เม็ดทราย ๑๔
วิ ส า ข ะ ร ำ ลึ ก
วันนี้ในวันนั้น
วันแห่งคืนจันทร์เพ็ญกระจ่างฟ้า
ท่ามกลางชีวิตที่ไหลเรื่อย
เวียนวนอย่างไร้เป้าหมาย
ท่ามกลางม่านหมอกแห่งอวิชชา
ที่แผ่คลุมไปรอบทิศ
บีบกดชีวิตทั้งหลาย
ให้โศกสลดรันทด... คับข้อง... และคับแค้น
ทะเลแห่งความทุกข์ เวิ้งว้างกว้างใหญ่
คลื่นซัดซ่าดังทะลุกาลเวลาอย่างน่าตระหนก
กระหน่ำชีวิตแล้วชีวิตเล่า...ให้ตายซาก
โลกทั้งโลกมีแต่เสียงคร่ำครวญ
โลกทั้งโลกมีแต่เสียงหวนไห้...
วันนี้ในวันนั้น
วันที่จันทร์เจิดจ้ายิ่งกว่าคืนใด
เสียงร้องไห้ของทารกแรกเกิด
ดังกังวานกึกก้องไปทั่วขุนเขา
ราวกับเป็นสัญญาณภัย
เตือนให้รู้ถึงความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่
ที่จอมมารจะมิเคยลิ้มรสแต่ปางใด ในชั่วชีวิต
ประสูติแล้ว...
โอรสแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ประสูติแล้ว
นาม สิทธัตถะกุมาร...
วันนี้ในวันนั้น
วันที่จันทร์ผ่องยิ่งกว่า แสนล้านดารา
วันแห่งการสิ้นสุดการแสวงหา
ที่ตรากตรำมารวม ๖ ปี
ของชายหนุ่มอนาคาริก
ผู้ละทิ้งเวียงวัง
สมบัติพัสถาน
ครอบครัว
ความสุขสบาย
มาดำรงชีวิตอย่างนักบวช
นอนตามโคนไม้ เนินหญ้า
นาม สิทธัตถะ...เจ้าชาย...
วันนี้ในวันนั้น
วันที่จันทร์สุกสกาว ยิ่งกว่าสุกสกาว
วันที่จะต้องจารึกไว้ บนแผ่นผามิรู้ลืม
เสียงหวีดร้อง ดังปานถล่ม
กองทัพมาร อันเกรียงไกร เริ่มแตกพ่าย
ถอยร่น อย่างไม่เป็นขบวน
จอมมารคอขาด สะพายแล่ง
จากน้ำมือของบุรุษ นามสิทธัตถะจอมทัพ
ผู้ถึงแล้วซึ่ง อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า...
และวันนี้ในวันนั้น
วันที่จันทร์เจิดจ้า อย่างอาลัย
ใต้ต้นรังคู่ ยืนระฟ้า อย่างสำรวม
สรีระแห่งองค์ พระผู้มีพระภาค
ประทับนิ่งมิไหวติง
เท้าซ้อนเหลื่อมเท้า
มือวางแนบลำตัว
ด้วยท่าสีหไสยาสน์
ดวงตาหลับพริ้มสนิท... สนิทตลอดกาลนาน
ท่ามกลางเสียงร้องไห้ ของผู้ยังหวั่นไหว
ท่ามกลางความสังเวชใจ ของเหล่าสาวก พระอรหันต์เจ้า
๔๕ ปี แห่งการทำงาน
๔๕ ปี แห่งการเข็นกงล้อ พระสัทธรรม
รื้อขนสัตว์ ข้ามฝั่งวัฏสงสาร
นับว่าเพียงพอแล้ว สำหรับสังขารของ พระพุทธองค์
ที่ได้ตรากตรำ... ตรากตรำ
กองทัพธรรมแห่งศากยะ
จะสืบทอดรับช่วงต่อไป... และต่อไป
ดอกมณฑารพ ดอกใหญ่สีขาว
หล่นกระจาย ไปทั่วพื้นรอบรอบ
เสียงองค์พระผู้มีพระภาค
ดังแว่วอยู่มิรู้หาย
"ดูกร พวกเธอทั้งหลาย
เราตถาคต ไม่สรรเสริญอามิสบูชา
เราตถาคต สรรเสริญแต่ปฏิบัติบูชา
ขอพวกเธอ จงเป็นธรรมทายาทเถิด
อย่าได้เป็น อามิสทายาทกันเลย..."
