เม็ดทราย
๑๙
สดุดีเกียรติคุณพระพุทธองค์
โอ..พระบรมศาสดา
มหาประทีปผู้ส่องทาง แก่สรรพสัตว์
ให้เดินไปสู่มรรคา อันประเสริฐ
พระองค์ผู้มี พระหฤทัยเด็ดเดี่ยว
ผู้ทรงสละ ในสิ่งที่สละได้ยาก
ทรงสละสิริราชสมบัติ อันน่าหวงแหน
ทรงพรากจาก พระนางพิมพา ผู้เลอโฉม
และพระโอรส ผู้สืบสายพระโลหิต เพียงพระองค์เดียว
โอ..พระองค์ผู้สละ ในสิ่งที่สละได้ยาก
ทรงบำเพ็ญเพียร ทุกรกิริยา
จนพระโลหิต แทบเหือดแห้ง
พระวรกาย ผ่ายผอมทรุดเซ
ทรงอุทิศเลือดเนื้อ ทั้งหมด
เพื่อแสวงหามรรคา อันประเสริฐ
โอ..พระองค์ ผู้กระทำ ในสิ่งที่กระทำได้ยาก
ทรงหักกงล้อ แห่งสังสารจักร
คือ กิเลส กรรม วิบาก
ทรงเป็นผู้ไกลจาก ความโลภ โกรธ หลง
ความรัก ความชัง
ตัณหา มานะทิฐิ
และความอาฆาต พยาบาท
โอ..พระบรมศาสดา ผู้ไกลจาก กิเลสทั้งปวง
ทรงเป็นมหาประทีป แห่งปัญญา
ทรงกล่าว ทรงแสดง ทรงจำแนก ทรงเปิดเผย
ทรงกระทำ ข้อที่ยากให้ง่าย
ข้อที่ลึกให้ตื้น ดุจดังหงายของที่คว่ำไว้
โอ..พระบรมศาสดา
ผู้ไม่มีข้อลี้ลับ ปกปิด กำบัง
ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พระผู้เปี่ยมล้นไปด้วย...
"พระปัญญาคุณ"
คือ ทรงรู้แจ้งในธรรม อันลึกซึ้ง
"พระบริสุทธิคุณ" คือ ความสะอาด ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
"พระมหากรุณาธิคุณ" คือ ทรงโปรยปราย ประโยชน์สุข
แก่สาธุชน ทุกระดับ
ด้วยเกียรติคุณ อันล้ำเลิศ ของพระองค์นี้
ข้าน้อยขอรำลึก ในมหากรุณาธิคุณ
ขอกราบเคารพ ด้วยชีวิตจิตใจ
เพื่อยังความปีติ ปราโมทย์ แก่ข้าน้อย
เพราะการได้รำลึกถึง เกียรติคุณของ พระพุทธองค์
ตะวัน เกียรติบุญญาฤทธิ์
๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕
การเล่าเรียน ของเรา เก่าก่อนนั้น
ต่างยึดมั่น สี่ด้าน การศึกษา
ทั้งพุทธิ หัตถะ จริยา
เพิ่มคุณค่า คุณธรรม ประจำใจ
ปัจจุบัน เน้นแต่ แง่ความรู้(พุทธิ)
เพื่อเป็นใหญ่ โก้หรู หรือไฉน
แต่จริยะ ด้อยลง ต้องปลงใจ
คงเหมือนยื่น ดาบร้าย ให้แก่โจร
อรรถพล เรืองบุรพ
สองศตวรรษรัตนโกสินทร์
สองศตวรรษรัตนโกสินทร์
ใกล้ยุคสิ้นเสกพระขายไว้เป็นหลัว
ฝูงผีทมิฬในคราบพระน่ะน่ากลัว
ปลุกเสกทั่วชั่วหวังเงินมิเขินใจ
เมื่อตะวันธรรมแผดแสงที่แรงมาก
เหล่ากาฝากสังคมนั้นจึงหวั่นไหว
กู่ตะโกนสนั่นด้วยจัญไร
