เม็ดทราย ๑๖
จอมโจรบัณฑิต
ฝกต๋นมีชะข้า ไหมหลู
หมบตะเหล็นเฉ่นหมู ท่านบั้ว
เควลนเข่วคนลู ใลเหญ่ว
ด๊อนเหรือดแท่นทั้งควั้ว ห่ายร้าเลืองมง
ฝนตกมาชะขี้ หมูไหล
เหม็นตลบฉู่เหม็น ทั่วบ้าน
คนเลวขู่คนเลว เลวใหญ่
เดือดร้อนทั่วทั้งแคว้น ห่าร้ายลงเมือง
เมื่อเกิดมา ชาตินี้ มีชีวิต
ควรมีจิต เมตตา อารีเขา
ไม่เบียดเบียน ซึ่งกัน ช่วยบรรเทา
ทุกหมู่เหล่า มีใจ คล้ายคลึงกัน
เรารู้สึก อย่างไร เมื่อใจทุกข์
คงหมดสุข แน่วแน่ ไม่แปรผัน
จงมีใจ จุนเจือ เผื่อสัมพันธ์
อย่าใฝ่ฝัน ผลาญทุกข์ เพื่อสุขตน
สงบ ทองแท้
เมื่อเริ่มเคลื่อน จากท้อง ร้องเสียงจ้า
ด้วยเดียงสา อ่อนเยาว์ เจ้าเด็กน้อย
ลิ้นของเอ็ง ยังสะอาด ปราศริ้วรอย
เพราะเจ้าคอย ดูดลิ้ม ชิมแต่นม
พอรสเปรี้ยว เค็มหวาน ผ่านปลายลิ้น
ของที่กิน หลายหลาก มีมากถม
เจ้าก็เริ่ม กลอกกลิ้ง เป็นสิ่งกลม
อยากชิมชม ไม่สิ้น ไอ้ลิ้นทราม
เมตตาธรรมเกิดก่อหล่อเลี้ยงโลก
สืบโศลกสร้างสุขทุกข์สมัย
ความโกรธเกิดชีพม้วยมุดประดุจไฟ
ณ กาลใดเมตตาก่อก็ร่มเย็น
ละม่อม รัตนดิลก
เตรียมตัวในการเดินทาง
ชีวิต...เปรียบเหมือน ภูเขา
ตัวเราเอง เปรียบเหมือน นักปีนเขา
ที่จะต้อง ปีนป่ายภูเขา
เพื่อไปให้ถึง จุดหมายปลายทาง ของชีวิต
เราจะต้อง ทุ่มเท ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่เรามีอยู่
ไม่ว่าจะเป็น กำลังกาย กำลังใจ
พร้อมด้วย สติปัญญา ความรู้ และความสามารถ
รวมทั้ง วิธีการ อันถูกต้อง และดีงาม... มาใช้ในชีวิต
แต่เราก็ควร จะเตรียมใจ เอาไว้ ในยามผิดหวัง
จริงอยู่... ความหวัง เป็นสิ่งที่ดีงาม
แต่บางครั้ง เรามักจะหวังกันเกินไป
จนลืมถึง ความไม่สมหวัง ที่มักเกิดขึ้น ได้เสมอ
ความผิดหวังนั้น
จะกลายมาเป็น เครื่องบั่นทอน และยาพิษ
ต่อตัวเรา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การที่เราไม่หวังอะไร ให้มากนัก
ก็เป็นสิ่งดี ที่จะช่วยให้เรา มีเหตุมีผล
มีสติรู้ว่า เราเป็นอะไร เรากำลัง ทำอะไรอยู่
ซึ่งจะทำให้เรา เข้าใจโลก และชีวิตดียิ่งขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม
แม้เราจะพบกับ ความสมหวัง หรือผิดหวัง
ความสุข หรือความทุกข์
ความรัก หรือความเกลียด
เสียงหัวเราะ หรือเสียงร้องไห้ ก็ตาม
ถ้าเราเชื่อว่า...
เราได้ทำ ทุกสิ่งทุกอย่าง ดีที่สุดแล้ว
ถึงผลของมัน จะไม่เป็นไป อย่างที่เราปรารถนา
แต่อย่างน้อยที่สุด
เราก็ภูมิใจได้ว่า
เราดำเนินชีวิต ไปในทางที่ดี
ใช้ชีวิต อย่างมีคุณค่า
และคุ้มกับที่ เราได้เกิดมา เป็นคนแล้ว
นิรนาม
ใครลิขิตชีวิตไว้ให้ผิดหวัง
ความพลาดพลั้งเผลอไปใฝ่ประสงค์
ทำสิ่งใดใฝ่คิดจิตบรรจง
ความหวังคงจะได้ไม่โรยรา
เพราะชีวิตนั้นหรือคือมนุษย์
มากประทุษเต็มจริตด้วยมิจฉา
ทั้งโลภโกรธโทษติดอนิจจา
เพราะชีวาโดยแท้ไม่แน่นอน
แจ่มใส จันทร์สุขศรี
ชีวิตคนไม่อาจคร่าเวลาได้
แต่เวลามันใช้เหมือนไล่ขับ
เปลี่ยนเหตุการณ์ผ่านไปได้นานับ
ไม่มีกลับคืนหลังมาดังเดิม
แต่ความหวังอาจมีที่คนหวัง
จะต้องตั้งติดตามความริเริ่ม
เมื่อประกอบชอบธรรมนำต่อเติม
ผลจะเพิ่มโดยประโยชน์ไร้โทษฑัณฑ์
อมรรัตน์
เพลงพรรษา
ที่นอนของเรา คือระเบียงเรือน
ไม่มีฝาฟากกั้น เป็นห้องหับ
ลมพัดได้รอบทิศทาง
จะมีก็แต่หลังคา ที่ยื่นออกมา กันแดด
แต่ไม่รวมถึง กันฝน
มันจึงคือ ที่นอน ที่แสนสุข เมื่ออากาศร้อน
และทุกข์มาก เมื่อฝนตก
มองฟ้าคืนนี้ ไม่พบดาวสักดวง
ฝนคงจะตก อีกแล้วละซี
ลมพัดมุ้งปลิว พะเยิบพะยาบ
อากาศ เริ่มเย็นลง.. เย็นลง
เอาละ.. ถ้ามาเยือน ทั้งลมทั้งฝน
อย่างดีก็แค่ เนสัชชิ
ระลึกถึง ความห่วงใยของแม่
วันที่ขออนุญาต มาจำพรรษาที่วัด
"ลูกพักกับใคร.. นอนอย่างไร..
