“การบวชทุกวันนี้ เป็นความผิดพลาด ที่คิดว่า มาชุบตัว บวชคือ มาเข้าพิธี สวดญัตติ ในที่นี้ไม่ได้รวมถึง บวช ที่มาจาก ภาษาบาลีว่า ปวช แปลว่า การหลีกออก เว้นออก จากกิเลส ตัณหา อุปาทานที่เราติดยึดนะ

ที่จริง การมานุ่งห่มจีวร ถือเป็นธงชัย พระอรหันต์นะ มิใช่สิ่งเล่นๆ แม้แต่ พระมหากษัตริย์ ก็ยังต้องกราบ พ่อแม่ก็ยังต้องกราบ คิดดูซิ เป็นเรื่องเล่นที่ไหน แต่ทุกวันนี้ เอาชุดนี้ไปเล่นกัน อย่างบวช ๓ เดือน บวชพักร้อน บวชหน้าไฟ บวชก่อนแต่งงาน ฯลฯ อะไรอย่างนี้ ผิดทั้งนั้น”

“ขอถามท่าน สมณะโพธิรักษ์ กระบวนการบวช ของสันติอโศก บวชง่าย หรือ ยากครับ”

เป็นคำถามต่อมา เหมือนกับคุณพรภัทร จะลืมประเด็น คำแนะนำ ของ พระศรีปริยัติโมลี ในช่วงก่อนเข้ารายการ หรือ อาจเป็นเพราะ ประเด็นคำถามนี้ เกี่ยวพัน กับคำถาม คำตอบก่อนนี้ เพื่อความกระจ่าง เป็นภาพที่ชัด ในการหาแนวทาง นำไปสู่ประเด็น การสนทนา “เป็นพระที่ดี ...เป็นอย่างไร” ทำให้คุณพรภัทร จำเป็นต้องถามอย่างนี้

ทำให้พ่อท่าน ได้อธิบายยาวถึง ขั้นตอนการบวช ๗ ขั้น กว่าจะได้เป็น สมณะ (อาคันตุกะจร อาคันตุกะประจำ อารามิกดูตัว ปะ นาค สามเณร สมณะ)

ประเด็นสุดท้าย คุณพรภัทรถาม
“ท่านมองเห็นพระผู้ใหญ่ สะสม มีรถเบนซ์ มีกุฏิสวยๆ ติดแอร์ มีแจกันใหญ่โต ท่านรู้สึกอย่างไร”

พ่อท่านทักเย้าๆ คุณพรภัทร และ ตอบว่า “ถามแต่ละคำถาม จะให้อาตมา เข้าคุกนะ เอ้าจะเข้าคุก ก็เข้ากัน ก็เห็นว่า มันไม่จริง เมื่อไม่จริงก็เสื่อม ปัญหาอยู่ที่ การเข้ามาบวช หากเข้ามา เพื่อมุ่งหมาย นิพพาน ก็จะไม่เป็น ปัญหามาก อย่างทุกวันนี้ หากไม่ยอมรับตรงนี้ การเข้ามาบวช ก็ทำลายศาสนา ทั้งนั้น แม้แต่การบวช เพื่อเรียน ก็ทำลายศาสนา เช่นกัน หากเข้ามาบวช เพื่อต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข”

ประเด็นคำถาม ที่คุณพรภัทร ถามพ่อท่านนั้น คุณพรภัทร ก็ใช้ถาม พระศรีปริยัติโมลี และ ดร.พระมหาต่วน เช่นกัน แต่เพื่อความเหมาะสม ข้าพเจ้า ขอนำเสนอ เฉพาะบางส่วน ที่พ่อท่านตอบ ผู้ที่สนใจ รายการ อย่างสมบูรณ์ ติดต่อได้ ที่ฝ่ายธรรมโสต สันติอโศก

ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ทั้งพระศรีปริยัติโมลี และ ดร.พระ มหาต่วน ท่าที มีไมตรี ต่อพวกเรามาก ทั้งๆ ที่ท่าน เป็นพระผู้ใหญ่ มีสมณศักดิ์ มีหน้าที่การงาน ในสังคมสงฆ์ ท่านน่าจะหวงตัว กันตัวออกห่าง การร่วมรายการ กับพ่อท่าน ด้วยมหาเถรสมาคม ให้ประกาศ ห้ามคบหาสมาคม ตั้งแต่ปี ๒๕๓๒

เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว พระศรีปริยัติโมลี ก็เคยร่วมรายการเสวนา กับพ่อท่าน ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ มาก่อน

ปีที่แล้ว งานสัมมนาที่พุทธมณฑล ซึ่งคณะกรรมการ ศาสนา เพื่อการพัฒนาสังคม (กศส.) เป็นผู้จัด สมณะแดนเดิม พรหมจริโย ได้พบเห็น พระศรีปริยัติโมลี เดินหอบเอกสาร โดยไม่รู้จักว่า พระศรีปริยัติโมลี เป็นใคร สมณะแดนเดิม ได้นิมนต์ท่าน ขึ้นรถตู้ ของมูลนิธิ และ ไปส่งท่าน ที่วัดมหาธาตุ พระศรีปริยัติโมลี ก็ขึ้นรถ ร่วมไปด้วย อย่างไม่ถือเนื้อถือตัว หรือยศศักดิ์ ซึ่งทั้งที่ธรรมศาสตร์ และ พุทธมณฑลนั้น สมณะยังห่ม ครองผ้าขาว แต่พระศรีปริยัติโมลี ก็มีไมตรี มิได้แสดง ท่าทีรังเกียจ เฉกเช่นครั้งนี้ มาก่อน ช่วงที่พระศรีปริยัติโมลี ได้แสดงความเห็น เมื่อท่านเอ่ยถึง พ่อท่าน ก็ใช้สรรพนามว่า “ท่านพ่อโพธิรักษ์” ดูท่าน มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน อย่างมาก น่าที่จะถือ เอาเป็นเยี่ยงอย่าง