เกรงมอดไหม้อัปราคาแผ่นดิน
กับนิยามความเป็นไปในธรรม
ก็อาจผิดพลาดได้ในกสิณ
หากผู้ใดไม่ร้ายใจทมิฬ
คงไม่สิ้นน้ำใจอภัยทาน
ด้วยปริยัติมหายานนั้นจึงเก่ง
หินยานเคร่งปฏิบัติเป็นพัสถาน
แต่ต่างมีปฏิเวธสนองความต้องการ
ตามสันดานกระสันแห่งชั้นชน
อามิสบูชานั้นขยันเถิด
แต่อย่าเลิศเกินปฏิบัติจะขัดสน
บุญเสบียงอาจเลี้ยงบาปทรามไปตามกล
ท่านทุกคนขอจงตริพิจารณา
สองศตวรรษรัตนโกสินทร์
ปราบทมิฬมารหมายขายศาสนา
ไม่บิณฑบาตเลี้ยงเพียงอาตมา
หากยังกล้าถลกหนังล่อของพ่อกิน
คือพระศาสดาแห่งศาสนาพุทธ
มีเหล่าบุตรบุญสนองอยู่สองสิน
หนึ่งสมมติสงฆ์ทรงแผ่นดิน
สองบุตรสิ้นอาสวะแห่งมโน
เหล่าสมมติสงฆ์นี้ทรงแนะ
มักชำแหละหนังพ่อหนักอยู่อักโข
คือปั้นข่าวเสกพ่อทรงองค์โตโต
แล้วก็โซเจรจาเร่หาเงิน
อันพุทธกาลยังประจักษ์วักกลิ
ที่ทรงติเอาไว้ให้เราเขิน
แม้แตะเนื้อตัวศาสดาไว้ใช่เจริญ
หากยังเพลินเดินไปในอบาย
ใครเห็นธรรมนั้นเห็นเราเข้าใจเถิด
เป็นประเสริฐกว่าเอาหนังพ่อนั่งขาย
แขวนหลวงพ่อหรือล่อหวังกำบังกาย
หากยังร้ายมีวิญญากลั้วอาจม
สองศตวรรษรัตนโกสินทร์
ตะวันธรรมทรงธรณินทร์อย่างสาสม
ขัดกิเลสแม้ปากแตกแหลกระบม
ด้วยผู้ชมชื่นอบายมีหลายนัก
ตะวันนี้ห้าอินทร์พรหมยมโลก
เป็นอโศกสถานแสดงเป็นแหล่งหลัก
ที่ที่คนเศร้าเขามีที่ฟูมฟัก
ตระหนักศักดิ์นิยามความเป็นคน
ทุกทุกคนนี้น่ะคืออโศก
หากหนีโลกถือธรรมนำเหตุผล
อโศกหากมีสถานวิญญาณตน
ย่อมหลุดพ้นสร่างเศร้าที่เมามัว
ตะวันธรรมส่องใจให้ใสสะอาด
ขับไล่ทาสของขลังขรึมสะลึมสลัว
เทิดทูนชาติ ศาสน์ กษัตริย์รัฐของตัว
ทุกครอบครัวจงอย่ามีผีทมิฬ
ละม่อม รัตนดิลก
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕
ฉันเลี้ยงเสือไว้หลายตัว
และเธอก็คงจะเลี้ยง ไว้หลายตัวด้วยเช่นกัน
เมื่อมันคำรามร้องด้วยความหิว
ฉันก็รีบวิ่งหาเนื้อมาป้อนให้
เมื่อมันอิ่ม
ก็นอนเชื่องๆ ดูน่ารัก
แต่ตัวของมันโตใหญ่ขึ้น ทุกวัน ๆ
พร้อมกับปริมาณเนื้อ ที่ต้องการกิน มากขึ้น ๆ
และภาระความเหนื่อยที่เพิ่มขึ้น ของฉัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง
วันที่ฉันเหน็ดเหนื่อย
เกินกว่าจะหาเนื้อ ได้พอ กับความต้องการ
วันนั้นเจ้าเสือร้าย
ก็คงจะตะครุบฉัน
กินเป็นอาหาร ในที่สุด
๒๑ ส.