มีผ้าห่มไหม.. อุ่นสบายหรือเปล่า ?"
โอ้..นี่ถ้าแม่มาเห็น
แม่จะรู้สึกอย่างไรหนอ..
ชั่วขณะ ที่เผลอสติ
จิตอสุรกาย ก็ตัดพ้อ..
ทำไม จะต้อง มาลำบาก ลำบน
ปฏิบัติธรรม อยู่ที่บ้านก็ได้
สุขภาพตัวเอง ก็ใช่ว่า จะแข็งแรง
อภิชัปปา หรือเปล่า ?
น้อยน้อยหน่อยเถอะ..นะ..
ลมกรรโชก มาอีกวูบ
หนาวเข้าไป ถึงหัวใจ
คิดถึงห้องนอน อันอบอุ่น ที่บ้าน
คิดถึงผ้านวม ที่พ่อเพิ่งซื้อให้ใหม่
นี่ถ้าอยู่บ้าน... เราคงหลับ อย่างเป็นสุข
ถ้าไม่ยึดมั่นในสัจจะ.. เราคงไม่ต้อง ทนหนาว
ถ้า..ถ้า..ถ้า..ฯลฯ
สารพัดสารพัน ที่กิเลส มันรวมหัวกัน ร้องทุกข์
โอ้ละหนอ.. พระยามารเอย
ไปเสียเถิด.. ไปให้พ้น วิถีทางของเรา
อย่างไรเสีย เราก็คือนางนวล ที่ต้องฝึกบิน
แม้ในค่ำคืน อันเหน็บหนาว... โหดร้าย
ต่อให้ฝนตก จนน้ำท่วมเมฆ
เราก็จะไป ให้ถึง ดวงดาว ประจำชีวิต ดวงนั้น
หนทางยังอยู่อีก ยาวไกล
ถ้าไม่ฝึกฝน เสียแต่ตอนนี้
เมื่อไร จะแข็งแกร่ง
ถ้ายังยินดี อยู่แต่ในรัง
เมื่อไร จะหาญกล้า
ถ้าไม่ปลีก ออกจาก สังสารวัฏ
ไหนเลย จะหลุดพ้น
โมงยามผ่านไป
หนึ่ง..สอง..สาม...
เสียงระฆังวัด ดังระรัว กระชั้น
บอกสัญญาณ แห่งการเริ่ม บทเรียน บทใหม่
บทฝึกหัด ที่สูงขึ้น ละเอียด ลออขึ้น
แด่นางนวล...
ผู้พร้อมจะโบยบิน ในอนาคต
- ปีกอ่อน -
๑๔ ส.ค. ๒๕๒๔
เมื่อต้องการให้คุณธรรม ซึมลึกซึมลึก
สิ่งแรกที่จะต้อง ฝึกหัดลงมือ
คือการลดละ เหล่าบรรดา "ของโปรด"
ทอนลงไป เจียนลงไป ให้เล็กลง เล็กลง
และแล้ว สักวัน
เราก็จะเริ่ม หันมาสำนึก ละอาย ในคำอ้อน คำขอ
"ได้โปรด ได้โปรด - โปรดเถอะ โปรดเถอะ"
"โปรดรัก โปรดชอบ โปรดถนอม โปรดเอาใจ"
"นะ นะ - จ๊ะ จ๊ะ จ๋า จ๋า"
โปรดอารมณ์ของตัว ไปวันหนึ่งวันหนึ่ง
เขาจะเริ่มเลิก ตัดสัมพันธ์สวาท
การ "โปรดสัตว์" ได้เริ่มอุบัติขึ้น ณ จุดนี้
จาก..สารอโศก ฉบับ"โปรดสัตว์" ปีที่
2 (5) ฉบับที่ 1 สิงหาคม 2524
เมื่อเรารู้ ว่าสิ่งนี้ ดีแน่แท้
อย่าเอาแต่ หวาดกลัว มัวซุกซ่อน
ต้องประกาศ ความดี ให้ขจร
อุทาหรณ์ เป็นเยี่ยงอย่าง ในทางดี
เมื่อทำดี ต้องเทอดดี นั้นให้เด่น
ให้ชัดเจน ด้วยจริงใจ ไม่หน่ายหนี
ต้องยืนหยัด สัจธรรม ทรงความดี
ไม่หลีกลี้ หดหัว มัวขลาดอาย
สังคมแล้ง คนดี คนมีค่า
เพราะคนดี ไม่กล้า โชว์เด่นฉาย
ถือคติ เมื่อทำดี ก็ทำไป
จงอย่าได้ อวดโอ่ โชว์ความดี
หมดสมัย ที่คนดี จะหนีหน้า
ต้องหันมา เทอดดีเด่น เป็นสักขี
ร่วมกันเป็น ตัวอย่าง แห่งความดี
ช่วยกันชี้ ดีให้เด่น เป็นเอกเอย
เมืองไทยเราสิสังเวช เศรษฐกิจ
พวกวิปริตมันยังบ้า เที่ยวค้า "เหรียญ"
ปลุกตะกรุด- เสกผ้า โอ๊ย ! อาเจียน
บางคนเพี้ยน หลงเสก-ปลุก จนทุกข์จน
โน่น ! ญี่ปุ่น-อเมริกา ค้าดอลล่าร์
เชิญส่งผ้าทุเรศ วิเศษหน
ส่งเป็นอุตสาหกรรม พร้อมน้ำมนต์
