เม็ดทราย ๑๗


รวมพลังสร้างสันติ
สมญานาม ว่าไทยนี้ มีความหมาย
แปลว่าไม่ เป็นทาส ใครทั้งนั้น
อิสระ เสรีภาพ ตราบนิรันดร์
เป็นมิ่งขวัญ แก่ประชา น่าภูมิใจ

ซ้ำฟูเฟื่อง นามประเทือง เป็นเมืองพุทธ
แสนพิสุทธิ์ ผู้ตื่น ,รู้ ไม่หลับใหล
เป็นเมืองยิ้ม เมืองเมตตา เมืองอภัย
เป็นทั้งไทย เป็นทั้งพุทธ สุดภาคภูมิ

แถมอุดม ดินดีล้ำ ทำเกษตร
เป็นประเทศ ทำเลดี ที่ราบลุ่ม
ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก ขึ้นปกคลุม
เขียวชอุ่ม ด้วยป่าไม้ และไร่นา

แต่บัดนี้ เมืองไทย ได้แปรเปลี่ยน
เริ่มเบี้ยวเพี้ยน เสื่อมถอย ด้อยคุณค่า
ต้องเป็นทาส เพราะโง่เขลา เบาปัญญา
แหนงไร่นา หน่ายผ้าซิ่น หมิ่นศีลธรรม

หันไปเห่อ คลั่งไคล้ ใฝ่วัตถุ
ถูกยั่วยุ ให้เป็นทาส พลาดถลำ
ประชาไทย ชอกช้ำ แสนระกำ
หายนธรรม ย่ำยี เบียนบีฑา

เสนอสินค้า แปลกใหม่โก้ โชว์ชวนเชื่อ
ดุจดังเหยื่อ เกี่ยวเบ็ดล่อ หมู่มัจฉา
เจ้าปลาโง่ ต่างเล็งแล แหมโอชา
แย่งกันอ้า ปากงับงุบ ฮุบเบ็ดมาร

หนังสือโป๊ โชว์ลามก จกเปรตเฟื่อง
สื่อประเทือง เปลื้องปลุก สนุกสนาน
เสียงสยิว ใส่ตลับ สดับสราญ
ราคะร่าน รุ่งเรือง ในเมืองเรา

อีกหนังโรง ทั้งทีวี สีแสงเสียง
ล้วนแต่เอียง เบี่ยงข้าง ไปทางเขลา
หลอกทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ให้มัวเมา
ทั้งน้ำเน่า น้ำครำ ฉ่ำฤดี

ทั้งโรงนวด โรงน้ำชา บาร์ไนท์คลับ
ไฟระยับ เขียวเหลืองแดง หลากแสงสี
ทั้งเต้นรำ ดื่มสุรา เคล้านารี
ฟังดนตรี ระบำโป๊ โชว์ยั่วจัง

สิ่งเหล่านี้ คือสื่อสาร ที่มารล่อ
ชี้ชวนต่อ โฆษณา พาฝันใฝ่
นี้อร่อย นี้สนุก นี้สุขใจ
ชักชวนให้ ระเริงหลง ในดงกาม

ลูกหลานไทย หมกมุ่นมั่ว ไปทั่วถิ่น
ต่างดีดดิ้น เพลงรักเร้า เช้าเย็นค่ำ
ไม่คำนึง ถึงศักดิ์ศรี ปล่อยฟรีกาม
พอเรื่องลาม เกิดชีวิต รีดออกมา

ไฟราคะ เลียโลม โหมกระหน่ำ
ไฟโทสะ ลุกลาม ตามรีด "ฆ่า"
ไฟโมหะ มืดมัวเมา เบาปัญญา
ออกกฎหมาย ทำแท้งฆ่า พร่าชีวี

ทารกน้อย ถูกสั่งการ ผลาญชีวิต
เด็กไม่ผิด รับโทษฑัณฑ์ ถึงปานนี้
ผู้ใหญ่เลว ก่อเรื่องร้าย ลอยนวลฟรี
กฎหมายนี้ หรือช่วยให้ ไทยสุขเย็น

โอ้อนาถ วาสนา นิจจาเอ๋ย
กระไรเลย หลงผิด ไม่คิดเห็น
กล้าเหยียบย่ำ ศีลธรรม อ้างจำเป็น
ถึงยุคเข็ญ กันครานี้ พี่น้องเอย

