เม็ดทราย
๓
เดินตามรอยเท้าพ่อ
ฉันเดินตามรอยเท้าอันรวดเร็วของพ่อ โดยไม่หยุด
ผ่านเข้าไปในป่าใหญ่ น่ากลัว ทึบ
แผ่ไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด มืดและกว้าง
มีต้นไม้ใหญ่ใหญ่เหมือนหอคอยที่เข้มแข็ง
พ่อจ๋า... ลูกหิวจะตายอยู่แล้ว และเหนื่อยด้วย
ดูซิจ้ะ...เลือดไหลออกมาจากเท้าทั้งสอง ที่บาดเจ็บของลูก
ลูกกลัวงู เสือ และหมาป่า
พ่อจ๋า...เราจะถึงจุดหมายปลายทางไหม ?
ลูกเอ๋ย...ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนดอก ที่มีความรื่นรมย์
และความสบายสำหรับเจ้า
ทางของเรามิได้ปูด้วยดอกไม้สวยสวย
จงไปเถิด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่บีบคั้นหัวใจเจ้า
พ่อเห็นแล้วว่า หนามตำเนื้ออ่อนอ่อนของเจ้า
เลือดของเจ้า เปรียบดังทับทิมบนใบหญ้าใกล้น้ำ
น้ำตาของเจ้าที่ไหลต้องพุ่มไม้สีเขียว
เปรียบดังเพชรบนมรกต ที่แสดงความงามเต็มที่
เพื่อมนุษยชาติ จงอย่าละความกล้า
เมื่อเผชิญกับความทุกข์ ให้อดทนและสุขุม
และจงมีความสุขที่ได้ยึดอุดมการณ์ที่มีค่า
ไปเถิด...ถ้าเจ้าต้องการเดิน ตามรอยเท้าพ่อ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
จากหนังสือ "ความคิดคำนึง"
โอ้สารอโศก
แพลก! แพลก! แพลก!
เสียงเครื่องโรเนียวปฏิโสต ดังเป็นจังหวะ
มันออกทางหางแทนหัว
ด้วยอัตราทีละใบต่อการหมุน หนึ่งครั้ง
แพลก! แพลก! แพลก!
สารอโศกหลายร้อยหน้าหมุนช้าช้า ออกทีละแผ่น
เพื่อรวมเล่มแจกจ่ายญาติธรรมชาวอโศก โดยเฉพาะ
ให้รู้แนวทางการปฏิบัติของ"อโศก"
แพลก! แพลก! แพลก!
สารอโศกสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมภายใน อโศกกันเอง
ญาติธรรมต่างประสานส่งเรื่องมา
กิ่งไม้หลายกิ่ง ใครฤาจะหักได้
แพลก! แพลก! แพลก!
ฝ่ายคัดเรื่องมือซ้ายถือแฟ้ม มือขวาถือถังขยะ
หาเรื่องให้สัมพันธ์เป็นหมวดหมู่
ฝ่ายศิลป์ระดมวาดภาพอย่างสงบวิเวก
สร้างเส้นสายจนนักศิลป์บางคนคิดว่า นั่งวาดอยู่กลางป่า
ฝ่ายพิมพ์ดีดรัวราวกับประทัดแตก
แพลก! แพลก! แพลก!
สารอโศกสำหรับผู้ใฝ่ใจในธรรมของอโศก
เครื่องโรเนียวถูกตั้งตรงกลางโบสถ์
ในที่ที่เคยใช้บวชพระเณรเสมอ
โบสถ์ถูกเปลี่ยนเป็นห้องโรเนียวชั่วคราว
แพลก! แพลก! แพลก!
ห้องนี้มืดแต่พอเห็น
มันกำลังรอการเกิดของแสงสว่าง ที่ปลายแท่น
ท่ามกลางความสงบ มันกำลังจะระเบิด เป็นเล่มๆ
แพลก! แพลก! แพลก!
ต่างฝ่ายต่างช่วยกัน
ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์แนบแน่น
ทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งมืด ทั้งสว่าง
ตัวเกียจคร้านถูกเลหลัง ขายทอดตลาด ไปนานแล้ว
แพลก! แพลก! แพลก!
สองมือที่แข็งมั่นหมุนขับเป็นจังหวะ
แม้จะคล้ายคีตะที่ลีลาซ้ำซาก
แต่ก็แฝงความหนักแน่น เด็ดขาด และจริงใจ สะอาดใส
แพลก! แพลก! แพลก!
นี่แหละเสียงแห่งธรรมคีตะ
มันกำลังผลิตบทเพลงแห่งการรบ
ให้แก่ผู้เป็นนักรบแห่งความตาย
แพลก! แพลก! แพลก!
นี่แหละเสียงของระเบิดเวลา
ที่จะประกาศสัจธรรมอย่างไม่ขลาดกลัว
แม้เสียงมันจะเบา แต่ก็ก้องกังวานสะท้านฟ้า
แพลก! แพลก! แพลก!
มือนับสิบสิบคู่ที่โอบอุ้มโลก
ช่วยกันเก็บเล่ม เย็บสัน เข้าปก อย่างคึกคัก
แต่ไม่ลืมวิปัสสนาในการงาน ด้วยสติอันแจ่มใส
แพลก! แพลก! แพลก!
ความมืดเริ่มอ้าปากกว้าง
แสงไฟเริ่มส่องสว่าง ไปทุกแห่งหน
เสียงเครื่องปฏิโสตยังคงดัง ด้วยความสำรวม
แพลก! แพลก! แพลก!
ต่างยืนมุงรออยู่ล้อมรอบ
เฝ้าดูการเกิดที่สงบเสงี่ยม เจียมตัวของมัน
ทีละใบทีละใบ ใบแล้วใบเล่า
แพลก! แพลก! แพลก!
เครื่องยังคงหมุนกระเตาะ กระแตะ
ฉันหายใจรอมันอยู่ทุกขณะ
โอ้สารอโศก...ที่รักของฉัน
สิเนรุ
ปาท่องโก๋...เจ้าเก่า
(ขนานแท้ และ ดั้งเดิม)
ร้านปาท่องโก๋ ร้านนี้
ตั้งมาได้ย่างปีที่แปด
ในสมัยต้นต้น
สมัยที่ยังไม่มีลูกค้ามากเท่านี้
ยังไม่มีใครรู้จัก
ยังร่วมขายอยู่ในบริษัทที่ชื่อว่า "สีเหลือง"
ต่างเพียงแต่ทอดคนละกระทะ
ในบริษัทนั้น มีร้านย่อยย่อยนับพัน
ฉันยังเด็ก ยังเยาว์
ยังกระเตาะกระแตะ
หัวใจมีแต่ฝุ่นและคลื่นเปลวไฟ
ได้มาพบร้านนี้โดยบังเอิญ
แม้กระทะทอดปาท่องโก๋ จะติดกันเต็มพรืด จนลานตา
แต่ฉันมาซื้อทุกครั้งก็สังเกตเห็น
เพราะปาท่องโก๋ร้านนี้
ตัวโต เนื้อเยอะ รสดี
และราคาก็ถูกกว่าแผงอื่นๆ
สีของมันโดดเด่นไม่เหมือนแผงไหน
เจ้าของใช้สีกรักผสม
มันจึงข่มปาท่องโก๋ร้านอื่นๆ ให้เคอะเขิน
แต่ว่าร้านนี้เป็นร้านใหม่ เพิ่งเข้าร่วมในบริษัท
ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเชื่อน้ำยา
ลูกค้าบางรายดูถูกฝีมือ ทั้งๆที่ยังไม่กิน
และบางรายก็เดินมาไม่ถึง
เพราะไปติดแผงร้านต้นๆก่อน
เจ้าของบางแผง ทั้งเกลียดทั้งกลัว
ฉันมักจะแอบไปซื้อกินเสมอ
ทุกทุกวัน วันแล้ววันเล่า
เพื่อนของฉันหาว่า สีแบบนี้ไม่ใช่ปาท่องโก๋หรอก
เขาตกใจในสีของมันก่อนกิน
พ่อแม่ของฉันดุด่า
พ่อสงสัยว่าปาท่องโก๋ใส่ยาเสพติด
แม่กลัวว่ากินเข้าไปแล้วจะเป็นพิษ
พวกเขาไม่เคยกิน จึงไม่รู้ว่าปาท่องโก๋ร้านนี้
อร่อย อิ่ม ไม่แพง ถูกอนามัยที่สุด
รอบรอบตัวฉัน
ทุกคนต่างบ่นอยากกินปาท่องโก๋ ที่ดีดีสักชิ้น
แต่เพียงแค่เห็น
พวกเขากลับกลัวที่จะชิม
ฉันยังคงแอบไปซื้อกิน
เจ้าของบอกว่า
สูตรนี้ไม่มีที่ไหนทำกัน
เป็นสูตรของการทำปาท่องโก๋ ที่สมบูรณ์ที่สุด
และมีอายุมากว่า 2,500 ปี
เขาไปได้มาเลยเอามาทดลอง
ลงทุนทั้งชีวิตกว่าจะได้มา...
เสียงเอะอะจอแจโฆษณาร้าน ดังลั่นแก้วหูไปหมด
มันช่างอึกทึกเกินไป
เกินกว่าร้านดีดีอย่างนี้ จะขายที่นั่น
บางเจ้าก็ขาดทุน ขายไม่ออก
เดินคอตกกลับไป
เขาก็ว่าทำอร่อยที่สุดแล้ว แต่ทำไมคนไม่กิน ?
แต่บางเจ้าต้องเรียกเด็ก มาช่วยขนเงิน
เจ้าของแผงนั่งยิ้มหัวร่อร่า
ไม่ยอมสนใจที่จะมองรูปร่าง ของลูกค้าขาประจำ
ว่ามันผอมโกรกไปถึงไหน
โรคร้ายเกาะกุมเพราะปาท่องโก๋ ของเขาอย่างไร
เขาไม่สนใจ
เขาเพียงแต่อยากได้เงิน
แต่บางเจ้าเพียงขอให้มีคน มาออกันหน้าร้าน ก็ชื่นใจ
ซื้อหรือไม่ซื้อไม่สำคัญ
ทุกครั้งที่คนมาออ เขายิ้มอย่างเมตตาที่สุด เท่าที่จะทำได้ในชีวิต
ฉันเดินผ่านบ้านลูกค้าเหล่านั้น
ได้ยินเสียงครวญคราง ดังลอดออกมา
วันคืนติดปีกบินผ่าน
ฝุ่นคลื่นและเปลวไฟ ในหัวใจของฉัน
เริ่มเจือจางทีละน้อย
ฉันรู้สึกแข็งแรงขึ้น
เบาขึ้น
สว่างขึ้น
พ้นทุกข์มากขึ้น
ลูกค้าเริ่มติดใจอย่างรวดเร็ว
ปาท่องโก๋ร้านนี้ ทำให้พวกเราแข็งแกร่ง
งานทอดเริ่มมากขึ้น
หลายต่อหลายคน รวมทั้งฉัน
จะแวะมาช่วยทุกครั้งที่ว่าง
ช่วยพลิก ช่วยหิ้วของ ช่วยใส่ถุง
พวกเราเริ่มสนิทกับเจ้าของร้าน
ทุกครั้งที่พวกเรามาพบกัน
ดูโลกวันนั้นจะสดใสรื่นเริง
ฉันกินไปทอดไป
ตัวเจ้าของค่อยๆสอนสูตร วิธีทำให้แก่ฉัน และเพื่อนเพื่อน
บางคนพอเก่งคล่อง ก็โดดเข้าไปช่วยผสม
สมัครเข้าทำงาน โดยไม่คิดสตางค์
ร้านปาท่องโก๋ร้านนี้
นับวันลูกค้าก็เพิ่มมากขึ้น
ลูกมือมากขึ้น
ต่างก็ทอดกันอย่างสงบ
ทอดและขาย ด้วยความเบิกบานแจ่มใส
ฉันเห็นข้างๆ ร้านเขาทำหน้างอ
บางคนก็หน้าหงิก
ยามที่ลูกค้า ซักถามสูตรมากไป
ผิดกับที่ร้านนี้
ทุกคนยินดีที่จะบอก จะแนะนำ ครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่แล้ว...
ความไม่เที่ยงแห่งสรรพสิ่ง
ก็ได้มาเยี่ยมที่ร้านปาท่องโก้ร้านนี้
ด้วยสีสีนที่แปลกตา ราคาก็ถูกเกิน
ขายดีเป็นเทน้ำ
จนไปแย่งลูกค้าจากร้านอื่นๆ
ทางบริษัทได้รับการร้องเรียน
จึงออกกฎเข้มงวดขึ้น
เพิ่มค่าเช่าแผงอย่างแพงลิบ เฉพาะร้านนี้
บังคับให้เปลี่ยนสูตร การทำปาท่องโก๋ใหม่
รวมทั้งบังคับ ให้เปลี่ยนสีด้วย
ทุกคนทน...ทน...ทน...
ในที่สุด วันนั้นก็มาถึง
เจ้าของร้านมีหนังสือ ไปยังเจ้าของบริษัท
ประกาศแยกตัวออกมา ตั้งบริษัทใหม่
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะ
แต่ลูกค้าก็ยังคงคึกคัก
มากขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ
ใครที่ไม้เคยกินปาท่องโก๋ในชีวิตเลย ก็เพิ่งมาสนใจกันครั้งนี้
ใครที่เคยเบื่อหน่ายเข็ดขยาด ในรสชาติเก่าๆ ก็เริ่มหันมาติดใจ
ลูกค้าประจำหลายต่อหลายร้าน...
เปลี่ยนมาซื้อที่ร้านนี้ จนขายแทบไม่ทัน
จากวันนั้นถึงวันนี้ ๓ ปีมาแล้ว
กิจการได้ขยายใหญ่โต
กระจายสาขาไปทั่วทุกภาค
แดนฯ ศีรษะฯ สันติฯ ศาลีฯ ปราการฯ
ขึ้นป้ายบอกขายอย่างเป็นทางการ
น่าแปลกตรงที่ร้านนี้
ไม่เคยคิดจะหาที่หาทาง ไปตั้งร้านที่อื่น แม้แต่น้อย
แต่ก็มีคนมาเสนอให้
และบางแห่งคนทำมีไม่พอ ก็ต้องปฏิเสธไป
ขณะที่ร้านอื่นๆ กลับเที่ยวหาซอกๆ
อยากจะเซ้งแทบขาดใจ
แต่ร้านปาท่องโก๋ร้านนี้
สนใจอยู่อย่างเดียว
คือการปรุงสูตรให้ดีขึ้น
พลิกแพลงวิธีทำให้เยี่ยมขึ้น
ยึดหลักสินค้าดีตลาดต้องเปิดทาง
และเดี๋ยวนี้ กิจการก็เริ่มแผ่กว้างมากขึ้น
โดยการเพิ่มร้านขายแบบ "หาบเร่"เข้ามาอีก
แม้จะต้องหนีตำรวจในบางครั้ง แต่ก็ขายดี
"แวะชิมหน่อยซิคุณ"...
อโศกาวตาร
๗ สิงหาคม ๒๕๒๑
ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑
ก้าวไปข้างหน้า
ครั้งหนึ่งเราชื่นชมในการเปิดเผย ความชั่วของตน
เพราะในถิ่นนี้เรามาเพื่อขัดเกลา ความชั่วกัน
ธรรมะในใจของเราก็เจริญสูงขึ้นทุกที
สูงขึ้นทุกที...
จนผ่านไปแล้วในช่วงหนึ่ง ของความเจริญ ในกุศลธรรม
แต่ต่อมาไม่นาน
เราหยุด เราพักในการเพิ่มกุศลธรรม
เพราะเรายังเหน็ดเหนื่อย ต่อการสู้กับใจของตน เมื่อครั้งอดีต
จนเราย่ำอยู่กับที่ จนรู้สึกว่าต่ำเลว...
เพียรต่อสักที !!! ทำไมเจ้าช่างพักนานนักเล่า
อย่าประมาทนักเลย มัวลังเลไม่แน่ใจ อยู่เช่นนั้นเล่า
พิจารณาสักที ในการตั้งกรรมฐาน ให้สัจจะกับตนอีกที
เอาละ...เราจะไปต่อ จะตั้งตนอยู่ในความยาก ความลำบาก
แต่! เอ!... แปลกจัง
ทำไมเราเกิดไม่ชื่นชม ในการเปิดเผยความชั่ว ของตนอีกเล่า
เจ้าจิตมายา จิตถือสา จิตอวดดีกำลังมีบทบาท
อ๋อ...มิน่าเล่าทำให้เราหยุดเขียน หยุดพิจารณาตน เผลอใจ-ห่างใจ
ไม่ได้การแล้ว มันรุกหนักทุกที จนดูมันแผลงฤทธิ์ต่อไป ไม่ได้แล้ว
เอาละ...เราจะเริ่มทรมานเจ้า อีกวาระหนึ่งแล้ว
เรา...ต้องยอมรับ และชื่นชมในการเปิดเผย ความชั่วของตน
เรา...ต้องยอมรับสภาพความจริง
เรา...ต้องหมั่นพิจารณาตรวจตน มีเหตุผล
เรา...ต้องไม่หลอกตนเอง
เรา...ต้องไม่มีจิตที่ดื้อ สอนยาก อวดดี
เรา...ต้องล้างจิตที่ออเซาะ ติดสรรเสริญ กลัวนินทา
เราต้องมีความอาจหาญ ในการปฏิบัติธรรม ให้เจริญขึ้น
ทุกขณะคือก้าวไปข้างหน้า
ถ้าล้มก็จงล้มอยู่ในก้าวนั้น อย่าให้มันหลายก้าวนัก
เราต้องถามตนว่า แน่ใจหรือว่าเราจะไปไหน...
เราต้องการอะไรในชีวิต...
สอนตนเข้า สอนตนเข้า สอนตนเข้า
แล้วจงพึ่งตนในการปฏิบัติธรรม
ล้ม กำลังลุก
๓๑ ก.ค. ๒๕๒๑
ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ของบุคคลผู้ใด
ผู้นั้นย่อมรู้ประจักษ์ด้วยตนเองอยู่แล้ว
ความบริสุทธิ์ทำให้ใจชื่นบาน
ส่วนความไม่บริสุทธิ์ทำให้ใจเศร้าหมอง
ผู้เป็นแผล แม้จะไม่มีใครเห็น
แต่ทุกขเวทนาก็เตือนเจ้าของแผล
ให้ระลึกอยู่เสมอว่า ตนเป็นคนป่วย
หาคำตอบจากเธอ
ฉันไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเธอเท่าใดเลย
เพราะฉันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายจริงๆ
แต่ฉันก็ต้องพูดสิ่งนี้กับเธอ เพราะมันเป็นความจริง
ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าต้องพูดสิ่งนี้กับเธอ
เพื่อความเข้าใจดีต่อกันไงล่ะ...!
เพื่อความสบายใจซึ่งกันและกัน
เพื่อพลังที่จะเกิดมาจากความสามัคคี
เพื่อความสวัสดีของส่วนรวม
วันนั้น...ที่เธอ "ตำหนิ" ฉัน
ฉันเผลอตัวให้กับมาร, ฉันรู้สึกไม่สบายใจ อย่างรุนแรง
มันเป็นปัจจุบันทันด่วน, ฉันระงับอารมณ์นั้นไม่อยู่
ฉันได้พูดโต้ตอบกับเธอไปด้วยอารมณ์
หลายคำในคำพูดเหล่านั้น มันไม่เหมาะสมเลย
เธอคงจำได้ ?
เสียงของฉันแข็งกร้าว
นัยน์ตาของฉันแข็งกล้า
กล้ามเนื้อของฉันเครียด
โดยเฉพาะบนใบหน้า
ฉันยอมรับกับเธอตรงๆ ว่า
ขณะนั้นฉันคิดแต่จะเอาชนะ
มุ่งหาเหตุผลหักล้างและกลบเกลื่อน
คำพูดของเธอแต่ละคำที่ตอบมา
มันเหมือนน้ำมันที่ราดไฟ
โอย..! ฉันจำได้ว่ามันทรมานฉันเสียจริงๆ
ถ้าท่านผู้นั้นไม่มาคั่น
จิตฉันมันจะอาละวาดไปอีกอย่างไรก็ไม่รู้
ถ้าท่านผู้นั้นไม่มาร่วมสนทนาแก้ปัญหา
ฉันก็ไม่รู้ว่าจิตฉันจะทุกข์ไปอีกแค่ไหน...?
เมื่อวันก่อนนี้ก็เช่นกัน
ที่เธอ "ตำหนิ" ฉัน
จิตฉันโลดขึ้นมาทันที
แต่คราวนี้ฉันรู้หน้าของมันก่อน
ฉันเห็นมันชัดกว่าคราวก่อน
ฉันได้ให้สัจจะกับตนเองไว้
ฉันจึงไม่ต่อกรกับเธอ
ฉันระงับวจีกรรมเสียได้
แต่ใจของฉันมันก็ยังเกิด
ฉันนำไปทบทวนปัจเวกขณ์
แต่ฉันก็ยังไม่รู้ชัดนักว่า... มันมาจากที่ใด...?
ฉันแปลกใจตนเอง
ทำไมฉันถึงเป็นเช่นนี้..!
ทั้งที่เราได้ปวารณาตัวกันแล้ว
ว่าเราจะช่วยติงเตือนกัน
แต่เมื่อฉันมีข้อผิดจริง
จิตมันกลับไม่ยอมรับ
เธอรู้ไหมว่า มันเป็นเพราะอะไร...?
ฉันงง !!
ก็ในเมื่อฉันจะมาเป็นคนดี ที่คอยแก้ไข
แต่แล้วทำไม กลับมาเป็นคนจัญไร ที่ชอบแก้ตัวเสียล่ะ!!
เธอจะให้คำตอบกับฉันได้ไหม...?
"ยามฉันเห็นดี, ได้กล่าวปวารณา...
ยามถูกตำหนิขึ้นมา, จิตฉัน...ทำไม ไม่รับ...?"
คนอง คำนึง
ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑
การสวดเป็นทำนอง ร้องเป็นสำเนียง
คือการร้องไห้ ในวินัยของพระ
การแต่งท่ากรีดกราย ร่ายฟ้อน
คืออาการของคนบ้า ในวินัยของพระ
การหัวเราะโดยขาดสติ พร่ำเพรื่อ
ไม่สังวรระวังว่าจะสงบ
คืออาการของความเป็นเด็ก ในวินัยของพระ
เพราะเหตุนั้นแหละ จงละเสียโดยเด็ดขาด
ในการสวดร้อง และกรีดฟ้อน
หากว่า เมื่อท่านทั้งหลาย
รู้สึกซาบซึ้งรื่นเริงในธรรม
ก็ควรแต่เพียงยิ้มแย้มเถิด
"พระพุทธพจน์"
พึงเพ่งเพียร เรียนรู้ หน้าที่กิจ
เพื่อชีวิต สรรสร้าง ทางกุศล
พึงเพ่งเพียร และเพียร อย่าเวียนวน
อัตภาพ ของตน ก็"แค่ตาย"
วลีนี้ ลึกซึ้ง ตรึงจิตข้า
ที่เสาะหา มานานนม สมถวิล
ได้พบถิ่น ประเสริฐล้น ไร้มลทิน
มอบชีวิน ถิ่นนี้ไป จนวายปราณ
คั้นออกมาจาก...
สภาวจิต-สภาวธรรม
ของ...ป.ปรีดา
จิ ต โ ง่
มันเป็นความโง่อย่างมหันต์
ที่จิตของฉันหลงไปผูกพันกับเธอ
เพราะมันทำให้จิตใจของฉันเหม่อ
ท่าทางเด๋อเด๋อ, ขาดสติทุกวี่ทุกวัน
บางทีใจเจ็บปวดรวดร้าว
เพราะเฝ้าห่วงใยผูกใจเธอไว้กับฉัน
พอพบเธอทีจิตนี้ไหวหวั่น
ช่างทรมานอัดอั้นฟั่นเฟือนดวงจิต
น่าอัศจรรย์ ! มันทำทุกข์ให้กับฉัน
น่าอัศจรรย์ ! ฉันยังหวงไว้ใกล้ชิด
น่าอัศจรรย์ ! ฉันจึงไล่เลียงความคิด
อ้อ ! จึงรู้ว่ามันวิจิกิจฉา อยากลอง อยากลอง
ต่อแต่นี้ไปจะไม่ให้อาหาร
จะไม่พูดคำหวาน จะไม่ยิ้มหัวเราะ และจะไม่สอดส่อง
จะหมั่นวิปัสสนา ดูซิว่าจิตนี้ใครจะครอง
ความดีปกป้อง หรือจะแพ้กิเลสให้ทุเรศหัวใจ
โปรดเถิด...ใครก็ได้ช่วยฉันที
ช่วยแนะวิธี ช่วยชี้ ช่วยด่า ช่วยหาทางแก้ไข
ฉันจะเชื่อฟังพยายาม ไม่ว่าคำแนะนำใดใด
หากพอทำได้ จะไม่รอช้า เพราะว่าทุกข์เต็มที
ศิษย์อโศก
๒๑ กันยายน ๒๕๒๑
ฉันรักชาวอโศก
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา บำเพ็ญโพธิสัตว์
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา ไม่เสพเนื้อสัตว์
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา เคร่งครัดเรื่องศีล
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา รักอหิงสา
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา ใคร่สั่งสอน
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา กล้าเสี่ยง
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา ก้าวไปได้สวย
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา กำหนดสี(ผ้า)
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา ขันอาสาสู้
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา ไม่สะสม
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา ทานหนังสือ
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา สร้างทีมหนุ่มสาว
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา ชอบพุทธาภิเษก
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา พูดแบบสับ...สับ
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา เป็นหนึ่งไม่มีสอง
ฉันรักชาวอโศก เพราะเขา ไม่โศก
...แต่...ฉันห่วงชาวอโศก เมื่อวัน "โพธิรักษ์ศูนย์"
ชโวธรรม
เมื่อวันโพธิรักษ์ศูนย์
ประกายไฟดวงแรกเมื่อถูกจุดขึ้น
ย่อมเป็นย่อมเกิดของไฟดวงต่อไป อีกนับอนันต์
ให้ลุกโชติช่วงเปล่งประกายเจิดจ้า สว่างไสว
ทำลายเงาทะมึนแห่งขุนเขา ที่บดบังจนหมดสิ้น
และนั่นคือสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุด ของไฟดวงแรก
ที่มันได้สลายรวมไปกับไฟดวงอื่นๆ
จนกลายเป็นดวงหนึ่งดวงเดียวกัน
จากประกายไฟดวงน้อยๆ เพียงดวงเดียว
กลับกลายเป็นดวงประทีป ที่โชติช่วงชัชวาลย์
ส่องแสงสว่างอันโอฬาร เปรียบประมาณมิได้
ยิ่งใหญ่กว่าอานุภาพใดๆ จักดลบันดาล
ก็นั่นแหละคือแสงสว่าง แห่งธรรมประทีป
อันทรงมหิทธานุภาพ แผ่ไพศาล
ไม่มีสิ่งใดอาจต้านทานได้
และธรรมประทีปดวงนี้
ก็จะแผ่ขยายต่อไปๆๆ และต่อไปอีก
ตราบที่ยังมีเชื้อแห่งพุทธะ หลงเหลืออยู่
แสงประทีปแห่งธรรม เมื่อลุกโชติช่วง
ย่อมไม่มีพลังอำนาจใด อาจต้านทานได้
ผู้ตื่นแล้วย่อมตื่นอยู่
และทำหน้าที่ปลุกผู้อื่น ให้ตื่นตาม
เพื่อร่วมพลังเข็นกงล้อธรรมจักร ให้เกริกไกร
สัจธรรมแท้ย่อมไม่โดดเดี่ยว
แต่สัจธรรมย่อมเสริมสร้างสัจธรรม
ให้รวมเป็นมวล เป็นกลุ่ม เป็นกองทัพ
ใช่แล้ว...กองทัพแห่งสัจธรรม
พืชพันธุ์แห่ง "โพธิ" ก็เฉกเช่นกัน
เมื่อได้อุบัติและเติบโตขึ้น เหนือพื้นปฐพี
แตกก้านกิ่งใบให้ความร่มเย็น แก่สรรพสัตว์ทั้งผอง
ได้อาศัยเป็นที่พักพิง อย่างสันติสุข
จึงได้แผ่ขยาย กระจายพืชพันธุ์ออกไป
จาก "โพธิ" เพียงหนึ่งเดียว
เพิ่มทวีขึ้นเป็นสอง...สาม... สี่...ห้า
จนนับสิบ...นับร้อย... นับอนันต์
รวมเป็นมวลมหา"โพธิ" อันไพศาล
บรรลุความหมายสมบูรณ์ แห่งความเป็น"โพธิ"
ด้วยอัตตาได้สูญสลาย กลายเป็นมวลสิ้นเชิง
คงความเป็นอมตะ ชั่วนิรันดร์กาล
ฉันใดก็ฉันนั้นแล... สหายเอย
แม้อัตภาพแห่ง"โพธิรักษ์" จักมอดมลาย
"อโศก"ก็ยังยืนยงคงอยู่
ด้วยว่าอัตตาแห่ง "โพธิรักษ์"นั้น
ได้สลายเป็น"มวลอโศก" แล้วสิ้นเชิง
ฉะนี้แล...แม้ "โพธิรักษ์ศูนย์"
แต่...มวลอโศกย่อมดำรงคงอยู่
เหล่าโพธิบุตรผู้เป็นธรรมทายาท
ย่อมสืบสานเจตนารมณ์ต่อไป สิ้นกาลนาน
ด้วยมโนปณิธานอันแน่วแน่ มั่นคงดังเดิม
ฉะนั้น...ขอสหายโปรดจงวางใจ
อย่าได้ห่วงเลย
"โพธิรักษ์"ได้สูญสลาย ไปนานแล้ว
มีแต่"อโศก"ที่ยังแผ่กิ่งก้าน สาขาต่อไป
ต่อไปๆๆและต่อไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
จนกว่าวันที่ไฟประลัยกัลป์ล้างโลก จะมาถึง
อโศกาวตาร
จอมยุทธแห่งโลกุตตระ
กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้ง ไปกับสายลม
ชีวิตนับแสนนับล้านยังอยู่ ด้วยการข่มเหงกัน
ยินดีต่อการเอารัดเอาเปรียบกัน
พอใจที่จะเชือดเนื้อเถือหนัง ให้ค่อยๆตายไปทีละน้อยๆ
เขาเหล่านั้นต่างชมชอบ ในการประหัตประหาร
คำว่า"ฆ่า" ได้ฝังเข้าไปในสายเลือด ของเขาเสียแล้ว
สุขใดเล่าจะอิ่มเอมเท่า ยามยินเสียงโหยหวน ครวญคราง
ประกายอาวุธวาววับ ตลอดวันตลอดคืน
เสียงอาวุธกระทบกัน ดังสนั่น
ชีวิตร่วงหล่นดังหยาดฝน ต้องปฐพี
รังสีแห่งการฆ่าฟันสาดกระจาย ไปทั่วทุกแห่งหน
และ...ท่ามกลางสำนักยุทธ ที่ตั้งอยู่ดาษดื่น
ที่ฝึกอาวุธและเพลงรบ นานัปการ
บุรุษหนึ่งซึ่งไม่มีใครคาดหมาย
โดดเดี่ยวเดียวดาย ไร้อาจารย์ ไร้สำนัก
ได้ลอบเร้นฝึกปรือเพลงรบ จนจบกระบวนยุทธ
หาญผงาดประกาศศักดิ์ศรี แห่งจอมยุทธอย่างอหังการ
องอาจกล้าหาญท้าทาย ให้พิสูจน์เชิงวิทยายุทธ
ยืนยันมั่นคงว่านี้คือมรรคา แห่งการต่อสู้ที่แท้
ที่หายสาบสูญจาก วงการยุทธจักรไปช้านาน
เนื่องเพราะคัมภีร์ต้นตำรับ ได้ถูกช่วงชิงไป
ตกอยู่ในเงื้อมมือของเหล่า อสูรอาธรรม์
จึงถูกบิดเบือนอำพราง ด้วยเล่ห์ลิ้นจอมมารอสูร
และด้วยเพลงรบที่ดุดัน เฉียบขาด หนักแน่น
จึงไม่มีใครหาญประลองยุทธ ด้วยบุรุษนั้น
ผู้สนใจต่างทยอยมาขอฝากตัว รับถ่ายทอดวิชา
จนก่อตัวเป็นสำนักสอนวิชา การต่อสู้
คนแล้วคนเล่าเดินหายเข้าไป
เงียบ...ทุกอย่างคงเงียบ
ท่ามกลางปรัศนีในหัวใจ ของผู้แอบดู
เพลงรบอะไรกัน... ทำไมไม่มีเสียง ?
ไม่เคยเลยที่จะได้ยิน เสียงอาวุธ กระทบกัน
วันเวลาหมุนผ่าน
ไผ่บางกอเริ่มเติบกล้า
ป้ายสำนักยังคงเด่นตระหง่าน น่าเกรงขาม
เสียงระฆังดังกังวานอย่างวิเวก
ศิษย์จอมยุทธรุ่นใหม่ กำลังจะก้าวสู่โลกกว้าง
ประตูสำนักเปิดออก ด้วยพลังเต็มเปี่ยม
พวกเขาก้าวออกมา อย่างมั่นคงและหนักแน่น
ด้วยท่วงท่าที่สงบสำรวม ราวกับต้นหญ้า
แยกย้ายกระจายไป ตามทิศทางสู่เขตคามต่างๆ
เขาท่องเที่ยวจรยุทธไปทั่ว
ที่ใดมีคนที่นั่นมีเขา
ต้นไม้ขึ้นได้ เขาก็นอนได้
บ้านของเขาอยู่ใต้ขอบฟ้ากว้าง
อยู่ง่ายๆ กินง่ายๆ
ใช้พลังวิเวกจากพฤกษา หล่อเลี้ยงชีวิต
ฟาดฟันฟาดฟันทุกแห่ง ที่มีเหล่าอธรรม
ถ่ายทอดถ่ายทอดทุกแห่ง ที่มีเหล่าวิญญูชน
ยืนยันมรรคาที่แท้ของการต่อสู้
อย่างไม่เห็นแก่ความยากลำบาก
เพลงรบของเขาก้าวสู่ จุดสุดยอด
หัวใจของเขาหลอมรวม เป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธ
เขาใช้ชีวิตหันเหเร่ร่อน ดุจนกน้อยปีกแข็ง
โผผินบินไปตลอดแผ่นฟ้าไพศาล
แมกไม้ยังคงโอนเอน ไปกับสายลม
หน้าที่อันใหญ่หลวง ยังคงรอคอยอยู่เบื้องหน้า
ใช่ไหม... ท่านจอมยุทธแห่งโลกุตตระ ?
-กำเทียนลก-
เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย
ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี
ความชั่วก็อุบัติขึ้น
มีกับไม่มี เกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยากกับง่าย เกิดขึ้นด้วยความรู้สึก
สูงกับต่ำ เกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง
เสียงดนตรีกับเสียงสามัญเกิดขึ้น ด้วยการรับฟัง
หน้ากับหลัง เกิดขึ้นด้วยความนึกคิด
เต๋าเต็กเก็ง
จงทำดีแต่อย่ายึดดี
เย็นวันนั้นเธอคงรู้ได้ว่า ฉันไม่สบายใจ
ฉันพบเธอ สายตาเธอหลบต่ำ รอยยิ้มไม่มีดังก่อน
เสียงถอนใจของเธอ ทำให้ฉันรีบสำรวจตนเอง
ฉันรู้...ฉันรู้ว่า ขณะนี้จิตของฉันกำลังหดหู่
แต่...มันก็ยังดี ยังดีกว่า เมื่อสักครู่ใหญ่นั้น
เธอรู้ไหม, ว่าก่อนหน้านั้น "ฟ้าคะนอง" ณ"แผ่นดินสะเทือน"
คำของพ่อท่านและอริยสงฆ์ มันช่างเสียดแทงฉันเหลือเกิน
ฉันอยากจะหมอบกราบ กลิ้งเกลือก ขอร้องและขอขมา
โปรดรับรู้ในใจฉันเถิด มันเจ็บร้าวระคนแค้นเหลือคณา
สำนึกผิดของฉัน มันมาคั่งแน่นอยู่ในอก
แค้นคับ หนักหน่วง จนทรวงแทบมลาย
"ทำดีแล้วน่ะดี๊ !...แต่ผู้ใดหลงดีแล้วนั้น มันชั่ว"
"เราทุกคนที่มาอยู่ในที่นี้ ไม่มีใครหวังร้าย... ทุกคนต่างก็เจตนาดี
แต่...ใครยึดดี นั่นแหละ เลว !"
"จริง ! ทางโลกเขาต้องยึดดี เอาดีมาล่อ เพราะเขามีเลวมาก"
"แต่เมื่อรู้ดี ได้ดีบ้างแล้ว ยังหลงดียึดดีอยู่ มันก็ยังชั่ว"
โอ๊ย!...หยุดเถอะ หยุดเถอะ พ่อท่าน...
"คนที่ยังทุกข์เพราะดีนั้น เพราะเอาดีไปเพ่งเทียบกับผู้อื่น"
"อย่าลืม ดีนั้นเอาไว้เรียก"ความดี" ไม่ใช่"ให้ยึดดี"
คนอง คำนึง
หน้า ๓
อ่านต่อ เม็ดทราย หน้า 1 | | 2 | | 3 | | 4 | | 5 |
| 6 | | 7 | | 8 | | 9 | | 10
|