และวันนั้นในวันนี้
วันที่ยังมิสิ้นใย แห่งความหวัง
ดวงประทีป จุดต่อกัน อย่างเชื่อมั่น... อย่างทระนง
เกาะกุมประสาน
ขานรับพินัยกรรม จอมโลกนาถ
กองทัพธรรม
ผู้พรั่งพร้อมด้วย พุทธบริษัท
ต่างน้อมรับ เอาปฏิปทา ของพระพุทธองค์ ใส่ดวงใจ
ตามรอยพระยุคลบาท
ด้วยศีลเป็นพื้นฐาน... เป็นแก่นแกน
จนก่อเกิด กลายเป็นสมาธิ
เป็นปัญญาในที่สุด...
วิมุติหลุดพ้น จากกองกิเลส โดยสิ้นเชิง
ด้วยสิบนิ้ว
ด้วยเกล้า
ด้วยเศียร
กราบแทบพระบาทสุดหล้า
คารวะใด
ศรัทธาใด
ขอพลีมอบแด่องค์ ธรรมิกราช
ผู้หาญทำลาย เหล่ามารร้าย เป็นตัวอย่าง
น้อมรำลึก
ที่ได้เกิดมาใต้ร่ม บวรพุทธศาสนา
ได้ปฏิบัติตามแนว จนได้มรรคผล
เป็นบุญแก่ข้าน้อยยิ่งนัก
กราบแทบพระบาทอีกวาระ
ด้วยเลือดเนื้อ
ด้วยชีวิต... ทั้งหมดสิ้น
สูญญาณู
๒๗ พ.ค. ๒๕๒๓
ชีวิตคนเรา...
มิใช่ว่ามีวัตถุสิ่งจำเป็น เช่นปัจจัยสี่
แล้วจะหมดปัญหา ก็หาไม่
ที่ฆ่าแกง โมโห วิวาท อาฆาต ข่มขืน หลอกลวง
มันเหตุ โลภะ โทสะ โมหะ
โดยไม่เกี่ยว ปัจจัยวัตถุจำเป็นเลย มากกว่ามาก
เพราะฉะนั้น จิตนั้นแหละเป็นเอก
ในการสร้างปัญหา ที่ไม่มีให้มีขึ้น
ที่มีอยู่แล้ว ให้ยุ่งยากยิ่งขึ้น
เป็นตัวการทำให้สิ่งอุดม กลายเป็นขาดแคลน
ที่ขัดสนเป็นขาดสูญ หมดสิ้น
อโศก
มนุษย์ในโลกนี้มีสี่เหล่า
หนึ่งพันธุ์เผ่าดิรัจฉานประมาณชื่อ
พฤติการณ์เช่นสัตว์อุบัติลือ
นามระบือมนุสสดิรัจฉาโน
สองมนุสสเปโตโซอย่างเปรต
แสนทุเรศเกิดมาน่ากลัวโข
สามมนุษย์สุดงามนามเทโว
จิตภิญโญโอตตัปปะมากละอาย
สี่มนุษย์ที่สมส่วนควรนอบน้อม
มีศีลห้างามพร้อมย่อมเฉิดฉาย
ได้ฉายาเพริศพริ้งทั้งหญิงชาย
ท่านบ่งหมายมนุสโสเชิดโลกา
เดี๋ยวนี้เราเป็นมนุษย์ในชุดไหน
จงปรับปรุงกายใจให้เหมาะหนา
จะเป็นสัตว์เปรตมนุสสะหรือเทวา
เลือกมองค่าตัวเองเพ่งให้งามฯ
นิรนาม
ชีวิตคนเหมือนอยู่ท่ามกลางความฝัน
กอบโกยอันใดมาเฝ้าเป็นเจ้าของ
ยามตายต้องรันทดหมดสิทธิ์ครอง
ทุกสิ่งต้องคืนให้โลกโศกอบาย
อย่าเป็นคนนิยมสิ่งสมมติ
ซึ่งประดุจหัวโขนใส่ไร้ความหมาย
เปลื้องผ้าออกยืนเข้าแถวแล้วเรียงราย
ใครเจ้านาย-ไพร่-บ่าวเปล่ารู้เลย
ละม่อม รัตนดิลก'
กายนคร ปฏิกูล ศูนย์รวมศพ
กลิ่นเหม็นอบ อสุภัง แทบทั้งสิ้น
เนื้อเน่าหนอน ชอนหา แร้งกากิน
ทั่วกายิน บ่งชัด อนัตตา
อย่าทะนง หลงกู สูทั้งหลาย
อย่ากรีดกราย ไคล้คลั่ง หลงสังขาร์
เคยตึงเต่ง เปล่งปลั่ง ดังก่อนมา
ยามชรา เหี่ยวแห้งหุบ ยุบแฟบยาน..