อมนุษย์ ผู้มืดมน อนธการ
มัวเมาผลาญ พระธรรม ซ้ำเยาะเย้ย
แก้ปัญหา อย่างระห่ำ ทำเกินเลย
แถมเอื้อนเอ่ย ด่าประณาม หยามคนดี

ไม่สำนึก ถึงบาปบุญ และคุณโทษ
แสนเหี้ยมโหด หมดเมตตา ฆ่าป่นปี้
ใช้เลศเล่ห์ ออกกฎหมาย แท้งเสรี
ผีห่าสิง ใจหรือนี่ พี่น้องเรา

เมื่อโลกลุก เป็นไฟ ออกปานนี้
เหล่าคนดี จักนิ่งเฉย อยู่ไยเล่า
ต้องรีบเร่ง หาทาง ช่วยบรรเทา
ช่วยปัดเป่า ดับร้อน ผ่อนให้เย็น

เมื่ออธรรม หยามหยัน ถึงปานนี้
ไยคนดี จึงหนีหน้า ครายุคเข็ญ
โลกขาดธรรม แร้นแค้น แสนลำเค็ญ
ทำใจเย็น ไม่แยแส แย่หรือดี

เมื่อปฏิญาณ ว่ารักชาติ ศาสน์กษัตริย์
จักยืนหยัด พิทักษ์ไทย ไม่หน่ายหนี
รักเมืองไทย รักศาสนา ยิ่งชีวี
มาคราวนี้ ถึงคราที่ พิสูจน์กัน

ผู้ใดจริง พึงก้าวออก มาข้างหน้า
เพื่อพิสูจน์ ตัวเองว่า ข้ารักมั่น
ไม่หลบเร้น เป็นอย่างไร ก็เป็นกัน
กล้ายืนยัน กล้าประกาศ สัจธรรม
สร้างสันติ ด้วยสันติ มิใช่เลือด
การเฉือนเชือด ฆ่าทำลาย หมายเหยียบย่ำ
ผู้ใหญ่เลว ยัดเยียดให้ เด็กรับกรรม
ผิดศีลธรรม ทรามต่ำช้า คิดฆ่าคน

เราจะต้อง เปิดเผยธรรม ให้รู้ทั่ว
พร้อมฝึกตัว ลดตัดเจียน เพียรฝึกฝน
เป็นสัญชาติ แห่งคนตรง ไม่โค้งวน
ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน หมั่นพากเพียร
ร่วมประสาน ร่วมปรองดอง เป็นกองทัพ
ไม่หลบหลับ ไม่อ่อนแอ ไม่แปรเปลี่ยน
อุปสรรค เป็นผลเลิศ ให้เกิดเพียร
จิตเสถียร มุ่งปกปัก พิทักษ์ธรรม

มาเถิดท่าน ก้าวออกมา อย่าเกรงกริ่ง
ออกมาดู ให้รู้จริง สิ่งชั่วต่ำ
แล้วปรับปรุง แก้ไข ให้ถูกธรรม
เลิกเป็นทาส เลิกใฝ่ต่ำ สมนามไท
แก้ปัญหา ด้วยธรรมะ อหิงสา
ด้วยเมตตา และสันโดษ พาสดใส
เลิกลุ่มหลง ความเขื่องหรู อยู่อย่างไทย
แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ไทยสุขเย็น

เรามาร่วม รวมพลัง สร้างสันติ
ช่วยดำริ แก้ปัญหา ครายุคเข็ญ
ถึงแสนทุกข์ แสนยาก แสนลำเค็ญ
ไม่หลีกเร้น ยืนหยัดสู้ ผู้หมิ่นธรรม
อันพระธรรม ล้ำเลิศ ประเสริฐนัก
ต้องปกปัก มิยอมให้ ใครเหยียบย่ำ
ช่วยกันชี้ ให้เขาดู รู้บาปกรรม
ปราบอธรรม ด้วยอหิงสา มา..ช่วยกัน

สันติสุข



ถ้าใช้ "ทัพธรรม" นำชีวิต
ไปสู่ทิศมุ่งมาดปรารถนา
แม้จะถึงหลักชัยที่ได้มา
สังวรไว้เถิดว่าโปรดระวัง