คำเปล่งประกาศของพ่อท่าน
ตะวันธรรม เปล่งแสงแห่งสัจธรรม บรรเจิดหล้า
ตะวันธรรม แผดเผาขัดเกลา เหล่ากิเลสาสวะ -อวิชชาให้จางหาย
ตะวันธรรม ปลดปลงทุกข์ร้อน อาสวะเนียน ให้มอดสิ้น
ตะวันธรรม สงบ เรียบ ง่าย งาม เป็นสันติแท้จริง
เป็นแต่เพียงว่า ผู้ใดจักสร้าง จักเห็น รู้จักและใช้ "ตะวันธรรม"
ให้เกิด ให้เป็น ได้อย่างมั่นคง ได้มากน้อยเท่าใด!
แสงแห่งธรรมสาดส่อง บรรเจิดแล้ว !
"รัตน" บังเกิดแล้ว !!!
"รัตนใดเล่า ที่จะเลิศเท่ารัตนตรัย
และโกสินทร์ใดเล่า ที่จะเลิศเท่า...
โกสินทร์ ซึ่งเป็น องค์อินทร์จิตราช
อันปราศจาก กิเลสาสวะ
ดังนั้น ด้วยจิตวิญญาณ ของข้าน้อย ทุกกระแส
และชีวิต เลือดเนื้อ ทุกหยาดหยด ทุกบทบาท
ของเหล่าข้าน้อย ทั้งมวลนี้
ขออุทิศแน่ว และน้อมนอบ มอบมั่นถวาย
แด่รัตนโกสินทร์ทั้งสิ้น ที่ยอดประเสริฐ เลิศสุดนั้น"
สมณโพธิรักษ์
ไม่เคย...
ไม่เคยมียุคใด
ที่เหล่ามาร จะเข้มแข็ง ปานหินผา
ไม่เคย...
ไม่เคยมียุคใด
ที่พุทธบริษัท จะผนึกกำลังรวมตัว
หล่อหลอม เป็นที่หนึ่งเดียว
ถล่มหินผา ให้แตกพินาศ
ไม่เคย... ไม่เคยเลย
แต่ก็ได้เกิดขึ้น ราวกับความฝัน
คลื่นธารแห่งศรัทธา
หลั่งไหลรวมพลัง สามัคคี
บดขยี้... บดขยี้ต่อเหล่ามาร อย่างมิพรั่น
มิใช่อยู่คนเดียว เสพสุขมุดหนี
ปฏิบัติแต่ของตัว ไปวันหนึ่งๆ
มิใช่เลย... มิใช่เช่นนั้นจริงๆ
ใต้ร่มอโศก
สารอโศก..ฉบับปลุกเสก ' ๒๕ ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๗ กุมภาพันธ์
๒๕๒๕
พ า ยุ ธ ร ร ม
เมื่อพายุธรรมอุบัติ
ท้องฟ้าก็ตั้งเค้า
หมู่เมฆเริ่มปั่นป่วน
กระจายแยกแตกกัน
แบ่งชั้นวรรณะตามพันธุ์เผ่า
เมื่อพายุธรรมอุบัติ
ม่านแห่งความมืด จะถูกกระชากทิ้ง
แสงสว่างจะสาดแผ่ พุ่งไปทั่วทิศ
แปดหมื่นสี่พันโลกธาตุ
สายฝนแห่งความชั่ว ความอมตะ
จะราดรด ประสานกับเสียงครืนครั่น แห่งฟ้าร้อง
และอสุนีบาต ที่หวดกระหน่ำ อย่างคึกคะนอง
เมื่อพายุธรรมยุติ
ย่อมไม่มีอำนาจใด
ที่จะหยุดยั้ง สะกัดกั้น
ต่อให้ขุนเขา น้ำฟ้า
ต่อให้น้ำฟ้า ขุนเขา