ชัยมุสิก เขมนนท์
"ครู" สละความสุขสนุกสนาน
ความสำราญรุ่งเรืองจากเมืองหลวง
มาสู่ถิ่นไกลห่างสิ่งทั้งปวง
เพราะครูห่วงใยเจ้าจงเข้าใจ
เทียนเล่มหนึ่งส่องสว่างอยู่กลางป่า
เปรียบเหมือนค่าความรู้ที่ครูให้
ถ้าเจ้าอยากเห็นครูอยู่ต่อไป
"จงตั้งใจเรียนให้มากเถิด..นักเรียน"
วรพันธุ์ นิจจะยะ
สิ้ น เ ส น่ ห า
ขอตัดรัก...ตัดอาลัย
ตัดสายใยแห่งเสน่หาทั้งมวล
มอบสุดเกล้า...สุดเศียร
สุดหัวใจ...สุดบูชา
พลีถวายแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค
ผู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
ผู้อยู่เหนือทุกข์ล่วงพ้นวัฏสงสาร...
แม้เจ็บปวด...แม้รวดร้าว
อย่างไม่พรั่น...อย่างไม่ท้อ
ดุจแสงอรุโณทัยยามเช้า
ที่จะสาดกระจายแสงในยามสาย
ดุจลูกคลื่นแห่งชายฝั่ง
ที่โหมซัดมิรู้หมด
ดุจขุนเขาศิลาแลง
ที่จะต้องกร่อนสลาย เมื่อกาลเวลาบินผ่าน
ถึงเวลาแล้ว
ที่ชีวิต จะต้องจัดการ
จัดการกับ เหตุแห่งการพลัดพราก
จัดการกับ ใยแห่งความพันผูก
ชะล้างบ่อน้ำตา
ที่อาบไหลไม่รู้หยุด
ชะล้างบ่อทุกข์
ที่ขุ่นข้นดุจดั่ง ทะเลโคลน
ชีวิตเกิดมา
ต้องการอะไร รัก ?...
เหงา ?...
เปล่าเปลี่ยว ?...
ใครหนอ จะรักเราจริง
ทุกคน ต่างก็รักชีวิต
เขาจะทำดี ทุกอย่าง ก็เพื่อตัวเขา
มิใช่เพื่อเราเลย เป็นสัจจะ
ขึ้นชื่อว่า ความรัก
ย่อมมีแต่ การเรียกร้อง
และเราจะเริ่ม ถูกจุ้นจ้าน... ถูกเจ้ากี้เจ้าการ
บงการชีวิตของเรา ตลอดกาล
บ่อน้ำ ใสบริสุทธิ์ มีอยู่ในหัวใจ ของทุกคน
แต่ต่าง ก็หลงเพ้อ คิดว่า ขาด...พร่อง
เที่ยวร่ำร้อง โหยหา
ขอตักตวง จากบ่ออื่น
เต็มเถิด...หัวใจฉัน
อย่าได้หลงเพ้อ คิดว่าจะได้ จากที่อื่น
ไม่มีใครหรอก ที่จะให้เรา อย่างเสียสละ
ไม่มีใครหรอก ที่จะให้เรา อย่างไม่คิดมูลค่า
อย่าเลย...
อย่าได้แสวงหา ความอบอุ่น จากภายนอก
ก็เรานี่แหละ คือดวงประทีป
ก็เรานี่แหละ คือดวงตะวัน
ที่เปล่งความร้อน อยู่ตลอดเวลา
ท่ามกลางวังวน แห่งมายา
อย่าหวังเลยว่า ใครจะช่วยเราได้
เราต้องเป็น ที่พึ่งแห่งตน
พอกันทีสำหรับชีวิต
ที่เที่ยวไปขอเศษ เดนรักจากผู้อื่น
ราววณิพก ที่อดอยาก เจียนตาย
สิ้นสุดกันที สำหรับชีวิต
ที่คอยแต่แบมือขอ คนเดินผ่าน
ฉันมิใช่ขอทาน
ฉันมิใช่วณิพก กราบแทบเบื้องพระบาท
องค์สมเด็จ พระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า
ผู้แข็งแกร่ง ดุจหินผา
สุดเกล้า... สุดเศียร
แม้เจ็บปวด... แม้รวดร้าว
ขอเลิกเป็น วณิพก
ผู้ถือกะลา เที่ยวหาเศษรัก เศษอบอุ่น
ขอเลิกเป็น นางระบำ
ที่พอใจแต่เสียงปรบมือ ให้เกียรติ ยามเปลื้องผ้า กราบสุดเศียร... สุดบูชา
จะไม่มีหัวใจ ของสัตว์ทั้งหลาย
ที่กู่ร้องต้องการคู่
จะไม่มีหัวใจหิมะ
ที่เที่ยวหากองไฟ อย่างงันงก
กราบสุดบูชา... สุดเทอด
จะไม่มีหัวใจแห่งทารก
ที่มัวร้องไห้ ยามไร้ผู้คนสนใจ
ก่อนที่โลก จะมาตบหน้า สั่งสอน
ฉันขอสอนตนเอง ดีกว่า
เพราะหากรอ ให้ถึงเวลานั้น
เราจะรับการสอน จากโลก ไหวหรือ ?