ถ้าใช้กอง "ทัพธรรม" นำชีวาต
แม้อืดอาดยังดีมีมนต์ขลัง
แต่ถ้าถึงหลักชัยได้จริงจัง
ย่อมจีรังยั่งยืนชื่นทรวงนาน

สมจิตร คชฤทธิ์



ประเพณีดีงามกำลังยับ
ธรรมะกลับแปรผันอธรรม์ข่ม
ของของไทยแท้แท้ไม่นิยม
กลับชื่นชมต่างชาติอุจาดตา

ส่วนผู้ใหญ่ก็เหล้าเคล้ารัมมี่
ไฮโลมีสิ่งมั่วชั่วหนักหนา
ละเข้าวัดฟังธรรมซึ้งตรึงอุรา
ต่างชาติมาเลยชมเขาเข้าครองใจ

เลยพิทยาคม


เพียงเงินตราตีราคาค่ามนุษย์
ให้เงินฉุดคนลงต่ำไม่ขำหรือ
ค่าของคนอยู่ที่ธรรมล้ำระบือ
ความดีคือคุณค่าน่าพึงใจ

ถ้าเทียบเงินกับคนคงป่นปี้
เมื่อเงินมีค่าก็มากศักดิ์ศรีใส
เมื่อเงินหมดกำสรดรันทดใจ
ค่าของคนอยู่ที่ไหนให้คิดดู
ว.ค.เลย



เพียงเงินตราตีราคาค่ามนุษย์
วิเศษสุดเทอดค่ามหาศาล
นิจจาเอ๋ยละเลยกันมาช้านาน
ลืมแล้วการทำความดีมีศีลธรรม
เงินเพียงนิดปลิดชีพมนุษย์ได้
ถ้าขัดใจขัดผลประโยชน์ซ้ำ
เทอดเงินตราเหนือความดีนี้ระยำ
ฝากรอยช้ำไว้ในบทสวดมนต์
ศรีสงคราม


"ศีลธรรม" คำนี้ อยู่ที่ไหน
คำที่คู่ เมืองไทย จะไร้ค่า
โลกจะพลอย รันทด หมดศรัทธา
ชาติจะเปื้อน กามา คาวราคี
แพทย์จะเป็น ฆาตกร รอนชีวิต
เพราะกฎหมาย ให้สิทธิ์ ผิดวิถี
เมื่อไม่ควบ คุมใจ กันให้ดี
ให้เสรี ทำแท้งไป ทำไมกัน
สุพจน์ แย้มครวญ

 

เสืออยู่ดงพงไพรใครก็หวาด
เพราะอำนาจพยัคฆ์จักขยาย
โจรทมิฬหินชาติพิฆาตกาย
ยิ่งเลวร้ายสูงสุดอาวุธมา
เปรียบคนที่มีมานสันดานชั่ว
ได้ชุบตัวแตกฉานการศึกษา
ยิ่งเลวร้ายหลายเล่ห์ทุกเวลา
เพิ่มศักดาตามมานสันดานเดิม
ศรีภราดร



มติกฎหมายทำแท้ง... แสลงจิต
ทำลายชีวิตเลือดเนื้อเชื้อไม่ก่อ !
เห็นดีด้วยบอกว่าอย่ารั้งรอ
ที่ร้องขอร้องร่ำบอก..กรรมเวร

ต่างยกเหตุผลล้าง-อ้างอิงกล่าว
เป็นเรื่องยาวใช่สั้นปั้นให้เห็น
จับข้อใหญ่ใจความตามประเด็น
ล้วนแต่เป็นประโยชน์,โทษ ! และคุณ...

