เม็ดทราย ๒๐

เสียงกระซิบแห่งอนันตภาพ
หมู่เมฆกระซิบบอกขุนเขาใหญ่
ภายใต้แผ่นฟ้าผืนปฐพีแห่งนี้
จากคืนเปลี่ยนเป็นวัน จากเดือนเปลี่ยนเป็นปี
มีแต่ท่านเท่านั้น ที่ยืนหยัดมั่นคง
ตั้งตรงตระหง่าน สูงส่งเสียดฟากฟ้า
แลดูน่าอิจฉายิ่งนัก

เสียงขุนเขากระซิบตอบ
แต่เราก็ต้องทนต่อดวงตะวัน ระอุร้อนยามเที่ยง
สายลมที่หนาวเหน็บ เย็นยะเยียบ ยามค่ำคืน
และพายุร้าย สายฝนที่โหมมา กระหน่ำซัด
ไม่หวั่นไหวต่อฟ้าดิน
ท่ามกลางผัสสะ อันร้อนแรงที่กระทบ
ท่ามกลางความโดดเดี่ยว อ้างว้าง ที่หนาวเหน็บ
ท่ามกลางมรสุม แห่งโลกธรรม ที่โหมกระหน่ำ
ยิ่งเราตั้งตระหง่านมั่น ยืนหยัด บาดตาผู้อื่น เพียงใด
ก็ต้องตก เป็นเป้ารองรับ แสงแดด สายฝน ลมหนาว มากเพียงนั้น

เสียงนกนางนวล กระซิบบอก ท้องสมุทรกว้าง
ตัวท่านนี้ ช่างดูยิ่งใหญ่ไพศาล
สุดสายตาเป็นพื้นน้ำ จรดขอบฟ้าสีคราม
เห็นฟองคลื่น กระเซ็นซ่าน อยู่ชั่วนาตาปี
ส่องรัศมีระยิบระยับ ยามต้องแสงตะวัน

แล้วเสียงมหาสมุทร ก็กระซิบแผ่ว ดังแว่วขึ้น
แต่เราก็ต้อง ถ่อมตัวลงต่ำ
จากสระน้ำ ที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ บนยอดขุนเขา
ลดตัวลงต่ำกว่า ห้วยหนอง คลองบึง แม่น้ำ และท้องทะเล

เกลือกกลั้วกับสายน้ำ เน่าเหม็นปฏิกูล
ที่ถ่ายเท ไหลมา จากทั้งสี่ทิศ
ขจัด รองรับ และชำระ สิ่งปฏิกูล
กาก ของเสียโสโครก
เพื่อหล่อเลี้ยง ทำให้โลกนี้ สะอาด บริสุทธิ์ รื่นรมย์
ต้นหญ้ากระซิบบอก พื้นธรณีใหญ่
ตัวท่านนั้นไซร้ ช่างดูหนักแน่น น่าเลื่อมใส
มั่นคง สงบเย็น เป็นปฐพีในดวงใจ
ที่หล่อเลี้ยง ให้พฤกษชาติ แห่งความเบิกบาน เติบโต
แผ่กิ่งก้าน ดอกใบ สาขา
เป็นร่มเงา ให้สรรพสัตว์ นกกาได้อาศัย
เป็นที่พึ่ง ที่พำนัก ที่หลบภัย
เป็นฐานพัก ที่อาศัยในปฐพี

แว่วเสียงธรณี กระซิบตอบ
แต่เราก็ต้องให้ผู้คน เหยียบย่ำ
ลดตนต่ำให้ดูถูก เหยียดหยาม
ถ่มเขฬะใส่ตัว เดินข้ามหัว ทุกชั่วยาม
ไม่ถือสาหาความ ไม่โกรธเคือง
สกปรกคลุกฝุ่น สิ่งปฏิกูล โสโครก
คนในโลกล้วนรังเกียจ ล้วนเดียดฉันท์
เห็นต่ำต้อย เดินเชิดหน้า ผ่านไปพลัน
สักกี่วัน หันกลับมา ก้มหัวมอง
แลดูพื้นธรณี ปฐพีกว้าง
แลดูทางที่ตนผ่าน สู่จุดหมาย
แลดูดินที่รองรับ ชีพบั้นปลาย
แล้วผ่อนคลายศักดิ์ศรี ที่ถือตัว
เสียงน้ำค้างกระซิบบอก อรุณรุ่ง
ตัวของท่านนั้นยิ่งใหญ่ และอบอุ่น