อรตี
๑๖ เม.ย. ๒๕๒๓
มีรักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่งชนพึงคิด
รักสองสิทธิ์มีทุกข์คลุกครองสอง
รักร้อยก็ทุกข์ร้อยสรรค์ตามครรลอง
ชนที่ปองรักควรคิดพินิจดู
ไม่มีรักไม่มีทุกข์คลุกเคล้าจิต
และหากคิดจะรันทดให้อดสู
เรารักใครจนเทิดไว้เชิดชู
เขาใช่ผู้ห้ามความตายให้เราเลย
ละม่อม รัตนดิลก
วันหนึ่งฟ้าเปลี่ยนสีแล้วกี่หน
ดวงจิตคนฤานิ่งหยุดจริงไหม
วันแล้วคืนคืนแล้ววันผันเวียนไป
ความพอใจจากกมลคนฤามี
มีน้อยนักรักแท้เผื่อแผ่โลก
ต่างหวังโชคแสวงหา "บ้า" ศักดิ์ศรี
หวานลมลิ้นปลิ้นปล้อนร่อนวจี
คนเหล่านี้มีตามยุคทุกเหตุการณ์
อารดา
การรับประทานอาหารเจ หรืออาหาร มังสวิรัติ
เป็นเรื่องที่ อยู่ในหลักการ ของอหิงสา ก็จริงอยู่
แต่ขอท่าน อย่าได้มี ความภูมิใจว่า...
อาหารมังสวิรัติ เพียงอย่างเดียว
จะช่วยให้ท่าน เป็นนักอหิงสาได้ อย่างสมบูรณ์
ไม่มีสิ่งใด ที่น่าเสียใจ มากไปกว่า คนเข้าใจผิดเช่นนี้
อหิงสา... มิใช่เรื่องของ การรับประทาน...
หรือ ไม่รับประทาน อาหารมังสวิรัติ เพียงอย่างเดียว
อหิงสา... มีความหมาย มากกว่านี้
มนุษย์จะบริโภคสิ่งใด หรือไม่นั้น
ไม่สำคัญเท่ากับ การปฏิเสธ และยับยั้งตนเอง
ขอให้ท่าน มีความยับยั้งชั่งใจ
ในการอุปโภค บริโภค ด้วยประการทั้งปวงเถิด
เพราะการยับยั้ง ชั่งใจ
เป็นเรื่องที่ น่าสรรเสริญ และจำเป็น
มหาตมะ คานธี
ตสฺมา ปิยํ น กยิราถ
ปิยาปาโย หิ ปาปโก
คนฺถา เตสํ น วิชฺชนฺติ
เยสํ นตํถิ ปิยาปิยํ ฯ
เพราะฉะนั้น ไม่ควรรักสิ่งใด
เพราะพลัดพราก จากของรัก เป็นทุกข์
ผู้ที่หมดความรัก และความไม่รักแล้ว
เครื่องผูกพัน ก็พลอยหมดไปด้วย
พุทธวจนะ
หัวคนอื่น สกปรก รกยุ่งเหยิง
ดุจดังเพิง ที่พำนัก พักอาศัย
นกกระจอก ทำรัง หรืออย่างไร
หรือหัวใคร ขี้นกกอง เรามองรู้
แต่หัวเรา นี่หนา หาเห็นไม่
ว่าเขาไป ไม่พ้น ตนอดสู
พูดทับถม แต่เขา ยกเราชู
จงรับรู้ ว่าความดี มีทุกคน
ก. วรรณศิลป์
อยู่ในนี้ อย่าอยู่ อย่างกูใหญ่
ทำอะไร ถูกต้อง ไม่ผิดผัน
คนข้างนอก เขาก็รู้ และดูทัน
กิเลสมัน ก็ไม่หลุด หยุดเสียที
คนข้างใน ถ้าประเสริฐ เลิศมนุษย์
จงช่วยฉุด คนข้างนอก ช่วยลอกสี
มิใช่แข่ง ตะแบงชิง แต่สิ่งดี
รูปแบบมี เขาจะเสื่อม ซึ่งศรัทธา
ก็เคยสอน ให้ปลด และลดละ
เอาชนะ นั้นไม่ดี กิเลสหนา
จะบอกกล่าว กับผู้ใด ใช้ปัญญา
แล้วตัวเอง อย่ามา แสดงนำ
งานอะไร ไม่เหมาะ จะทำเอง
อย่าอวดเก่ง รอบรู้ ดูน่าขำ
เขาเสื่อมสิ้น ศรัทธา พาระกำ
แล้วจะหนำ ใจแห่ง ความแข่งดี
อันของดี สำรวย และสวยงาม
ถ้าทำห่าม เห่ออวด ชวดผ่องศรี
จงเลี้ยงธรรม ด้วยธรรม นำพาที