ชุมพล โฆวาสินธุ์


 

เป่าปี่เสียงเสนาะให้ แรดฟัง
มันบ่รู้เพลงดัง เปล่าแท้
กล่าวธรรมที่ทุกขัง พาลโหด หืนนา
เหลือที่จะกล่าวแก้ โหดให้สว่างไสวฯ
สีซอเสียงเสนาะให้ ควายฟัง
ไหนจักทราบเสนาะดัง ดุจใบ้
สอนธรรมที่สัจจัง พาลทึบ โง่แฮ
ปราชญ์สุดโปรดโง่ให้ ทราบรู้รสธรรมฯ

ตักน้ำรดสากสิ้น หลายถัง
สากบ่ซึมซาบขัง ทึกไว้
เฉกบุตรบ่ใฝ่ฟัง โอวาท
สอนเท่าสอนฤาได้ ดุจข้อคำสอน ฯ
ธรรมดาหูหนวกแท้ ทึบตึง
น้ำหยอดหูอู้อึง อับได้
เฉกชนชาติทึบถึง สั่งเท่า ไรนา
มันไม่จำสั่งใช้ เฉื่อยเบื้อเหลือสอน ฯ

จาก..อุโบสถวัด พระศรีรัตนศาสดาราม



อนุสาวรีย์แม่
ณ ทิศเบื้องกระโน้น
ไกลแสนไกล จนยากที่จะเดินทางไปถึง
แต่ก็ใกล้สุดแสนใกล้ เมื่อใจใฝ่ปรารถนา
ณ ที่นั้น คือแหล่งสถิต แห่งอนุสาวรีย์ของแม่
ที่สูงตระหง่าน เสียดยอดฟ้า และแข็งแกร่ง ยิ่งกว่าหินผาใดใด
ภาพของแม่ คุกเข่าอุ้มลูกน้อย โน้มตัว พร้อมที่จะปกป้อง อันตรายทุกชนิด ที่จะเกิดแก่ลูก ท่ามกลางศัตรูรายล้อม
ที่แสยะยิ้ม อย่างน่าสะพรึงกลัว

แม่หนอแม่ ต่อให้อันตราย ถึงแก่ชีวิต
ต่อให้ชีวิต จะแหลกลาญในไม่ช้า
ยังอุตส่าห์ มีกะใจ คิดถึงห่วงหวง
อนุสาวรีย์แห่งนี้ ไม่มีใครรู้ว่า อายุกี่มากน้อย
รู้แต่ว่า นับแต่โลกก่อเกิด มันก็ได้ยืนอยู่ อย่างเงียบสงบ มานานแล้ว

ณ สถานที่นี้ คือแดนแห่ง ความสงบ สันติ
คือแดนแห่งความรัก ที่แสนสะอาดบริสุทธิ์
ไม่มีการประทุษร้าย ไม่มีการเข่นฆ่า กดขี่
มีแต่การให้ อันไม่มีสิ้นสุด

มีแต่ฝ่ามือ ที่จะลูบไล้ ปลอบประโลม ให้คลายเศร้า มีแต่ฝ่ามือ ที่จะปลุกปลอบ
ปลอบประโลม ให้คลายทุกข์

โลก...แตกไปแล้ว ไม่รู้กี่โลก อนุสาวรีย์ของแม่
ยังคงสถิต เด่นตระหง่าน แผ่อานุภาพ แห่งความรัก ความอาทร ให้แก่ชีวิต ที่เริ่มจะสำนึก
สำนึกแห่งความเป็นแม่ ของชีวิต
ไม่ว่าจะกลางวัน หรือกลางคืน
อนุสาวรีย์ของแม่ ยังคงเด่นตระหง่าน ทระนง

ต่อให้มืด ยิ่งกว่าสีดำ ต่อให้อับแสง ยิ่งกว่าคืนแรม
อนุสาวรีย์ของแม่ เด่น สว่าง ขาวโพลง
ส่องประกายถ้วนทั่ว สุดขอบฟ้า สุดขอบจักรวาล

แต่ถึงกระนั้น แม้จะยิ่งใหญ่บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ เพียงใด ก็อาจมีวัน เสื่อมโทรม
ด้วยยากนักที่สิ่งใด จะยืนยงค้ำฟ้า กาลเวลาที่ไหลไป ราวกับสายน้ำ
เสียงโห่ร้อง ไม่ยินดี ดังกระหึ่ม อย่างเกรี้ยวกราด อาฆาต

"เราไม่ต้องการ ความรักสีขาว เราไม่พอใจ
เรารำคาญตา ที่เห็นแม่โน้มตัว ทำเป็นปกป้อง ลูกน้อย
เราหมั่นไส้ เราหมั่นไส้ !"