ช่วยชาติพ้นขาดดุล ไอ้ยุ่นมัน
ละม่อม ศิริสร้อย
ชีวิต ดำเนินไป
เพื่ออะไร ได้ทดแทน
เงินตรา มากกว่าแสน
ทุกคนแหงน อยากได้ครอง
แต่ใคร อีกบ้างเล่า
ที่โง่เขลา แย่งชิงทอง
ทองนี้ มันมัวหมอง
ครองมันไป ได้อะไร
ในเมื่อ ผลาญชีวิต
คนนั้นคิด แล้วได้มอง
คนนั้น มันเป็นหนอง
ยิ่งกว่าดาว อยู่ในเดือน
ด.ญ.ชามาภัทร
(12 ขวบ)
พุทธเอยพุทธศาสน์
ด้วยอำนาจยศถาบรรดาศักดิ์
พระธรรมจึงอับเฉาเศร้าหมองนัก
เพราะถูกผลักสู่เหวความเลวทราม
เมื่อกิเลสร้อนเร่าได้เผาผลาญ
ตัณหากร้านก็มากด้วยขวากหนาม
หลายแข้งจึงนัวเนียถูกเลียลาม
มีแต่ปรามสอนเขาตัวเน่ายับ
พุทธองค์สู่ไพรในหนหลัง
อานนท์ยังทูลเหตุเสด็จกลับ
ครานี้เมื่อพุทธาจะลาลับ
ใครจะซับน้ำตาประชาชน
กะเรียน ร้อยป่า
เล่น อะไรไม่สนุกเท่าการพนัน
มวย มันมันได้เสียเป็นหมื่นแสน
หมด เท่าไรไม่คะนึงถึงขาดแคลน
ช้า เร็วแน่นขนัดทุกนัดมี
เล่น อีกอย่างที่ไม่ย่อยหรือน้อยหน้า
ม้า แข่งม้ามันกว่ามวยด้วยศักดิ์ศรี
หมด ก็เร็วเสียก็มากเกินกว่ามี
เร็ว ทางหนี้ล้มละลายเพราะม้ามวย
ศาสนา อยู่ที่ธรรม ค้ำชีวิต
ใช่เรื่องคิด ภพชาติ วาสนา
ใช่อยู่ที่ พิธีกรรม หรือตำรา
ใช่ฎีกา เรี่ยไร ใบบอกบุญ
นั่นเป็นเพียง เปลือกนอก พอกแก่น
อาจช่วยแทน ประคองเอื้อ เกื้อหนุน
หรือปิดบัง แก่นไว้ จนไร้คุณ
ขึ้นกับดุล ความเข้าใจ ในพระธรรม
มานิตย์ ประภาษานนท์
ทุกข์แค่เราก็พอ
ปณิธานตั้งไว้ในดวงจิต
แต่ไหนไหนก็มิเคยแปรเปลี่ยน
สมัยเลิกเนื้อสัตว์ หันมามังสวิรัติ
พ่อท่านก็เพียรเอ่ยเหตุผล ไม่กี่ประโยค
จิตใจก็ทะลุโล่ง โปร่งตลอด
หมดความสงสัยในศีล ข้อปาณาติบาต
บาปทราม สัมพันธ์ผู้กินผู้ฆ่า
ย่อมเกี่ยวเนื่อง โยงใยร้อยรัด
ปฏิเสธไปอีก หนึ่งโลกันตร์ ก็มิพ้นผิด
โอ้หนอชีวิต
ทำไมหนอ จะต้องมา เบียดเบียนข่มขี่
มาข่มเหง ประทุษร้าย อย่างยิ้มหยัน
เพียงเห็นน้ำตา ขณะรอประหาร
ใจก็สะท้าน เย็นเยือก วาบหวั่น
เพียงรู้ว่า มันต้องทรมาน ก่อนตาย
ใจก็นึกวาด หวาดกลัวแทน
ทำไมหนอชีวิตเรา
เกิดมาจะต้องก่อบาป แก่ผู้อื่นเขา
แย่งชิงเลือดเนื้อ ของผู้อื่น อย่างไม่ละอาย
ไม่อยากเลย
ไม่อยากให้ใคร เดือดร้อน
ไม่อยากให้ใคร ทุกข์เศร้า
เกิดมาชาติไหน
ก็ขอให้มี จิตกุศลตัวนี้
แม้บางคน เขาจะหาว่า ขี้ขลาด ก็ช่างเขา
แม้จะถูก เอาเปรียบเอารัด
ก็มิขอคืนจิต
เกิดมาเป็นชีวิตนั้น
อย่าได้เป็นตัวการ ทำให้ผู้อื่น เศร้าหมอง
อย่าได้เป็นตัวการ ทำให้ผู้อื่น ทุกข์หม่น
ตามครรลอง แห่งสัจธรรม
ขนาดจิตดั่งนี้
ได้ฝังหยั่งราก มาแต่เด็ก
ก็ยังเผลอ ขาดสติได้ อย่างเจ็บแสบ
เพียงเรื่องกระทบ ที่เข้ามา ทางหู ทางตา
ก่อเกิดความผิดใจ อย่างสายฟ้า
ตามติดด้วย เสียงกู่ร้อง อย่างเงียบ
เงียบราวกับคลื่น ในท้องสมุทร !