ผลทวี จะบังเกิด เลิศและไกล
ถ้าตัวคิด ว่าตัว หมดชั่วแล้ว
จงเป็นแก้ว ส่องทาง สว่างไสว
ขอได้โปรด อย่าได้ทำ ให้ช้ำใจ
แล้วจะไป สอนใคร ให้นิพพาน
อันคำพูด ยุให้โลด โกรธได้ง่าย
ระงับไว้ ไม่พล่าม จะสมาน
พูดออกไป กระทบใจ ได้ผลงาน
ใจของท่าน คงได้วาง สร้างอารมณ์
อย่าทำตัว เป็นโจทย์ ความโกรธเขลา
ตัวก็เบา เสียเมื่อไร ได้สั่งสม
เขาจะว่า คนข้างใน ไม่อบรม
หรือว่าก้ม หัวให้ใคร ไม่ได้เลย
กรองทอง อนุกานนท์
ยิ่งทำดี จะยิ่งมี นรกมาก
ถ้าใจอยาก ดีเด่น เป็นเจ้าขรัว
ให้ผู้คน ทั้งผอง ต้องยอมกลัว
คือยอมตัว อยู่ใต้ ปัญญายง
ไม่ต้องการ มรรคผล ดลนิพพาน
คงต้องการ แต่ให้ เขาช่วยส่ง
ให้ลอยลม ล่วงไป จมไม่ลง
ต้องประสงค์ แต่เท่านี้ "บ้าดี" เอย
พุทธทาสภิกขุ
หัวใจที่ไร้เปลือก
ณ โลกใด ณ คราใด ณ ที่นั้น
เมื่อหัวใจดวงหนึ่ง อุบัติขึ้น
ทะลวงผ่าน ม่านแห่งมายา อันมืดมน
มีความจริงใจต่อตน อย่างสม่ำเสมอ
ไม่โกหก ไม่หลอกตัวเอง
ไม่หวัง ที่จะให้ใคร มาเห็นใจ มาสนใจ
ไม่หลงตัว ว่าเก่ง ว่ายอด ว่าเยี่ยม
และพร้อมจะน้อม จะฟังผู้อื่น ทุกเมื่อ
ณ โลกนั้น ณ ครานั้น ณ บัดนั้น
หัวใจดวงน้อย ที่อุบัติขึ้นแล้ว
จะยิ้มจะแย้ม อย่างเบิกบาน มิใช่หลอกล่อ
จะสดจะชื่น จะแจ่ม จะใส มิใช่เศร้าหมอง
แม้โรคภัยทางกาย ก็จะหนีหายตายจาก
โรคมากโรคจิ๋ว จนขนาดบรรจุซอง ก็หลีกหนี
แววตา จะอ่อนโยน มิใช่แข็งกร้าวดูพิกล
จะค้อมหัว มิใช่เชิดหน้า
จะนั่งอย่างสำรวม มิใช่ชูเบ่ง
จะทำเคร่ง ก็มิใช่เพื่อการชม
ณ จุดนั้น ณ เดี๋ยวนั้น ณ ตอนนั้น
หัวใจที่บริสุทธิ์ อันเกิดอยู่
จะเชิดชูสัจจะ เหนือเศียรเกล้า
จะกล้าติติง กล้าขัดใจ อย่างไม่พรั่น
จะรักสงบ อย่างมั่นคง แต่ก็ไม่หวั่น ต่อการมีเรื่อง
จะไม่ทำสิ่งใด เจตนาแอบแฝงเพื่อตน
จะให้ไป ก็เจตนา จะสละออกไป
มิใช่อ่อยเหยื่อ เพื่อล่อมา
เพียงเพื่อให้เห็น ความมีค่า
เพียงเพื่อให้เห็น ความมีศักดิ์ศรี
เพียงเพื่อให้เห็น ความดี ความเก่ง
ของตัวเอง ของตัวเอง
เพราะถ้าหาก เป็นไปเพื่อตน
ก็เป็นธรรมดา ธรรมดา ธรรมดา
และแล้ว ชีวะนั้น มโนนั้น วจีนั้น กายะนั้น
ก็จะเบ่ง จะพอง ในฝาครอบ
จะหลง จะหยิ่ง ในค่าของตัวเอง
จะพูดจะจา แต่ละถ้อย แต่ละที
มักจะเปิด จะแหวะ ให้มีรู ไว้ชมตัว
จะเบี้ยว จะคด จะเก่ง จนสุดหล้า
มีดีจะออกจะอวด เหมือนกิ้งก่าได้ทอง
มีชั่วจะเลี่ยง จะเบี่ยง จนศรัทธา
จะทำดีต่อผู้อื่น ก็ขนลุกซู่
จะชมคนอื่น ขนก็ชูชัน
ด้วยเพราะศรัทธา ในตัวตนของตัว
ทำแต่ละครั้ง ก็คิดว่า มีความหมาย สำหรับผู้อื่น
และนั่นย่อมแปลว่า ตัวเองมีค่า ในสายตาเขา
อื้อฮือ ! อื้อฮือ ! อื้อฮือ !
