เม็ดทราย ๔

สัญชาติแห่งคนตรง
วันเอยวันเวลาที่ผ่านเลย
สติปัญญาของฉัน ไม่รู้ว่าหนีหายไปไหน ?
ฉันถึงได้มืดบอดปานฉะนี้
หัวใจของฉันคงดำมืด เสียกว่าโคลนตม
ฉันไม่รู้เลยว่า ฉันคือ "ฆาตกรผู้ชั่วช้า"
ฉันฆ่าตัวเองอย่างอำมหิต
ฉันฆ่าเพื่อนๆของฉัน อย่างโหดร้าย
ทั้งๆที่ขณะนั้น ฉันคิดว่า
ฉันทำด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้น ไปด้วยความรัก
อนิจจา ! มันกลับกลายเป็น ความรักจากปีศาจ
เป็นความหวังดีจากผีร้าย
วันเวลาที่ผ่านอย่างกลัวเจ็บ
ฉันเริ่มสำนึก เริ่มรู้สึกตัว
แม้ฉันจะเริ่มรู้จัก แก่นแท้ของชีวิต
ด้วยหัวใจที่เปิดเผยและซื่อ
จนกล้าที่จะทิ้งสิ่งที่เป็นภาระ เป็นมายาแห่งชีวิต
"คนตรงเท่านั้น ที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิต
คนตรงเท่านั้น ที่จะเบิกบานและแจ่มใส..."
เสียงพระพุทธองค์ ดังกังวานสะท้าน
ใช่แล้ว...ทุกวันนี้ฉันยังยึดจัด ยังรำคาญ
ยังมีคำว่า "ไม่ชอบ" อยู่เต็มหัวใจ
โอ ! "คนตรง" ช่างมีความหมายแสนลึกซึ้ง
คงไม่สายเกินไป ถ้าฉันจะเป็นคนตรง
ฉันจะสร้างสันดาน แห่งความเป็นคนตรง
ให้ซึมไปทั่วเลือดเนื้อ และวิญญาณ

มาเถิด...เพื่อนรัก
เรามาสร้างสัญชาติ แห่งความเป็นคนตรงต่อกัน
ทั้งเธอและฉัน
จะช่วยกันหัดเป็นผู้ยอมรับความจริง
กล้าที่จะรับรู้ความชั่วของตัวเอง
ยินดีที่จะยอมรับความชั่ว ที่มีอยู่ในตน
อย่างไม่บิดพลิ้ว
อย่างไม่หลีกเลี่ยง
พร้อมที่จะฟังคำวิจารณ์ ด้วยความเคารพ
เธอและฉัน
จะไม่มาคอยเอาอกเอาใจกัน
และจะไม่เกรงใจกัน
ด้วยหัวใจที่ปรารถนาดี
เราจะติเตียนชี้แนะ ข้อบกพร่องที่มีอยู่
เราจะไม่ประจบกัน ด้วยความหวาน
แต่จะถือธรรมเป็นใหญ่
เราจะไม่ส่อเสียด กระแนะกระแหน
เราจะไม่พูดคำที่เพียงแต่เล่นๆ
เราจะไม่ทำประชด
หูของเราจะล้างด้วย น้ำสะอาดเสมอ
เพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับฟัง คำติเตียนด้วยความเคารพ
เราจะไม่ทำตัว เป็นเจ้าแห่งออเซาะ
หวังแต่จะให้เป็นที่รักของคนอื่น
หวังแต่จะให้คนมาเอาใจ ตลอดเวลา
หรือแม้แต่จะให้ใครมาเห็นค่า หรือศรัทธาในตัวเรา
เธอและฉัน
จะหันหน้ามาประจัญ
ด้วยความอาทรแห่งญาติธรรม
พร้อมที่จะขัดๆๆๆๆ และขัดเกลา
เพื่อหล่อหลอมให้หัวใจ ตระหง่านมั่นคง
แม้จะเจ็บปวด แม้จะเสียดแทง
เราก็จะถือเป็นภาระ
ถือเป็นหน้าที่ของความเป็นพี่น้อง
แม้บางขณะเธอจะเผลอ กลืนกินเศษกระเบื้อง
ด้วยคิดว่าเป็นอาหารอันโอชะ
ฉันจะล้วงควักออกมาให้ได้
แม้จะต้องใช้กำลัง
แม้จะทำให้เธอเลือดสาด
แม้เธอจะเจ็บแสนเจ็บ
และแม้เธอจะยังไม่เข้าใจ
และบางทีฉันก็อาจเผลอ
ก็เธอนั่นแหละที่จะช่วยได้
อย่ากลัวฉันเจ็บ
อย่ากลัวฉันโกรธ
ถ้าเธอทำเพราะความหวังดี ที่ใคร่ครวญแล้ว
มิฉะนั้นมันอาจจะสายเกินไป
ถ้ากระเบื้องแผ่นนั้น ถูกฉันกลืนกิน
และเมื่อนั้นฉันก็คงตาย จากโลกแห่งสัจธรรม
นี่คือพันธะ นี่คือสัญญา
ที่เธอและฉันปฏิญาณให้กันไว้
ต่อหน้าพระพักตร์ สมเด็จพระผู้มีพระภาค
ตราบตาย ตราบเกิด
ตราบใดที่ต้องการสะสม เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะ
สัญญานี้จะยังคงเป็นพันธะ ที่มีต่อกัน
เพื่อเป็นเสบียงแห่งการเดินสู่ ทางเอกแห่งธรรม
นี่คือสัญญาที่เป็นภาระหน้าที่ ระหว่างเราทั้งผอง
ด้วยวิญญาณอันสัมพันธ์สนิทยิ่ง
ผลัดกันหล่อหลอม-ทุบ-สกัด, กาย-วจี-มโน บอระเพ็ด
ให้เป็นกรรมของ "สัญชาติแห่งคนตรง"
ภาวะจิตของเธอ
ย่อมเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ โดยตัวเธอเองเท่านั้น
และย่อมเป็นที่เข้าใจได้ โดยการเฝ้ามองดู
ไม่ใช่โดยการปั้นแต่งมัน
ไม่ใช่โดยการเข้าข้างมัน
ไม่ใช่โดยการขัดขวางมัน
ไม่ใช่โดยการเห็นพ้อง
ไม่ใช่โดยการหาเหตุผล ให้สมอ้าง
ไม่ใช่โดยการประณาม
ไม่ใช่โดยการวินิจฉัยตัดสิน
ต้องเฝ้าสังเกตดูอย่างเดียว
ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก

ช.กฤษณมูรติ



ล้มลงไป ลุกขึ้นมา
อุปสรรคขวากหนามต้องฟันฝ่า
อย่าโง่ อย่าเขลา หนีปัญหา
หลักชัยอยู่เบื้องหน้ารอคอยเรา
ล้มลงไป ลุกขึ้นมา
ถึงคลานก็คลานไปข้างหน้า
อย่ามัวชักช้ารีรอรา
กระแสธารแห่งเวลาไม่คอยใคร
ล้มลงไป ลุกขึ้นมา
ตัวตรง ยืดอก เชิดหน้า
ก้าวต่อไป ไม่มีหยุด
จวบจนสุดจุดหมายปลายทาง
21 ส.



ถ้าทุกสิ่งจะเป็นอย่างที่ฉันต้องการให้เป็น
อย่างที่ฉันวางแผนสำหรับมันแล้ว
ฉันจะไม่มีประสบการณ์ใดๆ ในสิ่งใหม่
ชีวิตของฉันก็จะเป็นเรื่องที่ซ้ำซาก อย่างไม่มีจุดจบ
และประสบกับความสำเร็จแบบจืดชืด
เมื่อฉันทำผิด ฉันได้ประสบการณ์บางอย่าง ที่คาดไม่ถึง
บางทีฉันโต้ตอบกับการกระทำผิด
ราวกับว่าฉันได้ทรยศต่อตัวเอง
ความกลัวที่จะทำผิด ดูเหมือนว่า...
จะมีรากฐานอยู่บนการคาดคะเน ที่ซ่อนเร้นเอาไว้
ว่าฉันมีศักยภาพที่สมบูรณ์
และถ้าหากว่าฉันสามารถดำรงอยู่ อย่างระมัดระวัง
ฉันก็จะไม่ตกลงมาจากสภาพ ที่มีความสมบูรณ์อย่างนั้น
แต่..."การกระทำผิด"
เป็นการประกาศถึงสภาพ ความเป็นจริงที่ฉันเป็น
เป็นการทำให้จุดมุ่งหมาย ของฉันหวั่นไหว
เป็นเครื่องเตือนสติ ว่าฉันยังเกี่ยวพัน กับข้อเท็จจริง
เมื่อฉันน้อมรับฟัง การกระทำผิดของฉัน ฉันก็เติบใหญ่ขึ้น

ฮิวจ์ พราเธอร์


 

ขอบคุณความลำเค็ญ

อดีตล่วงผ่านเลย มิควรนำมาร่ำไห้
สัญญาสักแต่ว่าสัญญา เท่ากับว่าฝัน
จงปล่อยผ่านเลยไป เหมือนสายน้ำไหล
ทุกข์ของวันนี้ ก็เพียงพอแล้วสำหรับวันนี้
ไฉนยังเอาทุกข์ของวันวาน มาทับถมตน
การปล่อยจิตปล่อยใจ ให้เศร้าโศก
ช่วยให้อะไรดีขึ้น สักเส้นขนหรือ ?
คิดบ้างหรือไม่ว่า... เศร้าไปก็เศร้าเปล่าเท่านั้นๆ
สู้ยิ้มไว้กำไรกว่า แม้ต้องฝืนบ้างก็ยังดี
วันคืนผ่านไป ดูซิ ! มีอะไรคงเหลืออยู่ ณ ปัจจุบันขณะบ้าง
ทุกสิ่งอย่างคงดำเนินไปตามปกติ
มีแต่ใจเราเท่านั้นแหละ ที่แสนจะวุ่นวาย
ชีวิตเราขาดแคลนอะไรนักหนา
อึดอัดเพราะไม่มีลมจะหายใจ ?
หรืออ่อนระโหย เพราะไม่มีข้าวจะกินเต็มท้อง ?
ทำไมไม่ดูสมณะผู้พุทธบุตร เป็นเยี่ยงอย่าง
ท่านยากไร้ออกปานนั้น ไยไม่ทุกข์ไม่โศกเหมือนเรา
จงขอบคุณบุญฟ้าและสวรรค์
ที่ชีวิตของเราต้องยากลำเค็ญ
มันไม่แสนเข็ญไปกว่านี้ก็ดีหลาย
เหตุด้วยลำบาก เราจึงซึ้งสัจจะและใฝ่ธรรม
หากพร้อมพรั่งเงินทอง ทุกสิ่งอย่าง
ไฉนเลยจักเห็นทุกข์...?
เชื่อหรือว่าตนจักลงทุน ปฏิบัติธรรมดั่งนี้
คงหลงระเริงอยู่กับโลกีย์ นั่นแหละมากกว่า
ความเสพสุข ยังอาจซื้อหาได้ด้วยเงิน
แต่ความทุกข์นี่สิ ! เศรษฐีก็หาซื้อเอาได้ไม่
มันเป็นของจำเพาะตน เพื่อหัดทน และอยู่เหนือ !
เมื่อคิดได้ดั่งนี้แล้ว จงยิ้มรับมันเถิด
ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง

ทวีพูล งามเสงี่ยม

*************
* อย่าฝันถึงการเปลี่ยนแปลงให้มากนัก *
* แต่จงฝันถึงการเข้าถึงการดำรงอยู่ของชีวิต *
* ที่ประเสริฐขึ้นทุกวันทุกวินาที *
* นี่แหละคือทางของบรรพบุรุษของเรา *
* การศึกษาจากโรงเรียนสร้างแต่ปัญหา *
* อย่าละเมอถึงมหาวิทยาลัย *
* อย่าปลุกเร้าลูกๆ ให้นึกถึงปริญญาให้มากนัก *
* แต่ปลุกแกให้นึกถึงชีวิตที่สงบรำงับ *
* ให้เรียนรู้การดำรงอยู่กับเพื่อนอย่างสันติ *
* และมีเมตตาจิตซึ่งกันและกัน *
* เขมานันทะ *



เ รี ย น
สิบกว่าปีที่เจ้าเกิดมา
สิบสองปีที่เจ้าร่ำเรียน
เรียน...เรียน...เรียน
ทุกวันมีแต่คำว่า "เรียน"
เรียนกับสิ่งที่ตลอดชีวิตนี้ก็เรียนไม่จบ
เรียนสิ่งที่นอกตัว นอกตน
เรียนสิ่งที่กว้าง ห่างไกลตัว
เรียนมากมาย หลายสิบวิชา
เรียนให้มากๆ ให้สูงๆ
เรียนรู้วิธีเอาเปรียบผู้อื่น
ยิ่งเรียนยิ่งหนัก(ทุกข์)
เพราะจะเอาของเขาท่าเดียว
ยิ่งเรียนยิ่งหอบหวง เห็นแก่ตัว
ยิ่งเรียนยิ่งเบียดเบียน แก่งแย่ง
ยิ่งเรียนกิเลสยิ่งเพิ่ม
นี่แหละค่านิยมของสังคม
นี่หรือค่าของชีวิต
นี่แหละระบบการศึกษาแผนใหม่
แม้จะเปลี่ยนไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็ตาม
เจ้าเปลี่ยนมาเรียน ระบบการศึกษาแผนเก่า
ซึ่งตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปี ยังไม่เคยเปลี่ยน
เรียน...เรียน...เรียน...
เรียนเพียงวิชาเดียว คือ พุทธศาสตร์
มีตำราเพียงเล่มเดียว ยาววา หนาคืบ กว้างศอก
เจ้าเริ่มลงมือเรียนอีกครั้ง
เริ่มเรียนรู้ชีวิต เรียนที่ตัวตน
เรียนรู้ทุกข์ เพื่อความพ้นทุกข์

เรียนสิ่งที่มีวันจบสิ้น
เรียนตั้งแต่ก่อนตะวันขึ้น
จนหลังตะวันลับ ก็ยังไม่เลิกเรียน
เรียนตั้งแต่การกิน (การอยู่ การหลับ) จนถึงการนอน
เจ้าเรียนหนักขึ้นกว่าแต่ก่อน
เรียนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
เรียนทุกวัน ไม่มีวันหยุด
แต่เป็นสิ่งที่น่าแปลกประหลาด
ยิ่งเรียน ยิ่งเบา สบาย
เพราะยิ่งเรียนยิ่งละทิ้ง
ยิ่งเรียนยิ่งพบอุปสรรค (มาร)
ยิ่งเรียนยิ่งเห็นทุกข์
เพราะโลกนี้มีแต่ความทุกข์
ยิ่งเรียนยิ่งเห็นกิเลส
ยิ่งเรียนยิ่งปล่อยวาง
ยิ่งเรียนยิ่งจางคลาย
ยิ่งเรียนยิ่งเบิกบานแจ่มใส
นี่แหละความสูงสุดของชีวิต
นี่แหละสิ่งที่ชีวิตต้องการ

นักศึกษา ๒๑
๒๓ ต.ค. ๒๕๒๑


ก า ร บ ว ช
"การบวช" นั้นก็เป็น "อาชีพ"!
และเป็น "สัมมาอาชีวะ" ที่แสนประเสริฐ
สุดยอดของมนุษย์ทีเดียว

ดังนั้นผู้ที่มาถึงขั้น "ได้บวช"
จึงควรเรียนมาก่อน หัดฝึกอบรมดูก่อน
จนแน่ใจมั่นใจให้ดีที่สุดจริงๆ
ว่าเรามาทำอาชีพนี้ได้ อย่างไม่ล่มจม

แต่จะเจริญรุ่งเรืองไปได้
และไม่ทรมาน โศกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาส เป็นที่สุดแน่ๆ

สมณะโพธิรักษ์


 

ที่ พึ่ ง
อยากจะก้าวเข้าไปทักทายเจ้า
พร้อมกับบอกว่าเราอยากเข้าอยู่
อยากขอรับจุนเจือเอื้อเอ็นดู
อยากจะรู้จักเพื่อนที่เหมือนเรา
ใต้ร่มไม้เขียวพรมความร่มรื่น
ใจอันชื่นโปร่งคลายไม่เหมือนเก่า
หวังรอยยิ้มจะปลอบให้ทุเลา
บทเพลงเศร้าจะห่างหาย ถ้าได้เยือน
ที่บ้านเราร้าวราน... บ้านคือช้ำ
ความทรงจำคือมีดคอยกรีดเฉือน
ความคับแค้นแน่นหัวใจไม่เคยเลือน
ใจจึงเถื่อนกระด้างกร้าวร้าวทุกที
คนรอบข้างมีแต่แก่งแย่งชิงเด่น
เขาอยากเป็นอยากได้ไม่พอที่
อยากจนลืมมโนธรรมนำชีวี
ลืมน้องพี่จริงใจในครอบครัว
กคนที่อ่อนไหวใฝ
กลับมาพบเป็นคนใหม่ที่ใฝ่ชั่ว
ส่องกระจกแปลกนักหนาเห็นหน้าตัว
คล้ำหมองมัวขรึมเหงาติดเหล้ายา
อยากจะก้าวเข้าไปให้เจ้าปลอบ
และจะมอบกายใจให้รักษา
โปรดโอบอุ้มอาทรเราผู้เข้ามา
"เพื่อนชาวอโศกหนา" โปรดปรานี

หมายเหตุ ข้อความที่เป็นตัวหนาเดิมเป็น "สมเด็จเจ้าพระยา" ข้าพเจ้าเปลี่ยนให้ใหม่เพื่อ
เตือนใจพวกเราชาวอโศก ว่ากรุณารับน้องใหม่ให้เบาๆกว่าเดิมหน่อย

วิจิตรา รังษีสิงห์พิพัฒน์




ณ ท้องทุ่งกว้างใหญ่กลางป่าเขา
ต้นหญ้าน้อยๆต้นหนึ่งตั้งตระหง่าน
ท้าทายต่อแสงแดดระอุในฤดูร้อน
พายุที่โหมกระหน่ำซัดอย่างบ้าคลั่ง ในฤดูฝน
และสายลมอันเย็นยะเยือก
ที่พัดมากระทบอย่างไร้ความปรานี ในฤดูหนาว
ต้นหญ้าน้อยๆยังคงตั้งตระหง่าน
ไม่หวั่นไหวต่อฟ้าดิน
ค่อยๆ ชูช่อผลิตเกสรเมล็ดพันธุ์
แล้วปล่อยให้ฟุ้งกระจายไปทุกทิศ ในท้องทุ่งไพศาล
โอ ! แม้มีเมล็ดนับร้อยร้อยพันพัน
แต่คงไม่ถึงสิบกระมังที่จะเติบโต เป็นหญ้าน้อยน้อยต้นใหม่
เพื่อประดับโลกหล้า ให้สดชื่นเขียวขจีต่อไป
แต่ต้นหญ้าน้อยน้อย ยังคงไม่ท้อถอย
เร่งผลิเมล็ดเกสรต่อไป
เพราะแม้จะเติบโตได้ไม่ถึงสิบ
ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ท้องทุ่ง ต้องแห้งแล้ง
เพราะขาดหญ้าเขียวชะอุ่ม ประดับอีกต่อไปมิใช่หรือ

21ส.


ช่างปั้นหม้อ
อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
เหมือนพวกช่างปั้นหม้อ ทำแก่หม้อที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้

มหาสุญญตสุตต อุปริ. ม



ผู้จะก้าวขึ้นสู่ความพ้นทุกข์ได้
หรือพ้นวัฏจักรได้นั้น
ต้องไม่ขี้เกียจตรวจค้นพิจารณา อย่างซ้ำซาก
ใครไม่ซ้ำซาก ไม่วิริยะมานะบากบั่น
ทบทวนแล้วทบทวนเล่า
ผู้นั้นจะ "รู้แจ้งกระจ่างธรรม" ไม่ได้
ไม่ได้จริงๆ...

พระโพธิรักษ์


 

ชูธงโต้กระแส
ทุกครั้งที่ดอกอโศกเน่าตายก่อนเป็นลูก
ฉันน้ำตาซึม
ทุกครั้งที่ลูกอโศกเน่าตายคาต้น
ฉันอดที่จะร้องไห้มิได้
เสียดายเอย เสียดาย ดวงประทีปน้อยๆ ที่แหลกหล่น
เสียดายเอย เสียดายนัก ที่สัตวโลก จะต้องมืดบอดมากขึ้น
กองทัพมารกำลังรุกโหม อย่างกราดเกรี้ยว
โลกกำลังร้อนแรงดุจเพลิงตะวัน
น่าเสียดายที่พลังธรรมของเรา ลดน้อยไป
ฉันแอบปวดร้าวทุกครั้งเมื่อเห็น...
เห็นความตายแห่งญาติธรรม หล่นผล็อยลงต่อหน้า
ธรรมเอยธรรมะ...
ไฉนสัจธรรมจึงดูดายไม่ปกปักรักษา ลูกของท่าน ?
ไฉนโลกจึงไม่คุ้มครองสหายแห่งเรา ?
ท่านก็กลัวโลกแตกมิใช่หรือ ท่านโลกเอย ?
โอ้ ! พระพุทธองค์
วิญญาณแห่งโลกุตระ ไฉนจึงไม่แยแสปกป้อง
ปล่อยให้ลูกน้อยของท่าน กระเสือกกระสนตายไป ?
หัวใจของฉันยังพ้อ...พ้อ...พ้อ... อย่างเสียใจ
อยากจะฟ้อง...ฟ้อง...ฟ้อง... ใครก็ได้ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ถ้าหากมี
เสียงพระพุทธองค์เปล่งกล่าว...
"ผู้มีรักร้อย ย่อมมีทุกข์ร้อย
ผู้มีรักน้อย ย่อมทุกข์น้อย
ผู้ไม่มีรักย่อมไม่มีความทุกข์เลย..."
ความคิดของฉันเริ่มชะลอฝีเท้า อย่างเชื่องช้า
"สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม
อันคือการกระทำของตัวเขาเอง..."
สติปัญญาของฉันเริ่มแจ่มใส
อโศกในอนาคต จะต้องมีมากกว่านี้
ถ้าฉันจะร้องไห้ น้ำตาก็คงกลายเป็นสายเลือด
และถ้าฉันปวดร้าว มันก็คงป่นเสียยิ่งกว่าผงธุลี
จะไม่มีการหยุดร้องไห้ หรือหยุดปวดร้าว
ตราบใดที่ฉันยังยึดถือจริงจัง อยู่กับมัน
กลางกระแสวัฏฏะ อันเชี่ยวกราก
มีอะไรเที่ยงแท้ ?
กลางวังวนแห่งมายา
มีอะไรที่พอจะยึดถือ เป็นตัวตน ?
ทุกอย่างเมื่อเกิดขึ้น
มันก็ทรงอยู่เพียงชั่วขณะ
พลันก็แตกสลาย ดุจฟองอากาศ
ประกายฟ้าแลบ อันเจิดจ้า
ทำให้เราเห็นทุกอย่าง ชั่วขณะ
และแล้วทุกอย่าง ก็ตกอยู่ในความมืด
เหลือแต่ความเศร้าโศก ในหัวใจของใครก็ได้
ที่หลงจริงจังกับสิ่งที่เห็น
หน้าที่ของฉันเมื่อเกิดมา กลางกระแสธรรม
คือการฝึกพัฒนาตัวเอง ให้พ้นทุกข์
ทำที่ตัวเองให้แข็งแกร่ง ดุจหินผา
เมื่อฉันมาคนเดียว ฉันก็ไปคนเดียว
บทบาทภายนอกนั้น เป็นแต่เพียงความสัมพันธ์ ชั่วครู่
ใช่แล้ว ชั่วครู่... ชั่วครู่เท่านั้นจริงๆ
ฉันไม่อวดดี
ฉันไม่เก่งพอ... ที่จะไปหวังให้ผู้อื่นเที่ยงแท้
ตัวฉันต่างหากที่จะต้องทำให้เที่ยงแท้
ตัวฉันต่างหาก ที่จะทำให้ไม่เปลี่ยนแปลง
ปักมั่น ! แข็งสะท้าน ! ไม่หวั่นไหว !
โง่หรือฉลาด ถ้าฉันจะไปผูกสายใยไว้กับ เกลียวคลื่นแห่งสายน้ำ
ฉันจะเลิกผูกสายใยไว้กับทุกๆ อย่าง
หันมาผูกเฉพาะตัวเองให้มากขึ้น
และจะทำตัวเองให้เที่ยง เที่ยง เที่ยง เที่ยง...
กลางสมรภูมิอันแสนหฤโหด
สงครามระหว่างโลกกับธรรม เป็นไปอย่างเผ็ดร้อน และแข็งกร้าว
ความตายนั่นแหละคือ ความเกิดที่ยิ่งใหญ่
มันได้ให้อะไรกับฉันมากมาย
ทีละศพที่ทบล้น
ที่ละคนที่ตายไป
มันกลับทำให้ฉันเชี่ยวชาญขึ้น
อย่าให้ศพเพื่อนต้องตายเปล่า
ความตายของเขา จะต้องทำให้ฉันเกิด
เกิดเพื่อที่จะได้ตาย อย่างสนิทเนียน ในอนาคต
ต่อให้พวกฉันตายอีก นับแสนนับล้าน
ฉันก็จะไม่ท้อ
ฉันก็จะไม่โศก
ฉันจะโดดคว้าธงแห่งสัจธรรม รุกไปข้างหน้า
แทนศพผองเพื่อนที่ตายไป
ตราบใดที่ยังมีชีวิต
ตราบใดที่ลมหายใจ เฮือกสุดท้ายยังไม่ถึง
ฉันจะชูธงธรรมไว้ไม่ให้ล้ม
เพื่อนเอย ตายให้ตาหลับ
มา...ฉันเอง !

ธรรมทายาท
13 พ.ย. 2521


เทียนเล่มเล็กเล็ก
เผาไหม้ตนเอง เพื่อแสงสว่างแก่ผู้คน
ได้มอดไหม้ลงแล้ว
ไม่มีเหรียญตรา
ไม่มีเสียงสรรเสริญแซ่ซร้อง
แต่คุณค่า และความดีงาม จะยังคงอยู่
จุดประกายให้เทียนนับแสนแสน ส่องสว่าง
ไฟแห่งธรรมะจะลุกโชติช่วง
เผาไหม้อธรรม์ทั้งมวลในไม่ช้า
ขอเพียงหาญกล้า...

อิสรา นวรัถย์



จงบำเพ็ญตนให้เป็นผู้จำเป็นแก่โลก
มนุษยชาติก็จะนำอาหาร มาสู่ท่านเอง
แม้จะให้ไม่ถึงยุ้งถึงฉาง
แต่ก็เป็นบำเหน็จ
ชนิดที่ไม่ลบล้างบุญคุณของท่าน
ที่ทำไว้แก่มนุษยชาติ
ไม่ลบล้างความศรัทธา ของคนทั้งหลาย
และไม่ลบล้างสิทธิของท่านที่มีอยู่
ต่อศิลปะ ต่อธรรมชาติ
และต่อความหวังของมนุษย์...

ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน



เ พื่ อ น
เพื่อนเอ๋ย จงก้าวไปเถอะ
ก้าวไปตามความเชื่อของเธอ
จงดำเนินชีวิต อย่างที่เธอเห็นว่าถูกต้อง
ไม่ว่าวิถีชีวิตของเธอ จะคล้ายคลึงกับฉันหรือไม่
เราอาจแตกต่างกันมาก ในทางความคิด
แต่...เราก็เป็นเพื่อนกันได้ มิใช่หรือ ?
ก็ในเมื่อเราไม่ได้รักกัน ที่ความคิด
ความเป็นมนุษย์ต่างหาก
ที่เราจะรักกัน และเป็นเพื่อนกัน
ไม่จำเป็นที่เธอจะคิดเหมือนฉัน
หรือพยายามทำให้ฉัน คิดเหมือนเธอ
ขอแต่เพียงให้เราต่างมีศรัทธา ในชีวิตนั้น
และกระทำลงไป ด้วยความรักทั้งหมด ที่มีอยู่
นั่นแหละคือความสุขสูงสุด ของความเป็นเพื่อน
ความเป็นเพื่อนคือ ความเข้าใจกัน
ขอให้เรามีเวลาแก่กัน ที่จะรับฟังเสียงโหยไห้
และสดับ... บทเพลงแห่งความสุข
ที่เราจะขับขานแก่กัน
ความเป็นเพื่อน ยังต้องการอะไรอีกเล่า ?

สมลักษณ์


อโศกฤาจะแล้งแหล่งน้ำใจ
ฟังที่พึ่งสาธยายภายในจิต
เรียกหามิตร"ชาวอโศก"โชคดีแสน
รีบเปิดใจเผยอรับจับจิตแทน
ไม่เปลี่ยนแปลนห้วงฤทัยใดที่มี
"วิจิตรา"เคยอยู่ด้วยช่วยกันคิด
ไม่แหนงจิตไม่เหนื่อยหน่าย คลายมิตรนี่
แม้อำลาจากไปนานกาลนับปี
แต่ฤดีของเรามั่นไม่หวั่นใจ
อย่าคิดว่า"ชาวอโศก"ชอบโขกสับ
ตีไม่นับไม่คำนึงถึงจิตได้
แต่เราทำเพราะเรารู้อยู่ภายใน
ว่าจิตใจของมนุษย์สุดขัดเกลา
เรามีรักแบบเมตตาไม่ฆ่าเฉือน
ไม่บิดเบือนสัจธรรมนำให้เขลา
ทุกข์ตัณหามีอยู่มากถากไม่เบา
ให้ซาเซาอย่าหมองมัวกลัวทำไม
เพราะเห็นใจในจริตที่ผิดแผก
อาจจำแนกยากเล่าแจ้งแถลงไข
บางครั้งเขาบางครั้งเราควรเข้าใจ
หัดอะไรก็ไม่ยากเท่าเฝ้าฝึกตัว
เพราะ"คน" ใหญ่ เพราะ"คน"โตโอ่อ่าอวด
ช้า เร็วรวดผสมกันพันธุ์เกลือกกลั้ว
ทั้งสะอาดทั้งสับสนหม่นหมองมัว
รวมพันพัวต้องแยกแยะแหวะดูกัน

เมื่อยามวันเวลาผ่านไม่นานนัก
จะหันกลับยินดีรับไม่ผลักผัน
ขอให้จริงให้แน่ใจในระหว่างกัน
แล้วตะวันจะฉายส่องห้องหัวใจ
จะเห็นภัยนานาควรพร่าผลาญ
ให้แหลกลาญออกจากจิตมิตรสดใส
ปัญญาเกิดความรอบรู้อยู่ข้างใน
ไม่มีใครไม่มีเราพ้นเขลาเอย

"หญ้าคา"


 

สำหรับผู้ที่มีจิตใจเป็นเด็กทารก
การถูกทอดทิ้งหรือเพิกเฉย เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
เขาไม่อาจทนทานได้จริงๆ
แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจเติบโต เป็นผู้ใหญ่แล้ว
ความโดดเดี่ยว กลับเป็นอะไรบางอย่าง ที่แตกต่างออกไป
เขาไม่เพียงแต่สามารถดิ้นรน ดำรงอยู่ได้เท่านั้น
บางครั้งเขายังต้องการความโดดเดี่ยว
เพื่อจะเจริญเติบโตต่อไปอีก
คนที่ยังไม่สามารถทน ต่อความโดดเดี่ยว
ก็คือคนที่ยังไม่รู้ว่า ตัวเองโตแล้ว

ดร.เบอร์นาร์ด เบอร์โควิทช์



อัตตะแห่งอัตตา
"สบายมาก...สบายมาก"
"ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ปลดภาระอีกนิดหน่อย"
นี่คือเสียงของผู้ใฝ่ดีหวังทิ้งโลก
ชวนให้ปีติเมื่อได้ยิน
ทุกคนต่างมองอัตตาแค่วัตถุ
ถือความสำเร็จเพียงพรากจากได้สนิท
แต่หารู้ไม่ว่าทางข้างหน้า ยังมีอยู่
ที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ อันละเอียดอ่อน
และยั่วยวนชวนเคลิบเคลิ้ม
แม้จะละวัตถุกามมาได้
มันก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แห่งการเดินทางของสัจธรรม
สำหรับผู้ประมาท
น้ำตาแห่งวิญญาณ คือผลตอบแทน
มิใช่ในอริยะจะไร้สุสาน
ตรงข้าม กลับมีอยู่อย่างสมบูรณ์
คราคร่ำไปด้วยศพแห่งสาธุชน
ผู้หลงใหลมัวเมาจนลืมตัว
ชาวอริยะมากมาย
เดินทางมาฝังตัวเอง อย่างโง่เขลา
จากอดีตถึงปัจจุบัน นับแสนแสนล้านล้านปี
ผู้มีประสบการณ์
จึงไม่ยอมประมาท ในทุกทุกก้าว บนทางสัจธรรม
ทุกทุกระยะ เนืองแน่นไปด้วยกับดัก
ด้วยความสำรวม มองตน มองจิต จับจิตอยู่เสมอ
ย่อมทำให้รอดพ้น
เมื่อเขาพ้นจากกิเลสขั้นต่ำ ขั้นกลาง
เขาทำลายอัตตาที่เห็นเห็น ได้อย่างเก่งกาจ
เมื่อเขาภูมิใจ
ตัวเขาก็เริ่มจมลงสู่ปฐพี แห่งอธรรม
แม้จะสูงได้แล้ว แต่เขาก็ยังติดความสูง
เขาได้ล้างความเกียจคร้าน ความดูดาย
จนเหลือแต่จิตที่สว่างโพลง
พร้อมที่จะรับใช้ผู้อื่นได้ทุกเมื่อ
เขาพร้อมที่จะทำงาน ทำงานทำงาน ทำงานเพื่อประโยชน์ผู้อื่น
พลังชีวิตของเขาระเริงขึ้น อย่างเจิดจ้า
แต่นั่นแหละ
หุบเหวนรกด่านสุดท้าย ก็ได้กระโดดเข้าขวาง
เขาติดความเจิดจ้า หลงค่าแห่งอัตตาของตน
อยากที่จะช่วยทุกคน ให้เข้าใจแบบเขา
เขาทนไม่ได้ที่จะไร้ค่า ไร้ความหมาย
โค้งนรกนี้แหละไม่รู้ว่า ทำให้ใครตายกี่มากน้อย
อัตตาตัวสุดท้าย จะต้องฉีกทิ้ง
เพื่อสลัดคืน ให้เป็นสภาพปกติแห่งอริยชน
เมื่อชีวิตที่ไร้ค่า ถูกปฏิวัติจนมีค่า
วิญญาณย่อมไม่ดูดาย ในความทุกข์ของมวลมนุษย์
แต่วิญญาณก็ได้หลงค่าแห่งชีวิตนั้น
เขาจะต้องสลัดทิ้งอีกครั้ง
ทำตัวเองให้ไร้ค่าก็อยู่ได้
และอยู่ได้ทั้งที่มีความกรุณา เป็นสันดาน
วางจิตที่อยากจะมีค่า ให้หมดเกลี้ยง
ปล่อยจิตที่อยากจะทำประโยชน์ ให้สิ้นสูญ
อยู่ได้ อยู่ได้ อยู่ได้ อยู่ได้ อยู่ได้
อยู่ได้ทั้งที่ไม่ต้องทำอะไร
ทั้งๆที่หัวใจอิ่มเต็ม ด้วยประโยชน์ท่าน
เห็นประโยชน์ท่าน คือสาระแห่งชีวิต
สลายตัวเองไปกับใบไม้
ยอมเป็นใบไม้เพียงใบเล็กๆ ในป่าใหญ่
ยอมเป็นหยดน้ำเล็กๆ กลางมหาสมุทร
ไม่เสียใจ ไม่เสียดาย
ทนได้ เป็นได้
แม้ใครจะมองค่า เพียงเศษดิน
ยิ้มได้สบายอยู่
แม้ใครจะไม่รู้ว่า เขามีค่า
เบิกบานอยู่ เบิกบานแล้ว
แม้จะไม่ได้ทำประโยชน์อะไร ให้แก่ใคร
ทั้งๆที่หยดเลือดทุกหยด
แอบซ่อนพลังแห่งเมตตาไว้ จนเปี่ยมล้น
แล้วเธอล่ะ ?
ผู้มีลมหายใจด้วยการสร้างสรร
ทนได้ไหม ถ้าไม่มีค่า ?
ทนได้ไหม ถ้าจะเป็นแค่ธุลีดิน
ดำรงชีวิตอยู่อย่างต๊อกต๋อย
ใครๆก็มองข้าม-มองผ่าน
เธอทนได้มั้ย ?

อาตมัน


คุ ณ ค่ า ที่ แ ท้
สาระแห่งธรรมอยู่ที่ไหนกันเอ่ย ?
ถ้าเธอมาทางธรรม
จงพอใจ
พอใจที่ได้สั่งสมแต่กุศลกรรม
แม้จะไม่มีใครเห็น
เธอก็จงพอใจ
ศักดิ์ศรีแห่งธรรมอยู่ที่ไหนกันนะ
เปล่าหรอก
มันไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สมบัติ ที่เคยมีมาในอดีต
หรือโอบกอดมากับ ความเป็นผู้มีการศึกษา ในทางโลก
และมันก็ไม่ได้นั่งอยู่ บนปลายลิ้น
ที่กระหวัดธรรมะ ได้อย่างแตกฉาน
ชนิดฟังแล้วเคลิบเคลิ้ม
แยกแยะได้อย่างพิสดาร ละเอียดลออ
แล้วแก่นแห่งธรรมอยู่ไหนล่ะ ?
ใช่...!
มันอยู่ในดวงใจที่เยือกเย็น
ไม่ต้องพูดออกมา
ไม่ต้องบอกให้ใครรู้
มันก็ยังคงเป็นแก่นแห่งธรรม
คุณค่าที่แท้จริงของเธอ จะปรากฏ
เมื่อตัดมือที่แสนจะช่ำชอง ในการงานออกให้หมด
ตัดมือที่คิดว่า มันได้ทำประโยชน์มากมาย ทิ้งเสีย
และตัดลิ้นของตัวเองให้ขาดไป

ให้เป็นใบ้
ให้มันนิ่งเบื้อ
เมื่อนั้น...
เธอก็จะรู้ว่าธรรมะที่แท้ อยู่ที่ไหน
และคุณค่าที่แท้ของเธอ อยู่ที่ใด

สันติธรรม



ถ้อยคารมอันกลอกกลิ้ง
แม้สามารถบันดาล ความยินดีปรีดาแก่ผู้คน
แต่คนผู้หนึ่ง หากไม่รู้จักเสพย์วิเวก
รับความสุขแห่งความเงียบสงบ
ก็ไม่อาจนับเป็นผู้ที่ช่างเจรจา อย่างแท้จริง
เนื่องเพราะถ้อยคารม
ที่บันดาลความยินดีปรีดา แก่ผู้คนอย่างแท้จริง
มีแต่ผู้ที่เข้าใจซึ้งถึงคุณค่า ของวิเวก
และความหมายของความเงียบสงบ
จึงสามารถกล่าวได้

โกวเล้ง


สารอโศก ปีที่ 2 ฉบับที่ 1-4 พ.ศ. 2521


หมายเพียงเพื่อ"แก่น"
ทุกครั้งที่มีความตาย
การเกิดที่แสนดี ก็เริ่มเพาะเชื้อหยั่งราก
สัจธรรมก็เป็นเช่นนี้ ในสายตานักรบแห่งธรรม
และแน่นอน เหล่านักรบอสุรกาย
ย่อมหวั่นหวาด ราวกับมันเป็นสัญญาณร้าย
และเขาเองนั้นแหละ กลับเป็นผู้ทำให้สม ความหวั่นหวาดเสียเอง
มีเกิดก็ย่อมมีตาย
เมื่อมีตายก็ย่อมมีเกิด
ถึงเวลาอีกแล้ว ที่อโศกกำลังจะสลัดใบ
เพื่อที่จะได้แตกผลิใบอ่อน ให้พริ้วไสว
ใบแห้ง...ใบเป็นโรค... ใบถูกแมลงกัดแทะ... ใบปลอม
เริ่มหลุดหักออกจากกิ่งก้าน
หล่นลงมา หล่นลงมา หล่นลงมา
พลิกหงาย พลิกคว่ำ ทับถมโคนต้น
เพื่อที่จะได้เป็นอาหาร ให้แก่ต้นแม่
ใบอโศกน้อยน้อยเริ่มร่วงหล่น
ขณะที่น้ำตาของนักรบอสุรกาย เริ่มไหลริน
พายุเริ่มแรง แรงขึ้นทุกที
ในไม่ช้าใบไม้ใบโตโต ที่แอบแฝงปลอมปน
ก็จะทานแรงเสียดสี กระหน่ำไม่ไหว
พายุแห่งการพิสูจน์เริ่มโหมพัด
เพื่อเฟ้นหาใบอโศก ที่เป็นหน่อพุทธางกูร พันธุ์แท้
พายุแห่งการทดสอบ เริ่มปรากฏขึ้นแล้ว
เพื่อปลิดใบเดียรถีย์ทั้งหลาย ให้พ้นรัศมี
กระชากใบที่ยังไม่ยอมเข้าใจ แนวแห่งการบรรลุที่ถูกต้อง ให้ร่วงหลุด
มันจะเป็นการต่อสู้ ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด
ที่จะแยกธรรมดำ ธรรมขาว ในบุคคลให้แจ้งชัด
หลังพายุสงบแล้ว
แน่นอน ใบที่ทนอยู่คือ ใบผู้ชนะ
คือใบที่รู้มรรควิธี แห่งการหลุดพ้น อันไม่เฉไฉ
จะเป็นใบที่พระพุทธองค์ ทรงแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย
ด้วยความชื่นชม ในเหล่าพุทธบุตร ผู้เป็นธรรมทายาท
เมื่ออาทิตย์อัสดงคต ม่านมืดแห่งรัตติกาล ก็เข้าแทนที่
และเมื่ออาทิตย์ เริ่มส่องแสงอีกครั้ง
ความมืดก็ได้ถูกทำลายหายไป
เราจะได้พบกับต้นอโศก ที่ยืนตระหง่าน อย่างท้าทาย
มีแต่ใบที่เขียวขจี ราวกับหยกเอก
สะท้อนแสงแดดอยู่วาววับ
และเป็นใบอโศกที่แท้จริง
เพราะทุกใบต่างก็เต็มเปี่ยม ด้วยพลังแห่งพุทธะ
เข้าใจความเป็น อุภโตภาควิมุติ
รู้ความหลุดในผัสสะ
แจ้งในภาวะแห่งเดียรถีย์
รู้ชัดในการปฏิบัติ ที่จะต้องลืมตา
ลืมตาเพื่อสร้างญาณ สร้างวิมุติ
นิพพานนั้น จะต้องอยู่ในกลุ่มชน
มิใช่การหลีกเร้น ตามป่าเขา !!...
พริ้วอีกแล้ว ใบอโศกพริ้วอีกแล้ว
ท่ามกลางสายลมแรง และแสงแดดที่แผดจ้า
ใบปลอมปลอมเริ่มร่วงหล่น
แฉลบซ้าย แฉลบขวา ซ้อนทีบที่พื้น
เหลือแต่ใบอโศกที่แท้จริง
ที่สะบัดใบเล่นอยู่กลางตะวัน อันร้อนแรง
...แย่งเบิกบานและแจ่มใส
หนุ่มปีกเหิน
7 ธ.ค. 2521


 

แสงทอง แสงธรรม
พระพุทธองค์ตรัสดำรัสว่า
บรรดามนุษย์นี้มีสี่สถาน
เปรียบเหมือนบัวเหนือน้ำ กำลังบาน
อาทิตย์ผ่านรับแสง แห่งพระธรรม
บัวปริ่มน้ำยามแย้มแอร่มหรู
แสงทองพรูสาดส่องให้มองขำ
สอนไม่ยากหากใจใฝ่ในธรรม
จะน้อมนำปฏิบัติไม่ขัดเลย
บัวใต้น้ำยามนี้เห็นทีแย่
เพราะมัวแต่หลงทางไม่วางเฉย
โกรธ โลภ หลง เคียงขัด สะบัดเลย
ริษยาเคยฝังใจไม่ใฝ่ธรรม
บัวก้นบึงอับเฉาขัดเกลายาก
กิเลสมากด้วยใจชอบใฝ่ต่ำ
สอนไม่รู้ ดูไม่เห็น ว่าเป็นกรรม
ชอบกระทำแต่ความชั่ว น่ากลัวจริง
ไม่มีวันได้รับแสงแห่งอาทิตย์
เพราะมีมิจฉาทิฐิไปทุกสิ่ง
อันสัมมาทิฐิมิประวิง
ชีวิตยิ่งไม่มีหลักจมปลักเอย

ป.แย้มสุนทร



สู่ สุ ญ ญ ต า
เลือดอโศกไหลผ่านทางชีวิต
ดอกอโศกบานสถิตจิตแจ่มใส
กิ่งอโศกชูก้านเบิกบานใจ
ใบอโศกแกว่งไกวสุขสำราญ
ลูกอโศกเปล่งปลั่งสะพรั่งผล
เปลือกอโศกคลุมต้นตั้งตระหง่าน
ยอดอโศกแผ่รังสีชี้ตัวมาร
รากอโศกยึดมั่นพื้นปฐพี
วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนแปรผัน
ปัจจุบันรู้ไว้ให้ถ้วนถี่
อดีตกาลผ่านมาเป็นครูดี
อนาคตควรที่ดีต่อไป
ถึงเวลามาพบสบญาติมิตร
ด้วยดวงจิตคงมั่นไม่หวั่นไหว
แม้เวรกรรมมาพรากให้จากไกล
ก็ยังได้ผกผวนหวนกลับมา
จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกชีวิต
ตามลิขิตกรรมก่อต่อสังขาร
ไม่รู้หยุดย่อมวนเวียนเปลี่ยนมายา
โมหะพาให้เมามัวลืมตัวเอง
เมื่อระลึกนึกได้ไยมัวช้า
ไม่รีบมาหาหมู่ดูอวดเก่ง
ทำลับล่อรอรีทำทีเกรง
ยังเพ่งเล็งอะไรเล่าเจ้าปัญญา

รู้วิบากรู้กรรมด้วยธรรมะ
จงลดละทิฐิที่มิจฉา
จงพากเพียรสร้างทิฐิที่สัมมา
จงมุ่งหน้าก้าวต่อไปให้ถูกทาง
นั่นหมู่เราเฝ้าเข็นธรรมจักร
เมื่อรู้หลักอย่ามัวดูแม้อยู่ห่าง
ใครช่วยได้อย่ามัวช้าทำละวาง
ช่วยถางทางให้บ้างก็ยังดี
โอ้ญาติธรรมทั้งหลายในอโศก
อยู่ในโลกความสว่างกลางวิถี
ยิ้มอโศกรับไว้ด้วยไมตรี
เรียกน้องพี่ให้มาร่วมรวมพลัง
ใครถึงก่อนย้อนหันดูหลังบ้าง
ช่วยกันล้างตัวทิฐิที่แฝงฝัง
เพื่อไปสู่สุญญตาตามหาพลัง
พ้นจากโลกคุมขังในวังวน

-อัจฉริยบัณฑิตกุล-


 

เ ที ย น
เปลวเทียนเต้นพริ้ว
เพื่อละลายตัวเอง
ยิ่งเปล่งประกาย
มันก็ยิ่งใกล้สูญ
ยิ่งใกล้สูญ
มันก็ยิ่งเปล่งประกาย
อย่างยินดี
อย่างเริงใจ
มันพอใจแค่นั้น
แค่นั้นจริงจริง
มันไม่อยากได้สิทธิอะไร
นอกจากขอละลายตัวเอง
เพื่อเปล่งประกาย
เท่านั้นแหละ
คือความสุขของมัน

-นางนวล-


กรงขัง...แห่งวิญญาณ
ณ ผืนแผ่นดินที่ฉันยืนอยู่นี้
เคยมีคนอื่นยืนมาแล้วในกาลแห่งอดีต
ภายใต้กรงทองที่ฉาบไล้ด้วยสีชมพู
ซึ่งกีดกันฉันจากฟ้ากว้างและทะเลใหญ่
ไม่ให้โผบินไปได้อย่างอิสรเสรี
แต่ก็ปรนเปรอให้ที่พักอันอบอุ่น และปลอดภัย
ได้ป้องปกฉันจากเหยี่ยวร้าย และลมพายุ
จากเปลวแดด สายฝน ลมหนาว และความหิวโหย
ณ ผืนแผ่นดินที่ฉันยืนอยู่นี้
เคยมีคนอื่นยืนมาแล้ว ในกาลแห่งอดีต
และบัดนี้คงถึงเวลาแล้วซินะ
ที่เจ้านกน้อยปีกแข็ง จะได้จากกรงทองสีชมพู
สู่โลกกว้างอย่างเสรี
จากความสะดวกสบาย ที่เคยได้รับ
จากที่พักอันอบอุ่น และปลอดภัย
เพื่อเผชิญกับมรสุมในฟ้ากว้าง และทะเลใหญ่
เผชิญกับเหยี่ยวร้ายและเหยื่อล่อ ของนายพราน
ถ้าเจ้านกน้อยไม่ได้หลงใหล อยู่กับความปรนเปรอ ในกรงทอง
แต่เฝ้าลับจงอยปากแห่งปัญญา และกรงเล็บแห่งสติ ให้คมกล้า
เฝ้าทะนุบำรุงปีก แห่งความมั่นคง ให้แข็งแกร่ง
เพื่อรอคอย วันที่จะได้โผบิน สู่ห้วงเวหา
ถลาร่อนเหนือพื้นพสุธา
เจ้านกน้อยก็คงรอด จากมรสุมอย่างปลอดภัย
และรางวัลอันยิ่งใหญ่ ที่จะได้รับ
คืออิสรภาพแห่งจิตวิญญาณ อันไม่สิ้นสุด

ฉันเฝ้าดูนกน้อยปีกแข็งบินไป
ด้วยดวงใจอันเต็มเปี่ยม ด้วยความหวัง
ว่าคงมีสักวันหนึ่ง
ซึ่งฉันจะสามารถหลุดพ้น จากกรงทองสีชมพู
โผบินขึ้นสู่ห้วงเวหาอย่างเสรี
ถลาร่อนเหนือฟากฟ้าปฐพี ได้ดังใจหวัง
แต่ถ้าฉันยังหลงอาลัยอยู่กับ กรงขังแคบๆ
ไม่ว่ากรงนั้นจะสร้างจาก ใยไหม ไม้ผุ เหล็กกล้า หรือทองคำ
จิตวิญญาณฉันนั้น ก็คงจะถูกกักขังตลอดไป

- ส 11 -


 

ประสบการณ์อะไรก็ตาม ที่ผ่านเข้ามาสู่ชีวิต
ไม่ว่าจะขมขื่นหรือหวานชื่น
ล้วนมีคุณค่าต่อคุณทั้งสิ้น
ถ้าหากคุณรู้จัก ใช้ประสบการณ์นั้นนั้น อย่างชาญฉลาด

และคุณจะใช้ประสบการณ์ อย่างฉลาดได้
ก็ต่อเมื่อคุณรู้จักที่จะเผชิญหน้า กับทุกสิ่งอย่างกล้าหาญ
ในเวลาที่มันผ่านเข้ามา
และพร้อมที่จะยอมรับ ความไม่สมบูรณ์ของมัน

- เลียวนาร์ด เอ. บุลเลน -



มนุษย์ผู้เกิดมา หวังความเจริญก้าวหน้า สุดยอดให้แก่ชีวิตนั้น
เมื่อรู้ว่าเช่นนั้นดี - เช่นนี้ถูกต้องแท้แล้ว
แต่เขาก็ไม่ทำ เช่นที่รู้รู้นั้น
และเขาจะหวังความเจริญ ความก้าวหน้า
กันไปให้ตลกเล่น เปล่าเปล่ากันอยู่ทำไม ?
ถ้าไม่รีบลงมือทำ ตามที่รู้รู้นั้น เสียให้ได้
ก็"หวัง" โง่ๆ อยู่เท่านั้น ในชีวิต

พระโพธิรักษ์


 

"ทุกสิ่งจะต้องตาย ย่อมแปรเปลี่ยนไป
ชีวิตมนุษย์นั้นหาความสงบได้ยาก
หากสันติรออยู่ที่ปากประตูของมฤตยู
ซึ่งระงับความทุรนทุกข์ใดๆ สิ้น
ชีวิตมีการพลัดพรากอยู่ตลอดเวลา
แต่ละครั้งก็คือการข้ามสายน้ำนั่นเอง

สูผู้ที่ยืนอยู่อย่างเจ็บปวด
ควรพิจารณาดูว่า ไม่มีอะไรสูญเสียไปเลย
แม่น้ำทั้งหลายย่อมไหลไปเรื่อยๆ
ย่อมต้องถึงจุดหมายในที่สุด
พืชที่เราหว่านเอาไว้ในบัดนี้
ย่อมจะผลิตผลสุกงอม ออกมาในที่สุด"

- อนุรุทธคาถา -


 

แ ส ง ด า ว
คืนนี้เดือนดับ อับแสงสีหม่น
ดวงดาราเกลื่อนกล่น ยังเปล่งประกาย
ฉายแสงแรงกล้า เจิดจ้าท้าทาย
ดุจดั่งโคมฉาย ส่องห้วงทุกข์ทน
แสงแห่งดวงดาว มิเคยมืดมน
ดุจดวงใจชน เพริศแพร้วอำไพ
แสงแห่งศรัทธา ส่องหล้ายาวไกล
ด้วยประกายไฟ บนพื้นอัมพร
คอยโอบคอยอุ้ม อย่างเอื้ออาทร
ชี้ทางสัญจร สู่สัจธรรม
แม้พายุฝน จะซัดกระหน่ำ
ทางสัจธรรม มิเคยลบเลือน
มิมีผู้ใด บังอาจบิดเบือน
ให้แสงดาวเลือน ทางสัจธรรม

เพชร ศรีตุลย์



ความมุ่งหวังผลตอบแทน จากการทำความดี
ทำให้คุณค่า แห่งความดีนั้นลดลง
และยังอาจทำให้เห็นว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี
แต่คุณงามความดีที่แท้จริงนั้น
คือการเสียสละ โดยไม่หวังผลตอบแทน
ซึ่งเป็นการได้ดีอยู่แล้ว ในตัวของมันเอง
ได้ทันทีในขณะที่ กระทำเลยทีเดียว
หากว่าการสร้าง คุณงามความดี
ก็เหมือนกับการลงทุน เพื่อหวังผลกำไร
คุณความดีนั้น จะมีค่าที่ตรงไหน ?

- นิรนาม -



ในบรรดาที่พึ่งทั้งหลายนั้น
พุทธะย่อมเป็นเลิศสุด
ในบรรดาหมู่มิตร
ความซื่อตรง เป็นยอดกัลยาณมิตร
ในบรรดาผีร้ายนานาชนิด
ความหยิ่งลำพองตน เป็นยอดผี
ในบรรดาความบกพร่องทั้งมวล
การดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น นับว่าต่ำทรามที่สุด

- มิลาเรปะ -
จาก..สารอโศกปีที่ 2 ฉบับที่ 5 ธันวาคม 2521


 

ศัตรูหมายเลขหนึ่ง
นานมาแล้ว
นานจนเกินคิด
ตั้งแต่สมัยโลกยังปกคลุมไปด้วย ไอหมอกสลัว
สิ่งมีชีวิตยังไม่พลุกพล่าน
บรรพบุรุษของเรา ผู้มีเลือดนักรบฝังอยู่ในสายเลือด
ได้เผชิญกับศัตรู ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ตัวตนของมันเห็นไม่ได้ง่ายๆ
พวกเขาได้ล้มตายไปมากมาย ในการต่อสู้
แต่ก็ยังหาวิธีจัดการกับมันไม่ได้
มันลึกซึ้งและเจ้าเล่ห์ อย่างวายร้าย
ทุกคนต่างถือเป็นหน้าที่ อันสำคัญอย่างยิ่งยวด
ที่ก่อนจะสิ้นลมหายใจ เฮือกสุดท้าย
จะต้องบอกกล่าวย้ำเตือนลูก เตือนหลานทุกคนอีกครั้ง
ให้ค้นคิดวิธีเอาชนะมันให้ได้
มันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของทุกๆคน ที่เกิดมาในเผ่าพันธุ์ของเรา
"จัดการกับศัตรูหมายเลขหนึ่ง ของพวกเรา
เพื่อตัวพวกเจ้าเอง และดวงวิญญาณ ของบรรพบุรุษ
ลูกหลานของข้า ..."
คำสั่งเสียครั้งสุดท้าย ฝังแน่น เข้าใจวิญญาณทุกๆดวง
ประสานดวงตาบอกต่อๆกัน ชั่วลูกชั่วหลาน นับแสนนับล้านรุ่น
วันแล้ววันเล่า
จากขุนเขาที่สูงตระหง่าน ถูกเปลี่ยนเป็นทะเลสาบ
จากทะเลสาบ ถูกเปลี่ยนเป็นขุนเขา
มันหมุนเวียนเปลี่ยนไปมา ราวกับความฝัน
พิษร้ายของศัตรูหมายเลขหนึ่ง ยังคงกระจายไปทั่ว
นับวันก็ซึมฝังลึก จนยากจะไถ่ถอน
พวกเขากำลังจะถูกมันกัดแทะ ให้ตายอย่างใจเย็น
ลูกหลานหลายตระกูล ได้ลืมเลือนคำสั่งเสีย ไปนานแล้ว
ลืมอุดมการณ์ แห่งความเป็นนักรบ ที่แท้จริง
เพลิดเพลินกับชัยชนะที่กลวงแก่นสาร
ระริก ระริก กับการชิงชัย ที่แสนจอมปลอม
อา ! ลาภ ยศ สรรเสริญ และกามอันลามก
ความตายกำลังคืบคลาน คืบคลานทีละน้อย
ค่อยค่อยฝังเขี้ยว ลงบนร่างของนักรบ ผู้โมหะ
ผู้ฝันใฝ่แต่การเอาชนะ กับศัตรูชั้นกระจอก
ไอร้อนเริ่มซอนไปทั่ว
เสียงบ้าระห่ำกู่ร้อง ก้องครึมครึม
ไฟนรกแลบเลียออกทุกทวาร ของพวกเรา
พิษของมันเริ่มแกร่งกร้าว
ดวงตาทุกคู่แดงวาว ด้วยประกายอาวุธ และเลือด !
อวสานของพิภพใกล้จะถึงแล้ว
นับวันเสียงหัวเราะของศัตรู ก็เริ่มดังอย่างย่ามใจ
อนิจจา ! เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ใกล้จะดับสูญแล้วหรือนี่ ?...
ขณะที่สายใยแห่งความหวัง เส้นสุดท้ายใกล้วิกฤต
พลันเสียงร้องอย่างเจ็บปวด กลับดังโหยหวนขึ้น
ศัตรูหมายเลขหนึ่ง เริ่มแผดร้อง... มันแผดร้องอย่างทรมาน
ในที่สุด มันก็รู้จักกับ ความพ่ายแพ้จนได้
ทุกคนต่างหันไปมอง มนุษย์หมู่นั้น
ผู้ประกาศตัวสืบเชื้อสาย มาทางองค์โคตมะ
สืบเผ่าพันธุ์นามว่า "อริยะ"
ชูอาวุธอันเจิดจ้าขึ้นเหนือฟ้า
ประกาศท้าศัตรูที่หลงเหลือ ให้มาต่อกรกับอาวุธวิเศษ
ที่ชื่อว่า "ไตรสิกขา"
อา ! ศีล สมาธิ ปัญญา
ธรรมาวุธ ที่องค์สมณโคดม ทรงประทานไว้
- นายหิน -
๑๙ พ.ย. ๒๕๒๑




ค รู คื อ ใ ค ร
ใครคือครูครูคือใครในวันนี้
ใช่อยู่ที่ปริญญามหาศาล
ใช่อยู่ที่เรียกว่าครูอาจารย์
ใช่อยู่นานสอนนานในโรงเรียน
ครูคือผู้ชี้นำทางความคิด
ให้รู้ถูกรู้ผิดคิดอ่านเขียน
ให้รู้ทุกข์รู้ยากรู้พากเพียร
ให้รู้เปลี่ยนแปลงสู้รู้สร้างงาน
ครูคือผู้ยกระดับวิญญาณมนุษย์
ให้สูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ครูคือผู้สั่งสมอุดมการณ์
ปณิธานเพื่อมวลชนใช่ตนเอง
ครูจึงเป็นนักสร้างที่ใหญ่ยิ่ง
สร้างคนจริงสร้างคนกล้าสร้างคนเก่ง
สร้างคนให้ได้เป็นตนของตนเอง
ขอมอบเพลงนี้มาบูชาครู

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


เจ้าเด็กน้อยเอย
เจ้าเด็กน้อยเอย ตื่นนอนแต่เช้า
รีบเร่งเร็วเข้า ล้างหน้าแปรงฟัน
อาบน้ำแต่งตัว หวีผมเร็วพลัน
แล้วมาร่วมกัน กินข้าวกินปลา
กราบไหว้พ่อแม่ แล้วอย่าชักช้า
จงรีบมุ่งหน้า เพื่อไปโรงเรียน
ครูสอนสิ่งใด จงหมั่นพากเพียร
หัดอ่านหัดเขียน อยู่ทุกเวลา
สิ่งใดไม่รู้ ตรองดูเถิดหนา
ติดขัดขึ้นมา จงซักจงถาม
บทเรียนใหม่ใหม่ ใส่ใจติดตาม
ทุกเมื่อทุกยาม อย่าง่วงอย่าเหงา
ความรู้ทั้งหลาย จะช่วยปัดเป่า
ขจัดความเขลา จากตัวเจ้าไป
เติบใหญ่ขึ้นมา เจ้าจงจำไว้
ความรู้นั้นไซร้ เพื่อประชาชน
เจ้าจงไปช่วย คนยากคนจน
ให้หลุดให้พ้น ทุกข์ทนทรมาน

- รวี วีรตุลย์ -


 

เด็ก
เรารู้สึกถึงความผิดพลาด หลายต่อหลายครั้ง
ที่เราได้เคยกระทำลงไป
แต่สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ
การที่เราละเลยต่อเด็กเด็ก
ผู้เปรียบเสมือนน้ำพุแห่งชีวิต
หลายสิ่งที่เราต้องการนั้น
เป็นสิ่งที่เรารอคอยได้
แต่สำหรับเด็กแล้ว
เราไม่อาจรอได้
ในขณะนี้...
กระดูกของเขาได้ก่อตัว เป็นรูปร่างขึ้นแล้ว
และผัสสะของเขา ก็กำลังเจริญเติบโต
สำหรับเขา... อนาคต ไม่อาจให้คำตอบได้
เพราะว่าเขาเหล่านั้นคือ "ชีวิตแห่งวันนี้"

- กาเบรียลลา มิสตรัล -


คลื่นลูกใหม่แห่งอนาคต
เด็กเอยเด็กน้อย
เจ้าคืออนาคตของมนุษยชาติ
ใครเขาก็ให้ความสำคัญแก่เจ้า
จนถึงขนาดมอบหนึ่งวัน เต็มเต็มให้เจ้า
เด็กเอยเด็กน้อย
หัวใจเจ้าดุจผ้าขาวที่แสนสะอาด
วันนี้วันเด็กคือวันของเจ้า
ใครใครก็ยิ้มบอกว่า เจ้าคือหัวใจของชาติ
เด็กเอยเด็กน้อย
มามา...
ดูนี่ไงปืน รถถัง ระเบิด
นี่ไงมีด กระสุน ที่เอาไว้ฆ่ากัน
เป็นธรรมดาของคนที่เกิด ต้องฆ่ากัน
รู้มั้ยเด็กเอย
ไปไป...ไปเที่ยวให้สนุกสนาน
สวนสนุก โรงหนัง ฯลฯ เชิญ เชิญ
วันนี้วันเด็ก
เด็กเอยสนุกกันให้ลั่นฟ้า หัวเราะให้ลั่นโลก
ชีวิตเกิดมาต้องสนุกกันไว้ก่อน
วันนี้เป็นวันสำคัญ
เที่ยวให้เต็มที่นะเด็กเอย
อย่าอย่า...
วันนี้อย่ามาคิดถึงหน้าที่
หรือค้นหาแก่นแท้ของชีวิต
พวกเธอยังเด็กเกินไป ที่จะหัดรับผิดชอบชีวิต

ยังอ่อนเกินไปที่จะหัดเรียน ถึงการทำงานช่วยครอบครัว
อ๊ะ ! อ๊ะ !...
อย่ามัวแต่ขยันทำงานบ้าน
หัดฝึกนิสัยช่วยพ่อแม่
วันนี้เป็นของเธอนะเด็กเอย
จงใช้มันให้คุ้ม
ชีวิตคือความสนุกสนาน
ไม่ใช่สำคัญที่การงาน
จำไว้ จำไว้
เด็กเอยเด็กน้อย
หัวใจเจ้าคือผ้าขาวบริสุทธิ์
ใครหนอที่จะย้อมเจ้าให้แวววาว
เด็กเอยเด็กน้อย
เจ้าคือต้นไม้เล็กๆที่เขียวใสสด
ใครหนอที่ราดรดให้เจ้าโตครึ้ม
น่าสงสาร น่าสงสาร
ใครบางคนอวดรู้ ว่าเก่งว่าเยี่ยมทางจิต
เขาบอกไม่ให้ตีเจ้า
เพราะจะทำให้ก้าวร้าว และแข็งกระด้าง มีปัญหา
ทั้งทั้งที่รุ่นปู่ย่าของเรา ลิ้มรสจนได้ดี
โอ!...
ชีวิตจะเติบโต ก็ด้วยพระเดช และพระคุณ
จะให้วางตัวพวกเธอ เหมือนเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน ไม่ได้หรอก
เพราะบางกรณี เธอก็อ่อนเกินกว่า จะใช้เหตุผล
จึงจำเป็นต้องใช้"อาณา" ในบางขณะ
น่าเศร้าหนอ น่าเศร้าหนอ
ใครบางคนบอกว่าในโลกนี้

เด็กเด็ก ๕ ล้านคนบ้านแตก
๑๕ ล้านครึ่ง ตายก่อน ๖ ขวบ
๔๐ ล้านทำงานโดยไม่มีค่าจ้าง
๑๕๖ ล้านอาศัยอยู่ในสลัม
และอีก ๗๐๐ ล้าน ไม่มีน้ำสะอาดดื่มกิน
แต่พวกผู้ใหญ่ หัวสมองโตโตทั้งหลาย
รู้กันบ้างไหมว่า
เด็กในโลกทั้งหมด ล้วนเป็นโรคขาดอาหาร ทางวิญญาณ
เด็กเอยเด็กน้อย
เจ้าไม่ใช่ดวงประทีปส่องทาง
เจ้าเป็นแต่เงา ของคนที่โตแล้ว
ใครหนอจะนำเจ้าไปถูกทาง
ถ้าหากมิใช่คบธรรม ของพระพุทธองค์
กรรมของเธอนะเด็กน้อย
ที่คนอยากนำทางเจ้า ก็เป็นคนตาบอด
มีมันสมองเท่าพวกเจ้าทั้งหลาย
เห็นธรรมะเป็นสิ่งน่าละอาย
เด็กเอยใครจะช่วยเจ้า ?

- ยุวธรรม -


หล่อนชื่อพรรณี บ้าจี้เรื่องหวย
แทงได้ทุกงวด คอยตรวจเลขหวย
ทำงานได้เงิน หมดเงินซื้อหวย
ผัวหล่อนชื่อดี ดีไม่ชอบหวย
ผิดกับพรรณี พรรณีบ้าหวย
เดินนั่งยืนนอน หล่อนคิดเลขหวย
เลขทั้งสิบตัว คิดมั่วตัวหวย
หาเจ้าเข้าทรง คนทรงใบ้หวย
ไปวัดหาพระ ท่านคะขอหวย
พระท่านบอกใบ้ ให้ไปแทงหวย
ข้างล่างข้างบน สับสนตัวหวย
เคยถูกเลขท้าย วี้ดว้ายถูกหวย
ได้เงินเลขท้าย จ่ายไปซื้อหวย
กี่งวดกี่งวด เงินชวดเพราะหวย
วันนี้พรรณี เป็นหนี้เสียหวย
เสียผัวที่รัก เพราะลักแทงหวย
มีผัวไม่สน มัวสนแต่หวย
พรรณีเจ็บช้ำ จำเลิกเล่นหวย
รัฐเป็นผู้นำ จัดทำกองหวย
มอมเมาประชา ให้บ้าเรื่องหวย
รัฐท่านรวยอื้อ คนซื้อใบหวย
ตัวอย่างพรรณี เป็นหนี้เพราะหวย
ดูดเลือดประชา ที่บ้าเล่นหวย
คิดแล้วปวดใจ ไอ้เรื่องหวยหวย

- คนทุ่ง -



วิญญาณสำนึก
ระลึกถึงความผิดจิตหม่นเศร้า
เพราะโง่เขลาผิดธรรม พ่อท่านหมาย
จึงต้องเจ็บบาปจิตคิดละอาย
เจียนมลายด้วยคับแค้นแน่นฤดี
คิดคนึงถึงกาลก่อนย้อนดูจิต
รู้ตัวผิดคิดขึ้นมาน้ำตาไหล
กรีดอักษรร่ายกลอนสะท้อนใจ
โปรดอภัยด้วยเถิดหนาหากปรานี
หยิบกระดาษด้วยใจคนไร้ค่า
หยาดน้ำตาแทนหมึกผนึกอักษร
ด้วยสำนึกมโนกรรมคอยพร่ำวอน
อกสะท้อน จิตสะท้านซ่านวิญญา
สงสารฉันเถิดหนาบรรดามิตร
อภัยผิดที่ติดมาแต่คราหลัง
ผิดไปแล้วอย่าซ้ำเติมเสริมพลัง
ฉันผิดพลั้งด้วยโง่เขลาเบาปัญญา
จิตผิดธรรมบาปหนาพาให้หมอง
น้ำตานองอาบใจวันหลายหน
ด้วยมัวเมาลุ่มหลงจนลืมตน
กิเลสครอบครองกมลแทบวางวาย
จิตมานะซ่อนเร้นมิเห็นบาป
คิดกำราบแต่เขาเจ้าจิตผี
ประดิษฐ์ถ้อยร้อยคำธรรมวาที
ดุจเมธีมีธรรมผู้นำชน
ด้วยมานะอยากใหญ่ใฝ่อำนาจ
อวดฉลาดเจรจาภาษาหรู

บัญญัติคำทำเด่นเป็นเช่นครู
มาดแสนรู้อวดเก่งไม่เกรงใคร
ประกอบกิจผิดธรรมที่พ่อสอน
มิอาทรมวลมิตรจิตหดหู่
เพื่อนตักเตือนด้วยจิตคิดเอ็นดู
กลับลบหลู่คุณเพื่อนที่เตือนใจ
ฉันรู้ตัวชั่วโฉดจิตโหดร้าย
มิละอายลืมธรรมสำคัญหมาย
หลงมานะละสังวร"ญาณ"หย่อนคลาย
จิตผีร้ายแอบแฝงสิ้นแรงธรรม
ด้วยปล่อยปละละเลยสาเถยยะ
ทั้งมักขะ ปลาสะมิผละหนี
อีกมายา อิสสา มานะมี
พร้อมตระหนี่ ถัมภะ มทะใจ
อภิชฌาวิสมะโลภะลาภ
มิเคยปราบให้เหี้ยนเตียนจิตได้
สารัมภะแข่งดีมีมากมาย
ผูกโกรธไว้ดูหมิ่นท่านทุกวันคืน
แม้นใครเตือนเพื่อนพ้องพี่น้องว่า
ไม่เข้าใจเจตนาว่าเราได้
มิรู้ตนโกรธาหน้าไม่อาย
ด้วยผีร้ายสถิตในดวงกมล
ฉันรู้ตัวผีร้ายคลายมานะ
คำสรรเสริญไงล่ะ ! มนะผี
เสียงเยินยอล่อให้หลงปลงชีวี
พอกันทีปีศาจชั่วตัวมอมเมา

ขอน้อมกราบคารวะอริยสงฆ์
จักดำรงคงมั่นในคำสอน
มั่นในศีล มั่นในสัจ ไม่คลายคลอน
ตราบม้วยมรณ์ไม่ขอย้อนไปอีกเลย
อธิษฐานวาจาภาษาจิต
ที่หลงผิดพลาดมาแต่คราหลัง
ด้วยมานะเกิดก่อขอระวัง
หลงสรรเสริญจึ่งพังดั่งนี้แล

- อนุบาลธรรม -



บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี้โทษ
เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์
มักกล่าวข่มขี่มีปัญญา
พึงคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิตเช่นนั้น
เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น
มีแต่คุณที่ประเสริฐ
โทษที่ลามกย่อมไม่มี

บุคคลพึงกล่าวสอน พึงพร่ำสอน
และพึงห้ามจากธรรมของอสัตบุรุษ
ก็บุคคลนั้น ย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย
แต่ไม่เป็นที่รักของพวกอสัตบุรุษ

พระพุทธพจน์



ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้เป่าแตร ให้แก่พุทธศาสนา สักเท่าใด
และไม่ว่า เขาจะเรียกตัวเอง ว่าเป็นพุทธศาสนิกชน มาสักกี่ร้อยครั้ง
แต่พุทธศาสนา ก็จะเป็นของว่างเปล่า ไร้สาระ สำหรับเขาผู้นั้น
ถ้าขาดการนำธรรมะ มาปฏิบัติแก่ชีวิต
เป็นการจำเป็น ที่เราจะต้องเข้าใจ ไว้แต่เบื้องต้นว่า
พุทธศาสนาที่แท้นั้น เป็นเรื่องของการประพฤติ ปฏิบัติอย่างจริงจัง
มิใช่เรื่องของการโฆษณา คำสอนศีลธรรม แก่ชาวบ้านชาวเมือง
โดยผู้โฆษณา ไม่เคยประพฤติตาม ศีลธรรมเหล่านั้นเลย

- ศรีบูรพา -



การปลุกระดมนั้น
อันที่จริงมันต่างกับ การปลุกปั่น
ตรงที่ปลุกให้คนตื่นจากหลับ
แล้วระดมธรรม ความถูกต้อง
มาให้เห็นอย่างถ่องแท้

ผิดกับการปลุกปั่น
ที่เมื่อปลุกให้เขาตื่นจากหลับแล้ว
ก็"บั่น"ให้เขา"งง"
เหมือนบั่นหัวจิ้งหรีด ให้กัดกัน
เวลานี้ใครปลุกระดม
ใครปลุกปั่น ก็จงดูให้ดีเถิด

-อาทิตย์-



ทุกทุกปีที่ผ่านไป
ขั้นตอนใหม่เรียงรายมา ประสบการณ์ บรรจุเข้ามาในชีวิต ของบุคคล หลักกิโลเมตร อีกหลักหนึ่งผ่านไป
ตามท้องถนน อันยาวเหยียด แห่งการต่อสู้
เหลียวหลังดู ความล้มเหลว และความผิดพลาด เมื่อปีกลาย
หมายเป็นบทเรียน เพื่อการดัดแปลง และแก้ไข เพื่อความสำเร็จ และชัยชนะ เพื่อความหาญกล้า และความบันดาลใจ
มองไปเบื้องหน้า เพื่อประสบการณ์ และการต่อสู้ ที่มากยิ่งยิ่งขึ้น

ซาอิด ซาฮารี

 


.เม็ดทราย หน้า 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9