ความรัก
มิติที่ ๗ เทวนิยม
มิติที่ ๗ คือ ความรักที่แผ่กว้างไปสุดมหาเอกภพ
ทีเดียว ซึ่งหมายถึง นามธรรมอันยิ่งใหญ่ ที่รักทุกสรรพสิ่ง
ซึ่งเป็น ความรักระดับ
"พระเจ้า" เป็นความรักที่ ไม่มีขีดขั้น รักแม้กระทั่งศัตรู
ไม่มีการแบ่งมิตร แยกศัตรู กันอีกแล้ว ถึงขนาดใครจะ "ตบแก้มซ้าย
ก็ยังจะต้องยื่น แก้มขวา ให้เขาตบซ้ำ อีกด้วย"
ซึ่งมุ่งหมายเข้าหาความดีงาม ทางนามธรรม มากขึ้น โดยนับถือว่า
มี "พระเจ้า" เป็นอำนาจหลัก แห่งคุณงามความดี
และ เป็นอำนาจที่ ยิ่งใหญ่ที่สุด กว่าสิ่งใดๆทั้งปวง ทุกคนมุ่งมั่น
สร้างแต่ความดีงาม หากใคร ทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่วแล้ว จะได้ไป อยู่กับพระเจ้า
ดังนั้น ทุกคน จึงต้องมีความรัก ในพระเจ้า และ ทำตนให้มีความรัก
ดุจเดียวกับพระเจ้า ผู้ทรงรัก ทุกสิ่งทุกอย่าง
เป็นการฝึกตนให้เป็นคนดี ตั้งหน้าตั้งตากระทำ แต่ความดีงาม
ตนจะต้องทิ้ง ความไม่ดีทั้งมวล หยุดความไม่ดีทั้งปวง ให้หมด พยายามไม่โลภ
ไม่โกรธ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ขี้เกียจ อดทน บุกบั่น มีเมตตามหาศาล
แผ่ไปทุกทิศ ต้องเป็นคนเสียสละ เพื่อมวลมนุษย์ทั้งโลก ให้ถ้วนทั่ว
เป็นการมุ่งฝึกฝนตนให้ดีเป็นที่ตั้ง อะไรไม่ดีไม่ทำ
ละทิ้ง
ความไม่ดี แบบไม่ต้องใส่ใจเลย มีแต่มุ่งมั่น เข้าหาความดี เท่าที่จะสามารถ
ส่วนเรื่องความชั่ว ก็เพียงละเว้นความชั่ว ความไม่ดี ไม่งามทั้งมวล
ให้ได้ ด้วยความอดกลั้น ด้วยการทิ้งมันไปดื้อๆ หรือ จงละลืมไปให้สนิท
ไม่รับรู้เป็นดีสุด ให้เอาจริงเอาจัง อยู่กับการอุตสาหะ วิริยะ
ทำแต่คุณงามความดี อย่างทุ่มโถมทีเดียว ส่วน "ความไม่ดี" นั้น
ผู้มีลัทธิ "พระเจ้า" จะไม่ค่อยสนใจ ไม่ใส่ใจเรียนรู้ ให้ทะลุ ปรุโปร่ง เหมือนพุทธศาสนา
ไม่มีการเจาะลึก เข้าไปหา "หัวใจ" ความไม่ดี แล้ว "ทำลายหัวใจความไม่ดี"
นั้นๆให้ดับสูญ เด็ดขาด แบบศาสนาพุทธ
จะภาคภูมิดีใจอิ่มเอมใจ ที่ได้ทำดี โดยมีคติแน่วแน่ว่า "ทำดีแล้ว จะได้ไปอยู่ กับพระเจ้า
ในสรวงสวรรค์ นิรันดร"
ความเป็น"พระเจ้า"ก็ดี ความมี"สรวงสวรรค์ นิรันดร" ก็ดี เหล่านี้เป็นสภาพ ที่ยังเป็นภพ เป็นชาติ
เป็น "อัตตา" หรือ "อาตมัน" สำหรับ "พระเจ้า" ก็เรียกว่า "ปรมาตมัน"
สรวงสวรรค์ ก็คือ "ภพ" คือ "ดินแดนแห่งพระเจ้า"
เป็นความรักที่นับว่า มีคุณค่ามหาศาล เพราะรักมวลชนทุกคน ใครทุกข์ พยายามช่วยให้ได้ ทั้งหมด
แม้ที่สุด ตัวเองจะตาย ก็ยอม อย่างเช่น พระศาสดาของศาสนา ที่นับถือพระเจ้า มากมาย
เช่น พระเยซู แห่งคริสต์ศาสนา พระโซโรเอสเตอร์ แห่งศาสนา โซโรเอสเตอร์
พระบาฮาอุลลาห์ แห่งศาสนาบาไฮ แม้แต่คุรุนานัก แห่งศาสนาซิกส์
ล้วนแต่ นักเสียสละชั้นยอด เสียสละ กระทั่งชีวิต กันแทบทั้งนั้น
ซึ่งล้วนเป็นศาสนาที่บูชายึดถือ "พระเจ้า" ยึดถือ "God" เป็นความรัก ที่จัดอยู่ในลักษณะ "เทวนิยม" ซึ่งเป็นลัทธิบูชา "ปรมาตมัน"
หรือ "พระวิญญาณยิ่งใหญ่"
และไม่ได้ศึกษา เจาะลึกเข้าไป ในความเป็น "อัตตา" หรือ "ปรมาตมัน"
กันอย่างละเอียด เฉพาะอย่างยิ่ง จะยังไม่รู้เรื่องของ "อนัตตา" เลย แต่ก็เป็น ศาสนาที่เต็มไปด้วย "พลังสร้างสรรค์"
ช่วยมนุษยชาติ ไว้ได้อย่างมากมาย เพียงแต่ว่า ไม่มีทางหมดสิ้น
"อัตตา" เพราะไม่ได้ศึกษา ความเป็น "อัตตา" ทั้งของ "กิเลส"
และของ "พระเจ้า"
เป็นศาสนาที่ทั้งมุ่งทั้งมั่นไปสู่ "ภพชาติ" แห่งความเป็น "พระเจ้า"
ซึ่งเน้นสอน เน้นทำกัน แต่ในฝ่าย "คุณงามความดี" เพื่อ มวลมนุษยชาติ
อย่างเอาจริงเอาจัง ทุกพลังแห่งจิตวิญญาณ จึงล้วนผนึกแน่น เข้าเป็น หนึ่งเดียวกับ
"พระเจ้า" ความเป็น"พระเจ้า" ของศาสนาแบบ "เทวนิยม" จึงเป็น"อัตตา" ที่ใหญ่ยิ่ง ที่เรียกว่า "ปรมาตมัน" ก็ถูกต้องที่สุด
"พระเจ้า" คือ "ปรมาตมัน" ที่นิรันดร์อมตะ เป็น"อัตตา" หรือ
"อาตมัน" ที่ไม่มีวันสูญสลาย
ซึ่งตรงกันข้ามกับศาสนาพุทธ ที่รู้แจ้งแทงทะลุ "อัตตา" และสามารถปฏิบัติ
เพื่อสู่ความเป็น "อนัตตา" ได้สำเร็จ
เป็นที่สุด
จุดนี้แหละที่สำคัญยิ่งนัก
เพราะเป็น จุดต่าง
ระหว่าง
ศาสนาที่เป็น
"เทวนิยม"
กับศาสนาที่เป็น "อเทวนิยม"
กล่าวคือ ศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาแบบ "อเทวนิยม"
นั้น ศึกษาความเป็น "อัตตา" หรือ "อาตมัน" ของจิตวิญญาณ
อย่างละเอียดครบหมด ทั้ง "อัตตา" ที่เป็น "อัตตา" ของ "ผีนรกหรือซาตาน" ซึ่งเป็นอำนาจฝ่ายเลวร้าย ไม่ดีไม่งาม และทั้ง "อัตตา"
ของ"พระเจ้า" ซึ่งเป็นอำนาจฝ่ายดีงาม มีคุณค่าประโยชน์
ที่สำคัญยิ่ง ก็คือ ศาสนาแบบ "เทวนิยม" ต่างก็หันหน้า เข้าหา
"พระเจ้า" ปฏิบัติแต่สิ่งส่วนที่ดีงาม ให้ยิ่งๆ เพื่อถวายพระเจ้า
แต่พุทธที่เป็นศาสนาแบบ "อเทวนิยม" นั้น กลับหันหน้าเข้าหา "ผีนรกหรือซาตาน"
แล้วปฏิบัติการ อย่างแม่นมั่น คมชัดเข้าไปจับ "ตัวตน" (อัตตา)
ของ "ผีนรกหรือซาตาน" และแล้ว ก็เจาะลึก เข้าไปให้ถึง "หัวใจของ ผีนรกซาตาน"
แล้วจัดการ ทำลาย "หัวใจ" ของมัน ให้ดับสลาย ตายสนิท ชนิดสิ้นสูญ
จึงเป็นการ "ดับตัวตน" ของ ผีนรกซาตาน อย่างเด็ดขาด ไม่เหลือตัวตน
(อนัตตา) อีกเลย
"ผีนรกหรือซาตาน" ก็คือ "ตัวชั่วร้ายเลวทราม" หรือ "ตัวทุกขอาริยสัจ"
นั่นเอง และ "หัวใจ"ของมันก็คือ "ตัวเหตุแห่งทุกข์" หรือคือ
"กิเลส - ตัณหา - อุปาทาน" ซึ่งอยู่ใน "จิต" ของคน
เพราะพุทธเห็นว่า หากปล่อยให้ "ผีนรกซาตาน" หรือ "ตัวชั่วร้ายเลวทราม"
มีอำนาจอยู่กับเรา แม้จะเพียง ๑ นาที มันก็นำพาเรา ไปชั่วร้าย เลวทราม
๑ นาที ขืนให้มันอยู่กับเรา นานไปอีก เท่าใดๆ เป็น ๕ นาที เป็นชั่วโมง
เป็นวัน เป็นปี ก็ยิ่งพาเรา เลวร้ายชั่วทราม ไปนานเท่านั้นๆ ต้องรีบจัดการกับเจ้า
"ผีร้ายซาตาน" พวกนี้ ให้ได้เสียก่อน จึงจะถูก เพราะเป็นเรื่องที่ น่ากลัวยิ่งนัก
ส่วน "พระเจ้า" หรือ "ความดีงาม"นั้น จะอยู่กับเรา ไปกี่นาที
หรืออยู่ไปอีก นานเท่าใด ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ หรือน่ากลัวอะไร
เพราะไม่ได้พาเรา ชั่วร้ายเลวทราม มีแต่จะพาเราดี เราเจริญ จึงไม่ใช่ความจำเป็นรีบด่วน
ที่สำคัญกว่า กำจัด "ซาตาน" รีบด่วนกว่า
ดังนั้น ศาสนาพุทธ จึงเป็นศาสนาเพ่งที่ "ทุกข์" เพ่งเจาะเข้าไปที่ กิเลส -ตัณหา -อุปาทาน
อันเป็น "เหตุแห่งความชั่วร้าย" หรือ "เหตุแห่งทุกข์"กัน เป็นแก่น เป็นแกนหลัก
พูดกัน วิจัยกัน แต่เรื่องทุกข์ เรื่องตัวชั่วร้าย ที่จะพาทุกข์
มุ่งปฏิบัติการอยู่แต่ กับเรื่องของ "ตัวชั่วร้าย" ที่จะพาคน ไปต่ำไปเลว
ไปทำไม่ดี ไม่งาม
โดยสารสัจจะของศาสนาพุทธ เป็นเช่นนี้ จึงมีพฤติภาพ ที่ไม่ชวน สำเริงสำราญ
เพราะมุ่งมั่นอยู่แต่ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งผู้ไม่รู้นัยสำคัญนี้
ก็พากัน เพ่งโทษว่า เป็นศาสนา "ทุกขนิยม" หรือเป็นศาสนา ที่ไม่น่ารื่นรมย์
เพ่งอยู่แต่เรื่องหดหู่ใจ ผู้คนจึงไม่ค่อยนิยม เพราะไม่เหมือน ศาสนาที่พูดกัน
มุ่งพากันทำ แต่เรื่องเหตุดีผลดี ซึ่งเป็นเรื่อง "พระเจ้า" ทั้งนั้น
ศาสนาที่มุ่งอยู่แต่กับ "ความดีงาม" เรื่อง "พระเจ้า" แต่ไม่นำพา
หรือไม่เน้นถึงเรื่อง "ซาตาน - ความไม่ดีไม่งาม" เน้นเด่นสำคัญ กันที่เรื่อง
"ความดีงาม" ไม่นำเรื่อง "ไม่ดีไม่งาม" มาทำให้เสีย พฤติภาพ
จึงเป็นศาสนา ที่น่านิยม ชมชื่นชวนใจ
เมื่อไม่นำพา ไม่ใส่ใจในฝ่าย "เหตุแห่งความไม่ดีไม่งาม"
อันคือ กิเลส, ตัณหา, อุปาทานต่างๆ หรือ ความเป็น "ซาตาน"
ความเป็น "ผีนรก" ซึ่งเป็น "สมุทัย แห่งความเลวร้าย
หรือเหตุแห่งทุกข์" จึงได้แต่
"ปล่อยวาง" ไม่สนใจความทุกข์ ความเลวร้าย
ทิ้งขว้างความเลวร้ายต่างๆไป ไม่เอาใจใส่ เจ้าตัวพวกนั้น หรือ ไม่ต้องรู้ เรื่องกิเลสต่างๆ ไม่ได้เรียนรู้ ความเลวร้าย และเหตุหรือ
"หัวใจ" แห่งความเลวร้าย ให้ถ่องแท้ ทะลุปรุโปร่ง ไม่ได้ทำลาย ถูกตัว ถูกตน
ถูกหัวใจ ของเจ้าพวก ความเลวร้ายพวกนี้ ให้สิ้นซาก ทั้งหยาบ กลาง
ละเอียด
ซึ่งวิธีอย่างนี้ ก็เป็นวิธี "สมถะ" ธรรมดาๆ ที่ศาสนาส่วนใหญ่ ทั้งหลาย ทั่วๆไป
ก็ทำกันอย่างนี้ จึงเท่ากับ ปล่อยปละละเลย "ตัวเหตุแท้ แห่งความไม่ดีไม่งาม"
หรือกักเก็บ "เจ้าพวกตัวเลวร้าย เหล่านั้น ไว้ในก้นบึ้ง ของจิต"
ไม่ให้มันขึ้นมา วุ่นวายกับตน เท่านั้น โดยไม่ได้ จับได้ไล่ทัน "ตัวมัน" (อัตตา)
และลดละ หรือ ทำลายมัน ให้ดับสนิท ไปได้จริง จนเด็ดขาด
ศาสนาที่เป็น "เทวนิยม" ก็จะเป็นเช่นนี้
เป็นศาสนาที่ เก่งกาจ สามารถ ในการทำ คุณงามความดี รักมวลมนุษยชาติ
รักทุกสรรพสิ่ง เสียสละ ได้เก่งเยี่ยม เก่งยอด มุ่งมั่นในคุณภาพ
ดังกล่าวนี้จริงจัง
ศาสนาเช่นนี้ จะมีอยู่นิรันดร์ คู่ไปกับ มวลมนุษยชาติ ในโลก
เรียนรู้ได้ ไม่ยากนัก หากปฏิบัติเอาจริง ก็สามารถ เป็นได้ ดีได้จริง
จึงมีคุณค่าประโยชน์ ต่อโลก ต่อมวลมนุษยชาติได้มาก และอยู่นาน
นิรันดร์ ทีเดียว
แต่..เพราะไม่ได้สงสัยไหวทัน ต่อความเป็น
"อัตตา" (ตัวตน) หรือ "อาตมัน" (ตัวตน) จึงไม่ได้เอาจริง เอาจัง ในการค้นคว้า ศึกษาเรื่อง "อัตตา"
(อาตมัน)
จึงไม่มีการศึกษาที่มีทฤษฎี และวิธีการเจาะ เข้าค้นความจริง ในเรื่อง
"อัตตา" หรือ "อาตมัน" และ "ปรมาตมัน"
จึงไม่ได้เรียนรู้กันถึงความเป็น
"ตัวตนของจิตวิญญาณ
- ตัวตนของพระเจ้า
- ตัวตนของกิเลส"
จึงไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดถูก "ตัวตน"
ของกิเลส ของซาตาน ของจิตวิญญาณ ของพระเจ้า ชนิดรู้แจ้งรู้จริง
จึงไม่ได้เรียนรู้ถึงขั้นอภิธรรม อันจะต้อง วิเคราะห์
"จิต - เจตสิก - รูป - นิพพาน" อย่างรู้แจ้ง แทงทะลุ เป็นสัจธรรม
สมบูรณ์
จึงไม่สามารถเข้าใจรอบถ้วน ในความเป็น
"อัตตา" หรือ "อาตมัน" และ "ปรมาตมัน"
จึงสนิทใจ.. "อัตตา" ก็ยิ่งเป็น "ตัวตน" ปรมาตมัน
และกลับจะมีแต่ยิ่งหลงยึด ติดแน่น ในความเป็น
"อัตตา" หรือ "ตัวตน" ว่า เป็นยอดแห่งจิต ยอดแห่งวิญญาณ จนกระทั่ง
ถึงขั้นเป็น "อัตตา หรือ อาตมันที่ยิ่งใหญ่ สุดยิ่งใหญ่" จึงยิ่งทั้งแน่น ผนึกเนียน ทั้งเนิ่นนาน นิรันดร์กาล เป็น "ปรมาตมัน"
(ตัวตน ยิ่งใหญ่สูงสุด) อยู่ตลอดไป
กับคุณงามความดี ให้แก่โลก
ดังนั้น ที่จะรู้แจ้งแทงทะลุ ในสภาพ "อนัตตา"
(ไม่เหลือ ตัวตน, ไม่ใช่ตัวใช่ตน,
ไม่มีตัวตน)
จึงหมดโอกาส จึงไม่ใช่ทาง ที่จะหมด
"ตัวตน" จนสามารถเข้าถึง "นิพพาน" ได้ แน่ยิ่งกว่าแน่
ซึ่งศาสนาที่ยังไม่มี "นิพพาน" เยี่ยงนี้ จะมีอยู่ในโลก เสมอ
ไม่มีขาดสาย มีหลายลักษณะ หลายระดับ แห่งคุณค่าด้วย นับเป็นสุดยอดแห่งความรัก ฝ่ายโลกีย์
หรือฝ่าย "อัตตา"
ดังนั้น ความรัก มิติที่ ๗ นี้
จึงชื่อว่า "เทวนิยม"
หรือ "ปรมาตมันนิยม"
|