ก็มิอาจหาญข่ม
เมื่อพายุธรรมอุบัติ
จะไม่มีการ ก้มหัวศิโรราบ
จะไม่มีการผ่อนปรน
ถอยแม้สักก้าว
ต่อเสียงคร่ำครวญ ตัดพ้อ
ต่อเสียงผรุสวาท อาฆาต
ของเหล่าอธรรม
เมื่อพายุธรรมอุบัติ
แผ่นดินจะหวั่นไหว
ความแตกแยก อันประเสริฐ เริ่มแตกผลิ
แยกขาว แยกดำ
กระจ่างชัด ลออตา
นี่ขาว นี่ขาว
นี่ดำ นี่ดำ
นี่กุศล นี่อกุศล
นี่ดี นี่ชั่ว
เมื่อพายุธรรมอุบัติ
เชื้อสายที่ซ่อนแฝง
แอบซุกอาศัย กลบเกลื่อน
จะโผล่เกิด โผล่เกิด
ประกาศศักดิ์ศรี สันดานที่แท้
จิตเลวต่ำเพียงใด
นี่ยักษ์ นี่เปรต
นี่เดรัจฉาน นี่อสุรกาย
เมื่อพายุธรรมโหมพัด
เหล่าผีร้าย จะกู่ร้อง เกรี้ยวกราด
เหล่านักรบแห่งอธรรม
จะดาหน้าบุกทำลาย ทุกเลศเล่ห์
ไม่เวทย์ก็ต้องเป็นมนต์
ไม่กลก็ต้องคาถา
ทั้งต่อหน้าแบบคนจริง
ทั้งลับหลัง แบบเดรัจฉานสุนัข
พายุธรรมมาแล้ว
โหมพัดอย่างไม่ยั่น ต่อสรรพสิ่ง
ขุนคีรีจะกร่อน สลายเป็นแผ่นดิน
แผ่นดินจะกลาย เกิดห้วงน้ำ
โลกหนอโลก จะสงบ
โลกหนอโลก จะเบิกบาน ร่มรื่น สันติ
ชีวิตจะมีแต่ การให้อภัย เสียสละ
ไม่ถือโทษ โกรธขึ้ง
อาฆาต พยาบาท
ต่างก็ช่วยคนละไม้ คนละมือ
ผนึกกำลังสร้างสรร สร้างมิตร
สร้างชีวิตอันประเสริฐ
ให้แก่กันและกัน
บทเพลงแห่งสันติภาพ
จะดังสนั่นไปทั่วโลก
พายุธรรมมาแล้ว
โหมพัดแรงยิ่งกว่า ลมสลาตัน
กระชับมั่น ด้วยสามัคคีธรรม
มือต่อมือ จับประสาน
ใจต่อใจผนึกมั่น
หล่อหลอมเป็นหนึ่ง แห่งเอกะ
ด้านกองทัพเหล่ามาร
ที่หลั่งไหลคับฟ้า
อย่างเฉยมาก อย่างเฉยมาก
ไม่มีการก้มหัว
หรือเพียงถอยหลัง แม้สักก้าว
พายุธรรมโหมกระหน่ำ
ซัดสาด ทีละระลอก ทีละระลอก
ประดุจคลื่นแห่งท้องสมุทร
กวาดทรชนผู้ไร้ศีล
ต้อนอัปรีย์ชน ผู้ไม่รู้จัก การเสียสละ
ผู้เอาแต่ความสุข สบายแห่งตน เป็นที่ตั้ง
ไล่ซัดขึ้นฝั่งไป ไล่ขึ้นไป
อย่าให้เป็นเสนียด ต่อห้วงสมุทร แผ่นน้ำ
เมื่อพายุธรรม บุกโหมพัด
กองทัพธรรม จะโห่ร้อง
ดาหน้าประจัญ มิพรั่น
คนดีที่เคยแต่ซุกหัว เอาตัวรอด
อยู่ไปวันหนึ่งๆ
เริ่มสำนึก ละอาย
ลุกขึ้นออกจากรู แห่งความขลาด