ช่วยขับไล่ความหนาวเหน็บมืดมัว
ขับไล่เงามืดแห่งความหวาดกลัว
ออกไปจากห้วงลึกของดวงใจ
ตัวของท่านนั้นไซร้ คือแสงสว่าง
ที่จะช่วยส่องเส้นทางเดินให้มวลสัตว์
ได้มีความอาจหาญ ทางจริยธรรม
ที่จะเดินออกจาก ที่กำบัง หลีกเร้น หลบภัย
เพื่อสู้หน้า เผชิญกับความจริง ของชีวิต ในวันใหม่
และเพื่อทำให้น้ำเต้าน้อย เฟื่องฟูลอย กระเบื้องคล้อย เคลื่อนถอยจม

อรุโณทัยกระซิบบอก
แต่เราก็ต้องบากบั่น ทำงานทุกเช้าค่ำ
ไม่มีเวลาสำหรับ การขอหยุดพัก
จากที่นี่ ไปโผล่ที่โน่น
จากที่โน่น มาโผล่ที่นี่
เพื่อส่องสว่าง ทอแสงรัศมี
ให้กับสรรพสัตว์ ในโลกนี้ โดยถ้วนทั่วกัน
ไม่ว่าจะเป็นคนสูงศักดิ์ หรือต่ำศักดิ์
ยากจน หรือมั่งมี
เป็นคนดี หรือคนเลว
จะมีความลำเอียง ให้แสงสว่าง
แก่ผู้หนึ่ง มากน้อยกว่าอีกผู้หนึ่ง ก็หาไม่
นอกจาก บุคคลผู้นั้นไซร้
จะซุกตัว หลบอยู่ในเงามืด ของกำแพง แห่งอหังการ
ที่ก่อขึ้น ปิดล้อมตนไว้ นั้นเสียเอง
ไม่ว่าจะเป็นเสียง ติฉินนินทา
เพราะความสว่างจ้า บาดตาในยามเช้า
หรือจะเป็นเสียง สรรเสริญยกย่อง
ในฐานะผู้ให้ ความสว่าง และอบอุ่น

แต่แสงแห่งรุ่งอรุณ ก็ไม่เคยเลยสักครั้ง
ที่ต้องการ คำขอบคุณ

๒๑ ส.
๑๕ เมษายน ๒๕๒๕



มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้น มิเคยดับสูญ
เป็นมารดาอันมหัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดานี้เอง
ได้ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน
นานแสนนานสืบมา
สิ่งนี้ยังคงดำรงอยู่
มีคุณประโยชน์มากมาย
ใช้ได้มิรู้หมดสิ้น

เต๋าเต็กเก็ง



มองสังคมทุกวันนี้ที่แสนเศร้า
ต่างก็เฝ้าแก่งแย่งบ้างแข่งขัน
บ้างกอบโกยโกงฆ่าสารพัน
ล้วนอ้างกันทำเพื่อชาติ-ศาสน์-ประชา
ขอวอนท่านทั้งหลาย จงได้คิด
อันชีวิตคนนั้น สั้นหนักหนา
อีกไม่นานคงต้องตายวายชีวา
เหลือคุณค่าชั่วดีอยู่คู่แผ่นดิน

ชัย ราชพฤกษ์


 

