คาถาธรรม ๗
รู้เท่าทันโลก ชีวิตมนุษย์ ถ้าไม่มีอุปสรรค ผู้นั้นย่อมไม่ฉลาด ย่อมไม่แข็งแกร่ง ถ้าผู้ใด ชีวิตมีอุปสรรค มีสิ่งที่จะต้องทำ ให้เราต่อสู้ ด้วยความพยายาม ผู้นั้น จึงจะมีความฉลาด มีความแข็งแกร่ง มีความสามารถ เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น จะเป็นมนุษย์ที่ ไม่มีความฉลาด ไม่มีความแข็งแรง ไม่มีความสามารถ อันใดเลย ก็เท่ากับ เกิดมาเสียเปล่า ผู้ปฏิบัติธรรม ก็เช่นเดียวกัน จะปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ได้หมายความว่า เราจะมาหลบไปหยุด ไม่มีอะไร จะกระทบกระเทือน ไม่มีอะไร ที่จะทำให้เรา จะต้องเกิดปัญหา และ เกิดความแข็งแกร่ง เกิดความแข็งแรง ของจิตใจ พร้อมกันกับ มีความสามารถ ในการที่จะ ประหารกิเลส สามารถที่จะ ประสานชีวิต ให้อยู่กับมนุษย์ ที่มีกิเลส ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ได้แล้วละก็ ผู้นั้นก็ย่อมจะเป็น ผู้ที่ไม่สามารถ จะปราบกิเลส ของตน ๆ ให้หาย ให้สูญสิ้น ไปจากตนได้ เพราะฉะนั้น การที่มีอุปสรรค แม้จะเป็นอุปสรรค ของธรรมชาติ หรือ อุปสรรค ของบุคคล ที่ก่อเกิด กระทำขึ้นมา ให้แก่ตน แก่ตนนั้น ย่อมเป็นแบบฝึกหัด ที่เราไม่ได้จ้าง เป็นบทที่จะพิสูจน์ ให้เราได้กระทำตน เพื่อความแข็งแรง เพื่อความมีปัญญา เพื่อการมีความสามารถ ให้แก่ตน ถ้าผู้ใดเข้าใจไม่ดี ไม่มีสัมมาทิฏฐิ เห็นอุปสรรค แม้จะเป็น ธรรมชาติก็ตาม หรือ ยิ่งจะเป็นมนุษย์ ที่สามารถสร้าง อุปสรรค อันจะก่อยั่วยวน ให้กิเลสเราเกิดได้ เราไม่รู้เท่า รู้ทัน หลีกเร้น หลบเลี่ยง และคิดว่า สิ่งเหล่านั้น ไม่เป็นคุณ ไม่เป็นประโยชน์ ผู้นั้น ย่อมพลาด โอกาส ย่อมเดินช้า หรือ ไปไม่ถึงที่สุดได้ แต่ ถ้าผู้ใด มีสัมมาทิฏฐิ เข้าใจต่อสิ่งเหล่านี้ อันจะต้อง มีแก่มนุษย์ แน่นอน ทั้งธรรมชาติ ทั้งก่อเกิด จากมนุษย์ ที่จะเป็นแบบฝึกหัด ให้แก่เรา ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ดีจริงแล้ว ผู้นั้นก็ตั้งใจ แบ่งรับ ในส่วนที่ เขาสามารถสู้ได้ ไปตาม อินทรีย์พละ ซึ่งการแบ่งรับนั้น เขาถือว่า เป็นศีล เป็นหลักประพฤติ ตามที่เราได้ตั้ง ตามอินทรีย์พละ ของตน ๆ เขาก็สามารถ ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ เป็นขั้น เป็นตอน เป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ได้อย่างงาม อย่างดี ทุกคนตั้งใจให้ดี มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา และ กระทำตน อย่าเป็นคนขี้เกียจ อ่อนแอ ท้อถอย ต้องเป็น คนขยัน แข็งแรง กล้าต่อสู้ ต่ออุปสรรค ดังกล่าวแล้ว เราจึงจะเป็นผู้ที่ สามารถเดินทาง ไปได้ด้วยดี สามารถ ถึงที่สุด ได้อย่างเร็ว ๒ ตุลาคม ๒๕๒๗
วุฒิ ๔ พระพุทธเจ้า สอนเราไว้ว่า วุฒิ หมายความว่า เจริญยิ่งอยู่ ยิ่งอยู่ ผู้ที่โชคดี มีสัตบุรุษ ให้คบ ให้คุ้น ให้สัมพันธ์อยู่ โชคดี ที่ได้ฟังธรรม และ ตนเอง ก็ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจที่จะฟังธรรม พร้อมกันนั้น ก็ตั้งใจ ที่จะพิจารณา แยบคายถ่องแท้ กระทำให้ละเอียด ถึงจิต ถึงใจ และ สุดท้าย ก็ตั้งใจปฏิบัติธรรม ตามฐานะ ของตน ๆ ให้มีบทปฏิบัติ ที่ทำขณะไม่ให้ล่วง ไปได้มาก พยายามที่จะ ตั้งอกตั้งใจ มีสติ มีธัมมวิจัย มีความพากเพียร สอดส่องดูตน มีสติ ควบคุมตน เสมอๆ มีธัมมานุธัมม ปฏิปัตติ มีการปฏิบัติธรรม สมควร แก่ธรรม อยู่จริง มรรคย่อมได้ ผลย่อมได้ ความเป็นไป ย่อมเจริญ ตามที่ พระสัมมา สัมพุทธเจ้า นั้น ได้ตรัสไว้ จริงแล้ว ดีแล้ว แท้แน่นอน แต่ผู้ที่มีสัตบุรุษให้คบ ให้คุ้น ทว่า ตนเอง กลับหมางเมิน เหินห่าง ไม่เหลียวแล ไม่เอาใจใส่ มีธรรมะให้ฟัง แต่ตนเอง ก็เมินเฉย ไม่ใส่ใจ แม้แต่แค่ฟังธรรม เป็นคนหยาบ ไม่ทำความแยบคาย ไม่พยายาม ไตร่ตรอง ตริตรอง ปล่อยปละ ละเลย ไปตามอารมณ์ ที่มีกิเลส เข้าครอบงำ อยู่เสมอ และ ไม่ได้ปฏิบัติ เอาจริงเอาจัง อะไรเลย ตรงกันข้ามกับ วุฒิ ๔ แน่นอนที่สุด บุคคลนั้น ย่อมเหลว ปราศจากผล แม้จะว่า ให้ทำตน เป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร แน่นอน เช่นเดียวกัน ๘ ตุลาคม ๒๕๒๗
ผู้เดินทาง ผู้ที่มีทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง แต่เป็นผู้ที่ ไม่พากเพียร เป็นผู้ที่ ไม่พยายาม ประกอบตน อย่างมีโพชฌงค์ คือ มีสติรู้ตัว ทั่วพร้อม รู้จักตัว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม และ ผัสสะ ทั้ง ๖ ที่เราจะต้อง ระมัดระวัง มีวิจัยธรรม แล้วก็พยายาม ปรับตนสู่กุศล เสมอ แม้จะมีทิฏฐิ ความเห็น ที่ถูกต้อง ในธรรมะ ตามทางของ มรรค องค์ ๘ หรือ ของพระพุทธองค์อย่างไร แต่ไม่มีโพชฌงค์ ๗ เกิด ไม่ได้วิริยะ พากเพียร เพื่อกระทำให้แก่ตน ดังกล่าวแล้ว ก็จะไม่ได้ รับผลอะไรเลย และ เช่นเดียวกัน แม้ว่าผู้ใด จะมีความขยัน หมั่นเพียร จะมีสติ มีธัมมวิจัย มีการปฏิบัติ เดินทางประหนึ่ง โพชฌงค์ กระทำอยู่ เท่าใด ๆ ก็ตาม พากเพียร อุตสาหะ วิริยะยิ่งก็ตาม แต่ถ้าเผื่อว่า ทิฏฐิ นั้นผิด เข้าใจไม่ถูกต้อง ผู้ปฏิบัตินั้น ก็ไม่ได้ผล คือ ไร้ผล ที่จะเดินทาง เข้าไปสู่ นิพพาน ตรงตามที่ พระพุทธองค์ พาเป็น เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ข้อสำคัญ ๒ สิ่ง ที่เราจะต้อง มีทิฏฐิ ให้ถูกต้อง แน่นอน กับเราจะต้อง มีความเพียร ในการที่จะเดิน โพชฌงค์ หรือ พยายาม ที่จะต้องมี อุตสาหะ วิริยะ ปฏิบัติตน ให้ได้เสมอๆ ในชีวิต ประจำวัน สองจุดนี้ เป็นความสำคัญ ที่เราจะต้อง ตรวจตรา และ รู้ตัวว่า เรายังมี ครบบริบูรณ์ อยู่หรือไม่ ถ้าหาก ขาดร่วง หรือ ตกหล่นไป ไม่สิ่งใดก็สิ่งหนึ่ง ก็ตาม เราก็เป็น ผู้ที่พลาด เป็นผู้ที่ ไร้ประโยชน์ ในทางธรรม ต้องตรวจจริงๆ พยายามกระทำตน ให้เป็นผู้ที่ อย่าตกหล่น อย่าทำขณะให้ร่วง เพราะเรามี สองสภาพ นี้ให้ได้ แล้วเราจะเป็น ผู้เจริญ เป็นผู้เดินทาง ไปตามที่ เรามั่นหมาย เพื่อไปสู่ ความประเสริฐ ของความเป็นมนุษย์ หรือ ไปสู่ที่สุด แห่งนิพพาน ๑๐ ตุลาคม ๒๕๒๗
นิ่ง เรามาปฏิบัติธรรม ก็เพื่อว่า จะเป็นผู้ที่ มีความนิ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่า หยุดอยู่เฉยๆ คำว่านิ่ง หมายความว่า เราไม่หวั่นไหว เราไม่แปรปรวน เราไม่ไป เราไม่มา เราไม่เข้า เราไม่ออก เราไม่ขึ้น เราไม่ลง เราไม่สงสัย ที่จะวกวน ที่จะวกเวียน ที่จะกลับไป กลับมา ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้สึก มีแต่ความแน่มั่น เรียกว่า นิ่ง มีแต่ความ ไม่สะดุ้งสะเทือน เรียกว่านิ่ง มีแต่ความเป็นหนึ่ง เข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่มีเป็นอื่นอีก เรียกว่า นิ่ง เพราะฉะนั้น สิ่งใด ที่เรายังไม่เข้าใจ อย่างแท้จริง ทำให้เข้าใจ เข้าใจด้วยความรู้ เป็นเพียงรู้ แต่ก็ต้อง ปฏิบัติ ให้เป็นให้ถึง เมื่อเราปฏิบัติ จนเป็นจนถึง จนสัมผัสจริง รู้ยิ่ง เห็นจริง เข้าเป็นจริง ในสิ่งนั้น โดยเฉพาะ ในเรื่องของ การละ ล้างกิเลส ออกจากจิตจริง แล้วได้อารมณ์ของ นิพพาน สภาพของวิมุติ ที่เป็นสภาพ รู้ด้วยตน เป็นปัจจัตตัง เมื่อแน่นิ่ง ว่ากิเลส เป็นเช่นนั้น การเอา กิเลสออกได้ ก็รู้จริง ออกหมด จนเป็นวิมุติ จนเข้าสภาพ นิพพาน ดังกล่าวแล้ว เราจะซับซาบเองว่า ความสุดเป็นหนึ่ง นิ่งแน่นอน ไม่วนเวียน มั่นคงที่สุด เป็นเช่นนั้น เช่นนั้น ด้วยเหตุปัจจัย ที่เป็นกิเลสอย่างใด อย่างใด เมื่อเราจับแม่น จับมั่น และ ตามปฏิบัติ จนรู้แจ้ง เห็นจริง ตรัสรู้แต่ เฉพาะตน แม้แต่ละเรื่อง แต่ละเกร็ด เราก็สามารถ กระทำได้ ผู้นั้น จะรู้เองว่า ความแน่นิ่ง ความเป็นหนึ่ง ไม่เป็นอื่นอีก หมดวัฏสงสาร ไม่เวียนวน นั้น มีความหมาย เช่นใด แล้วผู้นั้น ก็ทำในกรณีอื่น ในกิเลสอื่น ในประเด็นอื่น จนเรามี สภาพมากพอ เราก็จะมีกำลัง และ ทำได้รวดเร็ว เสร็จแล้ว เราก็จะถึงที่สุดได้ เป็นแน่นอน ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๗
ความหมาย ๒ นัย ของความเพียร ผู้จะเจริญได้ จะต้องเพียรให้หนัก พักให้พอ คำว่า เพียรนั้น มีความหมาย ๒ นัย ผู้เพียร เพื่อการงาน ทั่วไปนั้น ๑ และ ผู้เพียรในการที่จะ รู้กิเลส อกุศล ของตน ๆ และ เพียรละกิเลส อกุศลของตน อีก ๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเราสอนไว้ว่า ให้เป็นผู้สร้าง ที่พึ่ง ในทางธรรม ให้แก่ตน โดยเป็นคนเพียร ทั้ง ๒ อย่างนี้ การเพียร ในการงานทั่วไปนั้น เราย่อมเมื่อย ย่อมเหนื่อย เมื่อเราได้กระทำงาน เราจึงต้องรู้ การพักผ่อน ให้สมดุล ให้เพียงพอ แต่ก็ควรเพียร ให้จริงจัง หนักแน่น ส่วนการเพียร ในการละกิเลสนั้น ไม่ต้องพัก ทำขณะ อย่าให้ล่วง จะต้องมีขณะ ทุกขณะ แม้แต่นอน เราก็จะต้องรู้ตน เพียรทั้ง นอนหลับ ทั้งตื่น ตลอดระยะเวลา เราจะต้องเป็น ผู้เพียรอยู่ตลอด โดยไม่จำเป็น ต้องพัก เพื่อที่จะรู้ตัว ทั่วพร้อม มีธัมมวิจัย มีวิริยะ ทำความเป็นจริง ให้แก่ตน แก่ตน โดยละอกุศล กิเลสทุจริตทั้งปวง เพราะฉะนั้น คำว่า เพียรให้หนัก พักให้พอ จึงต้องรู้ ให้ละเอียดลออ ดังที่กล่าวนี้ เมื่อทำได้ถูก ทำได้ตรง ทำได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ผู้นั้น หวังความเจริญ แม้ที่สุด ถึงนิพพาน ได้แล ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๗
ธรรมชาติของวัฏฏะ ธรรมดา ธรรมชาติของวัฏฏะ ย่อมมีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ มีดับไป หมุนวน เป็นวัฏจักร อยู่เช่นนั้น เช่นนั้น ถ้าเราไม่รู้ เหตุแห่งความเกิด และ เราไม่ดับเหตุ แห่งความเกิด จนสิ้นสนิทได้ ความเป็นวัฏจักร ที่เป็นธรรมดา ธรรมชาติ ย่อมเกิดแล้วเกิดอยู่ เมื่อเรามาศึกษา ถึงเหตุเกิด และ เราก็ได้ศึกษา วิธีที่จะดับเหตุเกิด จนเราได้ดับจริงๆ ฝึกฝน อบรมตน จนได้ดับเหตุนั้น สนิท ถอนสิ้นอาสวะ อนุสัย ก็จะไม่เกิดอีก จะดับสนิท รู้ความดับสนิท เห็นความจริง เห็นของจริง แห่งการดับสนิท ดังนั้น คำว่าการเกิด จึ่งเป็นจุดสำคัญ ที่เราจะต้องศึกษา ที่เราจะต้อง รู้เหตุแห่งการเกิด ทั้งที่ดี และ ที่ชั่ว ทั้งที่จะให้ เกิดให้ยิ่ง ทั้งที่จะ ไม่ให้เกิด อีกเลย ดังนั้น ในความหมาย หรือ ในความจริง แห่งสิ่งที่ จะเกิดอยู่ หรือ ไม่ให้เกิดอยู่ จนกระทั่ง ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีตั้งอยู่ สูญสนิท ดับสนิทอยู่ สิ่งใดเล่า ที่เราจะไม่ให้เกิดขึ้น ไม่ให้ตั้งอยู่ สูญสนิท ดับสนิท หมดวัฏฏะ เป็นธรรมชาติไม่มี แต่เป็นธรรมะ อันเป็นอมตะ เป็นธรรมะ อันวิเศษยิ่ง มันจะอยู่ที่ใด เราจะต้อง ค้นคว้าให้เจอ และ เป็นผู้ที่รู้ ความจริง ของวัฏฏะ หรือธรรมดา ธรรมชาติ อันเกิดขึ้น และ ยิ่งเรา ยิ่งจะให้เกิด ให้ยิ่ง ให้ตั้งอยู่ ให้นาน และ ไม่ให้เสื่อม ไม่ให้ดับไปได้ โดยเจตนารมณ์ ก็ย่อมมีสิ่งนั้น อยู่จริง ด้วยความ ปรารถนาดี เช่น เราต้องการ ให้ศาสนา เกิดขึ้น ให้ศาสนาตั้งอยู่ ให้ศาสนาไม่เสื่อม ดังนี้ เป็นต้น นั่นคือ สิ่งที่เรา จะให้เกิด แต่ สิ่งที่เราจะไม่ให้เกิด อย่างยิ่ง ให้ดับสนิท ให้ไม่ให้เกิด อีกเลย ก็คือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งอาศัยจิต เป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น เราจะต้อง พบตัวเกิด อยู่ในจิต เป็นแดนเกิด แต่แท้จริง มันเป็นกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่อาศัย ภพของจิต เท่านั้น ผู้ค้นพบ ผู้รู้วิธีดับ ผู้ดับได้ ผู้นั้นแล เป็นผู้พบ อมตธรรมแล้ว ๒๒ ตุลาคม ๒๕๒๗
อย่าเผลอใจ อย่าได้ห่างใจ หลักเกณฑ์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านให้เราไว้ว่า ธรรมะของ พระพุทธเจ้า ทั้งปวงนั้น มีฉันทะ เป็นมูล มีมนสิการ เป็นแดนเกิด มีผัสสะ เป็นสมุทัย มี เวทนา เป็นที่ประชุมลง มี สมาธิ เป็นประมุข ในระดับเพียง ๕ ระดับนี้ เราจะศึกษา และ เห็นความจริง เข้าใจ ความจริงได้ โดยเฉพาะ การเกิดในแดนเกิด ที่เป็นจิต ไม่ใช่การเกิด ที่เป็นแดนเกิด ที่อยู่ที่อื่น นี่ เป็นหลักการ ที่เป็นหลัก ยืนยันว่า เราจะต้องรู้ และ จะต้องมีความจริง มีการเกิดจริง ที่จิต จิตของคนเรานั้น เหมือนมันไม่เกิด เหมือนมันตาย หรือ เหมือนมัน ถูกครอบงำ มันไม่เป็น อิสระ มันไม่เป็น จิตที่จริง มันเป็นชีวิต ที่ถูกคุมขัง หรือ ถูกกิเลส ครอบงำอยู่ อย่างไม่เป็น ตัวของตัวเอง ไม่เป็นจิต ของจิตเอง เพราะฉะนั้น จะต้องให้จิตนั้น เกิดเป็นไทแก่ตัว ให้จิต บริสุทธิ์ขึ้นมา ให้จิต เป็นจิตของตัวเอง อย่างแท้จริง แล้วเราจะรู้ได้ ก็เพราะ มีผัสสะ เป็น สมุทัย เป็นเหตุเกิด เราจึงจะต้อง เรียนรู้ โดยมีสมุทัย เป็นเหตุเกิด ตั้งแต่ผัสสะนอก จากทวาร ข้างนอกที่รับรู้ จนกระทั่งถึงใน ที่เป็นผัสสะ ด้านใน และจะรวม ประชุมลง ที่เวทนา ความรับรู้สึก ความรับรู้ แล้วก็ไปปรุงสร้าง ประชุมลงที่จิต หรือตัวเจตสิก ที่เรียกว่า เวทนา และ เราจะได้ปรับเปลี่ยน ปรับปรุง ในสิ่งเหล่านั้น ให้แข็งแรง มั่นคง จนเป็น สมรรถภาพ ที่นำชีวิต เป็นสมาธิ เป็นหัวหน้า นำชีวิตไป เพื่อความเจริญขึ้น เจริญขึ้น ถ้าเราไม่ได้เช่นนั้น เราก็จะไม่ได้ ความเจริญ เหล่านั้น จนกระทั่ง ต่อทอดสูง กระเถิบระดับ ขึ้นไป ๆ จนกระทั่ง ถึงนิพพาน ตามที่เรา ได้ศึกษานั้น เป็นแน่แท้ จึงขออย่าให้พวกเรา ได้เผลอใจ อย่าได้ห่างใจ เรามีผัสสะ มีมรรค องค์ ๘ เป็นทางเอก วิเศษ ที่ได้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ผู้ใด มีอิริยาบถ กิริยา ความเป็นอยู่ มีความประชุม ของภายนอก ของภายใน เราจะสามารถศึกษา มีแบบฝึกหัด ที่แท้จริง กระทำของจริงให้เป็นกุศล ให้เดินทางไปสู่ ความเจริญ ความดีได้ ผู้ทำถูก ทำเป็นได้จริง เป็นจริง จึงจะถึงที่สุด เป็นปริโยสาน คือ นิพพานได้จริง ๒๓ ตุลาคม ๒๕๒๗
ลูกศิษย์ของตถาคต ในความเป็นมนุษย์ ถ้าผู้ใดที่ไม่ทำ ความดีที่สุด นั่นก็คือ ความเลว ของมนุษย์แล้ว เพราะฉะนั้น ป่วยการ กล่าวไปไย ถึงความดี ที่ลดหย่อนกว่านั้น เราก็ยังไม่ทำ หรือ ความดี ที่ง่ายกว่า ดีที่สุดนั้น ทั้งๆที่เรา รู้อยู่ด้วยอีก เราก็ยังไม่ทำ เราจะเลว สักปานใด มนุษย์ผู้ที่ ใฝ่ความเจริญ เพื่อหวังความเจริญ ทำตน ให้ประเสริฐขึ้น ในวัน ในเวลา ที่ผ่านไป กว่าจะตาย เราหวังความประเสริฐจริง หวังความเจริญจริง ถ้าผู้ที่หวังความเจริญจริง หวังความประเสริฐจริง ต้องสำนึก ต้องสังวร มีมรรค องค์ 8 มีโพชฌงค์ 7 มีสติรู้ตัว ทั่วพร้อม มีธัมมวิจัย รู้ความดี ความไม่ดี แล้วก็ประพฤติตน กระทำตนด้วย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สู่ดี สู่กุศล สู่สุจริต ให้ได้มากขณะ ที่สุด ด้วยเจตนารมณ์ ด้วยความสบายใจ ที่เราเจริญ ได้อยู่ทุกขณะ เพราะเราเดิน โพชฌงค์ 7 อย่างเต็มที่ เท่าที่เรา จะทำได้ นั่นแล คือ ผู้ที่เดินโพชฌงค์ อยู่ในมรรค ของพระพุทธเจ้า ตามที่เรามี สัมมาทิฏฐิ เท่าที่เราจะมี ปัญญาได้ ผู้นั้น ก็จะเจริญ และประเสริฐได้ ชื่อว่า ลูกศิษย์ของ ตถาคตแท้ 25 ตุลาคม 2527
สัจธรรมปรากฏ หากสัจธรรมปรากฏ ผู้คนมี ดวงตาแห่งธรรม บทบาทของธรรม กระจายไปทั่ว ประดุจดัง ตะวันทอฟ้า ผู้คนยินดี ปลาบปลื้ม รับฤทธิ์แรง แสงแห่งพระธรรม มาให้แก่ตน ผู้คนยินดี มีปีติ ปราโมทย์ในธรรม ต่างขวนขวาย ศึกษา อบรม ปฏิบัติ โดยเฉพาะ เดินทางด้วย มรรคองค์ ๘ ของพระพุทธองค์ ถูกทาง มีชีวิต เดินทาง เข้าสู่ความเป็น อิสรภาพ มีความเป็น ภราดรภาพ หมู่ชนเดินทางเข้าสู่ สันติภาพ และ เมื่อปฏิบัติ ถูกธรรม ของพระพุทธองค์ พระบรมศาสดา มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมมีสมรรถภาพ เขาก็หวังว่า สักวันหนึ่ง ก็คงจะถึง ซึ่งบูรณภาพ และ เมื่อนั้น ในบรรยากาศ สังคมนั้น คงจะเด่น ตระหง่านไปด้วย ทิวธรรม 26 ตุลาคม 2527
พุทธศาสตร์ ผู้เรียนพุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์แห่ง พระบรมศาสดาเจ้า อย่างถูกทาง และ ปฏิบัติ จนมีธรรมะ อันเป็นอริยธรรม จะเป็นผู้ที่รู้จัก การเกิด ในสภาพ การเกิดนั้น มีทั้งหยาบ กลาง ละเอียด และการเกิด ที่เป็นเป้าหมาย อันยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่า ขั้นปรมัตถสัจจะ ก็คือ การเกิดที่จิตใจ มีการเกิดของ อาการกิเลส การเกิดของ อาการจาง คลาย และ การเกิดของ อาการวิมุติ มนุษย์ปุถุชน ไม่รู้จักการเกิด ในสภาพจิตใจ หรือ จิตวิญญาณ ไม่รู้อาการ ไม่รู้ความแตกต่าง ไม่รู้นิมิตหมาย นำขึ้นแสดง ชี้แจง กล่าวถึงได้ยาก แต่ผู้ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมของ พระสัมมา สัมพุทธเจ้า จะเป็น ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง จับสภาวธรรม เหล่านั้น ได้แม่นชัด และ สามารถเห็นจริง ในความเกิด และ ความตั้งอยู่ และความดับไป โดยความสามารถ ของผู้ปฏิบัติ จะสามารถ ทำให้เสื่อมไป จางไป ดับไป จนดับสนิท จึงจะชื่อว่า ผู้ดับการเกิด หรือดับชาติ ดับชรา มรณะ เพราะฉะนั้น คำว่า การไม่เกิดอีก จึงเน้นหมาย เข้าที่เป้าตรง ปรมัตถสัจจะ คือจิต เจตสิก ดังนี้ เมื่อผู้ที่ได้กระทำ อย่างแท้จริง ปฏิบัติ อย่างแท้จริง มีผล อย่างแท้จริง ผู้นั้น จึงจะรู้แจ้ง เห็นจริง เป็นการตรัสรู้ ว่าเป็น ผู้ไม่มีการเกิด ไม่มีการตั้งอยู่ มีแต่ความดับสนิท จึงจะเป็นผู้ที่ ไม่พาให้สิ่งอื่น ที่เป็น ความเลวร้าย ที่มาจากเหตุ คือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน หรือ โลภ โกรธ หลง ทั้งหยาบ กลาง ละเอียด ที่เป็นตัวการ แห่งการนำเกิด ซึ่งความเลว ความชั่ว หรือบาปทั้งปวง แต่ผู้ดับการเกิด แห่งความชั่ว ทั้งปวง บาปทั้งปวง เหล่านี้ ได้อย่าง สิ้นสนิทแล้วนั้น ย่อมเป็น ผู้ที่ยังมี การเกิด แห่งกุศล ยังกุศลให้ถึงพร้อม ด้วยความขวนขวาย ขยัน หมั่นเพียร มีจิตเมตตา อนุเคราะห์โลกอยู่ จึงไม่ได้ หมายความว่า การไม่เกิดอีก นั้นคือ การตายเน่า ของร่างกาย ในความหมายของ พุทธศาสนา การไม่เกิดอีกนั้น จึงคือ การไม่เกิด กิเลส ตัณหา อุปาทาน อย่างชัดแท้ ถูกตัว ถูกสภาวะ และเป็นจริง ได้แท้จริง สำหรับแต่ละผู้ที่ ปฏิบัติถูกต้อง ยืนยันสัจธรรม อย่างนี้ คนผู้ปฏิบัติ ดับการเกิด แห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน ได้แล้วจริง จึงเป็น ผู้ไม่เกิดอีก แต่ยังเป็น ผู้เป็นไปอยู่ ที่ชื่อว่า สุคโต หรือ สัมมัคคโต โดยเฉพาะ อย่างพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ก็เรียกว่า ตถาคโต คือ ผู้ยังเป็นไปอยู่ ดำเนินไปอยู่ อย่างดีแล้ว 27 ตุลาคม 2527
มาวัด อยู่วัด เพื่ออะไร พุทธสถาน หรือ ที่เราเรียกกัน ในไทยว่า วัดนั้น เป็นสถานที่ปฏิบัติ ประพฤติธรรม ผู้มาอยู่ ในวัด ผู้เข้ามาในวัด ก็พยายาม จะมาประพฤติ "วัตร" "วัตร" หรือ การประพฤติ ก็คือ ผู้ที่อยู่ในศีล ในการบำเพ็ญ ประพฤติ เรียกว่า "วัตร" หรือ เรียกว่า "พรต" การประพฤติพรต บำเพ็ญพรต หรือบำเพ็ญวัตร จึงเป็น การกระทำเพื่อ สังวรระวัง มีหลักประพฤติ เพื่อขัด เพื่อเกลาตนเอง ให้เป็นคน เสียสละ ให้เป็นคน ละกิเลส ให้เป็นคน มีความละอาย ให้เป็นคน รู้จักตัวเอง รู้จักความชั่ว ความไม่ดี ของตนเอง แล้วละ แล้วเลิก พยายามปลดปล่อย ให้จริง ผู้ไม่มีความละอาย เรียกว่า "อลัชชี" ผู้ไม่มีความละอาย ไม่ได้สังวรระวัง ไม่ได้ขัดเกลาตน ย่อมไม่ใช่คนวัด แต่เป็นคน มาทำความเสื่อม ให้แก่วัด ดังนั้น ผู้ใด ที่มาในวัด หรืออยู่วัด ย่อมจะต้องสำนึก และตรวจตรา ตรวจทานตน ว่าตน เป็นคนสร้างวัด กระทำ ให้วัดเจริญ หรือ ตนเป็นคน ทำลายวัด และ ทำให้วัดนั้น เสื่อมไป ผู้ทำให้วัดเจริญ ย่อมมีบุญของตน
และวัด และศาสนา 28 ตุลาคม 2527
ต้นทางของการปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ฉลาด จะทำจิตใจของตน ให้เบิกบาน แจ่มใส เอาไว้ก่อนอื่น พยายามแก้ พยายามปรับ แม้เราจะยัง ไม่เป็นผู้รู้ เรายังไม่ตื่นเต็ม เพราะมีสติ อันประกอบ ด้วยปัญญา และวิมุติ ก็ตาม เมื่อเราได้ทำตน ให้เบิกบาน แจ่มใส ย่อมชื่อว่า "พุทธะ" ในเชิงหนึ่ง ในความหมายแท้ ผู้ที่ปฏิบัติธรรม เข้าใจจุดว่า เมื่อเราทำตน ให้เบิกบาน แจ่มใส เราจะเป็น ผู้ได้กำไร ก่อนอื่น และนั่นคือ การปฏิบัติ ที่เข้าสู่หลักว่า สุขาปฏิปทา ได้ในแง่หนึ่ง ดังนั้น หากแม้นผู้ใด จะปฏิบัติธรรม จะได้ผลน้อย สักปานใด ก็ย่อมชื่อว่า เป็นผู้ได้ พ้นทุกข์แล้ว ในจุดหนึ่ง อันเป็นต้นทาง ของการปฏิบัติธรรม ทีเดียว 29 ตุลาคม 2527
สัมมาทิฏฐิ สูงสุด พระโยคาวจร เมื่อได้ใส่ใจใช ้สัมมาวายามะ สัมมาสติ ห้อมล้อม ในการปฏิบัติตาม สัมมาทิฏฐิ ของตน ๆ ที่แน่ชัด ความเจริญ ย่อมเกิดขึ้น เมื่อความเจริญ เกิดขึ้น ผลเกิดขึ้น ความเห็นจริง ก็เป็นผลแห่ง ยถาภูตญาณทัสสนะ ตามมา เกิดเป็นปัญญา เกิดเป็น ปัญญินทรีย์ และ เกิดเป็นปัญญาผล ตามไปขึ้นไปเรื่อย ด้วยสัมโพชฌงค์ และเสริม สัมมาทิฏฐิ เจริญยิ่งๆขึ้น ที่สุด องค์แห่งมรรค จะสมบูรณ์ สอดคล้อง ครบครัน เป็นสุจริตธรรม มีความเป็นสัมมา ถ้วนทั่ว ทั้งสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ แข็งแรง ตั้งมั่น สมบูรณ์ขึ้น สมบูรณ์ขึ้น เป็น สัมมาสมาธิ ทิฏฐิย่อมเจริญ สู่สุดสูง สอดซ้อนขึ้น เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล สอดซ้อนอยู่ด้วย ธรรมวิจัย สัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ ย่อมสูงขึ้น ๆ ลึกซึ้งขึ้น เมื่อครบองค์แห่งมรรค จึงจะเห็น ความจริง เป็นสัมมาญาณ เพราะมี สัมมาวิมุติ เป็นตัวจริง ที่ให้เรารู้ ให้เราเห็น ตามของจริง ที่เป็นจริง ชื่อว่า วิมุติญาณทัสสนะ สัมมาทิฏฐิ สูงสุด จึงคือ ญาณทัสสนวิเศษ ด้วยประการ ฉะนี้ 30 ตุลาคม 2527 คาถาธรรม ๘ / คาถาธรรม ๙ / คาถาธรรม ๑๐
|