ดวงคน
สรรพสิ่งกำเนิดจากสภาวะ ๒
ดาวที่เกิดในห้วงอวกาศเกิดได้ ๒ สภาพ อย่างที่ได้อธิบายมาแล้ว
ต้นไม้ในโลก ก็เกิดได้ ๒ สภาพ
คน ก็เกิดได้ ๒ สภาพ คือ
๑. เกิดจากการสืบพันธุ์ เหมือนกับต้นไม้ที่เกิดด้วยเมล็ด
๒. เกิดได้ด้วยการผลิหน่อ สำหรับคนการผลิหน่อนี้เห็นยาก
ก็ผลิหน่อออกไปเป็นเชื้อวิญญาณ เป็นสภาพที่หมุนกลับอีกรูปหนึ่ง
เพราะฉะนั้น คน หรือ เอกภพใดๆ ก็ตามแต่
เกิดได้ ๒ สภาพ
ดวงคน
ดวงของคน ถ้าไม่สร้างดวงธรรม ก็จะไปสืบพันธุ์สร้างลูก ตามปัญญาโลกๆ
เป็นดวงของคนต่อไปอีก ก็เป็นการสืบต่อไว้ ในภพนี้อีกภพหนึ่ง เป็นตัวตนวัตถุแท่งชัดๆ
เกิดเป็น ดวงคน ดวงใหม่ (มีเส้นทางโคจรของตนเอง)
คนที่ยังไม่วิมุติหมดสิ้นวิญญาณ
(ที่ไม่ใช่วิญญาณบริสุทธิ์ คือ ยังมีกิเลสเหลือ) จะต้องเกิดอีก
พอตายปุ๊บก็เกิด เรียกว่า ดวง ได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่วัตถุแท่งชัด
แทงหน่อออกไปเป็น "ดวงวิญญาณ ที่มีกิเลสตัณหา เป็นเจ้าเรือนตามวิบากกรรม
คนตาย
คน ก็เช่นเดียวกันกับ ดาว
ถ้าคนตายกายสลาย แตกดับแล้ว แต่เราไม่กำจัดพลังงาน หรือ วิญญาณของเรา ให้มันหยุดให้มันดับ
ให้มันเย็นมอดม้วยลงไป ไม่ให้มันร้อนฉี่ วิญญาณของคนก็ยังวิ่งแล่นอยู่ เหมือนกับดวงดาว
จะต้องเดินทางต่อไปตามแรง มีเท่าไหร่ ก็จะส่งพลังงาน "ไปหาที่เกิด
อีก
ตายแล้วสูญ จริงๆ หรือ?
ถ้าเราไม่สามารถทำวิญญาณของเรา
ให้สะอาดบริสุทธิ์ จากกิเลสาสวะจนสนิท หรือว่า ทำแสงของเรา หรือพลังงานของเรา
ให้ดับสิ้นได้จริงๆ มันก็ยังไม่ดับไม่สูญหรอก
เพราะฉะนั้น อย่าเชื่อนะ! ว่า ตายแล้วสูญ
ดวงคน สัมพันธ์กับ ดวงดาว
ดวง
.คน ก็คือ ทางโคจรของคน หรือที่เรียกกันว่า
พรหมลิขิต เป็นเรื่องสำคัญที่ควรรู้ เพราะคนเกิดมา ไม่กี่ปีก็ตาย
จึงควรรู้ดวงคนดีกว่า
พูดถึง "ดวงคน แล้ว ก็ไปดูดวงกัน
ดวงคน สัมพันธ์กับ ดวงดาว
ไหม?
สัมพันธ์กัน เพราะดวงคนกับดวงดาว เป็นโครงสร้างที่ล้อเลียนกัน
คนเกิดมาก็จะมีลักษณะ คล้ายๆกับดาวจันทร์ -อังคาร -พุธ -พฤหัส -ศุกร์ -เสาร์ -อาทิตย์
มีความร้อน-ความเย็น มีลักษณะอะไร ต่ออะไรอย่างไร คล้ายๆกับดวงดาวนั้นๆ
เหมือนกัน
หมอดู ดูได้ไหม? ดูได้!
ถ้าตกอยู่ในลักษณะ อยู่ในโซน หรืออยู่ในหน่วย
ในวาระที่มันเกิดหมุนโคจร ในท่าเดียวกัน มันก็จะเป็นไป ในท่าที่คล้ายๆกัน
เหมือนกัน
ฝืนดวง ขวางดวง
สมมุติว่า เส้นโคจรของดวงดาวเดินอยู่อย่างนี้
ใครสามารถเอาอะไรอย่างหนึ่ง ไปขวางทางดวงดาว
ขวางจริงๆนะ พอดาวเดินมาก็ ชน ปั้ง!
ดาวจะเกิดการเปลี่ยนทิศได้ไหม? ได้!
คน ก็เหมือนกัน ถ้าเราหาอะไรมาขวางเส้นทางเดิน ของเราซะบ้าง
ให้เดินไปในทิศทางที่ต้องการ ให้ดีขึ้น เราก็ทำได้
จะเกิดปฏิกิริยาให้เรา "เจ็บปวด
ได้ไหม?
เมื่อมีการปะทะกัน จะเจ็บ
บ้างไหม?
มีรส เจ็บ เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่ไม่เจ็บ เจ็บ !!!
พรหมลิขิตขีดเส้นตามยถากรรม
ถ้าเดินตาม "ยถากรรม
หมายความว่า เดินตาม "พรหมลิขิต หรือ เดินตามทางของดวงคนเฉยๆ
โดยไม่พยายามที่จะช่วยมัน (ฝืนดวงให้ดี) เลย คนก็จะเดินไปเรื่อยๆ วนเวียนอยู่ตามทิศทางของคน
เกิดแล้วเกิดเล่า คิดดีก็หาอะไรดี มาใส่
คิดชั่วก็หาชั่วๆ มาใส่ตามเรื่อง แล้วก็จะตกไปตามทิศ ที่ทำให้แก่ตนเองอย่างนั้น
แก้ดวง จะได้ดวงดี
แต่ถ้าเราระมัดระวังตัว เดินให้สู่เส้นทางของเรา (ลิขิตชีวิตตน)
โดยไม่ต้องคำนึงถึง อำนาจของดวงดาว หรืออำนาจของพรหมลิขิต หรืออำนาจของอะไร ที่จะให้เราเดินอย่างไรก็ตามแต่
เช่น เราเดินไปตรงนี้ต้อง ชนตอ รถยนต์ชน
เจอเงิน หรืออะไรก็ตามแต่ เราจะต้องรู้ให้ได้ว่า เราจะไม่เลือก
จะไม่เอา (ขวางดวงมิให้มันโคจรไป ตามทิศทางของมัน ที่จะต้องเอา)
เดินไปชนตอ ก็ไม่เอา เจ็บ!
เดินไปถูกรถยนต์ชน ก็ไม่เอา เจ็บ!
เดินไปชนกองเงิน ก็ต้อง
..ไม่เอาด้วย ลัทธิพุทธไม่เอานะ
แบกเงินก็ทุกข์!
พุทธศาสนาสองทางเดียวเท่านั้น เดินเจออะไรให้หลีกหนี
ทิ้งให้หมด!!! คือ ไม่ติด ไม่ยึด หรือ วาง (แต่ไม่ใช่ไม่สร้าง
และไม่อาศัยนะ)
ตรองตามให้ดีๆนะ นี้คือ
"การแก้ดวง
ดวงดีด้วยดวงธรรม
ถ้าเดินไปชนตอ หรือรถยนต์ชน หรือมีอะไรมาชน
เราเจ็บ เราไม่ชอบ เราก็ทุกข์ จิตของเราก็ไม่สบาย ลงนรก
โกรธมากคนนี้มาชนฉัน เปรี้ยง! ยิงทิ้งซะเลย
คุณก็ลงนรกจัดชัดขึ้นไปอีก ทีนี้เข้าคุกไปเลย
เมื่อเดินไปชนตอ ก็ต้องโทษตัวเองที่ ไม่มีสติ
ไม่ดูทางให้ดี สภาพอย่างนี้จะโอดโอยโมโหไปชังมันไม่ได้ จะต้องเข้าใจให้ได้ว่า
เป็นสภาพที่เราอยู่ในภาวะ ไม่มีสติ
ลักษณะความไม่ชอบ ความชัง นี้คือ โทสะจริต
ถ้าเดินไปชนกองเงิน คุณชอบ จะให้เดินหนีคงยาก
คุณก็จะเอา นี้คือ โลภะจริต
ตรองตามให้ดีๆนะ กำลังโยง "ดวงคน
เข้าหา "ดวงธรรม
ดาวต่ำ ดวงตก ด้วยโลภ-โกรธ-หลง
สภาพจิตของคนยังไม่พ้นโลภ คนก็จะหอบเงิน
หวงเงิน จะหลงใหลกับเงิน เสพเงินต้องการเงินมาเลี้ยงตัว ให้มีอายุทิพย์
วรรณทิพย์ ให้ร่างกายสวย ให้ผิวผ่อง ให้ร่างกายบริบูรณ์ เลี้ยงตัวเองให้มีสุขทิพย์
เจอกองเงินเข้าก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คุณก็จะเสพทิพย์
แล้วก็จะลุ่มหลงอยู่ในนั้น ไม่มีสติ ไม่รู้ว่าตนเอง หลงโลก
ถ้าคนมืดบอด ไปหลงโทสะ หลงโลภะ นั้นแหละ
คนกำลังมี "โมหะ
เพราะมีโมหะจิต มืดมัวโมหันต์
ถึงไปชนตอได้
เรา โทสะจิต สร้างอารมณ์โกรธผูกพยาบาท
ทำบาปทำกรรมขึ้นมา ก็เกิดผลชั่ว
เราโลภะจิต ก็เกิดผลชั่ว แต่ชั่วไปในทางที่เราชอบ
โลกชอบ เป็นโลภะ ความโลภ ไม่ว่าตัวไหน คนชอบทั้งนั้น บางคนโลภในสิ่งไม่ดี
เลวร้ายอำมหิต ก็มีด้วย หลงสร้างบาป สร้างกรรมขนาดหนัก เป็นการโลภในสิ่งที่เลวร้ายกาจ
เดินไปตามดวง ด้วยโลกธรรม
ความโลภในสิ่งที่คนธรรมดาหลง ก็คือ
โลภในลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุขแบบโลกๆ ที่เสพกามคุณทั้งหลายแหล่ หรือ
หลงซ้อนไปอีกชั้นหนึ่ง ว่าได้ลาภ-ยศ-สรรเสริญ
.ก็สุข
แบบนี้เรียกว่า สุขซ้อนสุข
ความสุขด้วยกาม เป็นความสุขตรงของโลกีย์
ส่วน ลาภ-ยศ-สรรเสริญ ในโลกนี้
เมื่อได้มาแล้ว ก็ได้แล้ว ไม่เห็นต้องไปสุขตรงไหน ไม่ต้องสุขใจ-ดีใจก็ได้
แต่
คนก็เป็นสุข
ลาภ-ยศ-สรรเสริญ ล้วนน่าได้ น่ามี น่าเป็น
ได้มาก็บรรลุสมใจนี้แหละ ตัวต้นทาง คำว่า โลภ หรือ สมใจในลาภ
คุณสำเร็จผล (สุข) เกิดอารมณ์สมใจอยากตัวไหน
ก็เป็นทาสลาภ หรือใจของคุณสมโลภ ถ้าอยู่ที่ตัวก็เป็นโลภ ถ้าอยู่ภายนอก
แล้วได้มาสมใจเป็นของตน ก็เป็นทาสลาภ หรือ สุขสมใจตัวโลภ ถ้าไม่ได้สมโลภก็ทุกข์
ดวงคน ถ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
ยังหลงอยู่ในสิ่งเหล่านี้ คนก็อยู่กับโลก หลงอยู่ในโลก
แล้วคนก็เดินไปตามดวง
เส้นทางโคจรของคน หรือ ดวงคน ทุกวันนี้
ล้วนต้องการ ให้เดินไปชนกองเงิน ไปชนกับสิ่งดีๆ ได้เสพ เงินก็ได้
ยศก็ได้ สรรเสริญก็ได้ หรือแม้ที่สุด เดินไปเสพกาม ได้สัมผัสเสียดสี
ได้อร่อย ได้สวย ได้งาม ได้เสียงไพเราะ ได้กลิ่นหอมๆ ก็เป็นสภาวะที่หลง
ยึดเอาไว้ อยากบรรลุผล ในสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น พอได้สัมฤทธิผล ก็เรียกว่า บรรลุเป็นลาภทั้งสิ้น
ได้ลาภในรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส ได้ลาภในอะไรต่างๆ แม้กระทั่งได้ยศ-สรรเสริญก็เป็นลาภ
มันซ้อนกันอยู่ในสภาพอย่างนี้ ที่สุดได้สุข ก็เป็นลาภในโลกของคน
คนจึงเป็น ทาส ของลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข
สภาพเชิงซ้อนอย่างนี้ เป็นสภาวะของสภาพ
ใครเข้าใจได้หมดถ้วนทั่วว่า มันหมุนวนอยู่ด้วยกันอย่างนี้ คนนั้นเป็นผู้รู้
"ไตรลักษณ์ และคนนั้นเป็นผู้รู้ ปริวัฏฏ์ ๓" |