เสียงโห่ร้องดังขึ้น ดังขึ้น ฝูงชนสมทบ ไม่ขาดสาย บางคนที่หาญ เข้าปกป้อง
ถูกก่นด่า ประณาม หยามหยัน
หาว่าเห็นแก่ตัวชั่วร้าย ไม่รู้จัก ความเป็นจริงที่เกิด
โลกก็อยู่ส่วนโลก ธรรมก็ต้อง อยู่ส่วนธรรม
ชีวิตก้อนเล็กเล็ก ยิ่งกว่าขี้หมา ก้อนนั้น
ทำไมจะต้องคำนึง ให้ยุ่งยาก
แม่ให้แก่ลูก มานานแล้ว ลูกควรจะรู้จัก เสียสละ ให้แม่บ้าง

ตะวันลับจากเหลี่ยมเขา สายลม เปลี่ยนทิศทาง ลมเย็นกรรโชก ผ่านพริ้ว แล้วแล้ว เล่าเล่า
ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง สุดแต่จะเป็นไป ตามกรรม แห่งผู้กระทำ
อนุสาวรีย์ของแม่ ที่เด่นทะมึน เสียดฟ้า อย่างอบอุ่น กำลังเปลี่ยนไป อย่างรุนแรง คลั่งไคล้

กี่กัปกี่กัลป์ มาแล้ว กี่แสนกี่ล้าน อสงไขยกัป
ที่อนุสาวรีย์ของแม่ ยืนยงโต้กระแส มิเสื่อมสลาย

หัวใจของแม่นั้น ทุกลมหายใจเข้าออก
มีแต่ความรัก และความปกป้อง อันเสมอด้วยชีวิต ที่จะอุทิศให้แก่ลูก

ต่อแต่นี้ไป อย่าว่าแต่ชีวิต จะว้าเหว่
แม้โลกก็ยังสะอื้น ด้วยขาที่เคยยืนหยัด ประกาศจุดยืน กำลังเปลี่ยนแปลง
ความสมดุล กำลังบิดผัน เสียงคารวธรรม ของพระสัพพัญญู ยังคงดังกระหึ่ม
แต่เสียงแห่ง การพิทักษ์ ปกป้องลูกของแม่ กลับแหบแห้ง

ลาแล้ว...ลาแล้ว บทเพลงแห่ง การต่อสู้ ของแม่ ใกล้จะลาลับ บทเพลงแห่ง การเสียสละของแม่ ใกล้จะลาจาก
ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความยิ่งใหญ่ อีกต่อไป
เงียบกริบ ไม่มีเสียงเปล่งอุทานของแม่
ที่รำพึงให้กับลูก ที่เปล่งอภิสวาจา ให้กับโลก อย่างแต่ก่อน

โลกกำลังจะขาดแม่แล้วหนอ โลกกำลังจะมีแม่ ที่คิดถึงตัวเองก่อนลูก
น้ำนมของแม่ กำลังจะเปลี่ยนสี เปลี่ยนรสชาติ
มืดจริงหนอ... อนุสาวรีย์ของแม่ อับหมอง
สิ้นแสงแห่งสดใส ตระการตา ภาพของแม่ ที่ปกป้องลูกน้อย ได้หายไป

กลับกลายเป็น หญิงสาวแย้มยั่ว ใส่ชุดแดงเพลิง กำลังถือคันชั่ง อย่างครุ่นคิด
ข้างหนึ่ง ลูกของตัว อีกข้างหนึ่ง เป็นเหตุผล สารพัด
เสียงปรบมือโห่ร้อง ประทับใจ ภาพใหม่ที่เห็น ดังสนั่นไปทั่ว อนุสาวรีย์
ยอดไปเลย ! ยอดไปเลย ! งามจริงจริง ! งามจริง ! ท่านเอย ขอถามสักนิด ใครกันที่ฆ่าแม่ ?