กระโดดเข้าผนึก ร่วมกองทัพ
ประกาศธรรม ให้เกริกเกียรติ
ระบือธรรม ให้เกริกไกร
มาแล้วพายุธรรม
อย่าได้หมายต่อต้าน
มีแต่ความพินาศแห่งมาร ที่รู้สึก
มีแต่ความสูญเสียแห่งมาร ที่รู้ได้
ด้วยนักรบประกาศ พิทักษ์ธรรม
ยอมสละแล้ว ซึ่งเลือดเนื้อแห่งชีวิต
ให้สิ้นแล้ว ซึ่งวิญญาณ ที่สุดเคารพ ในองค์โคตมะ
พายุธรรม
บุกอย่างเงียบสงบ
สิ่งที่ขวางหน้า แตกทำลาย พินาศ
ธรรมยาตรา ตบเท้าผนึกแน่น
กระจายสุดสายตา อย่างสำรวม
เพียบพร้อม ด้วยบุคลิก อันเจิดจ้า
ขยัน กล้าจน ทนเสียดสี
หนีสะสม นิยมสร้างสรร
พลังแห่งการต่อสู้
ไหลวนเวียน อย่างรุนแรง แต่จริงใจ
พร้อมที่จะบดขยี้เหล่าอธรรม ทุกเมื่อ
มาแล้ว
อย่าได้ขวาง
ด้วยนี่แหละคือ "พายุธรรม !"
เมล็ดหญ้า
๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๔
สักวาน่าขำเหมือนจำอวด
ด้วยนักบวชบอกใบ้ทำนายฝัน
เอาเครื่องรางอย่างไหนก็ได้กัน
เพราะเรื่องมันมืดมิดอวิชชา
หากวัดใดไม่มีของดีแจก
จะพาแขกขึ้นสำนักยากหนักหนา
คนเดี๋ยวนี้งี่เง่าเหมือนเต่าปลา
ไม่สีสาสัจธรรมน่าขำเอย
น้องใหม่-เมืองเก่า
ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้เป่าแตร ให้แก่พุทธศาสนา สักเท่าใด
และไม่ว่าเขาจะเรียกตัวเอง ว่าเป็นพุทธศาสนิกชน มาสักกี่ร้อยครั้ง
แต่พุทธศาสนา ก็จะเป็นของว่างเปล่า ไร้สาระ สำหรับเขาผู้นั้น
ถ้าขาดการนำธรรมะ มาปฏิบัติแก่ชีวิต
เป็นการจำเป็น ที่เราจะต้องเข้าใจไว้ แต่เบื้องต้นว่า
พุทธศาสนาที่แท้นั้น เป็นเรื่องของ การประพฤติปฏิบัติ อย่างจริงจัง
มิใช่เรื่องของ การโฆษณา คำสอนศีลธรรม แก่ชาวบ้าน ชาวเมือง
โดยผู้โฆษณา ไม่เคยประพฤติ ตามศีลธรรม เหล่านั้นเลย
ศรีบูรพา
เจ้าเกิดมารับบาปพิราบขาว
ธนูน้าวจึงหมายเจ้าเป้าสังหาร
พิราบคนชิงชั่วนั้นมันชำนาญ
โอ๋นายพรานรู้ประจบเพื่อหลบภัย
พิราบขาวเจ้าสั่งสมอุดมคติ
ยามปีกปริรังยับถูกขับไส
เจ้าจะรู้โลกนี้เป็นสีใด
เงินมันได้เปลี่ยนเผ่าเจ้ามาแล้ว
ละม่อม รัตนดิลก
คนล่วงทุกข์ได้เพราะ ความเพียร