หลงความสำคัญ ปานฉะนี้ ปานฉะนี้
คนอื่นๆ อย่างมาก จึงเป็นได้แต่ลูกล่อ
เป็นตุ๊กตาให้ไว้เล่น เล่นกันกิเลสเหงา
มีเขาไว้ก็เพียง เป็นเครื่องเล่น พะนอโอ๋ โอ่อัตตา
บทถึงคราว จะว่า จะกล่าว จะขัดให้ดี
ก็มักจะได้ยิน คำกล่าว ชัดถ้อย ชัดคำเสมอ
เกรงใจ เกรงใจ เกรงใจ
แล้วชีวิตนั้น วิญญาณนั้น เวลานั้น
ก็ร้อนรุ่ม ร้อนเร่า ดังเปลวเพลิง
เพราะต้องคอยแสวงหา เครื่องหล่อเลี้ยง อารมณ์ของตัว
ทำอะไรทั้งที ก็คิดว่า ยิ่งใหญ่เหลือแสน
ทำอะไร ก็คิดว่า เสียสละมากมาย
ทำอะไรสักนิด ก็คิดว่า ดีเหลือเกิน
หลงตัว หลงตน ตั้งแต่เช้าถึงดึก
ร่ำร้อง เรียกหาความสนใจ จากคนอื่น อยู่ตลอด
ทั้งวัน ทั้งคืน จากสว่างไปถึงมืด
ไม่ว่าจะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน
อนิจจา ! อนิจจา ! อนิจจา !
แกร่ง ในวิญญา
ถ้าสตรี กินเหล้า เข้าเรื่อง "บ้า"
ไม่รู้ว่า กินทำไม กินไปได้
หรืออยาก เป็นกินรี ที่ไวไฟ
ยิ้มละไม อยู่เพราะเหล้า ผีเข้าทรง
ดัดจริต ตามใคร บอกไม่ถูก
เพราะปีศาจ จูงจมูก ให้ลุ่มหลง
เห็นผี เป็นเทวดา ดูน่างง
โลกก็ส่ง ตามแต่ แม่ผีตวง
ยิ่งลูกผี มีแต่ จะเมาใหญ่
มีอะไร ก็ต้องเหล้า เฝ้ายึดหน่วง
พอขาดเหล้า ร้อนเร่า เสียเต็มทรวง
โลกทั้งปวง เป็นโลกเหล้า น่าเศร้าจริง
ถ้า "สตรี" คำนี้มา จาก "สตี"
ก็แปลว่า "คนผู้มี สติยิ่ง"
ไม่ควรไป หลงเหล้า เข้าเรื่องลิง
ควรจะหยิ่ง ธรรมแท้ ของแม่เอย
พุทธทาสภิกขุ
หากชีวิตวันนี้ยังมีแย่
ควรรีบแก้วันใหม่ให้ดีกว่า
เร่งงานสู้รู้ประหยัดพัฒนา
สร้างคุณค่าความดีมีเรื่อยไป
หากชีวิตวันนี้ดีกว่าเก่า
มิควรเขลาลืมตนจนเหลวไหล
ชีวิตจักมีค่าประทับใจ
ตรงที่ไม่ลืมตัวมั่วกลั้วอบายฯ
ศิลปากร วิกัยนภากุล
จอมโจรบัณฑิต
ระวัง ! "จอมโจรบัณฑิต" หรือ
"THE GREAT PRETENDER"
หรือ คนเก่งที่ร้าย หรือ คนร้ายที่เลือดเย็น
หรือ คนผู้ซึ่ง "ยิ่งเก่งยิ่งมีปัญญา ยิ่งกินลึก"
โลกกำลังมีคนชนิดนี้ เกิดมาทำลายสังคม มากขึ้นๆ !!