สุวรรณชีวี
๒๐ พ.ย. ๒๕๒๔


หากบาปกรรมทำไว้ไม่เป็นโทษ
คนชั่วโฉด,โลดเต้นเห็น...สวรรค์
ปราศนรก- อเวจีที่ลงทัณฑ์
คงถึงขั้นกลียุคลุกเป็นไฟ

ศีลธรรมเสื่อม ! ชั่วฟูเฟื่องเปรื่องสมอง
มีเพื่อนพ้องครองอำนาจบาตรยิ่งใหญ่
รวย, กว้างขวาง...เด่นสำคัญแม้จัญไร
โลกสมัยนิวเคลียร์...เชียร์ ! ชื่นชม

ชุมพล โฆวาสินธุ์




พุทธพจน์ภาคเบื้อง บรรพกาล
"อำนาจเป็นธรรม" ราน โลกล้า
คนดีกลับเป็นพาล พิษพ่น ภัยแฮ
อวดโอ่อำนาจบ้า บิ่นล้วนแลเห็น
"ธรรมเป็นอำนาจน้อม" นำบุญ
จักก่อเกิดพระคุณ ค่ำเช้า
คนดียิ่งดีจุน เจือยิ่ง ยอดฮา
โลกจักสรรเสริญเศร้า สร่างสิ้นสุขประสม

ส.เชื้อหอม



เรือนจำโลกอันมารสร้างขังชีวิต
คนล้วนคิดวนวัฏไม่ขาดสูญ
เป็นทาสมารเห็นธรรมาเป็นอากูล
วัน, คืนปูนวัยเปล่าเข้าทุกวัน
เขายื่นธรรมาดุจอาวุธ
ให้หมั่นขุดหนีเรือนจำกลับขำขัน
เห็นผู้ยื่นธรรมาเป็นบ้ากัน
โลกทุกวันจึงขังทาสอยู่อัดแอ

ละม่อม รัตนดิลก


บ น บ า ท วิ ถี
เย็นวันนี้เราเห็นโค้งรุ้งบนท้องฟ้า
ขณะเดินอยู่บนบาทวิถี อันเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน
รถราบนถนนติดกัน เป็นสายยาวเหยียด
เสียงแตร.. เสียงเครื่องยนต์ ดังไม่ขาดระยะ
และกลุ่มควัน จากท่อไอเสีย ลอยอบอวล

ผู้คนมากมาย เบียดเสียดกัน อยู่บนรถประจำทาง
ด้วยสีหน้า ที่เหนื่อยหน่าย... เอือมระอา
คงเบื่อมากซินะ
ฝนตก..รถติด กับการเดินทาง อันยาวนานกว่าปกติ หลังกรำงาน มาแล้วทั้งวัน

ดูดูก็น่าขัน ที่คนเกือบ ครึ่งค่อนประเทศ
ต่างก็พากัน ตะเกียกตะกาย ออกจากบ้าน ในตอนเช้า
ไปเรียน... ไปทำงาน... ไปทำกิจธุระ แล้วก็กระหืด กระหอบ กลับบ้าน พร้อมกันอีก ในตอนเย็น
ราวกับจงใจ ให้เกิดภาวะ การเดินทางติดขัด
แล้วต่างคน ต่างก็ขุ่นเคือง.. ด้วยไม่มีทางเลือกอื่น

ซึ่งถ้ามองให้ลึกซึ้งกว่านั้น ก็ดูเหมือนเรา ต่างก็ลืมไปแล้วว่า เรามีมือเท้า ที่ธรรมชาติ ประทานให้ สำหรับพาตัวเอง ให้เคลื่อนที่ ไปไหนไหนก็ได้
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้คนเรา เชื่อถือ สมรรถภาพของวัตถุ มากกว่าตัวเอง
และความวุ่นวาย ในงานอาชีพ ทำให้เรา ตกเป็นทาส ของกาลเวลา
ถ้าชีวิตเกิดมาเพียงเพื่อ ทำตามสูตรสำเร็จ
บางที.. เราก็อยากเป็น สัตว์เดรัจฉาน
เพราะอย่างน้อย... มันก็ไม่ต้องตกอยู่ ภายใต้ กฏเกณฑ์อันโง่งม
ไม่เป็นทาส ของกาลเวลา.. ชนิดนับชั่วโมง นับนาที ซ้ำยังได้ใช้สอย.. ได้ชื่นชม กับสิ่งที่ ธรรมชาติ ประทานให้ อย่างสมคุณค่า อย่างอิสรเสรี

