ความรัก
มิติที่ ๕ ชาตินิยม
มิติที่ ๕
คือ ความรักที่เป็นอุดมการณ์ เพื่อชาติ เพื่อประเทศ
หากผู้ใดมีความรู้สึกนึกคิด หรือ มีอุดมการณ์ ต้องการช่วยเหลือ
เกื้อกูล กว้างออกไปกว่า ความรักแค่ "มิติที่ ๔" เป็น ความรัก ความปรารถนา
ถึงขั้นหมายใจ จะก่อให้เกิดประโยชน์ แก่ผู้คนทั่วไป ในประเทศชาติจริง
ไม่แคบอยู่แค่รักเพื่อน เผื่อแผ่เพื่อ คนใกล้ตัวเราเท่านั้น หรือไม่เล็กอยู่แค่
หมู่กลุ่มชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด ซึ่งเป็นสัดส่วน ในประเทศเท่านั้น
แต่เป็นความเกื้อกว้าง ที่มีน้ำใจ คิดเห็นแก่คนทั้งชาติ ทั้งประเทศจริงๆ
และไม่ใช่เพียงความรู้ว่า มันเป็นอุดมการณ์ ที่ดีอยู่แค่นั้น
หรือไม่ใช่เพียงเป็น คารมโก้ๆ ลีลาเก๋ๆ ของคนหาเสียง ให้แก่ตน
เท่านั้นด้วย แต่ต้องเป็น "ความจริงของจิต ที่เกิดความรู้สึกรัก
และปรารถนา ตามอุดมการณ์นี้ แท้ๆ" ยิ่งมีน้ำหนัก หรือมีความเข้มข้น
ของน้ำใจ และความเป็นไปได้จริง มากยิ่งเท่าใดๆ ก็ยิ่งประเสริฐ สูงส่ง
ยิ่งๆเท่านั้นๆ
ความรัก ระดับมิติที่ ๕ นี้ เรียกว่า
"ชาตินิยม" หรือ "รัฐนิยม"
และจะจริงยิ่ง หากคนผู้นี้มีพฤติกรรม พากเพียร
พยายาม กระทำเพื่อให้เกิดผล ตามอุดมการณ์ ที่สุดจะจริง สมบูรณ์ทีเดียว
ถ้าแม้นผู้มี "ความรัก" นั้น บริสุทธิ์จาก ความแฝง เพื่อผลประโยชน์
ให้เกิด ลาภ-ยศ -สรรเสริญ-สุข แก่ตน
ซึ่งเป็นความเจริญของความรัก ความปรารถนาดี
อย่างเห็นได้ ชัดขึ้นไปอีก ว่า เป็นคุณค่า ของความเป็นมนุษย์
แน่แท้ หากใครสามารถ เผื่อแผ่ เกื้อกว้างออกไป ได้มากเท่าใดๆ
ก็ยิ่งเป็นคุณงาม ความดี มากเท่านั้นๆ
ด้วยสามัญสำนึก ความเข้าใจแค่นี้ ใครๆ ก็คงจะรู้ กันได้อยู่แล้ว
เพราะไม่ใช่ความลึกล้ำ อะไรนักหนา แต่มันก็เป็น "ความจริง" ของคน
ที่ "จิตจริง" อันจะพึง "เป็น" จริง กล่าวคือ สมรรถนะของใคร จะมี
"ประสิทธิภาพ แห่งความรัก" กว้างเกื้อ ได้มากน้อย แค่ใด ก็ย่อม"เป็น"ได้ ตามสมรรถนะ ของผู้นั้นๆ ถ้าจะ เอาแค่ "ความคิดฝัน"
ทุกคนที่มีปัญญา เข้าใจได้ ก็คิดได้ พูดได้ แต่ "ความจริงของ ความเป็นไปได้"
ตามที่ตนคิดได้ ตนพูดได้นั้น มันเป็นจริงไปได้ ตามความคิด ตามคำพูดนั้นไหม?
"ความรัก" ในที่นี้ต้องเป็น "ความจริง"
โดยเฉพาะเป็น "ความจริง" ที่เกิดในจิต ของคนผู้นั้นจริง ที่ต้องเป็น
"ความรู้สึกในจิตของตนเอง เกิดอารมณ์นั้นๆแท้ๆ" ไม่ใช่แค่ "คิด"
หรือแค่ "รู้"
ที่เรากำลังเรียกว่า "ความรัก" นี้ มันต้องมีภาวะเป็น
"อารมณ์ความรู้สึก เกิดขึ้นจริง ในจิตของผู้นั้น" และ มีสมรรถนะถึงขั้น
"เป็นไปได้" (possible) หรือ "สามารถทำได้" (practicable) จริง
มิใช่แค่ "รู้" แค่ "พูด" แต่ปาก อยู่เท่านั้นด้วย
เช่น "ความรัก" ของนาย ก. มี "ความจริงของ ความเป็นไปได้"
แค่..มิติที่ ๔ "ชุมชนนิยม" หรือ "สังคมนิยม" เท่านั้น หรือบางที อาจจะแย่กว่านั้นคือ
มี "ความจริงของความเป็นไปได้" แค่..มิติที่ ๓ แค่นั้น ดีไม่ดี อาจจะแค่..
มิติที่ ๒ ด้วยซ้ำ ก็เป็นได้ แต่นาย ก. นึกว่าตน มีสมรรถนะ ถึงขั้นมิติที่
๕ คุยฟุ้ง ตามที่ตนหลง ว่าตนเป็น หาเสียงให้แก่ตนเองไปทั่ว ว่าตนมีความรัก ระดับ
"ชาตินิยม" หรือ "รัฐนิยม" ซึ่งเป็นสมรรถนะ ที่กว้าง เผื่อแผ่ออกไปถึงขั้น
"ความรักชาติ รักประเทศ" ทีเดียว แต่ความเป็นจริงนั้น นาย ก. ทำได้
หรือเป็นได้แค่ "ความรัก" มิติที่ ๔ หรือ แค่ ๓ แค่ ๒ เท่านั้น
ถ้าอย่างนี้ "ความรัก" ของนาย ก. ก็ยังไม่ใช่ระดับ "มิติ ที่
๕" จริง "ความรัก" ของคนผู้นี้ ยังไม่ถึงขั้น มีความจริงเข้าข่ายที่ชื่อว่า ผู้มีความรัก ระดับ มิติที่ ๕ "ชาตินิยม" หรือ "รัฐนิยม"
เพราะ "ความเป็นจริง" หรือ "ภาวสัจจะ" ยังไม่ถึงขีดถึงขั้น
ใครจะสามารถรู้ความจริง หรือรู้สัจจะของ
"ความรัก" ได้ ถูกต้องถ่องแท้ ก็ยากอยู่ จะต้องศึกษาฝึกฝน จนรู้แจ้ง
หยั่งถึงสัจธรรม ของความเป็น "คุณค่าประโยชน์" (อัตถะ) ทั้งในสภาพที่เป็น
"ประโยชน์ตน" (อัตตัตถะ) "ประโยชน์ผู้อื่น" (ปรัตถะ) "ประโยชน์
๒ ฝ่าย" (อุภยัตถะ) หรือ "ประโยชน์สามัญ ที่ต่างก็รู้ๆกันได้
ในระดับ ของโลกียะทั่วไป ที่เรียกว่าโลกนี้" (ทิฏฐธัมมิกัตถะ)
และ "ประโยชน์ขั้นสูงขึ้น สู่โลกหน้า หรือโลกอื่น ซึ่งเป็นโลกที่ก้าวหน้าขึ้นไป
ถึงระดับ โลกุตระ" (สัมปรายิกัตถะ) ที่สำคัญก็คือ ประโยชน์ที่เป็น ความเจริญถึงจิต
ถึงเจตสิก อันเป็นขั้น "บรมประโยชน์ หรือประโยชน์ขั้นสูง ถึงความเป็น อาริยสัจธรรม"
(ปรมัตถะ) โน่นแหละ จึงจะพอรู้ "ความจริง ตามความเป็น ความมีจริง"
ดังที่ได้สาธยายมา
|