ประกอบกิจแนบเนียน มุ่งแท้
จิตคงมั่นดุจเทียน ไฟส่อง
เปลวสว่างงามแล้ เจิดจ้าแสงนวล
อดีตพลาดผิดพลั้ง เป็นครู
ปัจจุบันหวังชู ชาติเชื้อ
อนาคตสัพพัญญุ บังเกิด
ถวายชีพสละเนื้อ เลือดให้โลกธรรม
ชุมพล โฆวาสินธุ์
จริงหรือที่ว่าหวาน
ความรัก...คืออะไร
คือความปรารถนาดี
คือความคิดถึง.. อาทร.. ห่วงใย
คือการมองกัน ด้วยสายตาเอ็นดู... อ่อนหวาน
หรือชื่นชม... ศรัทธา
ปรารถนาจะอยู่ใกล้
ได้ยินเสียง... ได้เห็นรูป... ได้สัมผัส
ความรักคือพลังสร้างสรร
ปลุกชีวิตให้มีชีวา
เห็นความสวยงาม ในสรรพสิ่ง
จุดรอยยิ้ม ให้ปรากฏ บนริมปาก
ละเอียดอ่อน ที่จะชื่นชม กับดอกไม้บาน
อ่อนไหว กับสายลม แสงแดด... นกร้อง... ผีเสื้อสวย
ทุกแห่งหน ราวกับถูกเคลือบ ด้วยสีชมพู
ความรักคือความอดทน
ทนที่จะอยู่บนโลก อันสับสน... แก่งแย่ง
ทนที่จะสู้กับงานหนัก
ทนที่จะเดินทาง ไกลแสนไกล
เพียงเพื่อจะได้เห็นหน้าเธอ ชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง
แล้วก็เก็บเอามา ชื่นอกชื่นใจ
สร้างพลังที่จะต่อสู้ กับชีวิตไปอีกวัน... อีกคืน
โอ้รักหนอ...
เจ้าช่างยิ่งใหญ่
เจ้าช่างทรงอิทธิพล
เจ้าคงภาคภูมิใจมากสินะ
ที่ทำให้มนุษย์ ดิ้นรน... แสวงหา
ไขว่คว้า.. ทะยานอยาก ที่จะได้เจ้าไว้ ในครอบครอง
ทุกสิ่งมีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์
แต่ความรัก มันช่างเก่งกาจ..
ฉลาดล้ำ ที่จะทำให้ผู้คน มืดบอด
ยอมเสี่ยง ทั้งที่รู้ว่า กำลังเล่นเกม หฤโหด
เจ็บปวดหนักหนา.. ถ้าผิดหวัง
หรือแบกหามภาระ ไปทั้งชีวิต.. ถ้าสมปรารถนา
วนเวียน.. เคว้งคว้าง.. เหนื่อยยาก
อยู่ในกระแส แห่งโลกียะ อันเชี่ยวกราก
ใครจะสำนึกบ้างว่า..
เราได้เริ่มตายแล้ว ทีละน้อย.. ทีละน้อย
ตั้งแต่สัมผัสกับมัน
ตายจากความอิสระ ทั้งหลายทั้งปวง
ตายจากความมั่นใจ ในตัวเอง
ตายจากอุดมคติ ที่จะเกื้อกูล เพื่อนมนุษย์
และเหนือสิ่งอื่นใด..
คือตายจาก การประพฤติ พรหมจรรย์
เพราะมันจะไม่ไว้หน้า.. แม้แต่กับผู้ทรงศีล
เพราะสุดท้าย...