เราจะเป็นนกที่มีปีก พาไปทุกสารทิศ
เป็นปลาที่มีครีบหาง แหวกว่าย ไปในท้องทะเล
หรือกระทั่ง เป็นหนอน ตัวเล็กเล็ก ที่จะคืบคลาน ไปบนกิ่งไม้ ใบหญ้า และพื้นดิน อย่างไม่อนาทร ร้อนใจ กับความผันผวน ใดใดของโลก

แต่...เมื่ออยู่กับ ความเป็นจริง
เราได้เกิดมาแล้วเป็นคน เป็นสิ่งที่ พระพุทธองค์ ตรัสว่า คือความประเสริฐ อย่างสูงสุด
ฉะนั้น เป้าหมายของชีวิต ที่จะต้อง เพ่งเพียรไปสู่
จึงไม่ใช่ จินตนาการเพ้อพก ไม่ใช่ความฝันเฟื่อง ไปกับสายลม แสงแดด
แต่คือ อุดมคติอันสูงส่ง เท่าที่มนุษย์พึงมี

เถอะ, แม้วันนี้เราจะยังย่ำ อยู่บนบาทวิถี
ฟังเสียงแตรรถ อันแสบแก้วหู สูดดมอากาศ ที่หนาแน่น ไปด้วยมลภาวะ แต่เราก็ได้เห็น แดด ทอรุ้งสวยงาม อยู่บนฟากฟ้า
เฉกเช่น ความหวัง อันรังรองของชีวิต

อิสรา
๓๐ ก.ย. ๒๕๒๔



บนผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วย เครื่องจักร ที่รีบเร่ง ยวดยานที่บรรทุกผู้คน อย่างแออัด
ผู้คนเหล่านั้น ไม่รู้ว่า ตนเองเป็นอะไรกันแน่
เป็นผู้ขาดสติ ใจลอย ไม่เติบโตทางอารมณ์
เนื่องจาก การมีชีวิต อยู่ท่ามกลาง คนแปลกหน้า อัดกันแน่น เหมือนปลากระป๋อง ต่างคนต่าง เป็นคนแปลกหน้า ที่พร้อมจะขับไล่ ไสส่ง ซึ่งกันและกัน

มหาตมะ คานธี



ชีวิตเมื่อคิดไป ความจริงไซร้ไม่เหมือนฝัน
ทุกข์สุขทุกคืนวัน เปลี่ยนแปรผันมิแน่นอน
ชั่วดีหรือมีจน ปุถุชนทุรนร้อน
หวงห่วงบ่วงนิวรณ์ นิรันดรชั่วกาลนาน
ต้นเหตุกิเลสทุกข์ เข้าโรมรุกคลุกเผาผลาญ
ดุจไฟไหม้ดวงมาน โหมวิญญาณให้ลานลน
หลงใหลไม่ปลดปลง จิตพะวงคงยากพ้น
ตัณหา..มายากล ชักพาตนสู่อบาย

ชุมพล โฆวาสินธุ์



"พุทธศาสนา" เก่าก่อนโน้น
มี "สภาวะ" ที่บริสุทธิ์ ถูกต้อง ตรงแท้
มีคุณภาพ อย่างสดใส ผุดผ่อง
มีฤทธิ์ช่วยคนพ้นทุกข์ ด้วยเนื้อหาสาระตรงเป้า
เป็นไปใน "อริยสัจ" อย่างถูกตรง

แต่เดี๋ยวนี้ ได้ถูกนักปั้น นักเสก นักสร้าง
เพิ่มพอก ตกแต่ง ดัดแปลง
ปรับปรุงแก้ไข ขึ้นเรื่อยๆ
จน "พุทธศาสนา" ตกอยู่ในสภาวะ
ดังจะเห็นรูปร่างได้ ในปัจจุบัน
ส่วนใหญ่ก็เป็น "รูป" อีกรูปหนึ่ง
ที่มิใช่เครื่องจูง เครื่องนำ
อันที่จะช่วยคน ให้รู้แจ้งแทง "อริยสัจ" ได้เลย

นี้คือ "สถานภาพ" หรือ "ความเป็นความมีอยู่แท้"
ในพิภพโลกขณะนี้
ที่จะต้องยอมรับ ตามความเป็นจริงนี้
คนมี "ปัญญา" แท้จริง
ย่อมไม่เลี่ยงหนี "ความแท้จริง" !
สมณะโพธิรักษ์