มันรู้แต่ว่า ไม่พอใจ
ไม่ชอบใจ... ไม่ชอบใจมากมาก
ปัญหาเหล่านี้
รู้ก็รู้ว่า ไม่มีใครช่วยได้
นอกจากตัวเรา ที่จะทำความตกลง กับตัวเรา
มีการแก้ไขที่ตน เป็นจุดเริ่มต้น
แต่ใจสิ มันแสนร้าย
มันโหมพัด พยาบาท ขึ้นโชติช่วง
มันเที่ยว เอาเรื่องที่เกิด
ไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง
หมายจะฟ้อง
หมายจะบอก
ด้วยไม่สามารถ ที่จะสงบอุเบกขา กับมันได้
หลายต่อหลายครั้ง
ที่จะต้อง เอาเรื่อง ไม่เป็นเรื่อง
รู้ไปก็แค่นั้น
กลับไปบอกเล่า กับคนที่เรารัก
เพื่อน พี่น้อง พ่อ แม่ ฯลฯ
หากไม่เล่า ก็ดูเหมือน อัดไว้ในอก
ไม่ถ่มคายออกมา ก็คงจะท้องขึ้น
นี่แหละหนอจิต
ทำอะไร โดยรู้เท่า ไม่ถึงการณ์
ทำอะไร ไม่เคยคิดถึงผู้อื่น จะเป็นตายอย่างไร
บางครั้งบทเศร้า เขาก็ช่วยเศร้า
บางครั้งบทโกรธ เขาก็ช่วยด่า
บางครั้งบททุกข์ เขาก็ช่วยทุกข์
ใจมันโมหะ
มันไม่เคยรู้สึก ระลึกถึง
คำคติแต่โบราณ เก่าก่อน
"พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง"
มันคิดแต่จะหาพวก หาประโยชน์
มีกระโถน เอาไว้บ้วนถ่ม ก็พอใจ
น่าสงสาร.. น่าสงสาร
น่าสงสาร เพื่อนเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง ที่อยู่รอบรอบตัว
ต้องมา ร่วมรับกรรม อย่างน่าสมเพช
ไม่มุสา ก็ต้องเรียกว่ามุสา
เพราะหาเรื่อง มาระบาย ให้ผู้อื่นทุกข์
ไม่ปาณาฯ ก็ต้องเรียกว่าปาณาฯ
เพราะทำใจคนอื่น เขาห่อเหี่ยว
ไม่เคยเลยหนอ ที่จะระลึกรู้
พูดในสิ่งที่ควรพูด
พูดในสิ่งที่ ก่อแต่ประโยชน์
อย่าว่าแต่เพียงเท่านี้
ด้วยจิตที่ปรารถนา ผู้อื่นเป็นสุข
แม้ยามตาย ก็ขออโหสิ
อย่าให้ใคร มาเสียน้ำตา แม้สักหยด
ให้รู้สึก เหมือนใบไม้ร่วง
เพื่อจะได้ ไม่ทุกข์โศกวิปโยค
ขอส่งความปรารถนาดี แต่ทุกทุกชีวิต
ไม่ใฝ่ฝันตัว เป็นดวงดารา เจิดจรัส
เราซิ หิ่งห้อยน้อย
โบยบิน วับแวมเล็กเล็ก
กลางม่านแห่งความมืด
สงบเสงี่ยม เจียมตน
ไม่หวังอะไร จากใครแม้นิด
เราซิ ดวงดาวอันไกลลิบ
ส่องประกายสลัว อยู่ไกลโพ้น ยากจะเห็น
จะเป็นอะไรหนักหนา
ขอเป็นเรา ผู้สงบอยู่ ก็พอแล้ว
- เรไร -
๑๙ ก.ย. ๒๕๒๔
สักวาสิ่งทั้งมวลล้วนไม่เที่ยง
มักลำเอียงเกิดแล้วดับกลับสลาย
ปลงเสียเถิดเกิดแล้วไม่แคล้วตาย
จะเป็นชายหญิงหรือก็ครือกัน
หากคิดได้ทำใจให้สะอาด
ความผุดผาดจนกว่าจะอาสัญ
ละเว้นชั่วกลัวบาปเถิดประเสริฐครัน
แม้ถึงวันชีพดับรับดีเอย
- พิศุทธิ์ ช่วยธรรมรัตน์ -
ขอสัญญาว่าไม่ท้อ
ได้รับอ่านอโศกสารนานมาแล้ว
ดุจดวงแก้วส่องสว่างกลางเวหา
อยู่ถึงพร้าวแสนไกลใคร่จะมา
ได้คบหาญาติธรรมด้วยน้ำใจ
ขอบพระคุณพ่อท่านผ่านอโศก
ชวนฝืนโลกทวนกระแสแน่ไฉน
ละเลิกลดปลดเปลื้องขุ่นเคืองใจ
ให้อภัยเมตตาปรานีกัน
รสพระธรรมล้ำเลิศประเสริฐนัก
เราตระหนักจริงแท้ไม่แปรผัน
หลงบูชาพุทธเทียมมานานครัน
ที่แท้นั่นเปลือกนอกหลอกยกยอ
อวิชชาไม่รู้แจ้งเคลือบแคลงจิต
เฝ้าแต่คิดโทสะร้ายวุ่นวายหนอ
ถึงเลิกละมังสะแล้วยังไม่พอ
พรรษาต่อของดอดข้าวเย็น
วันสองมื้อเพราะกลัวสิ่งชั่วร้าย
มิทธะกลายกล้ำลำบากแสนยากเข็ญ
ก็จะทนฝืนสู้ทำแม้ลำเค็ญ
เพียรบำเพ็ญอยู่เอกากว่าจะพบ
เห็นซึ่งธรรมนำจิตให้หลุดพ้น
มารผจญ บั้นปลายหมายประสบ
หวังนิพพานเบื้องหน้าดั่งปรารภ
ขอน้อมนบคุณพ่อท่านชั่วกาลนา
กฤษณาตันประดิษฐ์ลิขิตถ้อย
ความรู้น้อยค่อยเขียนเพียรศึกษา
รู้ข่าวคราวอโศกเพื่อนทุกเดือนมา
แต่เวลาไม่มีหนอน่าท้อใจ
กว่าจะพักการงานก็ยามดึก
อึกทึกสงัดเงียบเชียบหลับใหล
ขอสัญญาว่าไม่ท้อสู้ต่อไป
จวบจนได้บรรลุธรรมนำสุขเอย
- กฤษณา ตันประดิษฐ์ -
ผู้ใดไม่หลงหญิงสาวชาวเมือง ที่จัดจ้าน ด้วยเครื่องสำอาง
ก็ให้ระวัง อย่าไปหลง หญิงสาวชาวบ้าน ที่งดงาม ตามธรรมชาติ
ผู้ใดไม่หลง กับชีวิตในเมือง อันเปล่งประกายสี แสง อย่างแวววับ
ก็ให้ระวัง อย่าไปหลงกับ ชีวิตธรรมชาติ อันอุดมด้วย สายลม และแสงแดด
เพราะสิ่งเหล่านั้น ล้วนคือมายา ที่เป็นกับดัก ลวงล่อ มิให้พ้น วัฏสงสาร
อันใด ที่พึงยังตน ให้ตั้งอยู่บน ความลำบาก
พึงส่งตน ให้อยู่ บนทิศทางนั้น
ซึ่งย่อมเป็น ทิศทาง ที่ทวนกระแสใจ
แล้วกุศลธรรม ของเรา ย่อมเจริญยิ่ง ถ่ายเดียว
อย่างไม่ประมาท !
