page: 1/8

สารบัญ
ดวงดาว
[หน้า1]
ดวงคน
[หน้า2] [หน้า3]
ดวงธรรม
[หน้า4] [หน้า5] [หน้า6]
กรรมนิยม
ตามคติของชาวพุทธ
[หน้า7] [หน้า8]

  ดวงดาว  

กำเนิด…..ดาว

“ดาว” คือ สภาพของสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย จะเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ ต้องมีเหตุ-มีปัจจัยพาให้เกิด

ทั้ง ดวงดาว ดวงคน ดวงธรรม จะเกิดมาโดยไม่มีเหตุ-ไม่มีปัจจัย ไม่ได้

ดวงดาว ประกอบด้วยสิ่งที่เรียกว่า มวลกับพลังงาน แล้วก็ออกฤทธิ์ออกแรง จนกระทั่งมีเส้นทางโคจร ครบดวง ๓ จังหวะ เรียกว่าไตรลักษณะ

“ดาว” เกิดได้ ๒ สภาพ เราจะพูดกันตามประสาง่ายๆ อย่างเราๆ ที่ไม่ใช่นักดาราศาสตร์แท้ พอฟังกันคร่าวๆ ดังนี้

๑.เกิดจากตัวของมันเองที่ดิ้นรนเกิด ด้วยการก่อตัว จากสภาพที่เรียกว่า ไม่มีอะไรเลย แต่ก็มีเหตุชักจูงให้มันเกิด

ดวงดาวเกิดขึ้นได้จากสภาพอย่างนี้ในห้วงอวกาศ ซึ่งเรียกว่า SPACE คือความว่างเปล่า

ซึ่งความว่างเปล่านี้ในทางวิทยาศาสตร์ ไม่ถือเป็นความว่างเปล่า เขาถือเป็น “เทหวัตถุแท่งทึบ” ที่เต็มไปด้วยมวลที่บางเบาเหลือเกิน เป็นอณูเหมือนลม เป็นแก๊สต่างๆ ที่กระจายอยู่ในห้วงอวกาศ

ในมวล ในSPACE ในห้วงอวกาศ ต่างๆนี้ หรืออณูที่เล็กที่สุดเท่าใด ก็ตามแต่ วิทยาการทางโลกยังคำนวณไม่ได้หมด

แก๊สที่ผสมผเสอยู่ในโลกนี้ที่วิทยาการทางโลกคำนวณได้ แล้วแยกออกเป็นธาตุต่างๆเช่น Hydrogen, Oxygen, Nitrogen, Heliem ฯลฯ ก็ค้นคว้ากันได้

ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งโตขึ้นมา มีตัวตนพอที่จะจับ จะหยิบ เห็นสี เห็นสัน เห็นตัว เห็นตน ขึ้นมาบ้าง ก็เป็นธาตุต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ ตามที่นักวิทยาศาสตร์ จำแนกเอาไว้ แล้วก็ตั้งชื่อกันออกไปต่างๆ ก็มีลดลงบ้าง เพิ่มขึ้นบ้าง

ปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ตั้งค่า Constant Hydrogen ไว้ว่า เป็นธาตุที่มี Valency หรือมีคุณค่า ๑ หน่วย เป็นหลัก แต่นอกโลกออกไปในอวกาศ (Space) ยังมีธาตุอีกมากมายที่ยิ่งกว่านี้ ยังไม่สามารถจับเอามาพิสูจน์ได้ เบาบางยิ่งกว่า Hydrogen ก็มี

ธาตุต่างๆเหล่านี้ ที่ก่อตัวรวมตนเข้าๆ จากแก๊ส เรียกว่า “ธาตุลม”

เมื่อธาตุลมทำปฏิกิริยา รวมตัวกันเป็น “อุณหภูมิ” ก็เรียกว่า “เตโชธาตุ”

เตโชธาตุนี้ มิได้หมายความเฉพาะแค่ความร้อน ความเย็นก็ถือเป็นเตโชธาตุ ผู้เคยเรียนพระอภิธรรมมาแล้ว จะเข้าใจ “เตโชธาตุ” จึงเป็น “ธาตุแห่งอุณหภูมิ”

เมื่อ แก๊ส หรือธาตุลม (Nebula) ทำปฏิกิริยากัน จะเป็นเย็นจัด หรือร้อนจัด ก็ตาม

ถ้า”เย็น” ก็จะรวมตัวกันเป็น “ก้อนเมฆ” ขึ้นมาในอวกาศ ภาษาทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า Nebula ซึ่งแต่ก่อนนี้ มัน”ว่างเปล่า”

อากาศ ลม แก๊ส ต่างๆที่รวมตัวกันนี้ ทางวิทยาศาสตร์ถือเป็น “เทหวัตถุแท่งทึบ”

แต่แท้จริงมันไม่ทึบหรอก มัน…ว้าง…ว่าง แต่เรามีมวลที่สามารถ จะแหวกพวกนี้ ผ่านออกไปได้ง่ายๆ เท่านั้นเอง

Nebula หรือที่รวมตัวกันจากธาตุลม ทำปฏิกิริยากันเป็น “ธาตุไฟ” (เตโชธาตุ) คือ ไม่รวมตัวในทางความเย็น ก็จะรวมตัว ในสภาพที่เป็นความร้อน เป็นหมู่ความร้อน เป็นวงหมุนเข้าๆ มีพลังงาน เช่น ดวงอาทิตย์ ก็เหมือนแก๊สรวมตัวแท่งใหญ่

ซึ่งเราก็เคยได้ยินมาว่า ดวงอาทิตย์ ก็คือ หมู่แก๊สที่รวมพลังกัน เป็นธาตุเหลว แล้วมีพลังงานเหลือเกินมากมาย ก้อนใหญ่มหึมา ทำปฏิกิริยากันอยู่ ส่งพลังงานออกมาเลี้ยงสุริยจักรวาลของเรา

ปฏิกิริยาในท้องฟ้า หมู่เมฆที่อยู่ในท้องฟ้าของเรา ที่เกิดจากน้ำ ขึ้นเป็นไอน้ำ รวมเป็นหมู่เมฆ แล้วก็จะไปทำปฏิกิริยาแตกตัว สิ่งที่แตกตัวออกมาเหลือในโลกที่เห็นได้ง่ายๆ ก็คือ พลังงานไฟฟ้า เป็นฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ไฟฟ้าพวกนี้ ก็จะไปก่อตัวเป็นพลังงาน ที่จะทำงานต่อไป แต่ไม่เหลือซากเป็นดวงดาว เพราะปฏิกิริยาที่มันทำงาน เป็นปฏิกิริยาที่น้อยเหลือเกิน หมู่เมฆก็จะละลาย กลายเป็นน้ำฝน ตกลงมา นี้คือ ปฏิกิริยาที่เกิดอยู่ในโลกของเรา

ปฏิกิริยาในห้วงอวกาศ Nebula หรือ หมู่เมฆ พวกนี้ก็เหมือนกัน มันจะรวมตัวกันใหญ่โต ไม่ใช่หมู่เมฆเล็กๆ มันใหญ่โตมหาศาล ใหญ่ยิ่งกว่าโลกเรานี้ ใหญ่ยิ่งกว่าสุริยจักรวาล ใหญ่กว่า Galaxy บาง Galaxy อีก

ในห้วงอวกาศ ก็จะทำปฏิกิริยา แบบเดียวกันกับหมู่เมฆ ที่ทำปฏิกิริยากัน ในท้องฟ้าในโลกของเรา เหมือนกันเลย นัยเดียวกัน โครงสร้างเดียวกัน แต่มันมหึมากว่ากันมาก แล้วก็มีไฟฟ้า ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เปรี้ยง! พอทำปฏิกิริยากันแล้วเสร็จ จะเหลือเศษของพลังงาน ตกตะกอนขึ้นมาเป็น “ดวงดาว” แตกกระจายออกไปอีกเยอะแยะ แตกสภาพเป็นหมู่ดวงดาว อุณหภูมิร้อนจี๋ แล้วก็มีสภาพเป็น ดวงดาวต่อไป

