อมตชน
ข้อที่ ๓ ขั้น "อมตชน"
(อเสขบุคคล) ได้แก่ ความต้องการลดละ ต้องการเสียสละ ต้องการเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
โดยการพยายาม หาทางให้เป็นไปได้ และสามารถเป็นไปได้จริง
ชนิดเป็นขั้นเป็นตอน ตามทฤษฎีของพุทธ
ตามหลักเกณฑ์ของพุทธ อย่างมี "สัมมาทิฏฐิ" แท้จริง และสามารถเรียนรู้ พร้อมทั้ง
ปฏิบัติได้ จน "จบกิจ"
ผู้ "จบกิจ" ถือเอาการหมดกิเลสที่ยึดติดเป็น "ตัวตน" (อัตตา)
และหลงติดเป็น "ของตัวของตน" (อัตตนียา) ชนิดไม่เหลือ เศษธุลีละออง
ของกิเลส เพื่อตัวเพื่อตน แม้นิดแม้น้อย จึงจะเป็นผู้ "ไม่เห็นแก่ตัว"
แท้ๆจริงๆ มีแต่ "เห็นแก่ผู้อื่น" เป็นผู้สร้างสรร ด้วยภูมิพุทธ
(พระผู้สร้าง).. แล้วเสียสละอย่างบริสุทธิ์ (พระผู้ประทาน)..
เพราะจิตวิญญาณของท่าน ปราศจากกิเลสแน่ๆแล้ว (พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์)
จริง
ซึ่งความหมายของ "จบกิจ" ก็คือ สำเร็จแล้ว ไม่ต้องศึกษาอีก ไม่ต้องไปปฏิบัติซ้ำซากอีก
จบแล้วจบเลย เป็นนิรันดร์ไปเลย เช่น "ดับกิเลส" ได้สนิท สมบูรณ์แล้วจริง
จะไม่มีวนเวียน ไปมีกิเลสอีก เพราะ "อมตชน" ทั้งหลายมี "ความเป็นได้จริง"
(ตถตา) นั้น สำเร็จแล้วจริงๆ [ผู้สนใจดูพระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ
๖๐-๖๓ ประกอบด้วย จะเข้าใจมากขึ้น]
"อมตชน" หรือ "อเสขบุคคล" คือ ผู้มุ่งมั่นจะมี "ความเป็นเช่นใด
ก็สามารถมีความเป็นเช่นนั้น ได้แล้ว โดยจริง" (ตถตา)
"อมตชน" หรือ "อเสขบุคคล" คือ ผู้ปฏิบัติแล้ว จนเกิดผล สำเร็จของตนๆ
กระทั่ง "พ้นอวิชชา" แล้วใน "ปฏิจจสมุปบาท" ทั้งสายอนุโลม และปฏิโลม
หรือ ทั้งสายเกิด และสายดับ ด้วยความเป็นได้จริง (ตถตา) และมีปัญญาอันยิ่ง
เห็นแจ้ง ในความเป็นได้จริงนั้น ด้วยตนเอง ในตนเอง ของตนเองสมบูรณ์
จึงชื่อว่า "ผู้จบกิจ"
เพราะผู้ "จบกิจ" ได้สภาพเช่นนั้น เป็นอย่างนั้นเอง แท้จริงแล้ว
(ตถตา) ชนิดถาวรเด็ดขาด
เพราะรู้แจ้งเแทงทะลุความเป็นจริง (ตถตา) นั้นว่า เป็นความไม่ผิดไปจาก ความเป็นอย่างนั้น -ความไม่คลาดเคลื่อน
จากความเป็นอย่างนั้น (อวิตถตา) แน่แท้สมบูรณ์แล้ว
เพราะรู้แจ้งความเป็นจริงนั้นในตนว่า เป็นความไม่เป็นอย่างอื่น -ความไม่เป็นไป ด้วยประการอื่น
(อนัญญถตา) แน่ๆเด็ดๆ ในตัวเอง ที่เป็นเองอยู่
เพราะทั้งเป็นได้จริงเอง ทั้งรู้แจ้งแทงทะลุ ความจริงแท้ ยิ่งยอดนั้น ถึงมูลเหตุอันแน่นอน ในธาตุนั้นๆ
-ความที่เมื่อมีสิ่งนี้
เป็นปัจจัย ในการเกิด สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
-ความที่มีสิ่งนี้ เป็นปัจจัยในการดับสนิท
สิ่งนี้จึงดับสนิท (อิทัปปัจจยตา)
ดังนั้น เมื่อผู้ "จบกิจ" เป็นหรือมี สิ่งที่ตนมี ตนเป็น ได้แล้วจริง
จึงสามารถเป็น "ต้นเชื้อ" หรือเป็น "ผู้มีสิ่งนั้น ในตนจริง"
(มีความเป็นอาริยะ) ก็สามารถ "แพร่เชื้อแท้" นี้ต่อและต่อไป
ให้เกิดให้เป็น "เผ่าพันธุ์อาริยะแท้" แก่คนอื่นๆ ที่สามารถ รับได้ เป็นได้ ต่อๆไป
อย่างไม่ปลอม
นั่นคือ สามารถเป็น "ต้นเชื้อ" และแพร่เชื้อแท้ ของความ
เป็น "อาริยชน" และ "อมตชน" ให้เกิด ให้เป็น ต่อๆไป ได้จริงนั่นเอง
"อมตชน" หรือ "อเสขบุคคล" หรือผู้ "จบกิจ" นี้ จากพระไตรปิฎก
เล่ม ๑๙ ข้อ ๑๓๖๗ แจกแจงไว้ ว่า ต้องมีคุณสมบัติ ๘ ประการ ได้แก่...
๑. อรหันต์ คือ เป็นผู้ไกลจากกิเลส (อรหัง)
๒. ขีณาสพ คือ เป็นผู้หมดกิเลสถึงขั้น สิ้นอาสวะ (ขีณาสวะ)
๓. ผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว คือ เป็นผู้ได้รับสภาพนั้น สมบูรณ์
และมีสภาพนั้น อยู่กับตนแล้วด้วย (วุสิตวันตะ)
๔. ผู้มีกิจที่ควรทำอันทำจบแล้ว สำหรับตนเอง (กตกรณียะ)
๕. ผู้มีภาระอันวางลงแล้ว สำหรับตนเอง (โอหิตภาระ)
๖. ผู้มีประโยชน์ของตน อันบรรลุโดยลำดับแล้ว (อนุปฺปัตตสทัตถะ)
๗. ผู้สิ้นเครื่องผูกพันให้ติดอยู่ในภพแล้ว (ปริกฺขีณภวสัญโญชนะ)
๘. ผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ (สัมมทัญญา วิมุตตะ)
ความเป็น "อมตชน" จึงคือ ผู้ที่รู้แจ้ง
"ความเป็นตัวตน" (อัตตา) และจัดการกับ
"ความเป็นตัวตน" อย่างรู้แจ้งเห็นจริง ชนิดแทงทะลุ ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ในการทำ "ความดับสนิท" และทำ "การเกิดวิเศษ"
ได้สำเร็จ จบด้วยวิชชา
ที่สำคัญคือ สามารถรู้แจ้งเห็นจริง ในความเป็นถาวร หรือความเป็นนิรันดร์
ชนิดพิสูจน์ได้ ดุจเดียวกันกับ วิทยาศาสตร์ สามารถรู้แจ้งเห็นจริง
ในความเป็น "กิเลส" อย่างจับมั่น คั้นตาย "ตัวตน"
(อัตตา) ของมัน และสามารถ ฆ่ามันให้ตายได้ เป็นขั้นเป็นลำดับ
ทั้งอย่างหยาบ (วีติกกมกิเลส) ทั้งอย่างกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส)
ทั้งอย่างละเอียดสุด (อนุสัยกิเลส) ชนิดไม่เหลือ แม้แต่เศษธุลี
ถึงขั้นสิ้นเกลี้ยงสนิท "ไม่มีตัวตน" ที่เรียกว่า "อนัตตา"
โดย มี "ญาณ" ของตนเอง รู้เห็น "ความจริง" ทั้งหลายนั้นๆ เป็นอันติมะ
ที่สุดแม้แต่ "อาลยวิญญาณ" ซึ่งเป็น "ที่พึ่งของโลก" (โลกนาถ) ว่า คืออย่างไร? เกิดอยู่อย่างไร?
และจะดับสิ้นสูญ สนิท หมดวัฏฏสงสารอย่างไร?
สุดท้ายแห่งท้ายสุด สามารถรู้แจ้ง "อัตตา"
ด้วยญาณทัสสนวิสุทธิ ชนิดไม่มีอะไรลึกลับ อีกแล้ว สำหรับความเป็น "สมมุติสัจจะ" และความเป็น "ปรมัตถสัจจะ"
ในอัตตา อย่างแจ่มแจ้ง โดยสามารถ อาศัยอัตตาสร้างสรร "ประโยชน์เกื้อกูลแก่
มวลมนุษยชาติ ทั้งหลาย ด้วยพละ ๕" ตามภูมิของแต่ละท่าน
(พหุชนหิตายะ) สร้างสรร "ความเป็นอยู่สุข
แก่มนุษยชาติทั้งหลาย ด้วยพละ ๕ " ตามภูมิของแต่ละท่าน
(พหุชนสุขายะ) และ
"อนุเคราะห์โลกอยู่ ตราบเท่าที่ตน จะมีวิภพแห่ง พุทธชาติ ตามปณิธาน ของแต่ละท่าน
ด้วยความสงสารจริงจัง" (โลกานุกัมปายะ)
ดังนี้เอง คือ ผู้ "จบ"ประโยชน์ตน เพราะรู้แจ้ง "สัจจะแห่งความรัก"
อย่างสมบูรณ์ ผู้มี "ความรัก" ปานฉะนี้ หรือ คนชนิด "มิติที่
๙" นี้ จึงเรียกว่า "นิพพานนิยม" หรือ "อรหันตนิยม"
ได้ทำความเข้าใจกับ "ความรัก" มาถึง ๙ มิติแล้ว โดยเฉพาะ มิติที่
๘-๙ ซึ่งค่อนข้างยืดยาว เพราะเป็นมิติ ที่จะต้องเจาะ ถึงเนื้อหาสำคัญ
ให้ได้รับรู้ไว้ พอสมควร หากศึกษา ไม่สัมมาทิฏฐิแท้ และไม่ปฏิบัติ
จนบรรลุ รู้แจ้งแทงทะลุ "กายในกาย.. เวทนาในเวทนา.. จิตในจิต..
ธรรมในธรรม" อย่างละเอียด สมบูรณ์ ก็ใช่ว่าจะเข้าใจ "ความรัก"
ตามทิฏฐิของพุทธ ถูกถ้วนสัจธรรม บริบูรณ์ได้ง่ายๆ
เมื่อได้รู้ได้เข้าใจ "ความรักมิติที่ ๘ และ ๙" มาแล้ว สำหรับ
มิติที่ ๑๐ ก็คงจะเข้าใจตาม ได้ไม่ยากนัก |