ความปรารถนาดีทั้งหมด ก็คือ ความเห็นแก่ตัว
ความห่วงหาอาทร ก็คือ ความต้องการ ผลสะท้อนกลับ
ความปรารถนา จะอยู่ใกล้...
ก็คือการกระโจนลงไป เกลือกกลั้ว คลุกเคล้า
ในบ่อกาม อันหยาบช้า
และจะมีประโยชน์อะไร กับพลังสร้างสรร
หรือชีวิตชีวา อันเกิดจากรากเหง้า ของกามราคะ
อดทนอย่างเยี่ยม ที่จะให้ได้มา ในสิ่งที่รัก ที่ชอบใจ
เคลิบเคลิ้ม ไปกับธรรมชาติ
ที่ล้วนเป็นไปตามสัจจะ ของตัวมันเอง ชั่วนาตาปี
อ่านพฤติกรรม ของตนให้ออก อย่างไม่อำพราง
ถามใจตัวเองให้แน่ชัด
ถ้ายังหลงใหล ได้ปลื้ม
ยังไม่มั่นคง... แน่วแน่
ยังผูกพัน... เกาะเกี่ยว
ยังหลงเสพสมสุขสม
ว่าชีวิตเกิดมา เพื่ออะไร..
ก็ไหนว่ารักธรรม ?
อิสรา
๑๔ มีนาคม ๒๕๒๕
ไม่มีกุหลาบก็อยู่ได้
ข้าถูกหลอก
หลอกให้หลงใหล กลีบกุหลาบ
ข้าถูกมอมเมา
มอมเมาชีวิต
ให้ใฝ่หาแต่กุหลาบ
กุหลาบดอกสีชมพู
พอเถอะ
ญาติพี่น้อง
พอเถอะ
เพื่อนฝูง มิตรสหายของข้า
หยุดทักทาย
หยุดการให้
หยุดเอาใจ
ด้วยกุหลาบสีชมพู
ทุกวันนี้
ข้าเมา.. ข้าเคลิบเคลิ้ม
ไม่ว่าหลับ หรือตื่น
ทุกลมหายใจ
คอยแต่เรียกหา...
กุหลาบสีชมพูเอยๆ
อย่าเลย
เพื่อนฝูง ญาติมิตรทั้งหลาย
อย่ามาพะนอข้า
อย่ามาชมดชม้อย ประจบประแจงข้า
ด้วยการคอยส่งกุหลาบ เป็นของขวัญ
หยุดเสียที
ท่านทั้งหลายที่ข้ารู้จัก
ไม่ต้องโปรยกลีบกุหลาบ บนทางที่ข้าผ่าน
หยุดเถอะ
ท่านทั้งหลาย ที่ข้าคบคุ้น
อย่าให้ข้าติด ความหอม -ความสวย
แห่งกุหลาบ สีชมพูเหล่านั้น
ขอให้หยุดได้ไหม
หยุดส่งดอกกุหลาบ
หยุดโปรยกลีบกุหลาบ
ลงในน้ำดื่ม อาหาร
หยุดโปรย ละอองกลิ่นหอม
หยุดผสมลงไปใน น้ำเสียง ท่าทาง
ข้ากำลังใกล้ตาย
ตายเพราะเสพรสชื่น แห่งกุหลาบ
กุหลาบเอย
กุหลาบสีชมพู อันน่ารัก... น่ารัก
หอม... หอมจริงหนอ
แต่ได้โปรดเถิด
หยุดเสียทีเถอะ
เพราะสีสัน และกลิ่นหอม ของมัน
ทำให้ข้า บวมพอง เหมือนศพ
กลายเป็นคน ขี้โรค กระเสาะ กระแสะ
กลายเป็นคน อยากให้ใคร เขาเอาใจ
หูของข้า กระหายแต่ คำหวาน คำนิ่ม
ตาของข้า กระหายแต่ การประจบ พะนอ
ใจของข้า เพ้อหาแต่ ความอบอุ่น ความนุ่มนวล
ข้าอยากจะมีอำนาจ
ข้าอยากจะเป็นนายคน
ที่สั่งการสมใจหวัง
ที่ทุกคนต้องตายใจ
ใจที่แสนออเซาะของข้า
หยุดเดี๋ยวนี้ !
อย่าส่งมาอีกเลย
ข้ากำลังถูกมันเปลี่ยน จิตวิญญาณ
หลงติด เป็นจอมจักรพรรดิ
ใหญ่ยิ่ง เหนือแผ่นดิน
ใครใครต้องก้มหัว
ใครใครต้องศิโรราบ
ใครจะมาวิจารณ์
หรือใครจะมาติงเตือน
จะต้องเห็นดีกัน
หยุดการส่งกุหลาบ สีชมพูเดี๋ยวนี้
เพื่อนฝูง ญาติมิตร ทั้งหลาย
ข้าใกล้จะเป็นนางมาร
ที่คอยแต่ จะใช้น้ำตา ปลอบประโลม
หยุด !
หยุดโปรยเดี๋ยวนี้เถอะ
ก่อนที่ข้า จะกลายเป็น หมาขี้เรื้อน
ที่อยู่ที่ไหนก็มีแต่ทุกข์
นอนที่ไหนก็ไม่มีสุข
เพียงสายลมพัดผ่าน
เพียงเสียงตวาดแว่ว
ก็ครางโหยหวน เจ็บร้าวหัวอก
แผลของข้า
โรคของข้า
จะหายได้อย่างไร ถ้ารอบตัว มีแต่กุหลาบสีชมพู
หยุดเดี๋ยวนี้ !
ได้ยินไหม
ข้าบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้ !
มายาวี
๘ มกราคม ๒๕๒๔
หมาขี้เรื้อนทุกตัว มันจะเจ็บ มันจะคัน
โดยที่มัน ก็จะบอกไม่ถูก ว่าเจ็บที่ไหน และคันตรงไหน
เพราะแผล ที่อยู่ทั่วตัว
พอขยับตรงนั้น ก็คันตรงนี้
พอขยับตรงนี้ ก็เจ็บตรงนั้น
แม้แต่แมลงวัน บินผ่าน
มันก็จะเห็นว่า นั่นคือ ศัตรูของมัน
มันอาจจะวิ่งไล่งับ แมลงวันตัวนั้น
และเห่าหอน ครวญคราง ของมันไป
โดยที่มัน จะไม่ยอมมองดู ตัวมันเอง
ว่ามันมีแผลขี้เรื้อน ไปทั้งตัวหรือไม่
ความผิด หรือ ความเจ็บปวดทั้งหมด เกิดที่ตัวมันเอง
แต่มันจะไม่โทษตัวเอง มันจะโทษผู้อื่น
แม้แต่ แมลงวัน ตัวเดียว ที่มันบังเอิญ บินผ่านมันไป
ถ้ามันโทษได้ มันก็เป็นสุขยิ่ง !
ยอดธง
ชะตาชีวิต เป็นสิ่งที่เรา ต้องลิขิต
ผลักดัน จูงดึง... สูงขึ้นๆ
อย่าชะเง้อ
อย่าเผลอ ไปมองผู้อื่น... วิจารณ์ผู้อื่น
ด้วยสำคัญตนผิด ว่าเราฉกาจ
เรามีความสามารถ...
หยุดเถอะ
มาเอาตัวเองนี่แหละ เป็นหลัก
ทำไป ทำไป ทำไป
อย่าด่วนไปเห็น ความบกพร่อง ของใครเลยนะ
หัวใจจะได้โบยบิน เหินหาวเสียที
ใต้ร่มอโศก
สารอโศก..ฉบับพุทธาภิเษกฯ '๒๕ ปีที่ ๒(๕) ฉบับที่
๘ มีนาคม ๒๕๒๕
หน้า ๑๙
เม็ดทราย หน้า 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22
|