-ธรรมบุตร-
อันพระเพลิงเริงเปลวเพียงเปล่งแสง
เทียบตะวันโรจน์แรงฤาเทียบได้
ส่องกระจ่างหว่างเวหากว่าฟอนไฟ
แต่พุทธธรรมสว่างไสวกว่าใดปวง
แสงแห่งไฟเสียไฟย่อมสูญดับ
ไฟระยับชั่วนิรันดร์พลันลับล่วง
ดวงตะวันผงาดฟ้าจักคลาดวง
เมื่อสิ้นยวงแสงชืดมัวมืดมน
จุ่งพินิจพุทธธรรมอำนรรฆค่า
จรัสจ้าแจ่มไสวไปทุกหน
ทั่วโลกนี้ทั้งโลกหน้าค่าคงทน
พึงได้ยลเป็นเยี่ยงอย่างเส้นทางชัย
กวีเขมร
การตั้งสติยับยั้งกิเลส
พิจารณาอ่านกิเลส วันแล้ววันเล่า
ระลึกถึงมันอยู่ ราวกับคนรัก
ต่างกันแต ่เพื่อจะหาทาง พรากจาก
หาทางหน่ายคลาย
ทำเรื่อยเรื่อย ทำบ่อยบ่อย จะค่อยค่อย เกิดวสี
ค่อยค่อย เชี่ยวชาญ จัดเจน
อ๋อ ! อย่างนี้เอง อ๋อ! อย่างนี้เอง
เราจะอุทานบ่อยขึ้น
แค่นี้ก็เตรียม โชติช่วงชัชวาลได้แล้ว
จาก..สารอโศกฉบับ"โชติช่วงชัชวาล"
ปีที่ 2(5) ฉบับที่ 2 กันยายน 2524
เ พื่ อ.. ชี วิ ต
แต่ไหนแต่ไรมา
เราเคยเชื่อว่า..
"ลูก" คือผลิตผล จากความรัก อันงดงาม
ของพ่อ..แม่
แม้จะยากจน แสนเข็ญ..
หรือต้องเผชิญกับ ภาวการณ์ ต่ำทรามเพียงใด
พ่อแม่ก็จะยอมแลก ทุกสิ่งทุกอย่าง... แม้ชีวิต
เ พื่ อ ลู ก
ถึงทุกสิ่ง จะล้วนเป็นอนิจจัง
ไม่คงที่.. ไม่คงทน..
ถึงโลกจะต้อง แตกดับ อวสาน
เพราะแปรปรวนถึงที่สุด
แต่ความรัก ของพ่อแม่..
ถึงจะอยู่เหนือกฎ แห่งไตรลักษณ์
โดยสิ้นเชิง
เพราะลูกคือแก้วตา แก้วใจ
คือสายเลือด และดวงวิญญาณ
คือความพิสุทธิ์ ผ่องใส
และคือรางวัล ที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้
แด่..ความรัก
และเมื่อล่วงเลย มาถึงวันนี้
วันที่โลกหมุน มาถึงศตวรรษ ที่ยี่สิบ
มนุษยชาติ ได้พัฒนา มาถึงขีดสุด
วิทยาการต่างๆ มีบทบาทสูง
วัตถุมีอำนาจ เหนือจิตใจผู้คน
ความเชื่อของเรา ก็เริ่มสั่นคลอน..
โลกวันนี้ รุ่มร้อนไปด้วย ไฟโลกีย์
มนุษย์กลายสภาพ เป็นเพียง สัตว์สังคม
ที่เต้นเร่าไปกับ ความยั่วย้อม มอมเมา
ร่านทุรนไปกับ กิเลสตัณหา
แยกไม่ได้ แม้ความรัก กับความใคร่
ด้วยความรับผิดชอบ
และสูญเสีย พฤติภาพ ของความเป็นมนุษย์ ลงไปทุกขณะ
ความโสมม แผ่ขยายอิทธิพล ไปทั่วทุกซอกทุกมุม
หลายประเทศ ยอมรับ การทำแท้งเสรี
อันคือ การทำลาย "ชีวิต" ของทารก
ผู้เกิดมาจาก ความมัวเมา ในกามเมถุน ของชายหญิง
ที่ขอเพียง ได้เสพย์รสชาติ.. เป็นพอ
และวันนี้..
หายนธรรม ก็กำลังยิ้มกริ่ม มาเคาะที่ประตูบ้านเรา
มาประกาศตัว ให้สังคมยอมรับ
โดยมี "เทพเจ้ากาลี" เป็นผู้เสนอ
และเหล่า "ซาตาน" เป็นผู้สนอง
ซึ่งทั้งสิ้น ก็เพื่อผลประโยชน์ อันงอกงามไพบูลย์
ที่จะมีตามมา...
อนิจจา..นี่น่ะหรือ ความเจริญของ เผ่าพันธุ์มนุษย์
ได้โปรด.. หยุดคิด กันสักนิดเถิด
ด้วยสรรพชีวิตในโลก ต่างก็มีความหมาย
เพียงเขาโค่น ต้นไม้ริมทาง
เราก็ยังรู้สึกถึง ความเศร้าใจ.. สลดหดหู่
แล้วนี่.. เขาถึงขั้น จะทำลาย ชีวิตคน
เราจะยังทนนิ่ง อยู่ได้อย่างไร?
เราเป็นมนุษย์.. หรือมิใช่ ?!?
ใครเล่า จะอยากเป็น ส่วนเกิน
เป็นสิ่ง ไม่พึงปรารถนา
เป็นที่รังเกียจ เดียดฉันท์
จนเขาต้องหาทางกำจัด
หาทาง ฉุดกระชาก.. บดขยี้.. ทำลายล้าง
ให้แตกดับ สูญสลาย
ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์
ชีวิตเอ๋ย..
จุติมาเพียง เพื่อรับรู้ ความเจ็บปวด... กระนั้นหรือ ?
ใครนะช่างว่า บุญหนักหนา ที่ได้เกิด เป็นมนุษย์
ไฉนจึง ไม่มีโอกาส ลืมตา ดูโลกได้เล่า
ถ้าเกิดเป็นเดรัจฉาน..
โอกาส ที่จะรอดชีวิต คงมีมากกว่ากระมัง ?
ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดแต่เหตุปัจจัย
เมื่อส่วนประกอบ ครบพร้อม
ผลพวงก็อุบัติ
ถูกต้องแล้วหรือ ที่จะลงโทษกันที่ "ผล"
กรรมใดใครก่อ..
กรรมนั้น เขาก็จะต้อง เป็นผู้รับ
ยังไม่สายเกินไป สำหรับ มโนธรรมสำนึก
ขอเพียง อย่าถลำลงไป มากกว่านี้
ดึงเอา จิตวิญญาณ ของมนุษย์ กลับคืนมา
ประคองแก้วตา อย่าให้ตกแตก
ถนอมแก้วใจ อย่าให้แหลกสลาย
แล้วทุกสิ่ง ก็จะเป็นเพียง ฝันร้าย
ที่หายไป เมื่อมีสติตื่นขึ้น ยามรุ่งอรุณ
อิสรา
ได้ฟังข่าว กล่าวย้ำ เรื่องทำแท้ง
ช่างเสียดแทง หัวใจ กระไรหนอ
เป็นชาวพุทธ เข่นฆ่ากัน ได้ลงคอ
จรรยาหมอ อยู่ที่ไหน ไร้เมตตา
วิชาหมอ ท่านเรียนมา ฆ่าคนหรือ
ถ้าใครซื้อ ลูกของท่าน นั้นไปฆ่า
เด็กไม่ผิด คิดซิท่าน โปรดหันมา
สร้างเมตตา อย่าได้เป็น เช่นอย่างโจร
ได้โปรดเถิด ท่านทั้งหลาย อย่าได้ฆ่า
อย่าผลาญพร่า ฆ่าฟัน กันสับสน
เด็กน้อยน้อย ท่านฆ่าได้ ร้ายเหลือทน
ท่านเป็นคน อำมหิต ผิดศีลธรรม
-ทองสุข-
เสน่หา...มาตา
สาวเจ้าร่างบางขยัน คล่องแคล่วเข้มแข็ง
หนุ่มนั้นสูงโปร่งองอาจ ขวนขวายมั่นคง
เขาและเธอ ก้าวเดินไปตามทาง แห่งสัจธรรม
ด้วยความเป็นเพื่อนสนิท แลกเปลี่ยนความคิด
ร่วมการสร้างกุศล
พัฒนาจิตวิญญาณในตน
ทั้งโยงใยจริยธรรมสู่มวลชน
มนุษย์นั้นละแล้ว ซึ่งความเป็นผู้พิชิต ไม่มีจิตเอาชนะ
เป็นพิษภัยแก่สตรี
ไม่ต้องการอารมณ์ แม้จะเป็นกามารมณ์ ที่ผู้คนหลงใหล
โดยสุทธิสัจจะ กามารมณ์ มิใช่สิ่งจำเป็น สำหรับชีวิต
อดข้าว ดอกนะเจ้า ชีวาวาย
ไม่ตายดอก ด้วยอดเสน่หา
อาจหาญใดเล่า จะเทียมเท่า การชนะตนเอง
กล้ากบฎต่อกฎธรรมชาติ ดับไฟราคะ ในหัวใจ
คำหวาน สายตาอ่อนโยน แววตาเชื่อม
ไม่ทำให้เลือด ฉีดพล่านอีกต่อไป
ไม่ยอมหยุดอยู่ ช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยกรุณา เป็นเรือนใจ
เสียงเพลงเพ้อรัก พลิ้วแผ่ว แว่วแว่ว แต่เช้าตรู่
"เฝ้าสงวนตัว เพื่อให้เธอคนเดียว ไม่แลเหลียว ห่วงใยใครเลย"
อย่าเลย.. ชีวิตนี้สำคัญนัก.. อาจทำประโยชน์ ให้สูงค่า ยิ่งกว่านั้น
"หวังเธอเป็นร่มโพธิ์ทอง พิทักษ์ปกป้องผองภัย"
โอ! เป็นไปไม่ได้..ต้องดูแลตัวเอง
ใครจะอยู่ พิทักษ์เธอได้ นอกจากปัญญา และความรอบคอบของเธอ
ขอจงตั้งใจ.. พึ่งตัว.. ช่วยตน.. ด้วยพลังจาก สองแขน สองขา และหนึ่งหัว
อันเต็มไปด้วย ความรู้ ความคิด เลี้ยงชีวิต อย่างถูกต้อง และสมควร
จงซ่อนเรือนร่าง ให้มิดชิด ภายใต้เสื้อผ้า เนื้อหนาหยาบ สีคล้ำคร่ำคร่า
จงสำรวม แววตา วาจาและท่าที.. สงบในทุกอิริยาบถ
จงดับอารมณ์เสน่หา อดทนเข้าไว้ ไม่นานนัก จักพ้นภัย
อดข้าว ดอกนะเจ้า ชีวิตวาย ไม่ตายดอก ด้วยอดเสน่หา
เสน่หาราคะ กระตุ้นความเป็นชาย ให้เกิดกำเริบ
ใฝ่ความเป็นราชันย์ ก้าวร้าว ดุดัน ทรงพลังเร้นลับ รุนแรง
แม้นไม่รู้เท่าทัน เสพย์เมถุนพลัน
อาจให้กำเนิดทารก โดยไม่ตั้งใจ ไม่ต้องการ และไม่พร้อม
สิ้นความรู้ดี รู้ชั่ว รู้ตัว กำจัดกระทั่ง เลือดเนื้อของตัวเอง
อาจจะเป็นพระ รัฐบุรุษ เกษตรกร นักร้อง คนงาน ที่ไม่มีวันหายใจ
พ่อฆ่าลูก แม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อฆ่าแม่.. ฆ่า.. ฆ่า.. ฆ่าและฆ่า
โลกสิ้นภาวะสันติ เพราะความเป็นหญิง คือเหตุชักนำ
โอ..มาตา.. ผู้ให้กำเนิด ทั้งความดี และความชั่ว
โปรดเถิด.. อย่าปล่อยการณ์ ให้เลยไป โลกจะเข้าสู่ กลียุคไวขึ้น
ตื่นเถอะ.. ลุกขึ้น.. ก้าวออกมา.. บุกเข้าไป.. รุกเข้าไป
ต่อต้าน ความอัปรีย์ ขยี้ศีลธรรม ทำลายล้าง เอกลักษณ์ไทย
หยุดเถิด.. สงบเถิด.. อย่าหลงผิด กับการเป็น อาชญากร
ทำชีวิตคน ให้ตกตาย ทำจิตวิญญาณ ให้ตกต่ำ
ช่วยกันปลดปล่อย เยาวชนของชาติ ให้พ้นความเป็นทาส กามารมณ์
สละความออดอ้อน อ่อนไหว อ่อนแอ ลดเลี้ยว เลื้อยพัน ทิ้งไป
สลัดคืน.. เลิกโหดร้าย เหี้ยมเกรียม กักขฬะ เมามัน มืดมัว อีกต่อไป
สันติภาวะ กลับคืนมา.. แสงทองของธรรม สาดประกาย เจิดจ้า
ชีวิตนี้มีค่า ควรแก่การเป็นมนุษย์ มุ่งสู่สภาวะ นิพพาน
-จ.ภ.-
โลกวิกฤตจิตคนสับสนกลับ
ความย่อยยับเริ่มทวีชี้ให้เห็น
ความเป็นคนเริ่มไร้ค่าน่าลำเค็ญ
ความทุกข์เข็ญจึงปรากฏประชดคน
สร้างค่าคนเสียทีมิดีหรือ
โดยยึดถือสัจธรรมหนุนนำผล
ด้วยน้ำใจบริสุทธิ์ปุถุชน
"ค่าของคน" จะประเสริฐเลิศทวี
-สันตชัย โพธิ์ทอง-
20 ต.ค. 2524
เมื่อผู้นำทางศาสนาทั้งหลาย มหาสังฆนายก พระผู้ทรงฐานันดรศักดิ์
คณะกรรมการวัด และทายกสภา
ผู้ห่วงใย แต่ผลประโยชน์ของวัด
พยายามยัดเยียด ความกดดัน ทางศีลธรรม ให้ประชาชน
ชื่นชมกับการยอมรับ เอาอย่างงมงาย ของประชาชน
ในนามของศาสนา และศานติธรรม
นั่นไม่ถูกเรียกว่า ความรุนแรง
แต่เป็นเพียง ภารกิจทางศาสนา
พวกเขา พร่ำบ่นเรื่อยไป ไม่รู้จบสิ้น
ด้วยวลี ที่ว่างเปล่า ด้วยภาษา ที่ล้าสมัย
ตามหลักเกณฑ์ ซึ่งคลุมเครือ
อย่างเป็นทาส ต่อประเพณี
และพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ อันไร้ประโยชน์
เรี่ยไรเงิน ไม่หยุดหย่อน จากประชาชน
เพื่อก่อสร้างอาคาร และศักดิ์ศรี ของตนไว้
แต่ผู้นำทางศาสนา เหล่านี้ กลับหุบปาก เงียบ และวางเฉย
ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับชีวิต ของประชาชน อย่างแท้จริง
โยฮัน เทวนันทะ
การตัดสินสัจธรรม ขั้นที่สุดนั้น
จะไม่ใช่ การใช้เหตุผล ทางความคิด เป็นอันขาด
แต่ความจริงของผล ที่ปรากฏแก่เรา
อย่างถูกต้อง ตามหลักธรรมวินัย
ซึ่ง "มีให้เรา เห็นอยู่ รู้อยู่ เป็นปัจจุบัน นั่นเทียว"
นี่ต่างหาก !
เป็นตัวทำให้เรา สว่าง แจ้ง สงบ แจ่มใส
สิ้นวิจิกิจฉา อยู่โทนโท่
สมณะโพธิรักษ์
8 ก.ค. 2523
เพียงหยดน้ำ ก็ยังสามารถ ทำลาย
ให้หิน กร่อนสลายไป จนหมดได้ ฉันใด
ถ้าสื่อสารมวลชน ทุกประเภท ทุกแบบ
ไม่ช่วยกันลด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ประโคม
อันนำมาเชื่อมโยง ไปสู่กามราคะ ลงไปให้ได้
ด้วยมาตรการ เอาจริง เอาจังแล้ว
คดีข่มขืน-ฆ่า ก็จะนับวัน เพิ่มขึ้น หายนะยิ่งขึ้น
ได้อีกเสมอ อย่างแน่นอน ฉันนั้นๆ
ปฏิโสต
เธอช่างมัวแต่งตัวสวย อยู่ได้อย่างไรกัน
ในเมื่อคน อีกครึ่งค่อนโลก กำลังหิว กำลังป่วยไข้
เธอไม่รู้ ดอกหรือว่า เสื้อผ้าที่เธอ สวมอยู่นั้น
เขาทำมาจาก ชีวิตของตัวไหม นับเป็นร้อย เป็นพัน
เขาเอามัน ไปต้มในน้ำเดือด พียงเพื่อจะเอา ใยของมัน
มาประดับ ความฉาบฉวย ของมนุษย์
เวลาที่ฉันเห็นใคร ใส่ผ้าไหม
ฉันก็เห็น แต่ตัวไหม วิ่งพล่าน อยู่ในท้องทะเล แห่งความตาย
วิทยา เชียงกูล
คนที่ไม่เข้าใจโลกอาจ..โศกเศร้า
หลง..มัวเมา..คร่ำครวญเฝ้าหวนหา
สังขารรูป-กายนามงามโสภา
อนิจจา..มาเปลี่ยนแปลงแห้งเหี่ยว ! โทรม
คนที่รู้จักเข้าใจโลกไม่โศกศัลย์
รู้จัก..บั้นปลายชีวิตจิตรู้ข่ม
ตั้งจิตมั่นไม่หวั่นไหวในอารมณ์
ไม่ปรารมภ์ห่วงอาลัยในรูปธรรม
ชุมพล โฆวาสินธุ์
ฉันเฝ้ามองหยาดน้ำฝน
หล่นลงมาจากชายคาดัง แปะ..แปะ
ครั้งแล้ว..ครั้งเล่า
หยาดน้ำ แต่ละหยด แต่ละหยาด
ล้วนซึมซาบลงสู่ผิวพื้นดิน
ทำให้ต้นไม้ ต้นหญ้าชูช่อไสว
ฉันไม่อาจเอาสิ่งใดมาเปรียบ
กับชีวิตคนให้มากมายแสน
ชีวิตคนมีแต่น้อยนิด เพียงหยาดฝน
มีเวลาหยดหนึ่ง
เพียงหยาดน้ำกระทบพื้น แล้วแตกสลายไป
โอ! บัณฑิตเอย ช่างสั้นนักแล
จะมัวช้าอยู่ใยเล่า
มาเป็นหยาดน้ำฝน ที่ให้ความชุ่มชื้น
ด้วยรสแห่งธรรม
แด่...มวลมนุษยชาติเถิด..
- ศักดา -
ผู้ทำตนให้มั่นคง
เพราะมั่นใจในธรรม
เพราะประสบ ผลบรรลุ ถึงความจริง แท้แล้ว
ย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรปรวน เป็นอื่น
และจะองอาจ แกล้วกล้า ยืนหยัด
ไม่เหลวเหลว ไหลไหล ไหวไหว หวั่นหวั่น
เดี๋ยวเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวเปลี่ยนกลับไป เป็นอย่างนี้
ผู้นั้น จึงจะเป็นที่พึ่ง (สรณะ, นาถ)
เป็นหลักยึด ให้แก่คนอื่นๆ ได้
เพราะท่าน มีความมั่นคงจริง
จึงจะสร้าง ความเป็นแก่นแกน ขึ้นได้จริง
โลกจึงจะมี ความสถิต เสถียร ถาวร ยืนนาน
ที่ควรมีไว้ ช่วยมนุษย์โลกได้แท้
สมณะโพธิรักษ์
๗ ก.ค. ๒๕๒๓
มังสวิรัตินี้ดีมีประโยชน์
มิเป็นโทษเป็นภัยในกายขันธ์
คุณความดีมีหลากมากอนันต์
โรคภัยพลันหายเบากว่าเก่ามี
ทั้งเมตตา กรุณาถ้วนอยู่ทั่ว
ทุกตนตัวสรรพสัตว์วิรัติหนี
ไม่เบียดเบียนบีฑาเที่ยวราวี
จิตไมตรี ร่วมทุกข์ไม่รุกราน
ทินกร นพคุณ
สงครามได้อุบัติขึ้น อย่างกราดเกรี้ยว
กองทัพอสูร สูงใหญ่ เหนือขุนเขา
เกลื่อนกระจาย สุดขอบฟ้า
กองทัพธรรม อันขาวบริสุทธิ์
สัดส่ายโอนเอน
เลือดแห่งสัจจะ ไหลทะลัก เป็นลิ่มลิ่ม
มันเป็นการต่อสู้ ที่แสนหฤโหด
และเสียเปรียบ อย่างสุดกู่
แต่จะไม่มี การคร่ำครวญ รำพัน หรือท้อแท้
ด้วยชีวิตเรา
พลีแล้วแต่ องค์ธรรมิกราช !
ใต้ร่มอโศก
จาก..สารอโศก ปีที่ 2(5) ฉบับที่
3 ตุลาคม 2524 "ธรรมสังเวช"
(หน้า ๑๖)
เม็ดทราย หน้า 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19
|