นี้เป็น ดาว ที่เกิดจาก Nebula หรือ เกิดจากหมู่เมฆ อันมหึมา ในห้วงอวกาศ จะเกิดดาวทีละหมู่ใหญ่มหาศาลเลย รวมกันเป็นหมู่จักรวาล เป็นสุริยจักรวาลบ้าง ถ้าเหลือ เป็นหมู่ใหญ่จริงๆ ก็เป็นหมู่ Galaxy

๒. ดาว ที่เกิดจากการแตกออกมาจากดาวดวงแม่

ดาวดวงแม่ หมายความว่า เป็นดาวที่มีพลังงาน แล้วก็มีก้อนโตเหลือเกิน กระทั่งที่สุดดวงดาวแม่ดวงนี้ จะผ่าตัวเอง หรือ แบ่งส่วนของตัวเอง หมุนกระจัดกระจาย แตกตัวแตกเสี่ยงออกมาจากตัวเอง เกิดเป็นดวงดาวได้อีก ดวงหนึ่งเหมือนกัน แล้วก็เกิดวงโคจรอยู่ที่ไหน ก็ตามแต่ในห้วงอวกาศ

ดาว…..ดับ

ดวงดาว ก็มีอายุ มันดับมันแตกไปตามเรื่อง โดยตัวมันเอง ตามแต่ปัญญาของมัน ใครเรียนดาราศาสตร์มา ก็จะรู้ว่า ดาวดับไปจนกระทั่งแสงหรี่เป็นดาวแดง แล้วก็แตกไป สลายไปแล้วก็มี

ดาวบางดวงที่เรามองเห็นแสงริบหรี่ๆ ไกลๆ เราเห็นแต่แสงของมันเฉยๆ แต่ตัวของดาวจริงๆ ไม่มี

ดาวบางดวงในห้วงอวกาศ อยู่ไกลจากโลกของเรา ลิบลับเลย ไกลมากไกลไม่รู้กี่ล้านปีแสง กว่าจะเดินทางมาถึง เราเห็นพลังงานของแสงเดินทางมาไกล ใช้เวลาหลายล้านปี กว่าแสงของมัน จะเดินทางมาให้ตาเราเห็นได้ ดาวแตกไปแล้ว แต่แสงยังเดินทางอยู่

คิดตามให้ดีนะ กำลังจะชี้ “วิญญาณของดาว” ให้เห็น พอตาเราสัมผัสเห็นแสงของดวงดาว นักดาราศาสตร์ ก็ตั้งชื่อให้ซะเก๋ แต่ดวงดาวมันแตกสลายไปแล้ว ตั้งชื่อให้แสงแท้ๆ แท้จริงมันไม่มีตัวตนเลย

ดาวดวงนี้แตกแล้ว แต่แสงของมันก็ยังเดินทาง ทยอยมาให้เห็น ปีนี้เห็นแล้ว อีกหลายๆล้านปีต่อมา ก็ยังเห็นได้อีก แต่เนื้อดาวไม่มี เหลือแต่ “วิญญาณ” (พลังงาน) เท่านั้นมาหลอกเรา ให้เห็นโก้ๆ นี้แหละคือ “ดาวผีหลอก”

แสง นี่แหละคือ วิญญาณของดาว ใครนึกออกบ้าง?

ดวงดาว มันไม่มีปัญญาที่จะดับวิญญาณ หรือพลังงานของมัน มันก็เดินไปตามทางของมันเท่านั้น


  ดวงดาว ดวงคน ดวงธรรม
 
page: 1/8
   Asoke Network Thailand
อ่านต่อ ดวงคน