สังเกตไก่ แรกเกิด กำเนิดไก่
เราอาจไม่ ค่อยเห็น อย่างเด่นชัด
เมื่อขนงอก ออกหาง อย่างถนัด
จึงได้คัด จัดรู้ อยู่เพศใด

มนุษย์เรา ทั่วไป เหมือนไก่ฟัก
แรกรู้จัก โจมจู่ รู้ไฉน
ต้องศึกษา ให้ซึ้ง ถึงภายใน
จะรู้ได้ ใครมี ความดีเลว

สงบ ทองแท้



ในนิยาม ความทุกข์ ที่รุกเร้า
ผุดแผดเผา เร่าร้อน มิผ่อนผัน
วกวนเวียน เพียรจี้ ทุกวี่วัน
นิจนิรันดร์ ผันผิน สุดดิ้นรน

ทุกข์ที่เกิด เจิดจ้า ในหล้านี้
มันย่อมมี แหล่งเลศ แห่งเหตุผล
หากจะดับ ทุกข์ไป ให้แยบยล
ต้องดับต้น เหตุร้าย จึงหายตรม

สุชีโวภิกขุ


ข้าพเจ้ามีความรู้สึก มานานแล้ว จะต้องมีบางสิ่ง บางอย่าง ไม่ถูกต้อง อย่างมหันต์
ในเมื่อการกวาดขยะ กลายเป็นการแบ่งแยก ทางชนชั้นในสังคม ไม่เคยมีบันทึกกันไว้เลย ในประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับมนุษย์ คนแรก ผู้รับสถานภาพ อันต่ำสุด เพื่อทำงาน อันสำคัญยิ่ง ทางด้านสุขาภิบาลนี้
แต่เขาจะเป็นใครก็ตาม เขาก็ทำประโยชน์ ให้กับเรา
พวกเราทุกคน ควรที่จะได้รับการปลูกฝัง ตั้งแต่ยังเด็ก ให้เป็นคนกวาดขยะ
วิธีที่ง่ายที่สุด สำหรับผู้ซึ่งตระหนัก ถึงความสำคัญ ของสิ่งนี้ ก็คือ เริ่มต้นใช้แรงงาน ด้วยการเป็นคน กวาดขยะ
การกวาดขยะนี้ หากมีการปลูกฝัง อย่างชาญฉลาด จะช่วยให้ซาบซึ้ง ถึงความเสมอภาค ของมนุษย์ อย่างแท้จริง

มหาตมะ คานธี



สงครามได้เกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นแล้วจริง
ฝ่ายอสูร ช่วยกันสกัดกั้น ปิดบังสัจธรรม
มันข่มอสูรด้วยกัน มิให้แปรพักตร์
มันข่มเทวะ ให้ขลาดกลัว
ทัพแห่งองค์ ธรรมิกราช แม้น้อย แต่ก็ได้สู้ สุดชีวิต ท้องฟ้าแดงฉาน กระเซ็นซ่าน ระยับไปด้วย หยดเลือด
ทัพหน้าแห่งทรงธรรม บุกกระหน่ำ ตามด้วย ทัพหลัง ที่หนุนเข้ามาเสริม คอยส่งเสบียง และจัดหา ยุทโธปกรณ์
นักรบล้มลง ที่สู้ก็สู้กันต่อไป อย่างอาจหาญ
เสบียงยังพอเลี้ยงกองทัพ แต่ยุทโธปกรณ์ เริ่มขาดแคลน
นี่คือความจริง มิใช่เอาแต่พูดเล่น แบบเด็กเลี้ยงแกะ ยิ่งศึกใหญ่ ก็ยิ่งต้องใช้อุปกรณ์ ในการรบ ที่ทรงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
สถานการณ์ หากเป็นเช่นนี้
กองทัพธรรม จะเพลี่ยงพล้ำ

ใต้ร่มอโศก
สารอโศก..ฉบับ ธรรมยุทธ์ ปีที่ ๒(๕) ฉบับที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๔

(หน้า ๑๗)

เม็ดทราย หน้า 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |