คาถาธรรม ๔

อำนาจแห่งความเพียร

ผู้ที่มีศรัทธา และมีปัญญา อันชัดแน่แล้ว เป็นความมั่นคง ผู้มีความมั่นคง ตัดสินเป็นหนึ่ง เป็นผู้ที่มีหลัก เป็นผู้ที่ได้จุดได้คิด ได้ทาง ที่จะเดินไป อย่างดีแล้ว ยังเหลือก็แต่ ความเพียร หรือ ความพยายาม จะทำตามความเห็น ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีทิฏฐิ อันแน่ชัด เป็นผู้มีความเห็น ที่ถึงขั้นญาณ เป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้มีความเข้าใจ ถึงขั้นญาณ สัมมาทิฏฐิ ถึงสัมมาญาณ คือ แน่ใจ มั่นใจในทิศทาง เห็น เข้าใจ ในความเป็น ทิศที่เราจะเดิน ยังเหลือพยายาม ยังเหลือวิริยะ ซึ่งความพยายาม และวิริยะนั้น ก็จะต้องประกอบไปด้วย โพชฌงค์เต็มที่ คือ การก้าว รู้ทิศ แต่เราไม่ก้าว มันก็ไม่ไป ทั้งๆที่มีทิศเดียว รู้ทิศหนึ่ง ทิศตรงแล้วแน่นอน แต่เราไม่ก้าวเลย โพชฌงค์ ไม่เดินเลย เราก็ไม่ไป ก่อนจะมีโพชฌงค์ ก่อนจะเดิน เราก็หลับตาแน่ และ เราก็จะไม่มัวซัว ให้โค้งให้ผิด

เราจะต้องเดินให้ถูก อย่างชัดเจน โดยมีสติ มีความตื่น เมื่อมีสติ มีความตื่นเต็ม เราจะเดิน ได้ตรง เหมือนกัปตัน มีเข็มทิศ ก็จะปรับให้เข็มทิศนั้น ตรงจุดที่สุด ธัมมวิจัย คือการปรับ ปรับระมัดระวัง อย่างเพียร อย่างพยายาม มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นเครื่องเดิน ประกอบกับ สัมมาทิฏฐิ แม้สัมมาทิฏฐิ จะขึ้นถึงขั้น สัมมาญาณ ดังกล่าวแล้ว เราจะเห็นได้ว่า อำนาจแห่งความเพียร เท่านั้น ที่จะพาเรา ฟันฝ่า เดินไปสู่ จุดหมายปลายทาง แม้กระนั้น เราก็ยังต้อง เดินด้วยวิริยะ สติ ธัมมวิจัย วิริยะ

จะเห็นได้ว่า สัมมาทิฏฐิก็ดี สัมมาวายามะ สัมมาสติ องค์ธรรมก็ดี ก็จะตรงกันกับ สัมมาสติ ก็จะตรงกันกับ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัย สัมโพชฌงค์ และ วิริยสัมโพชฌงค์ อย่างเห็นได้ และ มีความแน่ชัด เป็นตัวสำคัญ สัมมาทิฏฐิเกิดก่อน สัมมาสติ หรือ ตัวสติสัมโพชฌงค์ จึงเดินตาม

สัมมาทิฏฐิ จึงเป็นตัวสำคัญที่สุด ที่คนเราจะต้อง ทำให้เกิดก่อน ดังที่ พระพุทธเจ้า ท่านได้ ตรัสเอาไว้แล้วว่า เมื่อจะเห็น เมื่อจะเกิดกลางวัน หรือเมื่อจะเกิด การสว่าง ก็จะมี แสงอรุณ มาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ฉันใด สัมมาทิฏฐิ ศีล จึงเป็นสิ่งที่ จะต้อง มาก่อนสิ่งอื่น ฉันนั้น และ เราก็จะต้องเสริมหนุน ด้วยกำลัง ด้วยการก้าวเดิน เพียรเท่าใด พยายามเท่าใด ก็มีหวัง ที่จะถึงได้ ตามแรง ตามการก้าวนั้น เท่านั้นๆ

๑ มีนาคม ๒๕๒๗


 

ผู้อยู่สำราญ

ผู้เป็นอยู่สำราญ คือ ผู้ที่มีอะไร อยู่ในตนเอง โดยเฉพาะ จิตวิญญาณ ของตนเอง พรั่งพร้อม ความหมายคำว่า พรั่งพร้อม ก็คือ จิตเต็ม ใจเต็ม ไม่มีความพร่อง ถึงแม้จะเป็น ผู้ปฏิบัติ ที่ยังไม่ถึงที่สุด ก็ตาม แต่ จิตใจนั้นพร้อม จิตใจนั้น เต็มอยู่ด้วย สิ่งที่เป็นกุศล เจริญอยู่ เรามีศีล อันสมควรแก่ตน เรามีงาน อันสมควรแก่ตน เรามีอะไร ต่ออะไร ที่เราไม่ขาด แม้แต่ปัจจัย ก็มีสมควรแก่ตน ปัจจัย ๔ บริขาร อันสมควรใช้ เป็นผู้สันโดษ ผู้มีความสันโดษ อยู่เสมอ ดังนี้ ถือว่าเป็นผู้พร้อม เป็นผู้พรั่งพร้อม จะเป็น ผู้อยู่สำราญ จะเป็นผู้ถือได้ว่า สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ดิ้นรน วุ่นวาย ไม่เดือดร้อน จึงได้ชื่อว่า เป็นผู้อยู่สำราญ

๒ มีนาคม ๒๕๒๗


 

ทำใจให้เบิกบาน

ผู้ฉลาด มีหลักแห่งการควบคุม ฝึกฝนตน มีสติสัมโพชฌงค์ เป็นหนึ่ง ระมัดระวัง อารมณ์ ได้สามารถทำจิตใจ ให้เบิกบาน แจ่มใส อยู่ได้ก่อนอื่น นั่นเป็นผู้ที่ เดินทางเข้าสู่ ความพ้นทุกข์ ประตูแรก

ผู้มีสติ และมีธัมมวิจัย รู้ตัว รู้ตน รู้อารมณ์ กระทบสัมผัส และ ก็ได้เลือกเฟ้น กระทำ ให้แก่ตน ด้วยวิริยะ อุตสาหะอยู่ ประตูหนึ่ง ที่มีสัมผัสแล้ว เราจะอยู่ในอารมณ์ที่มี ความไม่ชอบใจ เป็นต้น จนกระทั่ง ถึงอารมณ์โกรธ มากน้อยเท่าใด ก็ตาม เมื่อรู้หลักว่า โทสโคตร ทุกขนาด ไม่ว่าหยาบ กลาง ละเอียด เราจะสลัดออก อย่างไม่มีข้อแม้

ผู้ใดมีสติ ธัมมวิจัย วิริยะ เป็นสัมโพชฌงค์ ๓ ประจำตน อยู่เสมอ สลัดโทสโคตร อย่างไม่มี ข้อแม้ดังกล่าว ทำใจให้เบิกบาน แจ่มใส อยู่ทุกเมื่อ

ผู้นั้น เป็นผู้ปฏิบัติตน มุ่งสู่ นิพพาน และ เป็นผู้ได้ประสบสุข พ้นทุกข์ เป็นประตูแรก แล

๓ มีนาคม ๒๕๒๗


 

พิณ ๓ สาย

ผู้เข้าใจทฤษฎีพิณ ๓ สาย คือ ผู้ที่รู้จัก ต้น กลาง สูง รู้จักความประมาณ ที่พอดี คำว่า เป็นกลาง พิณ ๓ สายนั้น จะต้องตึง ทั้ง ๓ สาย ตึงอยู่ในระดับ พอดี เราจึงจะรู้ เสียงของ พิณสายต่ำ พิณสายกลาง และ พิณสายสูง ชัดเจน แต่ผู้ที่ ไม่รู้เช่นนี้ จึงเอาความพอใจ เป็นที่ตั้ง และ ไม่มีความเคร่งครัด หรือ ความตึงอันพอดี ของตนเอง จะประมาณเป็น ความหย่อน ให้แก่กิเลส นั่น เป็นธรรมดา อยู่เสมอ เพราะฉะนั้น

ผู้เข้าใจความหมาย ในหลัก ของพิณ ๓ สาย ดังกล่าวนี้ จึงจะเป็นผู้ที่ เคร่งครัด ต่อศีล ต่อสมาธิ ต่อปัญญาของตน ที่จะพยายามมี สติสัมปชัญญะ ระลึกรู้ตัว ทั่วพร้อม เคร่งครัด และตึงอยู่ในศีล อันที่ได้ประมาณ แก่ตนแล้ว พยายามทำ ให้จิตใจของตน ได้รับผล ขึ้นไปหาเสียงสูง ขึ้นไปหาทิศสูง อยู่เสมอๆ

ผู้ไม่เข้าใจดังนี้ จะปฏิบัติพิณ ๓ สาย อย่างเอาใจ กิเลส แล้วก็จะหล่น หรือ หย่อนลงมาหา ความชอบของกิเลส และ ได้ตกหล่น เสื่อมลงไป ทั้งหมด

ส่วนผู้ที่เข้าใจ อย่างชัดแจ้ง ในทฤษฎีพิณ ๓ สาย รู้ว่า ทิศทางที่จะตึง เส้นที่กลาง ถ้าเขม็ง ขึ้นไป ก็จะขึ้นไปหา เส้นที่สูง หรือทิศสูง อยู่เสมอ ไม่ใช่ตายตัว อยู่กับที่ ขอให้สังวร ระวัง การปฏิบัติ ตามทฤษฎีพิณ ๓ สาย ดังกล่าวนี้ ให้ถูกความหมาย เฉพาะตน เฉพาะตน

นั่นคือ การปฏิบัติ มัชฌิมาปฏิปทา สำหรับตน แต่ มีทิศเดินทาง ที่สูงขึ้น ถูกต้อง ตามความหมาย ที่พระพุทธเจ้า ท่านหมาย

๔ มีนาคม ๒๕๒๗


 

มานะละยากยิ่งกว่ากาม

การประพฤติ ปฏิบัติ ที่เราสังวรระวัง และ ละล้างกันอยู่ ของนักปฏิบัติ คือ แกนกาม กับ แกนมานะ นี่ เป็นหลักสำคัญ ที่จะต้องสังวร รู้ตัวอยู่เสมอๆ เพื่อที่จะได้ ไม่หลง ไปข้างใด ข้างหนึ่ง ถ้าเผลอ เราก็จะหลุด เราก็จะขาด เราจะบกพร่อง

แกนกาม ก็คือ เราจะต้อง ไม่พยายาม จะปล่อยให้มัน เสริมกิเลสส่วนกาม เพื่อที่จะตกไปสู่ กามสุขัลลิกานุโยค และ แกนมานะ ก็เพื่อที่จะไม่ตก ไปสู่ทาง อัตตกิลมถานุโยค เพราะฉะนั้น เราจะต้องมา ละกาม มาละอัตตา หรือ มาละมานะ กามเป็นของ หยาบกว่า เราก็พูดกัน พอรู้เรื่อง และ เราก็ได้ พยายาม สังวรตนเอาเอง

ใครรู้มาก รู้จริง รู้ชัด และ มีสติ มีความเพียร ที่จะพยายาม ละล้างของตน ๆ ก็ย่อมได้ การละ กามสุขัลลิกะ ไปเรื่อยๆ ถ้าผู้ใด รู้ตัวมานะ รู้อัตตา รู้อย่างมีสติ เช่นกัน มีสติรู้ วิจัยรู้ และ ก็พยายามลด พยายามละ จริงๆ อย่าให้มัน ใหญ่กว่าเรา เป็นอันขาด มันยิ่งรู้ตัว ยากกว่ากาม เพราะว่า มันยึดตัว ยึดตน มันยึดดี ยึดความหลง ของตนว่าถูก หรือ ความจริง ของตนว่าถูก แล้วมัน ไม่ฟังเสียงใคร ไม่เอา ไม่ยอมให้ใคร นี่แหละ เป็นตัว ที่ร้ายกาจอยู่ ยิ่งอยู่กันอย่าง สามัคคี ก็จะไม่สามัคคี จะอยู่ร่วมกันได้ มันก็ไม่อยู่ ร่วมกันได้ แม้จะมี ความดี กันบ้างแล้ว อย่างที่เป็น ตัวอย่างมีอยู่ ว่ามีความดี แต่เสร็จแล้ว ก็ต้องพรากจากกัน จากหมู่ จากกลุ่ม

น่าเสียดายที่สุด ถ้าไร้ซึ่งความดีเสีย ก็ไม่มีปัญหา ไม่น่าเสียดายอะไร เพราะฉะนั้น ขอให้สังวร ในเรื่องมานะ ในเรื่องอัตตา ให้สำคัญมากๆ เพื่อจะได้เป็นเนื้อ เป็นมวล จะได้อยู่ร่วมกัน จะได้สร้างสรรกัน ให้ทวีคูณ มันทำลายตน และทำลายสังคม คือ ทำลายตนแล้ว ก็ไม่ได้ร่วมอยู่กับ สังคมที่ดี ไม่ได้ร่วมอยู่กับ มิตรดี สหายดี สังคม สิ่งแวดล้อมที่ดี ก็ไม่ได้เป็นเนื้อ เป็นมวล ที่จะได้สร้างสรร สิ่งดีให้แก่สังคม ประเทศชาติ หรือ มนุษยชาติในโลก ต่อไปนั่นเอง

จึงขอย้ำเตือน เรื่องมานะ เรื่องอัตตา ที่ลึกซึ้ง ละเอียดกว่า กามนัก และ ขอให้ละ ลด หรือว่า เรียนให้รู้ยิ่ง รู้จริง แล้วก็ต้องพยายาม ตัดจริง ละจริง ลดจริง เราถึงจะได้เจริญ ต่อไปอีก เป็นรอบกว้าง และรอบลึก ไกลไปอีก อย่างที่หาประมาณมิได้

๕ มีนาคม ๒๕๒๗


 

 

ชนะคือแพ้

การเอาชนะใจตนเอง นั่นคือ การยอมแพ้ โดยตนเอง ต้องยอมแพ้ ที่คำว่า "แพ้" นั้นก็คือ แพ้ต่ออำนาจมานะ อัตตา แพ้ต่อความคิดเห็น ของตนเอง ที่มันยึด มันถือ เมื่อได้พิจารณา ถึงความคิดเห็น พิจารณาความจริง พิจารณา สิ่งแวดล้อม พิจารณาทุกอย่าง เมื่อเป็น กุศลแล้ว แต่เราก็ยัง ยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งที่เรารู้ว่า เราควร จะต้องเลิก ต้องปล่อย ต้องวาง แต่ เราก็ไม่ยอมเลิก ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง

ตัวไม่ยอม ตัวไม่แพ้ ตัวนั้นแหละ คือ ตัวที่ เอาชนะใจ ตนเองไม่ได้ ดังนั้น ผู้ที่ยึดมั่น ถือมั่น หรือ ผู้ที่ไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง แม้รู้ด้วย เหตุผล แม้รู้ด้วยสัจจะ ความจริง แม้จำนนต่อ ความถูกต้องแล้ว แต่ เราก็ยังยึดมั่น ถือมั่น เอาแต่ใจตนเอง ผู้นั้นแหละ คือ ผู้ไม่ชนะใจตนเอง

๖ มีนาคม ๒๕๒๗


 

วางชอบ-วางชัง

ปรับปรุงความเห็น ปรับเปลี่ยนความเห็น จากที่เคย หลงชอบ หลงชัง ในโลกียะ หรือ หลงเฉยๆ ไม่มีปัญญา ไม่รู้ตัวกับโลกียะ จนมาเป็น ผู้มีความเห็น ไม่ชอบ ไม่ชัง และ รู้ยิ่ง รู้จริง ในความวางเฉย กับโลกียะ รู้อย่างเป็น อธิปัญญา อย่างเป็น ญาณทัศนวิเศษ ทำความวางเฉย ไม่หลงชอบ ไม่หลงชัง ไม่หลงเป็นสุข ไม่หลงเป็นทุกข์ กับโลกียะต่างๆ ที่บรรดา ปุถุชน หรือ แม้แต่ เสขบุคคล ในระดับต่ำ ที่ยังไม่รู้ เราก็ได้มารู้ ได้มาฝึกพิสูจน์ ได้มาเห็นความจริง ว่า เราวางความชอบ ความชัง เราเลิกรสโลกียะ มาวางเฉย โดยมีความรู้ โดยมีปัญญาญาณ อย่างพอใจยินดี เห็นว่า เป็นความสงบ ชัดแจ้งได้

การเหนือโลก หรือ สภาพคนที่เหนือโลก มนุษย์เหนือโลก ก็คือ ลักษณะ เช่นนี้แล

๘ มีนาคม ๒๕๒๗


 

ความสมบูรณ์ของชีวิต

ความสมบูรณ์พูนสุขของชีวิต คือ ความมี สุขภาพกายดี พอดี ความมี สุขภาพใจดี ผ่องใส สดชื่น เบิกบาน ไม่ได้หมายความว่า ความมีสมบัติมาก ความมียศสูง ความมีสรรเสริญ เยินยอมาก ความหลงได้ โลกียสุข เสพย์สม สุขสม อยู่เช่นนั้นไม่

ยิ่งมีลาภมาก ประสงค์ จะได้ลาภ มาเป็นสุข ได้ยศมาเป็นสุข ได้สรรเสริญ ได้สิ่งที่ เราไปหลง สมมุติไว้ และก็ได้ มาเสพย์สม เป็นสุข ยิ่งเป็น ความทรมานชีวิต ยิ่งเป็นความหนัก ยิ่งเป็นความไม่มี สุขภาพ ทั้งกาย และใจ แต่เมื่อ ผู้ที่รู้แจ้ง เข้าใจดี ได้มาปลดปล่อย ความหลง ที่ไปหลงเสพย์ โลกียสุข ที่เขาสมมุติหลอก แล้วก็ไปหลงตาม ว่าได้มาเสพย์เป็นสุข ตั้งแต่ อบายมุข ก็ดี ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ตาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ตาม แม้แต่ในจิต ในอัตภาพ ต่างๆ

เมื่อปลดปล่อย มาได้เรื่อยๆ เราถึงจะเห็น ความเบา ความไม่ต้อง เป็นภาระ ความไม่ต้อง เป็นหนักหนา ชีวิตไม่ถูกทรมาน เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า มาบริการตนเอง ที่เป็นทาส

เรามีแรงงาน เรามีกำลังวังชา แม้จะเหน็ดเหนื่อย เราก็สร้างสรร เป็นประโยชน์ คุณค่า ให้แก่มนุษย์โลกอื่น ผู้อื่น สำหรับตนนั้น ก็ทำงานอย่าง หมุนเวียน ได้สัดส่วน แข็งแรงดี เป็นคุณค่า เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นประโยชน์ อย่างชัดแท้ เราก็แข็งแรง ยิ่งจิตใจของเรา ไม่มีความอยาก ไม่มีความติด จิตใจของเรา ก็ไม่มีโหยหา ไม่มีอาวรณ์ ไม่มีความเดือดร้อน จิตใจก็เบิกบาน แจ่มใส ร่าเริง สุขภาพจิตดี และ ยิ่งทำบุญ เข้าใจในบุญ ยิ่งสร้างสรร เราเข้าใจในคุณค่า ที่สร้างสรร ภาคภูมิในคุณค่า ประโยชน์ของเรา โดยไม่จำเป็นต้อง แย่งชิง ไม่จำเป็นต้อง แข่งขัน ที่จะมีมาก มีมาย กับคนอื่น

เราจึงเป็นผู้มี สุขภาพกาย สมบูรณ์ มีสุขภาพใจ สมบูรณ์ นี้คือ ความสมบูรณ์ของชีวิต

๙ มีนาคม ๒๕๒๗


 

ผู้รักดี

ผู้รักดี ก็ย่อมพยายาม พากเพียรทำดี ใฝ่เอาดี ผู้นั้นก็ได้ดี ความดีนั้นจะได้ ไม่ได้หมาย ความว่า มันมาเอง แต่หมายความว่า เราจะต้องพยายาม ทั้งๆที่รู้ว่า สิ่งใดดี ทำอย่างไร มันจะดีกว่า แต่เวลาจะทำจริงๆ กิเลสที่ไม่ให้ทำดี มันยังมีอยู่อีก ไม่ใช่น้อย ซึ่งเราจะต้อง ใช้ความอุตสาหะ วิริยะ พากเพียรกระทำ มันจึงจะได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ใฝ่ดี จะเอาดี จะทำ ให้ตนเป็นคนดี คนประเสริฐ คนพ้นทุกข์ เราจะต้อง อุตสาหะ พากเพียร จริงๆ

ถ้าเผื่อว่า เราไม่รู้ตัวว่า เราเองไม่ได้พ่ายแพ้ ต่อกิเลส แม้แต่คำว่า ตัวขี้เกียจ ตัวไม่อุตสาหะ ไม่วิริยะ พากเพียร แม้เท่านั้นเอง เราจะรู้ดีแสนดี ปานใด เราก็คือ คนไม่ได้ดี จนตาย

๑๓ มีนาคม ๒๕๒๗


 

ผู้สบาย กับ ผู้เป็นทุกข์

วันคืนแห่งความเป็นอยู่ ของผู้ที่สบาย กับ วันคืนแห่งความเป็นอยู่ ของผู้ที่เป็นทุกข์ ซึ่งวันคืน ต่างกันนั้น เพราะจิตใจของ ผู้ที่มีวันคืน แต่ละวันคืน ด้วยความ ไม่เข้าใจ ด้วยความ ไม่สนิทใจ ด้วยความปรารถนา อันไม่สบาย ผู้ที่มีวันคืน แห่งความสบายนั้น เป็นผู้ที่ทำ สัมมาทิฏฐิ เป็นผู้ที่ เข้าใจถูกต้อง เป็นผู้ที่เห็น ความเป็นอยู่ นั้นเจริญ

คำว่า "เจริญ" ไม่ได้หมายความว่า ร่ำรวย มากมายไป ด้วยปัจจัย ๔ หรือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่เป็น ผู้เจริญเพราะตนเอง มีสุขภาพกายดี สุขภาพใจ โดยเฉพาะดี มีการได้ละ ลดกิเลส และ เป็นผู้แข็งแรง เป็นผู้ร่าเริง เบิกบาน เป็นผู้มี สัมมาทิฏฐิ มีสัมมาญาณ ในการรู้ว่า ความมีคุณค่า ของชีวิต ความมีประโยชน์ ของชีวิตนั้น เป็นเช่นใด และ พบตนเองว่า แต่ละวันคืน ตนเองนั้น เป็นผู้ที่มี ความเจริญ มีความได้ลด กิเลสลงไป ตามควร และ เป็นผู้มีคุณค่า มีประโยชน์ อย่างพอใจ ยินดี มีฉันทะ

ส่วนผู้ที่มีวันคืน แห่งความทุกข์นั้น เป็นผู้ที่ ไม่รู้จักชีวิต ไม่รู้จักทิศทาง ของชีวิต แม้จะเป็นผู้ที่ ไม่รู้จักตัวเอง ว่าทุกข์ เป็นผู้เฉยๆ ก็จะเป็นผู้ที่ รู้สึกว่า เป็นผู้เฉยๆ อย่างจืดชืด หรือ เซ็ง และ ไม่เบิกบาน ร่าเริง เพราะฉะนั้น

ถ้าผู้ใด ได้รู้สึกว่า ตนมีอารมณ์ หรือ มีชีวิต ดังกล่าวนี้ ก็จงรู้สึกตัว และ ปรับปรุง แก้ไขตนเอง อย่างสำคัญ

มิเช่นนั้น เราก็จะเป็นผู้ตกต่ำ หรือ คือผู้ตกนรก นั่นเอง

๑๕ มีนาคม ๒๕๒๗


 

รู้ให้ชัด ตัดให้แรง

จะมีความพากเพียร ที่จะทำชีวิตของตนเอง ให้เป็นชีวิต ที่มีคุณค่า มีความประเสริฐ และ มีความเป็นอยู่สุข อย่างถาวรได้ ก็เพราะ ผู้เป็นเจ้าของชีวิต ย่อมต้อง ทำเอาเอง ผู้ใด มีผี หรือมีกิเลส ที่มันคอยมีอำนาจ ใช้อำนาจดึง ถ่วง และ เราก็แพ้อำนาจ ที่มันดึง มันถ่วงนั้น ไปตามใจผี ตามใจกิเลสมากไป ชีวิตก็ตกต่ำ หรือ ชีวิตก็ถูก ดึงรั้งเอาไว้ ให้วนเวียน อยู่ใน สังสารวัฏ นานเท่านั้นๆ

ผู้ใด สามารถชนะ อำนาจผี ชนะอำนาจกิเลส ได้อย่าง อุตสาหะ วิริยะ ผู้นั้น ก็สามารถ ที่จะนำชีวิตขึ้นมา เป็นชีวิต ที่มีคุณค่า เป็นชีวิต ที่ประเสริฐ เป็นชีวิต ที่พ้นทุกข์ถาวร ได้อย่างแท้จริง

ผู้ที่รู้สึกตัวว่า เราตกอยู่ใต้อำนาจ แต่ เราก็หลงไป โมหะไป ตามกับ อำนาจฝ่ายต่ำ หรือ อำนาจที่เป็น แม้โลกียสุข ที่รู้สึก แม้แต่ว่า เราได้หลับ ได้นอน ก็เป็นรสอร่อย ดังนี้ เป็นต้น กิเลสเหล่านี้ จะทำให้เราชักช้า จะทำให้เรา เสียเวลา ที่จะประสบ ผลสำเร็จ ที่เรามุ่งหมาย ได้อย่างนานช้า

เพราะฉะนั้น คนแข็งแรง และมีสติเต็ม มีปัญญา แหลมคม เห็นความจริงที่ชัด สามารถ ที่จะแข็งแรง ต่อสู้ แม้เราจะเคยหลง ก็พยายาม ที่จะห้ำหั่น ด้วยความสามารถ จึงจะเป็นผู้ที่ เอาชนะได้ อย่างห้าวหาญ แกร่งกล้า และสู่หลักชัย ได้เร็วไว

จงพยายาม เป็นผู้ที่... รู้ให้ชัด และตัดให้แรง เสมอๆ เถิด

๑๖ มีนาคม ๒๕๒๗


 

อริยะ

สัจธรรมของความเป็น บุคคลเหนือโลก เป็นบุคคลที่จะเข้าใจ ความจริง อันเรียกว่า สัจธรรมแท้ๆนั้น เป็นของลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่ใช่วิสัย ที่จะรู้กันได้ ด้วยการคาดคะเน หรือตรรกะ เป็นเรื่อง ละเอียดวิจิตร รู้ได้เฉพาะ บัณฑิตจริงๆ

เช่น ผู้ที่ได้ทำงานอริยะแล้ว เป็นการทำงาน อย่างสร้างสรร ให้ประโยชน์ แก่ผู้อื่น โดยที่ไม่ได้ อะไรตอบแทนมา เป็นวัตถุก็ไม่มี เป็นการแลก สรรเสริญ แลกยศ ก็ไม่มี โดยเฉพาะ จิตวิญญาณ เราไม่ได้แลก เอาความโลภ หรือราคะ ใส่จิตมา อย่างนี้ เป็นการ ไม่แลกเอา อะไรๆ เลยมาให้แก่ตน เป็นการให้ อย่างบริสุทธิ์ ได้กำไร เพราะเราได้ค่า ได้คุณ เหล่านี้ เป็นบุญแท้ๆ

เป็นเรื่องยาก ที่คนจะรู้ได้ แต่ว่าพวกเรา ก็ยังมีผู้เรียน และรู้ และได้พิสูจน์ แต่กระนั้นก็ดี ก็ยังมีคน ที่ทำงานอริยะแล้ว ยังขาดทุน ตรงที่ตนเอง และโกรธใส่จิต ขุ่นเคืองในจิต ได้แล้ว ยังไปหลงว่าตัวเสีย เพราะเห็นผู้อื่น ขี้เกียจ เห็นผู้อื่น เอาเปรียบเอารัด ซึ่งเขานั่นแหละ ขาดทุน ตนเองก็ยังไป ทำการขาดทุน ด้วยการไปริษยา คนขี้เกียจ ไปริษยา คนที่เขาโง่ เขาอวิชชา เพราะเขาทำ ความขี้เกียจ เป็นความเลว ผู้นั้น ไม่เห็นสัจจะ จุดสำคัญ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ ทำงานอริยะแล้ว จงฉลาด รู้ตนว่า ได้เป็นอริยะ แล้วกำลังเป็น อริยะขาเป๋ เป็นอริยะขาหัก เป็นอริยะ ที่ทำร้ายตน โดยจุดหนึ่ง แม้ยังทำในจิต ในใจ ก่อความโลภ ความโกรธ หรือ ก่อความริษยา ก่อความเข้าใจผิด อวิชชา ให้แก่ตนอยู่ อย่ากล่าวไปถึง การที่เรา ไม่แลกสรรเสริญ ไม่แลกยศ ไม่แลกลาภ อยู่เท่านั้นเลย อันนั้น ก็ชัดแล้ว ความเป็นอริยะ ที่จะรู้เท่าทัน อย่างลึกซึ้ง ดังกล่าวนี้

จึงเป็นเรื่อง ลึกซึ้งจริง คัมภีรา เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่ใช่วิสัย ที่จะรู้ได้ด้วย การคาดคะเน หรือ ตรรกะ เป็นเรื่องที่ ละเอียดวิจิตร เป็นเรื่องของ บัณฑิตเท่านั้น ที่จะรู้ได้ตาม รู้ได้เฉพาะบัณฑิต เท่านั้น

ขอให้ผู้ที่ได้ทำงานอริยะแล้ว จงพยายามฝึกตน และทำ ความแยบคาย ให้เข้าใจ ความจริง หรือ สัจธรรมดังกล่าวนี้ ให้ชัดเถิด แล้วเรา จะภาคภูมิในใจ จะเป็น ผู้อาจหาญ แกล้วกล้า เป็นผู้ที่มีบุญ มีคุณค่า อยู่ในโลก เป็นตัวอย่าง แก่คนทั้งปวง ตราบนาน เท่านาน

๑๗ มีนาคม ๒๕๒๗


 

แง่หนึ่งของความเจริญในธรรม

ความเจริญในธรรม แง่หนึ่งของเรา ซึ่งสามารถ จะสังเกตได้ คือ ความไม่เฉื่อย เนือย หรือ ไม่รู้สึกเบื่อๆ ในหมู่ฝูงที่เป็น นักธรรมะ ในกิจกรรม ที่เป็นคุณธรรม โดยเฉพาะ ยิ่งในทั้ง อาจารย์ เพื่อนฝูง ที่มีคุณธรรมด้วยกัน เราจะไม่เบื่อๆ ไม่เฉื่อยๆ เนือยๆ แต่ จะรู้สึกอบอุ่น จะรู้สึกกระปรี้ กระเปร่า สดชื่น เพราะฉะนั้น ถ้าหากผู้ใด สังเกต เห็นอาการ ที่เรารู้สึกเฉื่อย เนือย และ รู้สึกเซ็งๆ เบื่อๆ ไม่อบอุ่น เหี่ยวๆ ห่อๆ กับมิตรดี สหายดี สังคม สิ่งแวดล้อมดี ตั้งแต่บรรดา คณาจารย์ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่เป็นนักธรรมะ ที่เป็นหมู่กลุ่ม สพรหมจรรย์ ไปจน กระทั่ง ถึงเนื้อหาสาระ ธรรมะ

ถ้าเรารู้สึกเบื่อ รู้สึกเฉื่อย รู้สึกเนือย รู้สึกจะไม่สดชื่น กระปรี้ กระเปร่า อบอุ่น พอใจ แล้วละก็ จงรู้อาการเถิดว่า เราตกต่ำแล้ว ในขณะนั้น ๆ เรากำลัง จะเสื่อมลง ๆ ขอให้แก้ไข โดยรีบด่วน เหมือนมีไข้ เหมือนถูกโรค เข้ารุกราน ปรับเปลี่ยน ให้เป็น ผู้ที่ยินดีในธรรม เป็นผู้ที่ไม่เบื่อ สิ่งที่ไม่ควรเบื่อ เพราะนักธรรมะ หมู่มิตรสหาย ที่เป็นธรรมะ เป็นผู้ที่ อยู่กับธรรมะ ตั้งแต่ครู อาจารย์ เพื่อนฝูง จนกระทั่ง เนื้อหาสาระ ธรรมะ ถ้าเราเบื่อสิ่งนี้ เฉยเมย เบื่อ เฉื่อย เนือย ต่อสิ่งนี้เสียแล้ว นั่น มันคืออะไร

ขอให้วิเคราะห์วิจัย และรู้สึกตัว สะดุ้งต่อ อาการเช่นนี้ ของตน ๆ ให้มาก แล้วเราจะไม่มี อาการโรค ที่ร้ายแรงนี้ ทำให้เรา จนกระทั่งตายไป จากธรรมะได้เลย

๑๘ มีนาคม ๒๕๒๗


อีก อีก อีก

คนผู้ที่เชื่อแต่ทิฏฐิ ของตนเอง ยึดแต่ความเห็น ของตนเอง ผู้นั้นก็คือ คนๆ นั้นเอง จะชั่ว หรือ จะดี ก็เท่าผู้นั้นเอง

ผู้ที่จะเจริญ ใฝ่แสวงหา เพื่อที่จะเจริญ เมื่อมาพบ ตัวอย่าง คนที่ประเสริฐ เช่น พระพุทธเจ้า เช่น พระมหาสาวก และ มาพบคำสอน เหตุผลที่ดี จึงมาศรัทธาในคน เช่น พระพุทธเจ้า คนเช่น พระมหาสาวก ทั้งหลาย และ มีปัญญา พอฟังคำสอน ต่างๆ เห็นเหตุ เห็นผล เห็นความจริง รู้ความจริง จึงมาศรัทธา และ มาพิสูจน์ มาเอาตาม ปฏิบัติตาม จึงได้เปลี่ยนความเห็น ล้างความเห็น ออกมาเรื่อยๆ จนได้มาพบ ความดี ความประเสริฐ

แต่แล้ว ความเห็น ที่มีกิเลสซ้อน เล่นตัว เล่นงานเข้า ก็จะทำให้เกิด ความเห็น ยึดดี เท่ากิ่งก้อย ของตัวเอง ซ้อนเข้าไปอีก ผู้ที่ไม่มากไปด้วย ความเลื่อมใส ศรัทธาในเถระ ในพระเถระ ในพระผู้ปานกลาง หรือ ในพระผู้ใหม่ เป็นความเสื่อม ของอุบาสก ของอุบาสิกา ซึ่งเป็นคำสอนของ พระพุทธเจ้า เตือนอุบาสก อุบาสิกาได้ อย่างสำคัญ

ผู้ไม่ฟังธรรม เป็นความเสื่อม ผู้ไม่เข้าเยี่ยมเยียนใกล้พระ เป็นความเสื่อม ผู้ไม่เพิ่มใน อธิศีล เป็นความเสื่อม สิ่งเหล่านี้ เป็นสัจจะ ผู้ที่หลงตน หลงความเห็น หลงตัวเอง เสื่อมได้ อย่างเร็ว เสื่อมได้อย่างง่ายดาย

จึงขอเตือน ผู้ปรารถนาดี ที่จะมาเปลี่ยน ความเห็น อย่าหลงความเห็น ที่เพิ่งกระเถิบ ไปได้ เท่ากิ่งก้อย เป็นอันขาด เพราะความเห็น ของตนนั้น ยังจะต้องเปลี่ยนไป ให้เป็น ทิฏฐิสามัญญตา กับ พระมหาสาวก ที่ชื่อว่า "อรหันต์" ทั้งสิ้น กับ พระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่ขั้นตอน ที่จะมีความเห็น ถึงเช่นนั้น ได้ง่ายๆ

ขอให้สังวรให้มาก เรื่อง ความเห็นของตน ที่เพิ่งได้ เพิ่งได้ยังไม่ใช่ ความเต็ม ยังไม่ใช่ ความถูกต้อง อันครบครัน

จึงต้องสังวร สำเหนียก และ ติดตามใฝ่ศึกษา ค้นคว้า พิสูจน์ อีก อีก อีก และอีก จนถึงที่สุด ให้ได้

๑๙ มีนาคม ๒๕๒๗


 

ดีเท่านั้น

คนเราเกิดมา ทำทุกสิ่ง สารพัดจะหัด สารพัด จะทำให้เป็น เกินสัตว์ใด กว่าสัตว์ใด ที่มัน จะทำได้ แต่ สุดท้าย คนผู้รู้ ก็ต้องมาลด การกระทำ ที่เปล่าดาย ลงไปเรื่อยๆ เหลือเพียง การกระทำความดี เท่านั้น ให้เป็น และ ให้เก่งที่สุด เพียงอย่างเดียว

๒๐ มีนาคม ๒๕๒๗


 

ศรัทธา

ผู้ที่มีศรัทธา คำว่า "ศรัทธา" ก็ยังมีน้ำหนัก ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อ เชื่อในเบื้องต้น เราเชื่อด้วยฟัง เชื่อด้วยได้ยินมา เชื่อด้วยเห็นด้วยตา เชื่อด้วยรู้ในขั้นต้น ว่าเป็น ความเชื่อถือ ซึ่งความเชื่อ ในระดับต้น ในระดับกลาง ในระดับปลาย มันยังมี ความซ้อน อยู่อีก ตั้งหลายชั้น และ ในความเชื่อนั้น เมื่อผู้ใด ได้พิสูจน์เพิ่มขึ้น ได้ปฏิบัติเพิ่มขึ้น เมื่อปฏิบัติ พิสูจน์ ทดสอบ จนตนรู้ ตนเห็น ตนได้เป็นตามไปบ้าง เราก็จะเพิ่ม ความเชื่อนั้น ขึ้นไปอีก เรียกว่า ศรัทธินทรีย์ เป็นศรัทธา ที่มีอำนาจเพิ่มขึ้น แม้เราจะมีศรัทธา ความเชื่อถือ เพิ่มขึ้น มีอำนาจเพิ่มขึ้น ก็ยังมีน้ำหนักต้น กลาง ปลาย ในความเชื่อขั้น ศรัทธินทรีย์ อยู่อีกหลายชั้น หลายเชิง และ เมื่อยิ่งผู้นั้น ได้ปฏิบัติ พิสูจน์ไป จนกระทั่ง ถึงแก่น ถึงที่สุด ถึงสภาพ ที่สูงยิ่ง เห็นจริง เป็นจริง เกิดปัญญาญาณ เกิด ยถาภูตญาณทัสสนะ ก็ยิ่ง จะเป็น คนเชื่อมั่น เป็นศรัทธาพละ เป็นความเชื่อ ที่มีกำลังสูง มีอำนาจสูง แนบแน่น แน่วแน่ ปักมั่น หรือ มั่นคง เป็นที่สุด เป็นความเชื่อ เพราะความจบ เป็นความเชื่อ เพราะความจริง เป็นความเชื่อ เพราะได้เป็น ได้มี ได้ถึงที่สุด แห่งความดี ความประเสริฐ นับเป็นอันยอด ดังนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจว่า เราเชื่อ ก็อย่าเพิ่งนึกว่า ความเชื่อนั้น อย่างงมงาย หรือว่า นึกว่า ความเชื่อนั้น จะเป็นจริง โดยไม่พิสูจน์ โดยไม่ทดสอบ โดยไม่ประสบผล ให้ถึงแท้ ถึงจริง เป็นที่สุด ซึ่งเราจะรู้ความสุด หรือ ความจริง จบนั้น ได้ด้วยตนเอง

ขอให้ได้ประสบ ได้พบ สัจจะ ความจริง ที่เป็นความจริง อันที่สุด อันที่จบนั้น แต่ละขีด แต่ละขั้น แต่ละเรื่อง แต่ละตอน ที่เราเอง เรียนรู้ และก็พิสูจน์เอง ของทุกๆคน เทอญ.

๒๒ มีนาคม ๒๕๒๗


 

โพชฌงค์ ๗

การปฏิบัติโพชฌงค์ ๗ ซึ่งเป็นทฤษฎี สำคัญอันเอก ของศาสนาพุทธ ถ้าไม่มี พระพุทธเจ้า อุบัติ โพชฌงค์ ๗ ก็ไม่เกิด เพราะพระพุทธเจ้าเกิด โพชฌงค์ ๗ หรือ การก้าวไปสู่ ความสำเร็จ ๗ ก้าว จึงเกิด หนึ่ง. มีสติ การมีสตินั้น ไม่ใช ่การปล่อยปละ ละเลย สำคัญยิ่ง อื่นๆ ก็จะเกิดตาม ถ้าเราคุมสติ และกระทำ ก้าวแรก คือ สติให้เป็น และ ก้าวที่สอง ให้ตามมา ก้าวที่สาม ให้เกิดหนุนเนื่อง เมื่อมีสติ รู้ตัวจริงๆ ในทุกขณะ

แม้ขณะที่เราเป็น ผู้ที่ซ้ำซาก เราจะต้อง พยายามรู้ตัว ฝึกตื่น ฝึกรู้ตน อย่าปล่อยปละ ละเลย อยู่ตามความเคยชิน เมื่อมีความตื่น มีสติ มีธัมมวิจัย หรือ มีสติ มีสัมปชัญญะ ให้เกิด การใช้ปัญญา วิเคราะห์ ตรวจตรา ไตร่ตรอง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม พร้อมกับ สิ่งที่เราสัมผัส สัมพันธ์ อยู่ทุกขณะ มีความเพียร ที่จะเป็นแรง หนุนเนื่อง ให้เราใฝ่กระทำ และได้กระทำเสมอๆ ก้าวต่อไป เป็นปีติ ก้าวต่อไป เป็นปัสสัทธิ ก้าวต่อไป เป็นสมาธิ และ ก้าวที่ ๗ ก้าวเป็นสูงสุด ของโพชฌงค์ ๗ ก็ย่อมถึงได้เสมอ เพราะ เราได้ศึกษา ทั้งทฤษฎี ที่ประกอบด้วย โพชฌงค์ ๗ และ เราทำอยู่ เป็นมรรค องค์ ๘ อยู่ตลอด เวลานาที การก้าวหน้า ของโพชฌงค์ ๗ จึงจะก้าวจริง และ ก้าวได้ อยู่ตลอดเวลา ตลอดขณะ

นั่นคือ สิ่งที่เราควรสำเหนียก ควรสังวร ให้เป็นการก้าว แห่งพุทธะ อย่างที่ จะพาเราไปเกิด สู่ความเป็นในอริยะได้

๒๓ มีนาคม ๒๕๒๗


 

คนที่มีน้ำใจ

จุดมุ่งหมายปลายทาง ของผู้หวัง ความประเสริฐ มีประโยชน์ พร้อมกับ เป็นอยู่ อย่างเป็นสุข คือ ผู้ที่จะละความโลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นภาษาหลักๆนั้น โดยลักษณะ ก็จะเป็นผู้ที่มี จิตวิญญาณ ที่เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นคน ที่มีน้ำใจ ไม่ดูดาย ไม่เกียจคร้าน เป็นผู้ที่มี กะจิตกะใจ เมื่อเห็นผู้อื่น ที่ตกทุกข์ ที่ลำบาก ก็เป็นผู้ที่มี กะจิต กะใจ ไม่ดูดาย เป็นน้ำใจ เป็นความเสียสละ ซึ่งเป็น สภาพที่พิสูจน์ ความไม่เห็นแก่ตัวตน ความหมดตัว หมดตน ซึ่งเดายาก

คนที่เดาว่า ถ้าเผื่อว่า ผู้ที่หมด กิเลสโลภแล้ว จะเป็นคน ที่อยู่เฉยๆ ไม่กระทำอะไร ไม่มีจิตปรารถนา จะทำอะไร นั้นเป็นเพราะ การคาดคะเน ของคน ธรรมดา ปุถุชน ที่เขาทำงาน ขยัน ขวนขวาย ไม่ดูดาย ที่จะสร้างสรรนั้น เขากระทำด้วย แรงโลภ เขากระทำด้วย ความโลภ เมื่อเขาคะเนว่า แล้วถ้าเผื่อว่า เขาไม่มี สิ่งที่จะโลภ อยากได้อะไร เขาก็จะหมดแรง และ เขาก็จะไม่ทำอะไร นั้นคือ การคาดคะเน ด้นเดา ส่วนความจริงนั้น ขอให้พิสูจน์ และมันจะสมความจริง ตรงที่ว่า

เมื่อผู้ที่หมด ความโลภ หมดความเห็นแก่ ตัวตนแล้ว ผู้นั้นก็จะ เห็นแก่ผู้อื่น เป็นธรรมดา และ จะสร้างสรร ให้แก่ผู้อื่น เป็นธรรมดา จะเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล ช่วยเหลือ ประสงค์ ให้ผู้อื่นเป็นสุข เพราะเราเอง เราก็รู้ ว่าเราสุข เราเอง เราก็มีใจพอ มีใจสันโดษแล้ว มีความสบายยิ่งแล้ว จริงๆ เพราะฉะนั้น เมื่อเห็น ผู้อื่นทุกข์ ด้วยความหลง ด้วยความไม่รู้ อวิชชา จึงเกิด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งจะกระทำ ครบครัน อุเบกขาด้วย เพราะกระทำอย่าง ไม่รับอะไร ตอบแทนได้ หมดตัว หมดตน ที่แท้จริง

ดังนั้น ก็ขอให้ผู้ที่ยัง ไม่หมดตัวหมดตน ได้ทำบทฝึกหัด ที่จะเป็น ผู้ไม่ดูดาย เป็นผู้เอื้อเฟื้อ เป็นผู้ฝึกฝน เป็นการสละตัวตน ไปเรื่อยๆ เพื่อส่งเสริม ความเป็น ผู้ประเสริฐ ผู้มีคุณค่า ประโยชน์ และ เป็นผู้ที่ จะหมดกิเลส เป็นผู้สุขสบาย เป็นที่สุด ไปพร้อมๆกัน

อย่าเข้าใจผิด ว่า เราจะอยู่เฉยๆ คือ ผู้ว่าง คือ ผู้เบา คือ ผู้หมดกิเลส ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ตามการ คาดคะเน ด้นเดา เป็นอันขาด เพราะฉะนั้น ถ้าฝึกหัด อบรม ให้สอดคล้อง เราก็มีการงาน มีการขยัน หมั่นเพียร เป็นคน มีกะจิตกะใจ ไม่ดูดาย เป็นผู้ที่ได้ สร้างสรรคุณค่า สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็น สิ่งส่งเสริม ในการละตัวตน ล้างตัวตน ไม่หยุด ไม่ติด ไม่เสพย์ เป็นการ สอดซ้อน ส่งเสริม หนุนเนื่อง ทำให้เราหลุดพ้น จากตัวตน อันเป็นสิ่งลึกซึ้ง เป็นสิ่งที่ ละเอียด ประณีต ไปพร้อมๆกันได้

ขอให้มีสติ สัมปชัญญะ และ ระลึกรู้ โดยนัยะ ประการอย่างนี้ เพื่อปฏิบัติ ประพฤติ ให้เราได้เดินทาง ไปสู่ความสูงสุด ได้เร็วไว ยิ่งขึ้นด้วย เทอญ.

๒๔ มีนาคม ๒๕๒๗


 

มัชฌิมา และ สัมมา

สิ่งสำคัญ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นักปฏิบัติธรรม สาวกของท่าน จะต้องรำลึก และ ตรวจตรา พร้อมกับประกอบ หรือกระทำ ประมาณให้พอดี ให้ลงตัวที่สุด ก็คือ กระทำ ให้เป็น มัชฌิมา และสัมมา

มัชฌิมา ก็คือ จะต้องรู้กำลังแห่งตน ตรวจตน กระทำให้แก่ตน ให้พอเหมาะ พอดี อย่าให้เคร่งจัด เกินไป ทำแข็ง ทำสูงเกินตัว นี้เป็นเรื่อง สำคัญมาก เพราะถ้าเผื่อว่า ทำจัด ทำแรง ทำสูงเกินตัวไปแล้ว เราจะไม่ได้ และ จะเข็ดขยาด และ จะลำบาก ถ้าทำอ่อนเกินตัว ทำน้อยเกินตัว ไม่มัชฌิมา ไม่พอดี ก็ไม่ค่อย จะเกิดผลอีก เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะจัดแจงประกอบ และ ประมาณ ให้พอเหมาะ พอดี แก่ตนนั้น จึงต้อง ตรวจตรา แล้วกระทำให้ สมตัวสมตน ให้ดีจริงๆ จึงจะเป็น การปฏิบัติ ที่สบาย ไม่ลำบาก ลำบนแก่ตน และ เจริญ จะเบิกบาน แจ่มใส แต่ว่าการปฏิบัตินั้น ไม่ใช่ว่า จัดหรือ ประกอบ ประมาณ ให้แก่ตนเอง อย่างย่อหย่อน แล้วเราบอก แล้วเราจะสบาย ก็ไม่ใช่

ความเจริญนั้น อยู่ที่ความพอดี คือ ก็ได้เคร่งครัดนะ อยู่ในภูมิ อยู่ในขนาด ของศีล ของ กรรมฐาน ที่อยู่ในระดับ ต้องพยายาม ต้องพากเพียร ไม่ใช่ทำตาม อำเภอใจ มันทำง่ายๆ เราก็ไปเรื่อยๆ แต่เสร็จแล้ว ก็ชักช้า หรือ เสพย์ติดได้ง่าย เพราะฉะนั้น เราจะต้อง มีสภาพ ที่ต้องใช้วิริยะ ต้องใช้ความพยายาม อยู่เสมอ เราจึงเป็นผู้ตื่น เป็นผู้ที่ ขวนขวาย เป็นผู้ที่ อยู่ในธรรมะ ส่วนที่เป็นกุศล ส่วนอีกคำว่า สัมมานั้น ก็คือ การกระทำ ให้พอเหมาะ พอดี เช่นกัน คือ จะต้องเรียนรู้ธรรมะ เข้าใจสิ่งที่ มันประมาณ และ ประกอบแล้ว ได้พอเหมาะ พอดี ทั้งกรรมกิริยา กายก็ดี วาจาก็ดี จิตใจก็ดี และ อะไรอื่นๆ ที่ประกอบ เป็นกาโย เป็นสิ่งที่ประชุม ทั้งอิริยาบถ ความประพฤติต่างๆ ที่เราจะประมาณ ให้ดูเหมาะดูสม มีประโยชน์สูง ประหยัดสุด ทุกกาลเทศะ จึงจะเกิด ความชำนาญ เกิดความรู้ โดยอัตโนมัติ จึงจะเป็น ผู้ที่มีประโยชน์ตน และท่าน อย่างสมบูรณ์ และเจริญเร็ว

มัชฌิมา และสัมมานี้ จึงเป็นหลักใหญ่ เป็นหลักสำคัญ ของพระพุทธองค์ ที่เราจะต้อง สังวร ระวัง และตรวจตรา กระทำ อย่างแท้จริง สำเหนียก สังวรจริงๆ

กว่าจะรู้จัก มัชฌิมา และ สัมมาดีที่สุด และ กระทำได้จบสิ้น เป็นที่สุดนั้น ไม่ใช่ง่าย

๒๕ มีนาคม ๒๕๒๗


 

เลือกเฟ้นสิ่งที่ดี ที่สุด

ผู้ใดที่มีใจอันแน่นอน มั่นคง ที่สามารถรู้ สามารถทำความตัดสิน ในสภาพที่เราเลือก เมื่อตัดสิน สิ่งที่เราเลือกได้แล้ว ผู้นั้นจะสามารถกระทำ ปฏิบัติไปได้เร็ว ไปได้ก้าวหน้า เพราะไม่ต้องลังเล ไม่ต้องคลางแคลง สงสัย อยู่ที่แรงความเพียร ความตั้งใจของเรา เท่านั้น ว่ามีมาก หรือน้อย ที่จะเป็นแรงหนุนนำ ให้แก่ผู้นั้น เดินไปได้เร็ว ยิ่งๆ ขึ้นอีก เพราะฉะนั้น ในปัญหาแรก สำหรับ ผู้ที่ยังลังเล สงสัย ยังไม่แน่นอน ยังกลับไป กลับมา ยังวกวน ผู้นั้น ถึงแม้เดิน ก็เหมือนไม่เดิน ถึงแม้ก้าว ก็เหมือนไม่ก้าว เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุด ที่เราจะต้อง ใช้ปัญญาอันยิ่ง เท่าที่เรามี หัดตัดสินใจ ให้แน่นอน เด็ดขาด เลือกเฟ้น สิ่งที่ดี ที่สุด ที่เราจะเลือกได้ แล้วก็ใช้ความเพียร เป็นเครื่องประกอบ ในการเดินทาง หรือปฏิบัติ ก้าวหน้า ให้แก่ตน

เราจึงจะเป็นผู้เจริญ ในทางธรรม และ สบายใจ เป็นที่สุด

๒๖ มีนาคม ๒๕๒๗


 

กรรม

ผู้ใดศึกษาธรรมะ ด้วยสัมมาทิฏฐิ ได้พิสูจน์ธรรมะ ด้วยมรรค องค์ ๘ ได้ประพฤติ จนถึง ภาวนามัย มีผลแก่ตนๆ จนสามารถ แจ้งในธรรม ในสัจธรรม พอสมควรแล้ว รู้นรก รู้สวรรค์ รู้บาป รู้บุญ เชื่อในกรรม ผู้นั้นๆ ย่อมสังวรระวัง ในกรรมนั้น เพราะกรรม เป็นอันทำ กรรม เป็นของจริง กรรมเป็นความจริง ผู้ใดทำกรรม แม้น้อย แม้นิด ก็ย่อม เป็นของจริง

นรก สวรรค์ บาป บุญ ขึ้นอยู่ที่กรรม ผู้ทำกรรม เป็นบาป ย่อมเป็นนรก ผู้ทำกรรม เป็นสวรรค์ ผู้ทำกรรมเป็นบุญ ย่อมเป็นสวรรค์ นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ผู้ใดทำ ก็เป็นทายาท ของกรรม ทำชั่ว ย่อมได้บาป ได้นรก ทำดี ย่อมได้บุญ ได้สวรรค์ ผู้ซึ่งกระทำจริงแล้ว ย่อมเป็นผู้ที่ มีแล้ว ผู้ระวังดีแล้ว ย่อมละบาป ละนรก

ผู้ระวังให้จริง สังวรด้วย สติปัฏฐาน ๔ ด้วย โพชฌงค์ ๗ อย่างยิ่ง แยบคายขึ้นเท่าไร สวรรค์ย่อมเป็น ของผู้นั้นๆจริง เราเป็นทายาท ของกรรม กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็น เผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่ง ที่อาศัยอยู่ เราจะได้ดี ได้ชั่ว เราจะถึงสวรรค์ ถึงนิพพาน ก็ด้วยกรรม

ดังนั้น การปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ มรรคองค์ ๘ อย่างที่ เราได้เข้าใจ กันแล้ว จึงเป็นการ สั่งสมกรรม เป็นการกระทำ ด้วยความเพียร ของแต่ละบุคคล ที่จะทำสวรรค์ หรือ ทำนรก หรือ ทำนิพพาน ให้แก่ตน แก่ตนเอง เป็นกัมมัสสกตา ของตนๆ จริงๆ เท่านั้นๆ

๒๙ มีนาคม ๒๕๒๗


คาถาธรรม ๕ / คาถาธรรม ๖ / คาถาธรรม ๗