คุณพรภัทร เปิดใจ หลังการถ่ายทำ รายการแล้วว่า ดำเนินรายการ กับพระนี่ ลำบากใจ มากเลยครับ กับนักการเมือง เขาจะพูดเร็ว จะแย่งกันพูดด้วย ผมจะตัดได้เลย หากไม่น่าสนใจ หรือ นอกประเด็น แต่ กับพระนี่ เกรงว่า จะไม่เหมาะสมครับ

หลังจากนั้น มีเจ้าหน้าที่ชาย มาแนะนำตัวเองว่า เคยไปที่ปฐมอโศก และ ศีรษะอโศก มาแล้ว ตอนที่ ดร.เจิมศักดิ์ ไปจัดทำรายการ ก็ได้ร่วมไปด้วย และ เจ้าหน้าที่หญิงอีกคน หอบถุง ใส่สิ่งของ อะไรบางอย่าง ฝากคนวัดหญิง ของพวกเรา ที่ติดตามไปด้วย มาให้กับคนที่รู้จัก

๒๗ ต.ค.‘๔๓ ที่สันติอโศก เสร็จจากการสวด ปาติโมกข์แล้ว สมณะทักถาม พ่อท่าน ถึงการไปร่วม รายการโทรทัศน์ UBC มีสมณะรูปหนึ่ง แสดงความเห็นว่า ตอนพ่อท่าน ร่วมรายการ น่าจะพูดถึง กรณีพระ เที่ยวคาเฟ่ และกรณี พระแต่งตัวพันเอก ขับรถเบนซ์ มั่วสีกาบ้าง พ่อท่าน ถือโอกาสสอน “เรื่องจะพูดข่มเขา อย่างนั้น ไม่ต้องไปพูดหรอก เราต้องประมาณ ให้ดีๆ พูดมาก พูดแรง เกินไป ในบริษัทอย่างนั้น มันไม่เหมาะ ถ้าจะพูดในหมู่เรา ก็อีกเรื่องหนึ่ง”

ปิดท้ายบันทึกฯฉบับนี้ เป็นโอวาท ของพ่อท่าน กล่าวปิดประชุม สาธารณโภคี ๒๗ ต.ค.’๔๓ ที่สันติอโศก

“ตอนนี้ชาวอโศกได้โตทางสังคม นักคิดนักวิชาการจำนน ต้องมาใช้ภาษา เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวง ซึ่งเศรษฐกิจพอเพียง คือ สันโดษ ถ้าไม่ปฏิบัติธรรม ชุมชนไหน ทำไม่ได้นานหรอก เราไม่ได้ทำเพื่อเงิน เราทำเพื่อ สะพัดให้สังคม พวกเราไม่ผลิต สิ่งมอมเมา เรารู้จักพอ เรา จึงชำนาญ มากขึ้น เร็วขึ้น

การใช้หนี้ ของประเทศ ที่ประเทศเราเป็นหนี้อยู่ ต้องใช้เวลา ๖๐๐ ปี มันอ่อนแอ เต็มทีแล้ว แล้วเรื่องของ ศาสนาก็เช่นกัน ถูกเปิดโปง ออกมาเรื่อยๆ สรุปแล้ว แม้แต่หน่วยงาน ข้างนอก กล้าที่จะเสนอ พวกเราออกไป ออกไปให้สังคม ได้รับรู้ นี่เป็นกระแส วัดค่าสังคมว่า เขายอมรับเรา มากน้อยขนาดไหน เราเป็นแบบนี้ เพราะเนื้อหาสาระ ของ พวกเรา เป็นโอกาส อันดีงาม ที่เราจะสร้าง ผลิตสิ่งดีๆ ให้สังคมให้โลก

อาตมาว่า ต้องตั้งใจผลิต ให้ดีให้จริง ของดีราคาถูก เหนื่อยมาก ได้บุญมาก ได้กำไรอาริยะมาก อย่าไปสับสน จงให้ชัดเจน ทำให้ได้ ตามปรัชญา การตลาด ของพวกเรา และที่สุด เรื่องเครดิตเหนือเครดิต ใช้เงินสด เท่านั้น มีเท่าไหร่ ทำเท่านั้น อยากกำชับพวกเรา ช่วงนี้เป็น โอกาสทองคำ หรือ จะเป็น โอกาสเพชรก็ได้ เป็นโอกาสที่จะต้อง ขยันหมั่นเพียร พัฒนาตน ถ้าเราขยันขึ้น เสียสละ เอาภาระมากขึ้น มันไม่เลว ลงหรอก เพราะฉะนั้น ทำให้ดี อย่าให้เสียโอกาส เราได้จากที่เราสร้าง ตัวเราเองขึ้นมา เป็นผลพวง จากศาสนา เพราะเราศึกษาศาสนา ระบบนี้ มันไม่มีในโลก

ยุคนี้ทำอย่างนี้ได้ เพราะคนยุคนี้มีปัญญามากขึ้น พวกเรานี้แหละ เป็นคนที่มีคุณค่าต่อโลก ต่อสังคม ถ้าเราทำดีอย่างนี้ ดูซิว่าประเทศอื่นๆ จะทำร้ายเราไหม อยากพิสูจน์ จะเป็นไปได้ ก็พวกเรา ต้องทำจริง เป็นโอกาสที่ไม่ธรรมดา เป็นให้จริง ทำให้จริง เห็นให้จริง

อนุจร ๒๕ พ.ย.’๔๓

end of column
หน้าแรก