โลกจริงๆ ที่เรารู้ได้ เราไม่กลัว
โจรเก่งขนาดไหนๆ ถ้าเรารู้ตัว ก็ไม่น่ากลัว
แต่โจรที่เราไม่รู้ตัวมัน ทว่าหลงว่า มันมิใช่โจร
แถมหลงไว้ใจว่า มันคือ บัณฑิต มันคือ ความเก่ง มันคือ คนเก่ง
แต่แล้วโจรนั้น ก็แฝงเร้นดูดเลือดเรา
และดูดเลือด เพื่อนร่วมสังคม อยู่อย่างสนิทเนียน
มิหนำซ้ำ ผู้ถูกดูดก็หลงชื่นชม เอาด้วยซ้ำ
นั้นแหละคือ "โจรบัณฑิต" หรือ
"THE GREAT
PRETENDER"
หรือ "คนเก่งที่ร้าย" อันกำลังหมายถึง
ซึ่ง "โจรบัณฑิต" ตัวสำคัญนั้น ก็คือ "ตัวเราเอง" นี่แหละ
และเราก็ไม่รู้ตัวเองเลย
หรือ พอจะรู้ตัว ก็รีบกลบเกลื่อน เสแสร้งตนเอง ไม่ให้มันรู้ตัว เสียทุกที
แถมกลับหลงตัวเองว่า เราคือบัณฑิตที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งขึ้น ๆ
เรามีบุญคุณต่อสังคม ล้นเหลือยิ่งขึ้นๆ เสียอีก
โลกกำลังมีคนชนิดนี้ มากขึ้น และเก่งขึ้นๆ ทุกวินาที !!
๒๒ พ.ค. ๒๕๒๓
น่าหัวเราะ เยาะหยัน ชันมนุษย์
ประเสริฐสุด กว่าสัตว์ เดรัจฉาน
ใช้ปัญญา เป็นอาวุธ ยุทธการ
เที่ยวรุกราน เหล่าสัตว์ ในปฐพี
สนตะพาย ใช้แรง แกล้งหลอกล่อ
ยังไม่พอ เผลอฆ่า น่าบัดสี
สัตว์สยบ หลบตา ไม่กล้าดี
"ขัน" คราวนี้ หันมา "ฆ่า" กันเอง
สุนิจ หมงประเสริฐ
การนำสิ่งที่ตนรู้ ตนถึง ตนมีจริง
ไปอวดผู้อื่น แสดงออกให้ผู้อื่นรู้เห็น ได้ยินบ้างนั้น
ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลผู้อื่น
ทว่า "ผู้อวดเอง" ถ้าไม่มี "จิต" หลงภาคภูมิ
ไม่มีจิตหลง "อยาก" อวด
ไม่มีจิตหลง "อยาก" ได้สิ่งใด
หรือแม้แต่อารมณ์อย่างไร
มาชดเชยตอบแทนเลย มันก็ดียิ่ง
ดั่งพระบรมศาสดา ทรงเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นต้น
แต่ถ้าใครมี "ความหลง" ดังกล่าว
ก็ยังเป็น "พรหมปุโรหิตา" ที่ยังไม่ดีแท้
แม้จะเป็นแค่หลงแสดงธรรม
เพื่อหวัง "อยาก" ได้สุขมาให้แก่ตน
ก็ยังไม่เป็น "พรหมปุโรหิตา" ที่ดียิ่งได้
สมณะโพธิรักษ์
..."ชีวิต" ควรเป็นของเรา
เราควรจะเป็นผู้จัดการกับชีวิต
ปล่อยตัวไปกับสายธารที่ไหล
เหมือนปล่อยใจไปกับยถากรรม
แต่เมื่อเราไม่รู้จัก "ชีวิต"
เราก็จัดการกับมันไม่ได้...
ถึงเวลาแล้ว
เมื่อเริ่มรู้สึก
ถึงชีวิตแห่งตนที่ควรจะเป็นไป
อย่างมีสาระ
มากกว่าสนุกสนาน
เพลิดเพลินไปวันๆ อย่างไร้เป้าหมาย
เมื่อเริ่มรู้สึก
ถึงชีวิตที่ควรจะทำ ให้สูงประเสริฐ
สั่งสมแต่คุณงามความดี
ความดีเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิ
เมื่อเริ่มรู้สึก
เห็นสรรพกามทั้งหลาย เป็นของไม่เที่ยง
เป็นของเผ็ดร้อน
เป็นทุกข์อันทนได้ยาก
น่าเบื่อระอา
เมื่อเริ่มรู้สึก
ถึงชีวิตที่ควรจะมีค่ามากกว่านี้
ช่วยสังคมให้สุขเย็น
มีแต่การเสียสละ แก่กันและกัน
เมื่อเริ่มรู้สึก
ว่าชีวิต
ควรจะทำแต่สิ่งที่ดีงาม
เพื่อเป็นตัวอย่าง แห่งการดำรงชีวิต
อันเบา ว่างภาระเหลือแสน
ให้แก่หมู่ชนทั้งหลาย
เมื่อเริ่มรู้สึก
ถึงภัยอันตราย ที่แผ่เข้าคลุมสังคม
เห็นกลียุคที่ใกล้จะเกิด อยู่รอมร่อ
เมื่อเริ่มรู้สึก
ว่าคุณความดี ควรเป็นของประจำชีวิต
ที่ชีวิตทุกทุกชีวิต จะต้องมี
จะต้องน้อมเข้ามาสู่ตน
เมื่อเริ่มตระหนัก
ในคุณความดี ที่ถูกหยามหยัน
เยาะเย้ยจากเหล่า พาลชนทั้งหลาย
ดุจพ่อแม่ของตัว
ถูกกระชากกลั่นแกล้ง
ถ่มน้ำลายรดหน้า
เมื่อเริ่มใจหาย
ที่เห็นมนุษย์เริ่มหยาบช้า
จิตใจแข็งกระด้าง
ไม่มีบาปบุญระอุ อยู่ในหัวใจ
ดุจลูกรักสุดแสน
ถูกโบยเฆี่ยนตีอย่างสาหัส
จำเป็น...
จำเป็นเหลือเกิน ที่จะต้องช่วยเหลือ
แม้ไม่มากก็น้อย
อย่างไม่รอช้าผัดวัน
เมื่อเริ่มเจ็บปวด
ที่เห็นมนุษย์ใจโสมม
จาบจ้วงศีลของพระพุทธองค์
กลั่นแกล้งอย่างเหิมเกริม
หัวเราะอย่างสนุกสนาน
ดุจผู้เป็นที่รัก
กำลังเดินเข้าสู่หลักประหาร
เมื่อเริ่มรู้สึก
รู้สึกเสียดาย
ในวันเวลาที่ผ่านเลย
ปล่อยให้คุณความดี รั่วหล่นจากดวงจิต
แม้เล็กแม้น้อย
หากเป็นเช่นนี้
หากรู้สึกเช่นนั้น
ถึงเวลาแล้ว
ที่ควรจะเปลี่ยน จากผ้าสีฉูดฉาด
มาเป็นสีกรักอันมอหม่น
สละโภคทรัพย์และเครือญาติ
ละทิ้งบ้านช่องเรือนชาน
มามีแผ่นดินทุกตารางนิ้ว เป็นที่อยู่
มีบาตรสำหรับยังชีวิต
โผบินไปทุกทิศ
ทุกทิศที่มีมวลชน
มวลชนอันมีธุลี ในดวงตาน้อย
แล้วปลุกเขาให้ตื่นขึ้น
ตื่นขึ้นมา
เข้าร่วมเป็นร่วมตาย
กับกองทัพที่ยิ่งใหญ่กว่า กองทัพใดๆ
"กองทัพธรรม!"
หยุด
๙ พ.ค. ๒๕๒๓
โลก...โลก
สังคม...สังคม
กำลังบ้า...บ้า...บ้า
ไม่มีอะไรหยุดมันได้
รีบเถิด...สหาย
พากเพียร...พากเพียร
อย่าหน่าย...อย่าหน่าย
แม้จะขมขื่น...ขมขื่น
แต่มันก็ชุ่มฉ่ำอยู่ภายใน...มิใช่หรือ ?
ไม่มียุคใด
ที่จะเป็นโอกาสทองเท่ายุคนี้
เสียงรถด่วนดังลั่นมาแล้ว
รีบตัดสิน...รีบตัดสิน
จิ้งจก
ร่วมพลังกองทัพธรรม
องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร
องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย
พร้อมเบญจพิธจัก ษุจรัสวิมลใส
เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง
กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง
สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ...
หน้า ๑๔
เม็ดทราย หน้า 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | |