เม็ดทราย ๒

สู่ ด ว ง ด า ร า
กงล้อแห่งกาลเวลาถูกบดขยี้ผ่าน ไปนับอนันต์
มันสร้างความปวดร้าวและขื่นขม อยู่ทุกขณะ
ข้าแสวงหามาหลายอสงไขยกัป
หามรรคาสู่ดวงดาราอันแท้จริง
แต่ไม่มีใครสามารถบอกข้าได้
ถึงมรรคาแห่งดวงดาราสายนั้น
ข้าฝันตั้งแต่เด็ก
คิดอยู่เสมอว่า
สักวันจะได้สิงสถิตอยู่ดวงดาราดวงนั้น
ใบไม้ร่วงหล่นดังห่าฝน
หยาดน้ำเกาะกลุ่มระเหย กลายเป็นไอ
ด้วยความร้อนจากเปลวอรุณ ที่เริ่มเจิดจ้า
ไม้ใหญ่น้อยที่ยืนตระหง่าน อย่างท้าทายความเสื่อม
มันเป็นลูกหลานของต้นใหญ่ต้นนั้น
ข้ามิได้นั่งรอโชคชะตา ให้พระพรหมลิขิต
หรืองอมืองอเท้า
ศักดิ์ศรีของข้ายิ่งใหญ่กว่านั้น
ชีวิตของข้า มันก็ควรเป็นของข้า
ข้าต่างหากที่มีสิทธิ์ในตัวของข้า
ธารน้ำสายนั้นตื้นเขิน จนกลายเป็นพื้นดิน
ข้ายังคงแสวงหา
สองเท้าของข้าพาข้าตะลุยไปทั่วปฐพี
ร่ำร้องด้วยความหนักแน่น "หนทางสู่ดวงดารา ?"
เสียงทารกที่แผดจ้า

กรีดม่านแห่งความเงียบให้ขาดวิ่น
เจ้านกหน้าผี กระพือปีกด้วยความหวาด
มันช่างบีบหัวใจของข้าให้ปวดหวาม
มันเป็นห่วงที่ผูกมัดชีวิตทุกผู้ให้สยบ
ระหว่างการแสวงหาทางสู่ดวงดารา
มันได้ฆ่าเพื่อนของข้า นับร้อยนับพัน
มันฆ่าด้วยความหวาน และกลิ่นหอม
เสียงทารกได้แผดร้องอีกแล้ว
มันบีบหัวใจของข้าให้เศร้าหมอง และแหว่งใจ
ข้าชังสิ่งนี้เหลือเกิน
ข้าจะไม่หลงกับดักเยี่ยงนี้ เหมือนอย่างที่เพื่อนข้าเคยเป็น
ทางสู่ดวงดาราอยู่ที่ไหน ?
หลายแห่งที่ข้าหลงดีใจว่าใช่
กลับกลายเป็นภาพมายา ชวนสังเวชใจ
ณ ที่นั้น เขาต่างสาธยายมรรคา กันอย่างศรัทธา
เปล่งกล่าวด้วยความสุขุมและเชื่อมั่น
ขยายให้กว้างไกล และตลบกลับให้เหลือจุดเดียว
ชี้เหลี่ยมชี้มุมและรายละเอียด แห่งมรรคาสายนั้น
ข้าเคลิ้มและหลงใหลในระยะต้นแห่งการค้นพบ
วันเวลาโลกละลิ่วแล่นผ่าน
ข้ายังคงอยู่บนพื้นโลกีย์
คืนเดือนแรมอันมืดหนวก
ขณะที่ไฟชีวิตของข้าใกล้ท้อแท้
ข้าได้พบแสงไฟสาดกระจายออกมา ทั่วร่างของชายคนหนึ่ง
เขาหยิบลูกแก้วอันสุกเย็นให้ข้าไว้
ในที่สุดข้าก็เพิ่งเข้าใจ

ว่ามรรคาอันแท้จริงนั้น มิใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อม
อดีตที่ข้าฟังมา
ที่แท้มันก็คือมรรคา
แต่เป็นมรรคา"บน"ดวงดารา
จะมีประโยชน์อะไร หากสองเท้าของข้า
ยังคงเกาะแน่นบนแผ่นพื้นพิภพนี้
ชายคนนั้นกระจายแสงออกมา พร้อมกับคำพูดทุกทุกคำ
เขาสาธยายให้ข้ารู้ ให้ข้าเห็น
ทิศทางแห่งดวงดารา
และวิธีการสร้างมรรคา
ขุมขนของข้า ชูชันด้วยความปีติ
กล้ามเนื้อทุกมัดระริกด้วยศรัทธา
ข้าได้ทำลายกำแพงแห่งความโง่ทิ้งแล้ว
เสียงฟ้าร้องลั่นคำรามอย่างกึกก้อง
สายฟ้าแล่นแปลบปลาบ ฉวัดเฉวียนรอบตัวข้า
ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งข้าได้
ข้าคือวิษณุเทพ แห่งการสร้างมรรคาอันยิ่งใหญ่
มือของข้าเริ่มปวดระบม และแตกแผล
กายของข้าเหน็ดเหนื่อยระร้าว ไปทุกสัดส่วน
ความทุกข์ยากกับความตั้งใจจริงของข้า
กำลังปะทะกัน อย่างน่ากลัว
คมแดด หนามลม และสันน้ำ
โหมซัดกระหน่ำ จ้วงแทงข้าแล้วแล้วเล่าเล่า
กายเนื้อของข้า วิญญาณของข้าเต้นกระตุกไปทั่ว
ข้าได้แต่แค่นยิ้ม
จงผิดหวังเถอะเหล่ามารทั้งหลาย

หน้าของข้ายังคงก้มมองมรรคา ที่กำลังสร้างอยู่
นานนานครั้งจะมองดวงดาราสักที
ทางที่ข้าสร้างเริ่มยาวขึ้น
เสียงฟ้าร้องได้กลับกลายเป็น เสียงอนุโมทนา
ประกายฟ้าแลบ ได้สลายเป็นแสงตะเกียงส่องทาง
คมแดดได้ลูบไล้ตัวข้า
หนามลมโชยผ่านอย่างแผ่วเบา และนอบน้อม
สันน้ำ ได้นวดข้าทั่วสรรพางค์กาย
ใกล้เข้าไปแล้ว ดวงดาราดวงนั้น
ข้ามองย้อนหลังเห็นโลกอยู่ลิบลิบ
ในไม่ช้า ข้าจะยืนเด่นบนดวงดารา
ด้วยความหนักแน่น ไร้ธุลีทุกข์ และไร้แม้ธุลีสุข

อโศก ๙๖
๑๖ ก.พ. ๒๕๒๑



ฟ้ามีอายุยาวนาน
ดินมีอายุยาวนาน
เหตุเพราะฟ้าและดินมิได้ดำรงอยู่ เพื่อตนเอง
จึงอาจอยู่ได้คงทน

ดังนั้น ปราชญ์ย่อมตั้งตนอยู่รั้งท้าย
และก็จะกลับกลายเป็นหน้าสุด
ละเลยตนเอง
แต่กลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี
เพราะปราชญ์มิได้อยู่เพื่อตนเอง หรือมิใช่
ตัวตนของท่านจึงถึง ซึ่งความสมบูรณ์
เต๋าเต็กเก็ง



สามนิ้วชี้ตัว
ธรรมดาของคน คอยแต่โทษ ว่าผู้อื่นผิดเสมอ
เขาไม่นึกเลยว่า เราชี้โทษเขาเพียงหนึ่ง
แต่โทษของตนอีกสามไม่อาจคิด
เราก็ตกอยู่ในคนประเภทนั้น ด้วยเช่นกัน
ทำไมนะ จิตมันถึงไม่เปลี่ยน ยอมรับความผิดของตน
จิตเรามันคอยคิดว่า ตนถูกเสมอ
ทั้งที่คำสอนเชิงปริศนา ของพระท่านบอกว่า
เราชี้หน้าด่าเขา เพียงนิ้วเดียว
แต่เราชี้หน้าของเราเอง ถึงสามนิ้ว
ทำไมเราไม่คิดละอายบ้างเล่าว่า
เราทุกข์แล้วใช่ไหม ถึงต้องระบายชั่วของเขา
ถึงเราพูดไป ถ้าเขารับได้ก็ดี เขานั้นจะได้ประโยชน์
แต่เราแน่ใจหรือว่า เราเข้าใจเขาถูก
ทุกคนเขามีเหตุผล เป็นของตนทั้งนั้น
ไม่ว่าเขาจะทำอะไรลงไป มันต้องออกจากปัญญาคิด
ที่เขาคั้นมันออกมาอย่างดีแล้วทั้งนั้น
เว้นไว้แต่...เขาเผลอ เป็นโมฆะ
ถ้าเป็นดั่งนั้น
เรามีสิทธิ์เพียง ถามหาเจตนาจริงของเขาเท่านั้น
เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปลงโทษใครเขา ว่าผิดหรือถูก
เพราะเราไม่อาจรู้ว่า เขามีเจตนาซับซ้อนเพียงใด
แต่...ถ้าเรามีโอกาสถาม และทราบว่า
เขาได้ข้อมูลน้อยไป หรือไม่ถูกต้อง
เราก็เป็นเพียง"เสริม" ให้เขาได้ข้อมูลให้มาก
และถูกต้องยิ่งเท่านั้น

เราทำได้แต่เพียงบอกให้เขารู้ ในสิ่งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น
เราไม่มีเลย ไม่มีจริงๆ ที่จะไปถือสิทธิ์ ไม่พอใจ โกรธ เกลียดเขา
เราทำได้แต่เพียงรู้ อย่างดีก็นำมาทบทวนกับตัวเรา
ว่าเราเป็นดั่งเขาหรือไม่เท่านั้น
และก็ควรอย่างยิ่ง เพื่อเราจะได้ปรับปรุงตนให้ดีขึ้น
ไม่ถูกเลย ที่เราจะทำใจของตน ให้หม่นหมองอึดอัด
ไม่ถูกเลย ที่เราจะพยายามรู้เรื่อง ของผู้อื่นมากกว่าตัว
แต่...ก็ไม่ถูกเลย ที่พยายามนำ "รู้ดี"ของตัว อวดข่มผู้อื่น

จ ำ ไ ว้ น ะ เ ร า ส า ม นิ้ ว ชี้ เ ข้ า ห า ตั ว

 


 

คนอง คำนึง
การจะยิงศร ให้ผ่านรูกุญแจ จากระยะไกล
โดยไม่ให้พลาดเลย สักดอกเดียว ย่อมทำได้ยาก
และจะยิ่งยากขึ้นอีก ถ้าจะจักเส้นผม ให้เป็นร้อยแฉก
โดยทุกแฉกต้องเสมอกัน
การจะเข้าถึงความจริง ว่าทุกอย่างย่อมเป็นทุกข์ นั้นยังยากยิ่งกว่า
พระพุทธพจน์




เธอพูดในเมื่อเธอไม่ยอมอยู่สงบ กับความคิดของเธอเอง
เมื่อเธอไม่อาจดำรงอยู่กับ ความโดดเดี่ยวแห่งดวงใจนั้น
เธอก็ยังชีพอยู่บนริมฝีปาก
สำเนียงก็เป็นเครื่องกล่อม ให้เพลิดเพลิน ให้เวลาผ่านไป
และในการพูดของเธอนั้น
ส่วนใหญ่ ความนึกคิด ถูกประหารเสียครึ่งหนึ่ง
เพราะความคำนึง เป็นปักษีแห่งห้วงเวลา
แม้อาจกางปีกออกได้ ในกรงแห่งคำพูด แต่ก็ไม่อาจบินไปได้
ยังมีบางคนในหมู่เธอ ที่แสวงหาคนช่างพูด
ด้วยกลัวว่า จะต้องอยู่เปล่าเปลี่ยว
ความสงัดแห่งความโดดเดี่ยว
ได้เผยให้เขาเห็นอาตมัน อันเปล่าเปลือยของตนเอง
และเขาก็ต้องการหนีมันไป...?

คาลิล ยิบราน




มนุษย์เกิดขึ้นพร้อมกับความทุกข์
ยิ่งมีชีวิตอยู่นาน ยิ่งโง่มากขึ้น
เพราะยิ่งนับวันก็ยิ่งหาทางเสี่ยง
สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือความตาย
น่าสงสารอะไรเช่นนั้น
ที่ดำรงชีวิตอยู่เพื่อไขว่คว้า
หาสิ่งซึ่งไม่มีวันจะจับได้ถึง
กระหายที่จะอยู่รอดเพื่ออนาคต
จนไม่สามาถดำรงอยู่ได้ในปัจจุบัน
จางจื๊อ



เ ร า เ อ ย
เราเอย
แต่ก่อน เจ้าเคยแน่น เคยชื่น ก่อนมา
ไยบัดเดี๋ยว สัมผัสอ่อนย้อย ร้อยเล่ห์มายา จึ่งถูกผูกพัน
ไหนเจ้าว่าแกร่ง ว่าแข็งปานใด
ฤาเจ้ามิรู้กลลวง ร้อยเล่ห์แห่งสัมผัสใกล้เคียง
เราเอย
เจ้าไม่ใช่เขา ไยเจ้าเอาเขามาเป็นเรา
เพียงห่าง ก็โหยหาอาลัย
ยามใกล้ก็ปลื้ม สุขใจ
ฤาเจ้าสยบตน ดุจทาสน้ำคำ
เราเอย !
นับวัน งานเจ้ามากมาย
ความผูกแต่เดิมไม่คลาย จึ่งเจ้าถูกมาจมดิน
สูงเดิมเคยลิ่วมาโลด กลับถด ลดถอย หยุดลง
ฤาเจ้ามุ่งนอก เน้นออกงานไกล
ห่างเว้นตรวจค้นจิตใจ
เราเอย !
งานเจ้าเดิมก่อ จิตใส
เดี๋ยวนี้ กลับข้อง บ่อยขุ่นขัดเคือง นอก-ใน
ห่างจิต เผลอใจ อยู่เนือง
ฤาลืมเรื่องเล่ห์ คนพาล...
เราเอย !
จากจิตเมตตานั่นเอง สัมผัสจึ่งพันผูกเจ้า
หวังอื่น ให้เขา ว่าเราว่าดี ซ้ำดูเหมือนดี แต่มีใดแฝงบดบัง ?
เมตตาพุทธ คือจิตคิดช่วย ด้วยให้พ้นทุกข์-พึ่งตน
หาใช่ใดๆ ต้องการก็พลอยเอออวย ตามจิตเขาอยาก อ้อนมา
เราเอย !
...เราหวัง...เราทุกข์...เราเอง... 
อ.ศ.กำลังสูญ มิ.ย. 21
เราเองนั่นแหละ
คุณเคยเบื่อตัวเองบ้างไหม ?
มองไปทางไหน ก็ดูรำคาญไปซะหมด
...เกิดความเซ็งจับหัวใจ
อยากปิดโลกทั้งโลกให้หยุดการเคลื่อนไหว
ไม่ต้องการได้ยิน ได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่แสนจะจำเจซ้ำซาก
สิ่งไรที่ต้องทำด้วยความไม่เต็มใจ ไม่ทำความเข้าใจ...
มันก็เบื่อ...อย่างนี้แหละ...
ความเบื่อเพราะใจมันดิ้น
อยากทำในสิ่งที่ต้องการทำ ก็ไม่ได้ดังใจ
มันก็เกิดปฏิกิริยาร้อนรน ออกทางจิตใจ
มันดิ้นแรง ดิ้นหนักขึ้นทุกที
เร็วเข้าๆ ... หาปุ่มปิดมัน ให้หยุดพลุกพล่านสักที
เรียกสติของตนคืนมาเถิด อย่าช้า
มันอยู่ ณ หนไหน เรียกมา
จะเรียกร้องให้ใครช่วยเล่า
โธ่ ! ก็จะมีใครเล่า ตัวเราต้องช่วยตัวเราเอง...
ก็เท่านั้นแหละ...ใครจะช่วยเราได้ ?
หยุดสักที...
ฟังนะ จงพิจารณาเข้าใจสภาพ ความเป็นจริงให้มาก
แล้วจะพบคำตอบ
อย่าอ้างโน่นอ้างนี่ ว่าเป็นเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ นอกตนเลย
ก็ตัวเราแหละ ที่เป็นต้นเหตุ
ช่างปรุงแต่ง ทำร้ายตัวเองเรื่อย
หยุดสักที...แล้วจะพบว่า
โลกนี้ตนมีอำนาจเหนือมัน
เออ...ค่อยยังชั่วแล้วใช่ไหม ?

เห็นไหมล่ะ สติอันฟุ้งก็สงบลง... ไม่มีอะไรหรอก
ไม่มีใครทำตนได้หรอก นอกจากเรา ทำตัวของเรา
ให้วุ่นวน หรือไม่...เท่านั้นเองจริงๆ

ใต้ร่มโพธิ์



...เราแบ่งความชื่นชมออกจากงาน
ก็เพราะยังไม่เห็นธรรมชาติอันนี้
เราไม่เห็นวันที่ทำการงาน เป็นวันแห่งความชื่นชม
เราจึงต้องมีวันหยุดพัก
เราไม่พบการพักผ่อนในการงาน
จึงเป็นที่น่าสงสารมาก
แม่น้ำพบการพักผ่อนของมัน ในการไหลไปไม่หยุด
เปลวไฟในการโหมพลุ่งขึ้น
กลิ่นเกสรดอกไม้กระจายฟุ้ง เต็มบรรยากาศ
แต่มนุษย์เราไม่อาจพบ การพักสงบในการงาน
นั่นเป็นเพราะ เราไม่ยอมอุทิศตนเอง
การงานจึงกดบีบเราไว้เสมอ...ฯ
รพินทรนาถ ฐากูร



ว า ย า โ ม
จะทำการสิ่งใดพึงได้คิด
หมั่นพินิจศึกษาหาเหตุผล
ด้วยความเพียรมุ่งหวังตั้งกมล
บรรลุผลเฉิดฉันในบั้นปลาย
อันหนทางไปสู่ความสำเร็จ
ใช่มีเพชรพลอยประดับ ระยับฉาย
อาจมีขวากหนามพาด คอยบาดกาย
สุขสบายทุกข์อยู่ของคู่กัน
หากท้อถอยใจมัวกลัวลำบาก
ชีวีฝากวาสนาดูน่าขัน
คอยให้โชคช่วยชูอยู่ทุกวัน
ชีวิตนั้นหมดค่าน่าเสียดาย
แม้งานใหญ่น้อยนิด คิดไว้เถิด
ถึงจะเกิดอุปสรรค สักมากหลาย
ถ้าตั้งจิตพร้อมพรั่งกำลังกาย
พร้อมขวนขวายก็จะเสร็จสำเร็จไป
ครั้งหนึ่งไม่ถูกต้องสองยังมี
ลองอีกทีใช้ความคิดผิดตรงไหน
หาสาเหตุเสริมต่อข้อข้องใจ
แล้วทำใหม่อย่าให้พลั้ง หยุดยั้งงาน
ความพยายามแท้จริง สิ่งประเสริฐ
เป็นบ่อเกิดคุณค่ามหาศาล
ถึงทรัพย์สินมากล้น พ้นประมาณ
มิเปรียบปานกับค่าพยายาม

พันธุ์ระพี



ร ส
อันว่า "รส" นั้นเป็นบ่อเกิดแห่ง "ชาติ"
ไม่ว่าผัสสะขณะใด ที่ยังมีรสอยู่
จะนำมาซึ่งความกระหาย อยากอยู่ร่ำไป
ตั้งแต่รสอันหยาบต่ำ ของนรกใหญ่
อันมีสิ่งเสพย์ติด การพนัน ผู้หญิงผู้ชาย
มหรสพ-การละเล่น เที่ยวกลางคืน คบมิตรชั่ว
และการเกียจคร้านทำการงาน
ผู้ใดที่ยังหมกมุ่นอยู่กับรสเช่นนี้
ก็ยังเป็นผีนรกอยู่ตลอดกาล
แม้ผู้พ้นมาได้แล้วจากรสขั้นอบายมุข
ก็ยังจะต้องมาเรียนรู้รสของโลกธรรม ๘
อันมี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
ซึ่งนำมากับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ได้
แม้กระนั้น โลกแห่งกามคุณ ๕
อันจะได้มาทางตา เป็นรูป
ทางหู เป็นเสียง
ทางจมูก เป็นกลิ่น
ทางลิ้น เป็นรส
ทางกาย เป็นสัมผัส
แม้รสทางธรรมารมณ์
เป็นอารมณ์เสพทางจิต
ก็จะยังไม่พ้นความเป็นเมถุนเลย
ถึงแม้จะพ้นมาได้ถึง ๓ โลก ก็ยังมี
รสแห่งความสงบ

และรสของความถือดี หลงในความรู้ หลงในความดี
และสุดท้าย เมื่อพ้นจากรสของโลกต่างๆ มาได้แล้วก็ตาม
รสของลาภสักการะ และเสียงเยินยอ
ก็ยังเป็นอันตรายอันแสบเผ็ด ต่อพระขีณาสพได้อยู่เช่นกัน
จงระวัง อย่าประมาท แม้รสใดๆ แม้เพียงประมาณน้อยนิด
ต้องกวาดให้เกลี้ยงสนิท ให้ว่างสะเด็ดจริงๆ
ส.ม.ท.
๒๘ มี.ค. ๒๕๒๑



ผู้ใดได้รับอภิสิทธิ์
ผู้นั้นย่อมตอบแทนความเสียสละของผู้อื่น
เพราะเขาเปรียบเสมือนผู้กินอาหารทั้งหมด
ซึ่งชาวบ้านผู้หิวโหยมอบให้เลี้ยงดูกัน
ด้วยหวังว่า...เขาจะเกิดกำลัง
ดั้นด้นไปหาอาหารจากแดนไกลมา
ถ้าเขากินอาหารของชาวบ้านหมด
แล้วไม่ช่วยอะไรเลย
เขาคือ...ผู้ทรยศ

จูเลียส ไนเยเร



ความลับในทะเลทราย
ณ พื้นทรายอันเวิ้งว้างไพศาล
ยากที่จะหาที่สุด
เหล่าชนเป็นอันมาก ได้ทิ้งกองกระดูกไว้ ด้วยความทรมาน
บนเส้นทางแห่งการเอาตัวรอด
น้อยแสนน้อย ที่จะคลำพบเส้นทางหลุดรอด
มันแห้งแล้ง จนแม้แต่อากาศเอง ก็หายใจไม่ออก
ร้อนระอุจนเม็ดทรายเต้นเร่า ด้วยความเจ็บแสบ
ทะเลทรายผืนนี้ มักจะตั้งไว้
ณ ปลายสุดแห่งความเพลิดเพลิน
ขณะที่มนุษย์กำลังหลงระเริง
เขาต่างก็ไม่รู้ตัวเลยว่า
ได้ยืนอยู่ที่ทะเลทรายแต่เมื่อใด
ทุกวินาทีที่วิ่งผ่าน
ความตายมาพรากวิญญาณไปเร็ว ราวจักรผัน
ร่วงหล่นยิ่งกว่าเม็ดฝน
เสียงร้องครวญคราง ระงมไปทั่วท้องทะเลทราย
บางคนกลับหัวเราะชอบใจ อย่างหลงระเริง
แต่บางคนเริ่มรู้ตัว เขากำลังตกอยู่ในกับดักสัตว์อันยิ่งใหญ่
เขาเริ่มดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
เขาเริ่มคิดและเริ่มสังเกต
ดูจุดหมายที่ใกล้ที่สุด ที่จะทำให้เขาพ้น
พวกเขาต่างชักชวนกัน
ชี้เหตุชี้ผลกัน
ต่างพยักเพยิดด้วยความเห็นจริง
จากทีละคนก็ได้กลายเป็นกองทัพ
กองทัพที่จะทะลวงผ่านทะเลทราย

ทุกคนกำลังฮึกเหิมและตื่นเต้น
เดินเป็นแนวยาวเหยียด
เหยียบย่ำไปบนเม็ดทราย อันร้อนระอุ
ผงคลีเม็ดทรายปลิวกระพือ เป็นม่านหนาทึบ
พวกเขาเดินผ่านกลุ่มชนที่ยังหัวเราะกัน อย่างสนุกสนาน
พลางบอกกล่าวถึงการติดกับอยู่ในทะเลทราย
พวกฉันกลับหัวเราะ เยาะเย้ยและถากถาง
กองทัพผู้รู้ทัน ย่ำเท้าบดลงบนเม็ดทราย
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
ผ่านกองกระดูกอันขาวโพลน
ผ่านเสียงหัวเราะอันเกลื่อนกล่น
ผ่านเสียงร้องไห้อันตื่นตระหนก
ระยะทางจุดหมายยังอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา
การรอคอยยังคงนั่งคุยกัน ด้วยความสนุก
กองทัพของผู้แสวงหา เริ่มกระจัดกระจาย
เริ่มล้มหายตายจากไป
กลุ่มที่อยู่หน้าสุด เริ่มทิ้งช่วงกลุ่มหลัง
หลายร้อยหลายพันปีแสง
ต่างตะโกนให้รอคอย
แต่กลุ่มหน้าจะหยุดรอได้อย่างไร
เปลวเทียนกำลังเผาผลาญ
แสงไฟกำลังจะริบหรี่ลงทุกขณะ
เชื้อเพลิงชีวิตกำลังใกล้จุดดับทุกที
ไม่มีใครรอใคร
คงเหลือแต่เสียงตะโกนตอบโต้กัน
ท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง
ประสบการณ์ที่ได้ผจญมา

ทำให้บางคนเริ่มได้คิดว่า
ความชักช้าคือปราการอันแข็งแกร่ง ที่ขวางกั้นทางสำเร็จ
เขาจะถึงจุดหมายได้อย่างไร หากตัวเองยัง"หนัก"อยู่
ตัวเองยังเต็มไปด้วยภาระ และสิ่งของมากมาย
สิ่งที่เขาแบกอยู่ คือตัวถ่วงให้ล้า
และเชื่องช้ายิ่งกว่า การคืบคลานของลูกหอยทาก
พวกเขาเริ่มได้คิด และบอกต่อๆกัน
การเดินทางไกล จำต้องมีความคล่องตัว และรวดเร็ว
แสงตะวันกำลังใกล้จะจมหาย
ชักช้ากันไม่ได้อีกต่อไป
แต่แล้วความขัดแย้งก็เริ่มเกิดขึ้น
บางพวกกลับเห็นว่า ควรแบกภาระไป
มีวัตถุสิ่งของอะไร ก็ขนไปเพียง"เท่าที่" ขนได้เท่านั้น
พวกเขาต่อรองกันและขัดแย้งกัน
บางพวกจึงประณามพวกแรกว่าโง่ ว่าทรมานตัวเองเปล่าๆ
การออกจากทะเลทรายนั้น ควรมีของติดตัวไปด้วย
ในที่สุดทุกคนก็ต่างทำ ตามความคิดของตัวเอง
พวกที่อยู่เบื้องหน้าเริ่มทิ้งๆๆๆ
ทิ้งอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่ออเซาะตัวเอง
แต่พวกหลังพอจะหยิบอะไรทิ้ง กลับเห็น"จำเป็น" ไปหมด
ของของเขาจึงยังคงเต็มตัว
ความหนักหน่วงแห่งสิ่งของ ก่อความเหน็ดเหนื่อย และเมื่อยล้า
ขาที่ก้าวก็เริ่มหนัก ราวกับแท่งหิน
และดวงตาก็เริ่มพร่ามัวลง
จนบางครั้งพวกเขา ต่างเดินวนเวียนกัน
และยังมีบางพวกอีกเหมือนกัน
เขาได้สร้างความรัก ขึ้นผูกพันตัวเอง

และปลอบใจอยู่ตลอดเวลาว่า
เขาจะพาทั้งครอบครัว ให้หลุดพ้นจากทะเลทราย อันกว้างใหญ่แห่งนี้
แต่ขณะที่เขาคิด ทุกครั้งที่เขาก้าว
ก็ต้องเดินเหลียวหลัง กลับมาพยุงลูกๆ และคู่ชีวิต อยู่ตลอดเวลา
กองทัพแห่งการเดินทาง เพื่อหาความชุ่มฉ่ำ กำลังเริ่มห่างกันมากขึ้น
เสียงกู่ร้องตะโกนให้ทิ้งภาระ เริ่มจางลง
กลุ่มหน้าสุดซึ่งขณะนี้ โดดเด่นเพียงกลุ่มเดียว
กำลังเริ่มคึกคักแจ่มใส
หัวใจทุกดวงกำลังเบิกบาน
เขาเริ่มทำตัวเองให้น้อยลง
ทำตัวให้ง่ายๆ
ทำตัวเองให้เป็นไท จากวัตถุสิ่งต่างๆ
ความเร้นลับแห่งการเดินทาง ได้ถูกพวกเขาค้นพบ
ความพิสดารของการเดินทาง ได้ถูกเจอะเจอ
พวกเขากลับพบว่า
ความขลาดกลัวต่อชีวิต ไม่สามารถถึงเป้าหมายได้
และการกล้าทิ้งวัตถุข้าวของ
กลับทำให้ชีวิตเต็มไปด้วย พลังอันเปี่ยมล้น
ความกล้าทิ้งนั้นแหละ คือจุดตัดสินของชีวิต
มันมิได้เป็นการทรมาน แต่อย่างใด
แต่กลับเบาสบายและกล้าแข็ง
ยิ่งทิ้งมาก พวกเขายิ่งแข็งแกร่ง
ความเร้นลับพิสดาร ได้ถูกค้นพบมากขึ้น
และยิ่งกว่านั้น พวกเขากลับพบว่า
ความสุขคือ เครื่องบั่นทอนกำลัง
อารมณ์ที่หวั่นไหว ในสิ่งต่างๆ
คือเครื่องฉุดกระชากให้เนิ่นช้า

การสร้างภพต่างๆ ในจิต
ดุจดังหลักที่ตอก มิให้เท้าก้าวผ่านพ้น
ณ บัดนี้
ใบหน้าของพวกเขา เริ่มสุขเย็น
ท่ามกลางแสงตะวัน อันร้อนระอุ
พวกเขากลับเป็นจันทรา อันเนียนตา
มุมปากของพวกเขา กว้างขึ้นนิดๆ
ตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า
ขณะนี้ ความเร้นลับแห่งการเดินทาง
ได้ถูกพวกเขาค้นพบ จากประสบการณ์ ที่กล้าเอาจริงอีกแล้ว
พวกเขาได้พบวิธีตอบโต้ ต่อสภาพแวดล้อม อย่างถึงพริกถึงขิง
รู้จักปรับเปลี่ยนพลังข้าศึก อันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ให้กลับกลายเป็นพลังมวลมิตร ได้อย่างน่าตื่นใจ
ศัตรูแข็งขึ้น พวกเขาก็แกร่งตาม
พายุร้ายถูกปรับเปลี่ยน ให้เป็นสายลมเอื่อย
เปลวแดดอันร้อนพล่าน กลับกลายเป็นไอเย็น ที่ชวนเคล้า
สายฟ้าที่ฟาดฟัน กลับกลายเป็น แสงตะเกียง
เสียงขู่คำรามอันไกลโพ้น กลับกลายเป็นเสียงปลอบประโลม
ความสุข กลับกลายเป็นความสงบ
ความหวั่นไหว กลับกลายเป็นขุนเขา
สิ่งที่ปลิวว่อนมากระทบ
เคยสร้างความชอกช้ำบาดเจ็บ มานักต่อนัก
ได้กลับกลายเป็นดอกไม้ ที่กลิ่นหอม ทวนกระแสลม
หนทางเบื้องหน้าไม่ไกลนัก
พวกเขาเห็นสีตัดกัน ระหว่างเหลืองกับเขียว
ระหว่างเม็ดทรายกับใบพฤกษ์
ในเวลาไม่นานนัก

พวกเขาก็จะข้ามพ้นทะเลทราย ที่แสนหฤโหด
สองเท้าของพวกเขา กลับก้าวอย่างช่ำชอง
เร่งดุจมัจฉา ที่แหวกว่ายในสายธาร
ราวกับมิได้เดินทาง มานานแสนนาน
งานของเขากำลังอยู่เบื้องหน้า
หลังจากก้าวพ้นเขตทะเลระทม
คือกลับมาช่วยฝูงชน ที่ยังหลงตกอยู่ในวังวน แห่งเม็ดทราย

อารยัน




ความจริงบาปอกุศลไม่ใช่หมดไป
และบุญกุศลไม่ใช่มีบริบูรณ์ขึ้น
เพราะเหตุแต่เพียงโกนผม
กับเอาผ้าเหลืองหุ้มตัวเข้าเท่านั้น
นั่นเป็นเครื่องหมายเพศ
ต้องอาศัยการศึกษาเล่าเรียน
และประพฤติให้ถูกต้องเต็มบริบูรณ์ ตามหน้าที่
ถ้าบวชแล้ว ไม่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
กลับทำความเสียหาย ก็ยิ่งจะซ้ำร้าย
สู้ผู้หญิงผู้ชายบางคนที่เขาไม่ได้บวช
แต่ประพฤติดี ไม่กระทำโทษทุจริตไม่ได้

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์



ตั ว อ ย่ า ง เ ล ว
เมื่อตอนเด็กเล็กอยู่เรารู้ว่า
เราพูดจาเหลวไหลเป็นได้หวาย
การโกหกคนเป็นผลร้าย
จะทำลายตัวเราแม่เฝ้าเตือน
เมื่อตอนอยู่โรงเรียนเพียรศึกษา
ครูสอนว่าถ้าหากอยากมีเพื่อน
ต้องพูดจริงกับมิตรอย่าบิดเบือน
คำพูดเหมือนโยงใยแห่งไมตรี
ตอนอยู่วัดหัดอ่านใบลานเทศน์
ก็พบเหตุหนึ่งว่าชูราศี
มุสาวาทาเวรมณี
คือศีลที่นำตนให้พ้นภัย
จึงจดจำคำพระมานะเชื่อ
เพียงหวังเพื่ออนาคตจะสดใส
แต่เหลียวมองรอบตัวทั่วๆไป
ชักท้อใจเมื่อเห็นความเป็นจริง
บางคนที่เราทราบน่ากราบไหว้
กลับเหลวไหลเลอะเลือนเหมือนผีสิง
พูดกลับกลอกหลอกลวงน่าท้วงติง
ทั้งชายหญิงทิ้งหมดรสพระธรรม
เมื่อตัวอย่างทางดีมันมีน้อย
ความชั่วคอยคลุมใจชวนใฝ่ต่ำ
ไม่นานหนาฟ้านี้คงสีดำ
เพราะผู้นำทำทางตัวอย่างเลว

คุณธรรมของเธอนั้นอยู่ในความเฝ้ารอ
ความบรรลุธรรมอันยิ่งใหญ่ของเธอเอง
และความเฝ้ารอนั้นก็มีอยู่ในทุกตัวคน
ความเฝ้ารอของเธอบางคนนั้น เป็นประดุจสายน้ำ
พุ่งไปด้วยกำลังแรง สู่ห้วงสมุทร
นำเอาความลี้ลับของเนินเขา
และบทเพลงของแนวป่า ไปพร้อมกับตน
และในบางคน...
มันก็เป็นธารน้ำ ไหลเรียบวกวนไปมา
และอ่อยเอื่อยอยู่กว่าจะถึงฝั่งทะเล
แต่...ขออย่าให้ผู้รอคอยอย่างจริงจัง
กล่าวแก่ผู้ไม่เฝ้ารอเท่าใดนักว่า...
เธอยังมัวชักช้า และหยุดอยู่ด้วยเหตุใด
ด้วยผู้ทรงคุณธรรมแท้จริงนั้น
ย่อมไม่ถามผู้เปล่าเปลือยว่า...
เสื้อผ้าของเธออยู่ไหน
หรือถามผู้ไร้บ้านว่า...
บ้านของเธอเป็นอะไรไป
คาลิล ยิบราน


 


เมื่อเป็นความผิดพลาด
ที่เกิดจากการกระทำของตนเอง
ตนเองสมควรมีขวัญกล้ารับผิด
ทั้งไม่ต้องโทษฟ้าตำหนิคน
และไม่ต้องผลักไสภาระ
มาตรว่าไม่ได้ผิดมากมาย ตามที่ผู้อื่นคาดคิดไว้
ก็ไม่ต้องเลียนเยี่ยงสตรีจัดจ้าน ร้องด่ากลางตลาด
ประพฤติเช่นขอทาน ฟ้องร้องนายอำเภอ
เที่ยวอธิบายต่อผู้คน ไปทั่วทุกแห่งหน
โก้วเล้ง



ใช้บุญเป็นอาวุธปล้นศาสนา
เขาชูธงธรรมจักรกับรถยนต์ไว้
แล้วขึ้นเรี่ยไรผู้โดยสารที่มา
อ้างบุญกุศลเพื่อปล้นศรัทธา
อ้างศาสนาขูดรีดผู้คน
มากมายเหลือเกินหาเงินเข้าวัด
ของเรี่ยไรระบาดอ้างการกุศล
วันหนึ่งหลายครั้งทั้งที่ยากจน
รำคาญเหลือทนก็ต้องจ่ายไป
แข่งขันกันสร้างแต่ทางวัตถุ
สร้างโบสถ์เมรุกำแพงใหญ่ใหญ่
แต่พระปัญญาอ่อนย่อหย่อนวินัย
เสื่อมความเลื่อมใสเรี่ยไรทั้งปี
ผ้าป่าแปดหมื่นสี่พันกอง
เอาเงินไปฉลองมีหนังดนตรี
สุราการพนันฟลอร์โชว์กาลี
ล้วนสิ่งบัดสีอ้างว่าทำบุญ
ขอวิงวอนเถิดเราเกิดเป็นไทย
อย่าปิดถนนเรี่ยไรเลื่อมใสมันสูญ
เป็นไทยอิสระในการทำบุญ
อย่าบังคับเลยคุณขมขื่นศรัทธา
รักศาสนาแท้ต้องปฏิบัติธรรม
เชื่อกฎแห่งกรรมถือศีลทั้งห้า
เคร่งครัดในศีล สมาธิ ปัญญา
อย่าทำบุญเอาหน้าวิปัสสนาหาเงิน
พระโพธิแสนยานุภาพ




ป่าช้าในตัวเรา
มนุษย์เอยจะกลัวไย ต่อร่างไร้ซึ่งวิญญาณ
แตกดับมลับลาญ ก็เรียกศพเสมอกัน
ตอนเป็นสิน่ากลัว จงดูตัวของเรานั่น
คือป่าช้าอนันต์ ศพหมื่นพันนำมาฝัง
ปากน้อยนี้หลุมศพ ที่กลืนกลบอสุภัง
เป็ดไก่หมูกุ้งกั้ง วัวควายทั้งหอยปูปลา
เนื้อนกสัตว์บกน้ำ มากมายล้ำจะพรรณนา
มนุษย์นำมาฆ่า เลือดไหลบ่าคร่าชีวี
เฉือนเชือดกินเลือดสด ซ้ำว่ารสอร่อยดี
เหี้ยมโหดหมดปรานี มิเมตตาการุญกัน
กินเนื้อเขาโอชา แกงต้มพล่าทุกคืนวัน
สรวลเสเฮฮาลั่น กินแกล้มเหล้าเหลือเมามาย
พอตนต้องมีดบาด ร้องหวีดหวาดจะวางวาย
ซุกหัวเพราะกลัวตาย บ่นเจ็บปวดรวดร้าวทรวง
สัตวโลกจงตริตรอง อย่าลำพองให้ใหญ่หลวง
รักใคร่กันทั้งปวง อย่าคิดกินแต่เนื้อเขา
น้อมนำเอาธรรมะ ชำระจิตอย่าคิดเบา
อบรมบ่มตัวเรา ให้เพียบพร้อมด้วยเมตตา
อย่าเหยียดโกรธเกลียดกัน ต่างยึดมั่นอหิงสา
โลกนี้จะโสภา สบสุขสันต์นิรันดร

พันธุ์ระพี



โ อ้ ฉั น
โอ้...ฉัน!
น้ำตาซึมสะอื้นไห้อย่างซ่อนเร้น
ขอบใจ ขอบใจ"เราเอย" ที่เตือนมาในสารอโศก
ใช่แล้ว เมื่อก่อน ฉันแกร่ง ฉันแข็ง
แต่เดี๋ยวนี้ กลับอ่อนจนย้อย แฝงจริตมายา
สูงเดิมเคยลิ่วทะยานดุจอินทรีโฉบฟ้า
ฮึกเหิมดุจขุนศึกผู้คะนองรบ
ตอนนี้เล่าไฉนจึงขุ่นมัวง่าย
ยามตื่นนอนหน้าฉันก็เศร้าสร้อย และหมองหม่น
ยามพบสิ่งไม่ถูกใจฉันก็ทิ้งวางเฉย
ฉันทำไม่รู้ไม่ชี้
ดับฝังไว้ในก้นบึ้งแห่งดวงใจ
โอ้...ฉัน!
นับวันเริ่มแล้งน้ำใจ
ใครจะเป็นอย่างไร ไม่เกื้อกูลเอาใจใส่
ยึดถือกรรมฐานตัวเราจนสุดโต่ง
เลยเถิดไปไกลแสนไกล จนกู่ไม่กลับ
โอ้...ฉัน!
จิตใสก็กลับคล้ายหมอกกั้นยามเช้า
หวาดผวาทุกครั้งที่อกุศลก่อเกิด
ฉันกลัว...กลัวเหลือเกินที่มันโผล่ขึ้นมา
จนลืมที่จะกล้าประจัญซึ่งๆหน้ากับมัน
ฉันพอใจ...
พอใจที่จะให้ปีศาจร้ายนอนหลับ อยู่ภายในวิญญาณของฉัน
โอ้...ฉัน!
นับวันเริ่มปวกเปียก
แม้ทิ้งทุกอย่างมาแล้ว
แต่โอ!...เพียงห่างก็โหยหาอาลัย
ยามใกล้ก็ปลื้มสุขใจ...
หารู้ไม่ว่านี่คือ "การหลงทางครั้งยิ่งใหญ่" เสียแล้ว
โอ้...ฉัน!
โง่หลงทำงานสายตัวแทบขาด
ด้วยคิดวาดว่านี้คือ การปฏิบัติธรรมตัวแท้
แต่ใครเลยจะคาดคิด
ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นแค่"ประโยชน์ท่าน"
แต่"ประโยชน์ฉัน"ล่ะ หล่นหายไปไหน
ฉันขุ่นง่าย เคืองบ่อย
ถือการงานเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ
คือมองว่านั่นคือ อุบายประกอบ เพียงส่วนหนึ่งของชีวิต
"ฆ่ากิเลส จับผัสสะ ฆ่ากิเลส"
วลีนี้ฉันทำหล่นไปเมื่อไหร่ จำไม่ได้
โอ้...ฉัน !
นับวันก็ดับเครื่องเก่ง
นับวันก็เคืองง่าย ความไม่ชอบเกิดถี่ถี่
นับวันก็ไม่รู้ไม่ชี้ได้ชำนาญ
นับวันก็ออดอ้อนบ่อย
โอ้...ฉัน !
ไฉนจึงละเลยประโยชน์ตนปานฉะนี้
เจ็บปวดในหัวอก
คิดถึงควายที่เคยไถนา หามรุ่งหามค่ำ
เหนื่อยแสนเหนื่อย หนักแสนหนัก
ผลิตเมล็ดข้าวให้คนอื่นอยู่รอด
แต่ตัวเองต้องทนเคี้ยวซังข้าวแห้งๆ เพียงกันตาย
โอ้...ฉัน!
จะเอาแค่ไถนา หรือจะปฏิบัติธรรม
สิวลี
ครอบครองความเป็นสุญตาไว้
รักษารากฐานแห่งความสงบไว้
สรรพสิ่งมากมายล้วนกำเนิดขึ้น
และดำเนินไปตามวิถี
ข้าพเจ้าได้คอยเฝ้ามองสรรพสิ่ง
กลับไปสู่ต้นกำเนิดเดิม
เพื่อพักผ่อนอย่างสงบ
เหมือนกับพืชพันธุ์
ที่เติบโตผลิดอกออกผล
แต่กิ่งและช่อใบมากมาย
ที่สุดก็ต้องกลับไปสู่รากฐานเดิม
คือปฐพีที่ให้กำเนิด
การกลับไปสู่รากฐานเดิมที่ให้กำเนิด
คือความสงบ
เรียกว่ากลับไปสู่ธรรมชาติเดิมของตน

เต๋าเต็กเก็ง


 

เพียงหยดน้ำ ก็ยังสามารถทำลาย
ให้หินกร่อนสลายไปจนหมดได้ ฉันใด
ถ้าสื่อสารมวลชน ทุกประเภท ทุกแบบ
ไม่ช่วยกันลดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสประโลม
อันนำมาเชื่อมโยงไปสู่กามราคะ ลงไปให้ได้
ด้วยมาตรการเอาจริงเอาจังแล้ว
คดีข่มขืน-ฆ่า ก็จะนับวันเพิ่มขึ้น หายนะยิ่งขึ้น
ได้อีกเสมออย่างแน่นอน ฉันนั้นฯ

ปฏิโสต


 

คืนสู่เหย้า
ณ ลานนั้นที่ชื่อว่า "ลานอโศก"
หลังจากการรอคอยและถวิลหา อันยาวนาน
ถึงนักรบสีกรักผู้สร้างเพลงรบ แห่งธรรมลีลาอันเกรียงไกร
ผู้บุกทะลวงเหล่ามาร ด้วยความเผ็ดร้อน และแข็งกร้าว
ยืนเด่นกระชับมั่น ด้วยธรรมาวุธ ที่เจิดจ้า
ตระหง่านเหนือยอดเขาศิลาแลง แห่งอวิชชา
ท่ามกลางแมกไม้ลานอโศก
นักรบสีกรักได้เปล่งธรรมโฆษ อย่างอาจหาญ และท้าทาย
ท่ามกลางชุมชนอันหนาแน่น
นักรบสีกรักได้ฝากกระบวนยุทธ แห่งธรรมบท ฝังไว้ในวิญญาณ ทุกทุกดวง
จะหาใครเล่ากล้าหาญปานฉะนี้
จะหาใครเล่าแยกดำแยกขาว ได้เด็ดขาดเท่า
และจะหาใครเล่า กล้าประกาศโลกุตระ อย่างจริงใจ
แยกแยะ เบื้องต้น-กลาง-ปลาย อย่างถี่ยิบ
หงายของที่คว่ำให้เปิดออก
ดึงดอกฟ้าให้โน้มต่ำ ใกล้ดอกหญ้า
หลายปีที่จากไป ลานอโศกยังคงวังเวง และเงียบเหงา
ด้วยหัวใจซึมเศร้า ด้วยหัวใจที่ไร้พลัง
กิ่งใบร่วงหล่น ทับถมกันอีกหลายชั้น
เพื่อนๆของมันที่เคยเป็นร่มเงา ให้นักรบสีกรัก ถูกโค่นฆ่าลง
บรรยากาศเริ่มมัวพร่าและอึดอัด
"นักรบสีกรัก ท่านอยู่ที่ไหน ?"
และแล้ว ดุจเสียงก้องสะท้อนตอบกลับมา
"เราอยู่นี่ ๆ ๆ ๆ ..."
ท่ามกลางท้องฟ้า ที่ไร้เมฆหมอก

พายุฝนก็ได้โหมกระหน่ำ อย่างอ่อนหวาน
แสงสว่างลุกโพลงไปทั่วลาน ผู้น่าสงสาร
ดอกอโศกผลิแตกเต็มต้น อย่างยินดี
"มาแล้ว มาแล้ว นักรบสีกรักมาแล้ว"
ใบของมันเอนซบ บอกต่อๆกัน อย่างเริงรื่น
ชายหนุ่มบอกลูกน้อยอย่างตื่นเต้น
พิราบน้อย กระพือปีกดังสนั่น
ด้วยท่าเดินที่สำรวมและจริงใจ ยังเหมือนเดิม
เชิญพักใต้ร่มของเรา "ท่านนักรบ"
ชายจีวรสีกรัก กระจัดกระจายไปทั่ว อย่างลานตา
อา! นี่หรือทายาทของนักรบ ผู้เกรียงไกร
นั่นไง ผู้กำลังเร่งเพียร เตรียมตัวสืบทอด เป็นทายาท
เสียงกระหึ่มบอกกล่าว ของฝูงชนที่จำอดีตได้ ดังราวกับฝูงผึ้ง
"นั่นไง นักรบสีกรัก นักรบสีกรัก นักรบสีกรัก นักรบสีกรัก..."
ท่ามกลางความตื่นเต้น
แสงสีอันเจิดจ้า พลันลุกโชติช่วงขึ้นอีกวาระ
แตรสังข์แห่งธรรมกู่ร้องขึ้นอีกครั้ง
กลองรบถูกลั่นขึ้น อย่างเสียดวิญญาณ
ธรรมทายาทนักรบสีกรัก กระชากธรรมศัตรา ออกจากดวงใจ
ประกายอาวุธส่องสะท้อน กับแสงโลกีย์อยู่วาววับ

เริ่มแล้ว! เริ่มแล้ว!
๙.๐๐ น. ยามเช้าของวันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
เริ่มแล้ว...
ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ให้สิ้นเกลี้ยง
กงล้อแห่งธรรมจักร หมุนฉวัดเฉวียน
กระแสแห่งธรรม ไหลบ่าทะลัก เข้าสู่สมรภูมิ
ตายเถิด เพื่อความสุขเย็น อันสดใส
การต่อสู้ยังคงเป็นไป อย่างเลือดพล่าน

แสงสว่างเริ่มกล้าชัด
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ของเหล่ามาร ดังระงม
ศิษย์ศากยะประจัญบาน อย่างฮึกเหิม
โอ ! เพลงธรรมยุทธ อันยอดเยี่ยมประเสริฐนัก
ช่างถอดแบบได้ดุจเดียวกับ นักรบสีกรักท่านนั้น
ด้วยรอยยิ้ม
ด้วยความสงบ
ด้วยความผ่องใส
แนวรบขยายกว้างไกลออกไปอีก
เหล่ามารเริ่มแตกพ่าย

๒๑.๐๐ น. วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
กลองรบหยุดตีแล้ว
ความมืดสลัวหนีหายไป
ซากศพริปูเกลื่อนไปทั่วพื้น
กลิ่นหอมทวนกระแสลมมา อย่างเจือจาง
เสียงอึกทึกถูกปิดปากไปนานแล้ว
ละอองแห่งธรรมคืนอาวุธเข้าในวิญญาณ
เดินเป็นแถวยาวเหยียดกลับสู่สำนัก ด้วยความสำราญ
ทิ้งไว้เฉพาะแสงสว่างเหนือสมรภูมิ
ที่จะไม่มีแสงใดมาดับรัศมีลงได้

ลานอโศก
31 กรกฎาคม 2521



แผ่พระคุณเพื่อหวังผลตอบแทนนั้น
เป็นความผิดพลาดมหันต์ยิ่ง
ความเคียดแค้นชิงชังมากหลาย
มักเกิดขึ้นจากการทวงถามบุญคุณ ให้ตอบแทน
ผู้พึงพอใจในการบุญที่แท้จริง
คือผู้มีความสุขสมใจ
หลังจากได้แผ่บุญกุศลไปแล้ว
โดยไม่หวังได้รับการตอบแทนอย่างไร
แผ่พระคุณให้ผู้อื่น
ก็นับเป็นการตอบแทนต่อตัวเอง ที่ใหญ่ยิ่ง
นิรนาม
จาก.. สารอโศกปีที่ 1 ฉบับที่ 12 กรกฎาคม 2521

.หน้า ๒

อ่านต่อ เม็ดทราย หน้า 1 | 2 | | 3 | | 4 |

| 5 | | 6 | | 7 | | 8 | | 9 | | 10