มนุษย์เราทุกวันนี้ที่สับสน
เพราะใจคนเป็นเหตุกิเลสหนา
ขาดซึ่งศีลไร้ธรรมช่วยนำพา
สิ้นปัญญาชี้นำทำสิ่งใด
ถ้าคนมีศีลธรรมประจำจิต
ทุกชีวิตของมนุษย์สุดผ่องใส
สันติสุขสืบศานต์ธารน้ำใจ
ตลอดไปโลกจะกว้างอย่างร่มเย็น
*****

สุขและโศกโลกมนุษย์จุดเที่ยงแท้
คือเกิดแก่เจ็บตายสลายสูญ
ความเศร้าหมองเพราะกิเลสเหตุอากูล
สิ่งจรูญศีลธรรมคือกรรมดี
กิเลสคนวนเวียนเปลี่ยนไปสิ้น
ใฝ่ถวิลแต่ละโมบโลภเหลือที่
โกรธและหลงลืมตัวชั่วทวี
สิ้นศักดิ์ศรีขาดธรรมประจำใจ...

ทวีสิทธิ์ สิริทวีสิทธิ์


 

ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ช่างมีสุข
ไม่ทนทุกข์แลกลาภมาสนอง
ยศและศักดิ์มิปักใจหลงใหลปอง
ใครยกย่องหรือด่าเอาไม่เขลาตาม

นิรนาม


 

อนาคตวัยรุ่นไทยอย่าใกล้ชิด
ยาเสพติดเหล้าบุหรี่มีโทษหลาย
สุขภาพทั้งชีวิตผิดถึงตาย
ล้วนสิ้นหายปัญญาค่าแห่งตน
จงยึดมั่นตั้งใจใฝ่ศึกษา
มวลวิชาความรู้อยู่ทุกหน
ร่วมสร้างชาติพัฒนาประชาชน
เพื่อให้ดลชาติไทยอยู่คู่แหลมทอง

ชัย ราชพฤกษ์


 

ลูกของใคร ใครก็รัก จักถนอม
ริ้นไรตอม ยุงมดกัด ปัดเป่าให้
ใครรังแก ยอมอุทิศ คิดสู้ตาย
ด้วยมุ่งหมาย ให้ลูกสุข ทุกคืนวัน
แต่ลูกผิด คิดเข้าข้าง อย่างลืมหลง
นานไปคง แก้เท่าไหร่ ไม่แปรผัน
ลูกเข้ากรง คงนั่งเศร้า เฝ้าจาบัลย์
โอ้ตัวฉัน ควรรักลูก ให้ถูกทาง

สวัสดิ์ สุวรรณอักษร



คื น สู่ เ ห ย้ า

ลมฤดูร้อนพักผ่อนท้องทุ่ง
หอบเอาฝุ่นผงและเศษฟางปลิวว่อน
กลางกระไอแดดอันร้อนระอุ
แม้ต้นไม้หลากหลายจะเหี่ยวเฉา
แต่มะรื่นก็ยังยืนต้นเขียวขจี
ระบัดใบล้อลมอยู่ไหวไหว

ศาลีอโศก
เมื่อคิมหันตฤดูเวียนมา
ชีวิตชีวาก็ถูกปลุกอีกครั้ง
ลมร้อนกลับเป็นสื่อ พัดพาญาติธรรม ทั่วสารทิศมารวมกัน
เศษฟางแห้ง กลายเป็นพรม อันอ่อนนุ่ม
และมะรื่น คือจุดนัดพบ สำหรับฟังธรรม

จากวันนั้น...จนวันนี้
หนึ่งปีแล้วที่รอคอย
คอยเวลาแห่งประเพณี "พุทธาภิเษก"
พิธีการอภิเษกของชาวเรา...
ธรรมะกับพุทธศาสนิก

วันนี้...
ตะวันธรรมฉายรังสีเจิดจ้า
ขับไล่ความมืดมิดให้เลือนหาย
แผ่กระจายความแจ่มใส ให้เด่นชัด
ชำแรกไออุ่นสู่ในกลางเกสรดอกบัว น้อยใหญ่
ที่ชูช่อรอรับแสงอรุโณทัย

