ตัณหา
๓
พระพุทธเจ้าตรัสแบ่งโลกไว้ ๓
โลก ได้แก่...
๑. กามโลก หรือ
กามภพ
๒. ภวโลก หรือ ภวภพ
๓. วิภวโลก หรือ วิภวภพ
ผู้ใดยังมี "กามภพ-กามโลก" อยู่
ก็เพราะยังมี "กามตัณหา"
ผู้ใดยังมี "ภวภพ-ภวโลก" อยู่
ก็เพราะยังมี "ภวตัณหา"
ผู้ใดยังมี "วิภวภพ-วิภวโลก" อยู่
ก็เพราะยังมี "วิภวตัณหา"
จะ "ดับโลก" ต้องเรียนรู้ "ตัณหา
ทั้ง ๓" นี้ให้ถูกต้อง ละเอียดลออ เพราะมีความลึกซึ้ง
ซับซ้อนอยู่มาก ใน"ตัณหา ๓" นี้
"กามตัณหา" คือ อาการของกิเลสมันทำงาน
ต้องการบริโภค จากทวารภายนอก
เช่น ลาภวัตถุ -ยศขั้นตำแหน่ง -รูปธรรมแห่งการยกย่อง สรรเสริญเยินยอ -สุข
ที่ได้จากเรื่องภายนอก เช่น "รูป-เสียง -กลิ่น-รส -เสียดสีสัมผัสนอก"
ได้มาบำเรอแก่ตน ทางทวาร ๕ ซึ่ง เป็นทวารภายนอก ได้แก่ ตา-หู-จมูก -ลิ้น-กาย
เรียกว่า "กามคุณ ๕" ตามที่ตนติดตนยึด ว่าถ้าได้มาดั่งใจ สมกับขนาด
สมกับทิฏฐิ ที่ตนหวัง ตนชอบนั้น แล้วก็จะเกิด "รสสุข" (อัสสาทะ)
"ตัณหา" เช่นนี้ เป็นตัณหาเบื้องต้น มีวัตถุ มีรูปธรรมหยาบ สัมผัสกันจากภายนอก
โดยสมมุติกันขึ้นมา หลงเสพหลงติดกัน เป็นอุปาทานกันอยู่ ถ้วนหน้า
ซึ่งใครๆต่างก็เคย เสพกันอยู่ทุกคน
นี่แหละคือ "กามตัณหา" ของ "ปุถุชน" สามัญ
"ภวตัณหา" คือ อาการของกิเลสมันทำงาน
ต้องการบริโภคอยู่ ในทวารภายใน
เช่น มี "ความต้องการ" ที่เกิดอยู่ในภายใน เป็นสภาพวิมาน ในห้วงนึกคิดก็ดี
ความอยากเป็นนั่น เป็นนี่ก็ดี หรืออยากเกิด อยากมีอยู่ คงอยู่ตลอดไปก็ตาม
แล้วก็ฝังยึดอยู่ในจิต เป็น"ภพ" (ความยังวนเวียน, ความเกิด,
ความเป็น, โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์)
ซึ่งเป็น "รูปหรืออรูป" ในภายในทวารที่ ๖ คือ ในทวารใจ เท่านั้น
อันไม่ใช่ออกมาสัมผัสจาก ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย เหมือน "กามตัณหา"
มันเป็นอาการ ที่เกิดอยู่ในจิต นึกฝันอยู่ในจิต เมื่อได้รูปภายใน
หรือ อรูปภายใน มาเสพสมดั่งใจฝัน สมขนาด สมทิฏฐิ ที่ตนหวัง ตนฝันนั้นๆ
แล้วก็จะเกิด "รสสุข" (อัสสาทะ) หากไม่ได้สม ตามที่หวังที่ฝัน ก็ทุกข์
หรือสภาพที่ปั้นขึ้นสร้างขึ้นเอง ในจิต โดยตรง แล้วก็ สัมผัสภายใน
เสพสมเองอยู่ในจิต ไม่ว่าจะเป็น "รูป (ภายในจิต) - อรูป - นามธรรม"
แท้ๆ เช่น "ความรู้ -ความเฉลียวฉลาด -ศาสตร์วิชาการ" หรือเพียง
"ความคิดนึกวาดฝัน" (วิมาน) ใดๆ หรือจะเป็น "รูปฌาน - อรูปฌาน"
ที่เป็นชนิด "รูปภพ-อรูปภพ" ในจิต ตามแบบลัทธิ นั่งหลับตา ทำสมาธิทั้งหลาย
หรือ ถึงขนาดสภาพ "ดับจิต" ที่พากันเรียกว่า "นิโรธ" หากทำได้
ปั้นสร้างขึ้นได้ (เนรมิต) แล้วก็เป็นสุข เสพสม ชมชื่นติดยึดกันไป
สภาพที่เสพสุขทางทวารจิตอยู่ ดังกล่าวนี้ ภาษาสมัยใหม่ เขาก็ว่า
"สำเร็จความใคร่ทางความคิด หรือ สำเร็จความใคร่ทางจิต" ภาษาธรรมคือ
เสพสม "อัสสาทะ" ในภพ
นี่ก็ยังคือ "ภวตัณหา" ของ "ปุถุชน" สามัญ.. โลกียะ
"วิภวตัณหา" คือ ความต้องการที่เป็นอุดมการณ์ เป็นความต้องการ
ที่ตั้งใจไปสู่ภพ แห่งคุณงามความดี แปลตรงตามภาษา ก็คือ "ความต้องการในวิภพ"
อันหมายถึง ความต้องการ "ไม่เป็นไม่มีภพ" ที่เลว ที่ไม่ดีทั้งหลาย
ได้แก่ ความต้องการ "ไม่มีกาม.. ไม่มีภพ" ซึ่งหมายถึง ความต้องการ
"ล้างกามตัณหา ล้างภวตัณหา" นั่นก็หมายความว่า "ตัณหา" ที่ต้องการ
"ล้างตัณหา" นั่นเอง ที่สุดก็ "ต้องการไม่มีตัณหา" หรือ "ไม่มีภพ"
เป็นสุดยอด
แบ่งออกเป็น ๓ ขั้นให้ฟังง่ายๆ แต่มีความซับซ้อน ลึกซึ้ง อยู่ไม่น้อย
(๑) ขั้น "กัลยาณปุถุชน"
(ปุถุบุคคล)
(๒) ขั้น "อาริยชน"
(เสขบุคคล)
(๓) ขั้น "อมตชน" (อเสขบุคคล)
|