เช้า..สาย..บ่าย..เย็น
จนดาวทอแสงระยิบระยับที่ริมฟ้า
บทเพลงแห่งสัลเลขธรรมยังคง ก้องกังวาน
ชี้ถูก-ชี้ผิด- ชี้ดำ-ชี้ขาว
เหมือนบอกทางแก่คนหลง
เหมือนส่องไฟในที่มืด

"ชีวิตเราก็เท่านี้...
เกิดมาเพื่อเดินทางไปสู่ หลุมฝังศพ
เมื่อติดอยู่กับโลก
ก็ดิ้นรน แสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ
แต่หากเหนือโลก
ก็มาเดินตามรอยเบื้องยุคลบาท พระพุทธองค์"
.............................

"คุณตายกับกาม... กับ อบาย...
เวียนวนอยู่กับโลกธรรม...กับมานะ...
ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้ว
มาตายกับธรรมะสักชาติจะได้ไหม" !?

ดอกพุทธาบานสะพรั่ง
ต่างก็ย้ำยืนยันอานิสงส์แห่งศีล
เพราะมั่นคงในศีลจึงมีสมาธิ
เพราะสั่งสมสมาธิจึงเกิดปัญญา
และเพราะปัญญาจึงพบสัจธรรม

กราบคารวะเหนือเศียรเกล้า
แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธสาวก
เพราะพ่อท่านสิหนอ...
ลูกจึงมีโอกาสพบแสงสว่าง
..พบจุดหมายปลายทางของชีวิต

และประดุจดังปาฏิหาริย์แห่งศีล
ทุ่งศาลีอันแล้งร้อนก็พลันชุ่มฉ่ำ
ชุ่มด้วยหยาดพิรุณโปรยปราย
ฉ่ำด้วยอมฤตธรรม...

ที่แทรกซึมซอกซอนไปทุกหย่อมหญ้า
เอิบอาบซาบซ่านในทุกดวงใจ ของผู้ใฝ่ธรรม
แล้วเจ็ดวันเจ็ดคืนแห่งการฝึกเพียร
กิน อยู่ หลับ นอน
หัดใช้ชีวิตเรียบ ง่าย เบาภาระ
เอ็นดู เกื้อกูล ถ้อยทีถ้อยอาศัย
ก็ผ่านไป..เหมือนฝัน

อำลา "ศาลี" วันนี้
ด้วยสัญญาใจที่มาดมั่นว่า
เราจะกลับมาพบกันใหม่
ภายใต้ร่มเงามะรื่นอันร่มเย็น
มาร่วมบูชาธรรมด้วยการปฏิบัติ
ถวายเป็นพลี...
แด่องค์พระบรมศาสดา
สาธุ

อิสรา
๒ เมษายน ๒๕๒๕



ฉันนั้นคอยเมื่อไหร่ฟ้าลิขิต
เมื่อไหร่จิตของมนุษย์หยุดเศร้าหมอง
เมื่อไหร่โลกพ้นทุกข์สุขเรืองรอง
เมื่อไหร่ปองรักด้วยใจไร้เล่ห์กล
เมื่อไหร่หนอศีลธรรมจะล้ำรุ่ง
เมื่อไหร่มุ่งทำความดีที่เป็นผล
เมื่อไหร่หนอถิ่นไทยไร้ผู้คน
พวกฉ้อฉล...วอนฟ้า...บอกข้าที

ชัย ราชพฤกษ์


 

อันกรรมใดใครก่อรอรับไว้
ติดตามไปไม่ช้ามาสนอง
กรรมใหม่เก่าเร่าร้อนย้อนเนืองนอง
อีกทั้งต้องหมองไหม้ใจระทม
จงลืมตามาดูสู่ธรรมะ
ยึดทางพระสะอาดใจไม่ขื่นขม
จิตสงบพบสว่างว่างอารมณ์
ใฝ่นิยมชมชื่นรื่นนิพพาน
ไพฑูรย์ โพธิทัพพะ


 

คนหยักหยักสักว่าคน บนโลกกว้าง
นิสัยต่างต่างกันมันไม่แน่
มือไม้อ่อนซ่อนเหลี่ยมเทียมหรือแท้
เราจะแลเห็นแน่นอน- ตอนไหนกัน
หญิงก็ร้ายชายก็ชั่วมัวเมาอยู่
ยังชื่นชูรู้โกยกอบชอบมหันต์
ทั้งสองเพศกิเลสโหมเฝ้าโรมรัน
สังคมนั้นมันจึงทรุดฉุดเข้าคลอง
สมศักดิ์ บุญมาเลิศ



ไม่ว่า "กรรม" ใด หรือการงานใด
มันก็คือ ความมี ความเป็นทั้งนั้น
เราควรจะทำให้ "สูญ" หรือจะทำให้ "มีขึ้น"
เราจะต้องรู้แท้ เข้าใจจริงใน "เศรษฐกิจ" (เสฏโฐ)
แห่งสิ่งนั้น กาละนั้น สังคมนั้น ให้ชัดแท้
แล้วจึง "ทำ" จึง กอปร "การงาน" นั้น

สมณะโพธิรักษ์


ที่นี่..เป็นที่ที่ยังไม่หมดความฝัน ความรักของฝูงชน
ที่นี่..เป็นที่พักผ่อนเป็นสุขของฝูงชน
ที่นี่..เป็นที่ไม่ต้อง แบกหนัก อยู่สบาย ของฝูงชน
จิตใจของฝูงชน อยู่ง่าย อยู่สบาย
จิตใจของฝูงชน พักผ่อน ตามธรรมชาติมีอยู่
แต่ฝูงชนได้ยินเสียง ฝูงชนเรียก
ให้ฝูงชนไปอยู่ที่กว้าง
ในที่กว้าง ที่มีคนอยู่ด้วยกัน สันติมากมาย
ให้ฝูงชนช่วยกัน สร้างสรร สร้างเสริม
ใช้บทเพลงสันติ สร้างสรรสันติ
สำหรับฝูงชนทุกคน

จ่าง แซ่ตั้ง


 

ยอสวรรค์ลงไว้กระนั้นฤา
จะมีถิ่นแดนดินใดหนอ
อุดมด้วยศีลบุคคล มากมายปานนี้
กองทัพธรรม อะโห ! อะโห !
รอเวลาฟื้นคืนชีพ
กระหน่ำเตรียมระดมยาตรา อันเกรียงไกร
กระหน่ำมนุษย์ทุศีลให้พินาศ !
ฮุยเลฮุย...ฮุยเลฮุย...ฮุยเลฮุย

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก ฉบับศีลสมโภช ปีที่ ๒ (๕) ฉบับที่ ๙ เมษายน ๒๕๒๕


วิ ส า ข บู ช า ' ๒ ๕

ประณมมือตั้งจิต
น้อมรำลึกวันวิสาขฯ
วันแห่งความยิ่งใหญ่ของโลก
นี้เอกอัครมหาบุรุษ แห่งสัมมาสัมพุทธะ
ได้ประสูติ -ตรัสรู้ -ปรินิพพาน
ข้าน้อยขอเดินตาม
ตามรอยพระยุคลบาท ด้วยฉันทะ
ขอชีวิตแห่งพระองค์ เป็นแบบอย่าง แก่ข้าน้อย
ได้ดำเนินรอยตาม อย่างชิดใกล้
เบื้องต้น -ท่ามกลาง -บั้นปลาย
ทุกขั้นทุกบท
ขอน้อมถือ เป็นทางแห่งสาระ
โอ ! พระพุทธองค์เจ้าค่ะ
แม้จะประสูติ บนกองเงิน กองทอง
มากมี ทรัพย์ศฤงคารวัตถุ
ข้าทาสบริวารมากล้น
เอ่ยดาวได้ดาว เอ่ยเดือนได้เดือน
ทุกอย่างครบพร้อม สมบูรณ์สุดยอด
เพียงแค่ชี้นิ้ว เพียงแค่ชำเลือง
ทุกอย่าง จะรีบเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนแปลงไปตาม พระประสงค์
โอหนอ ! รัชทายาทแห่งฟ้า
จะเสวย จะทรงดำเนิน ชีวิตอย่างไร

ใครหนอจะกล้าขัด
ปราสาทสามฤดู
ลมหายใจ มีแต่ความสุข
ชีวิตที่วนเวียน อยู่บนกองกาม
ใครหนอจักมากมาย เทียบเท่า
แต่ถึงกระนั้น
แม้จะปกป้อง กลบเกลื่อนแค่ไหน
ยากนักที่จะปิดบัง หัวใจใฝ่หา
ท่ามกลาง การมอมเมา
มอมเมาฉาบพอก กองกามทับถม
ปรุงสุขคละคลุ้ง หวานชื่น
เสนาะพริ้ง วาบหวาม
"เจ้าชาย.. เจ้าชาย
กระโดดลงมาซิ เจ้าชาย
มาดื่มกิน เกลือกกลั้ว รสแห่งเสน่หา
ที่ร้อยรัด บุรุษสตรีทั้งมวล ไว้ในโลก
มาเถอะเจ้าชาย ชีวิตนี้สั้นนัก
ปล่อยเวลาให้เศร้า อยู่ทำไม
มาซิ ! รีบมาตักตวง ความสุขให้ชุ่ม
นี่สำหรับทางตา...
นี่สำหรับทางหู...
นี่สำหรับทางจมูก...
ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เจ้าชายจะไปที่ไหนนะ
เรามีทุกอย่างให้พร้อม
เสพเข้าไปเถอะเจ้าชาย
ชีวิตเหมือนพยับแดด
ไปสำคัญหมายมั่นอะไร
มาซิ! มาซิ!"
เสียงเชิญชวนกระซิบ อย่างเย้ายวน
ตอกย้ำอยู่ วันแล้ว วันเล่า
แต่ไม่อาจสามารถ ปิดบัง พระปัญญาธิคุณลงได้
เพียงสัมผัสผู้เกิด ผู้แก่
เพียงเห็นผู้เจ็บ ผู้ตาย
สัจจะแห่งการแสวงหา หนทางแห่งอิสรภาพ
พลันถูกปลุกเร้า กระพือโหม
ความเป็นลูกไก่ผู้พี่
ที่จะต้องเจาะ เปลือกไข่ออกก่อน
ก่อมโนธรรมสำนึก ให้หาญกล้า
สลัดโซ่ตรวน แห่งบุตรภรรยา
เพื่อวันหนึ่ง ข้างหน้า
น้ำตาของชาวโลก จะได้ถูกเช็ด...
โอ ! ...พระพุทธองค์

หกปีเต็มเต็ม แห่งการพากเพียร
ทดลองสารพัด ด้วยชีวิตเลือดเนื้อ
แม้เกือบสิ้นชีพ ก็หลายครั้ง
แต่กลับ มิเคยไหวหวั่น
พยายาม ยิ่งกว่าพยายาม

หา หา หา
ค้น ค้น ค้น
ราวกับงมเข็ม ในมหาสมุทร
ทน ทน ทน
ทนเสียยิ่งกว่า มนุษย์เหล็กไหล

ตบะใด ที่เขาทำ
ตบะใด ที่ว่ายาก
ล้วนทำผ่าน อย่างมิกังขา
แต่กระนั้น แสงทอง ก็ยังมิผ่องอำไพเสียที
ตราบจนวันนั้น วันปฏิญาณสัจจะ
"แม้เลือดเนื้อ ในกายของข้า จะเหือดแห้ง
จะมิถอนคืนกลับ จากนี้ การนั่งยังอาสนะแห่งนี้
หากยังไม่บรรลุถึง โพธิญาณอันเกษม !"
จากนั้น...
อีกไม่นาน...
ท่ามกลางคืนเพ็ญ กระจ่างฟ้า
เสียงหวีดร้อง ปานจะสิ้นชีวิต
ดังกระหึ่ม ถล่มทลาย
กำแพงแห่งอวิชชา
ที่ได้กักขังชีวิต มานานแสนนาน
ได้ถูกทำลาย ย่อยยับเสียแล้ว
หลังจากวันนั้น...
ต่อไป... และต่อไป...
เสียงหวีดร้อง ดังกรีดแหลม อย่างรันทด
ทยอยดังมา ไม่ขาดสาย
ราวกับระลอกคลื่น ที่โหมเข้าฝั่ง
"ทำไมหนอ มีท่านถึงต้องมีเรา !?"
ตลอด ๔๕ ปีถัดจากนั้น
บุรุษจีวรสีคล้ำหม่น
ผู้มีกายอิ่มเอิบ และเดินอย่างสงบ สำรวม
เริ่มทวีมากขึ้น อย่างมิเคยเห็น
ไม่ว่า ณ ที่ใด
ที่บุคคลเหล่านั้น ก้าวย่าง

ต้นพุทธะใหญ่น้อย พลันเติบโต แตกกล้า
ดอกฟ้าอันสูงลิบ
พลันถูกยอสู่พื้น เพื่อเด็ดชม
อัศจรรย์จริงหนอ !
บุคคลผู้เมาหมก อยู่กับกองกาม
เพียงเสียงเรียกให้ฟัง ให้มีสติ
พวกเขากลับหยุดยั้ง เงี่ยหูฟัง
อัศจรรย์จริงหนอ !
บุคคลผู้มัวเมา บนกองกาม
รักกามเสมอชีวิต
เพียงเสียงบอกให้ละ หน่าย คลาย เลิก
พวกเขากลับฟัง
กลับไปกระทำ สัมฤทธิผล
โอหนอ! ๔๕ ปี แห่งการหว่าน พุทธธรรม
กี่แสนกี่ล้าน ที่ดวงตาถูกปัดเช็ด จนไร้ฝุ่น ธุลีหนา
ท่านทำงาน
ทำงาน ทำงาน ทำงาน
ตราบจนวาระ สุดท้ายของชีวิต
โอ้! พระศาสดา
ผู้สถิตอยู่ใน หัวใจของข้าฯ
ข้าน้อย ขอตั้งสัตย์ปฏิญาณ
น้อมรำลึกพระคุณ แห่งมหาบุรุษนาม "สัมมาสัมพุทธะ"
ผู้สละละทิ้ง ทรัพย์สมบัติ
ผู้โยนคืนความสุข ให้แก่โลก
ออกมาส่องประทีป ให้แก่มวลชน
จะขอดำเนิน ลีลาชีวิตเยี่ยงท่าน
อุทิศเวลา ให้แก่ศาสนา มากกว่านี้
จะขอขวนขวาย ในงานกิจ

จะมักน้อย - ไม่ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม
ลดละเบญจกาม ประดามี
เดินสู่สุขแห่งโลกุตระ
แต่เพียงอย่างเดียว
โอ้ ! พระพุทธองค์
ข้าน้อยขอกราบ สุดเศียรสุดเกล้า

แววฟ้า
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๒๕



ทางขึ้นไปหาสุขต้องบุกรก
ต้องระหกระเหินเดินเมื่อยขา
ต้องไต่เขาฝ่าหนามข้ามคงคา
แสนระอาลำบากไม่อยากไป
ทางลงไปหาทุกข์สนุกยิ่ง
น่าไปจริงทั้งหนทางก็กว้างใหญ่
ทั้งรื่นรมย์เดินสบายง่ายกระไร
ยั่วยวนใจส่วนมากให้อยากจร

นิรนาม


 

ใครสร้างกรรมสิ่งใดย่อมได้ตอบ
สร้างกรรมชอบย่อมดลผลสุขสันต์
ถึงไม่ส่งผลเห็นเด่นในพลัน
แต่สิ่งนั้นช่วยจิตให้คลายร่มเย็น

สร้างกรรมชั่วเอาไว้เขาไม่รู้
ตัวยังอยู่ถึงใจก็ได้เห็น
เหมือนนรกหมกในกายตายทั้งเป็น
ทุกข์ลำเค็ญได้รับกรรมลงตามทัณฑ์

ชัย ราชพฤกษ์


แ ค่ ร อ
วันที่ร้อนรุ่มอยู่กับโลก
วันที่เหนื่อยงาน.. หนักใจ.. อ่อนล้า
ด้วยความรับผิดชอบ ที่แบกอยู่บนบ่า หลายต่อหลายครั้ง ที่คิดจะปลงภาระ ชีวิตเราก็เท่านี้.. กินน้อย ใช้น้อย จะมัวเสียเวลา
ยอมตัวอยู่ในระบบ ทำไมกัน

อุดมการณ์ คอยอยู่เบื้องหน้า เหล่าภราดร พร้อมจะเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล กัลยาณมิตร คือแรงหนุน ให้อาจหาญ เพียงกล้า สลัดโซ่ตรวน ออกจากชีวิต การเดินทาง ก็จะได้เริ่มต้น

แม้เส้นทางสายนี้ จะไม่มีดอกไม้หอม ไม่ได้ปูลาด ด้วยกลีบ กุหลาบอ่อน ซ้ำยังแหลมคม ไปด้วยขวากหนาม และเศษกระเบื้อง
เราก็ยินดี จะฝ่าฟัน.. "ทางเตียน เวียนลงนรก.. ทางรก วกขึ้นสวรรค์" อย่างนั้น.. มิใช่หรือ ?

ฝันถึงวันของ นางนวลอิสระ
วันที่จะบินออกจาก แวดวงจำกัด
"ไปอาบแสงตะวันยามเช้า โผไปบนท้องทะเลสีเขียว ที่สะท้อน แสงดาว ระยิบระยับ ยามค่ำคืน" ไม่กลัวเลย ที่จะเหว่ว้า ไม่ท้อเลย ที่จะฝึกบิน ไม่บ่นเลย ถ้าจะหิวโหย.. เจ็บปวด(บ้าง)

เพราะชีวิตเกิดมา เพื่อสิ่งนี้ เพื่อเรียนรู้ และฝึกฝน กระทำในสิ่ง ที่ดีกว่า การกิน .. การแย่งชิง.. ต่อสู้ คิดถึงแต่ ประโยชน์ส่วนตน วนแล้วเวียนเล่า อยู่ในสังสารวัฏ ที่ไม่ผิดอะไรกับ กบในกะลาครอบ

แต่..สำหรับวันนี้ ภาระหน้าที่ ยังมีอีก มากมายนัก ภาระที่ต้อง สะสาง ให้ลุล่วง หน้าที่ที่ต้อง ตอบแทน ผู้มีพระคุณ... ตามสมมติ
แม้ปรารถนาจะแสดง กตัญญูอันสูงสุด แต่เมื่อเขา ยังไม่เข้าใจ จะหักหาญ ดึงดันอย่างไรได้

แม้ว่าจะเจ็บปวด.. ฝืนทน.. ก็จะไม่หนีโลก.. หนีปัญหา
ทุกช่วงเวลา ที่เคลื่อนผ่าน จะถือเป็นการทดสอบ ความมั่นคง แห่งจิตใจ และเหนือสิ่งอื่นใด... คือปราการ อันยิ่งใหญ่ กว่าภูผาหิน กำแพงด่านสุดท้าย ที่จะต้องป่ายปีน ให้ข้ามพ้น อิทธิพลของ "ญาติปริวัตตัง" ฝึกฝนตัวเอง ให้แข็งแกร่ง จนกว่า จะถึงวัน แห่งความพร้อม ต่อทุกสิ่ง แล้ววันนั้น... นางนวล ก็จะโบยบิน

อิสรา


หน้า ๒๐

เม็ดทราย หน้า 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23