เม็ดทราย ๒๑

ตั ว เ ร า

ตัวเรานี้คือปุยเมฆ
ที่ลอยล่องไปในฟ้ากว้างไพศาล
อิสระไร้ขอบเขตจำกัดไร้ช่วงกาล
ในดวงมานเบาว่างเป็นหนึ่ง เหนือพื้นธรณี

ตัวเรานี้คือวิหค
ที่มีสิทธิ์เป็นนกโผผิน บินสู่ขอบฟ้า
ถลาร่อนเล่นลมกลางท้องนภา
จะโบยบินสู่ทิศาใดใด ได้อย่างเสรี

ตัวเรานี้คือต้นหญ้า
ที่เอนลู่ไปมารับลมมรสุม
สะบัดใบโบกพริ้วต้านพายุฝน กระหน่ำที่ซ้ำรุม
เขียวขจีสดชื่นชุ่มฉ่ำในดวงใจ

ตัวเรานี้ไซร้คือคืนวันแห่งฤดูกาลทั้งสี่
ที่ผลัดเวียนกันมาเยือนโลกพิภพแห่งนี้
เย็นและร้อน หนาวเหน็บและอบอุ่น
หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปไม่รู้สิ้น

ตัวเราคือท้องสมุทรกว้าง
เป็นลูกคลื่นน้อยใหญ่ในห้วงน้ำไพศาล
เกิดแล้วดับลับหายไปในฝั่ง แห่งอนันตกาล
คลื่นลูกหลังทยอยซัดไล่คลื่นลูกแรก ชั่วนาตาปี

ตัวเราคือบึงน้ำใหญ่ที่สงบ
สงัดราบเรียบเปรียบดังกระจกใส
ส่องสว่างสะท้อนทุกสิ่งในดวงใจ
มีเดือนเพ็ญนวลใยปรากฏกลางห้วงน้ำขจี

ตัวเรานี้ที่แท้เป็นหยาดน้ำค้าง
จากฟ้ากว้างหยดหนึ่งเย็น เป็นประกายใส
สะอาดบริสุทธิ์สดชื่นชุ่มฉ่ำใจ
แล้วฉับพลันก็หายไปในแสงอรุณ
๒๑ ส.
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๕



ขออาลัยคุณคำผงผู้คงมั่น
ในสิ่งอันประเสริฐเลิศกุศล
ในความดีที่มีอยู่คู่สกล
คู่ชุมชนชาวกระแซงได้แสงธรรม

แม้เขาจะอัมพาตขาดสมส่วน
ดูแล้วชวนสลดหดหู่ซ้ำ
แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้แก่ผลกรรม
ยังคงย้ำหลักธรรมประจำใจ

คุณคำผงจากเราไปอย่างไม่กลับ
จากไปลับไม่กลับหวนทวนมาใหม่
แต่ความดีของคำผงคงต่อไป
เราจะไม่ลืมคำผงผู้ทรงธรรม

ธุลีดิน


 

น้อมจิตโน้มระลึกองค์คุณ แห่งสัมมาสัมพุทธะ
ผู้สละชีวิตโอบอุ้มสัตวโลกทั้งผอง
มิเห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ทุกข์ยาก
สามแสนเก้าหมื่น สี่พันสี่ร้อย หกสิบสี่ชั่วโมง
หนึ่งหมื่นหกพันสี่ร้อย สามสิบหกวัน
หรือสี่สิบห้าปีแห่งการทำงาน
อุทิศให้กับทุกชีวิต มิเคยลำเอียงแม้น้อย
น้อมจิตโน้มระลึกองค์คุณ แห่งสัมมาสัมพุทธะ
เราจักกอบกู้ช่วยเหลือศาสนา
ได้ด้วยวิธีใดหนอ ให้สมกับพระคุณ
ที่ไหลผ่านมาให้อาบกิน
นอกเหนือจากการปฏิบัติบูชา

ใต้ร่มอโศก



สารอโศก ฉบับ เวียนธรรมวิสาขบูชา 25 ปีที่ 2(5) ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2525


 

อ โ ศ ก ร ำ ลึ ก

ท่านผู้นั้น...
คือพระผู้ให้
คือครูผู้สอน
คือสรณะอันสูงส่ง
ผู้ไถ่บาปอกุศลทั้งมวล
ให้เหล่าเวไนยสัตว์ (ในยุคสมัยอันมืดมน)
ได้พบพานแสงสว่าง แห่งตะวันธรรม
ที่ทอดทอรังสีอันสุขเย็น
ลงดับความร้อนรุ่ม ในหัวใจผู้คน
ให้กลับสดใส.. อิ่มเอิบ.. เบิกบาน..สันติ

ท่านผู้พากเพียร.. บากบั่น.. อุตสาหะ
นับแต่ลืมตาตื่น จากชาคริยาฯ
ขณะที่ชาวโลกยังคงหลับใหล อย่างมัวเมา
อาศัยพักผ่อนสรีระ เพียงพอเป็นไป
เพื่อยังขันธ์ในเวลานาที ที่เหลือ
กอบกู้..สืบต่อพระศาสนา
ที่นับวันจะเรียวลง จนไร้รูปรอย
ให้กลับฟื้นคืนมาเป็นหลัก ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ของมวลมนุษย์..อีกวาระหนึ่ง

ท่านผู้ให้กำเนิดวิญญาณ ดวงใหม่
ที่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์.. พ้นโศก
เพื่อตัดรอบแห่งสังสารวัฏ อันกว้างไกล
ให้มีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
จากดิน..สู่ดาว..พราวอำไพ
บริสุทธิ์..สดใส..ไร้มลทิน

ท่านผู้ไม่เคยระทดท้อ ต่องานหนัก
ไหนจะสู้กับพญามาร ภายนอก
ไหนจะพากเพียรสร้างสรร แกนใน
เผชิญกับความอวดดื้อ..ถือดี..มีมานะ
หรือเตาะแตะ..เฉื่อยเนือย.. หยุดอยู่
กระทั่งกับลูกนาค ที่มาฝากเลี้ยง
ทั้งหมดที่เห็น...
ก็คือสายตาเอื้อเอ็นดู
เมตตาการุณย์... ให้กำลังใจ...
สายตาที่ไม่เคยเปลี่ยนแววเป็นอื่น

ท่านผู้พลีแล้วซึ่งชีวิต จิตวิญญาณ
มอบแด่พระศาสนา...
"ขอสละเลือดทุกหยด
ลมหายใจทุกกระแส
เนื้อกับกระดูกที่เหลือ
บดขยี้ใส่พาน...
เพื่อเทิดทูนไว้แด่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
โอ้..บุญแล้วหนอ...
ที่ได้เกิดมาร่วมยุค ร่วมสมัย
ร่วมปฏิบัติบูชาธรรม

ห้า-มิถุนายน
วันแห่งความยินดีปรีดิ์เปรม... พร้อมพรั่ง
เหมือนสายน้ำจากทุกแหล่ง แห่งหน
ไหลมาบรรจบกันที่ มหาสมุทร
เพื่อรอคอยการได้พบกัน ทางจิตวิญญาณ
วิญญาณอันเป็นสัมพันธ์ แห่งมนุษยชาติ
โดยมิต้องมีโลกียสุข เป็นเครื่องล่อ

"ถ้าจะถือวันนี้เป็นวันเกิด ของอาตมา
ที่คุณอยากจะแสดง ความกตัญญูรู้คุณ
ในฐานะที่เป็นชาวธรรม...
ก็ขอให้แสดงภูมิธรรม ที่มีในตน
ในอันที่จะไม่โลภ -ไม่โกรธ -ไม่หลง
หากเพียรชำระนิวรณ์ ออกจากจิต
และยึดมั่นในสามัคคีธรรม
เป็น "อโศก" ที่มั่นคง แข็งแรง
ให้นกกาได้อาศัยร่มเงาอย่างสันติ"

สายลมพัดผ่านมาแผ่วผิว.. บางเบา..
ท้องฟ้าเป็นสีครามสดใส
น้ำในสระพริ้วพราย เป็นระลอก
ดอกบัวขาว-เหลือง-ม่วง
ราวพร้อมใจกันเบ่งบาน
ฝูงปลาตอดรากบัว อยู่ไหวไหว
นกกาส่งเสียงจิ๊บ-จิ๊บ ตามสุมทุมพุ่มไม้
"พ่อท่าน" ยังคงแสดงธรรมอยู่
อย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย
ท่ามกลางลูกชาย-หญิง
ที่รายรอบรับการแจก "อริยทรัพย์" อย่างร่าเริง-เบิกบาน
จะมีสุขใดยิ่งไปกว่านี้อีก เล่าหนอ...
อิสรา


 

ในโลกนี้ผู้ชนะน่ะถูกต้อง
ผู้แพ้ครองตำแหน่งแห่งผู้ผิด
เสรีเหลือเสี้ยวกระสันกระชั้นชิด
แค่นจะคิดผิดแล้วในความนึก

พิราบตายหนึ่งฤาเกิดแสน
ฤาทดแทนวิญญาณอันอ่อนฝึก
มองอธรรมผยองคะนองคึก
ก็สุดยึกจะนำธรรมประยุกต์
ละม่อม รัตนดิลก


 

จงละอายบาปกรรมเลิกทำชั่ว
จงเกรงกลัวโทษทัณฑ์พลันให้ผล
ทั้งที่แจ้งที่ลับอย่าสัปดน
แม้ว่าคนไม่เห็นก็เป็นกรรม

หากกรรมดีมีผลดลให้สุข
ชั่วให้ทุกข์เรื่องซวยช่วยกระหน่ำ
อยากสุขสันต์ ละชั่ว ตัวระยำ
แล้วเร่งทำดีเถิด...ประเสริฐแลฯ
เวทย์ วรวรรณ


 

พั น ธ น า ก า ร

พันธนาการใดเล่า ที่มีอานุภาพ
เหนือเครื่องจองจำทั้งมวล
มันคือโซ่ตรวนที่อ่อนนุ่ม ดุจใยไหม
แต่แน่นเหนียว ยิ่งกว่าใยบัว
แต่ละข้อต่อ ร้อยด้วยเกสรดอกไม้
ที่หอมหวนเย้ายวนใจ
มันคือ
พันธนาการแห่งกามฉันทะ
อันมีรูปลักษณ์ที่ตรึงตา
สุ้มเสียงไพเราะดุจระฆังแก้ว
กลิ่นกรุ่นที่ตามเตือนให้หวนหา
รสล้ำที่ด่ำดื่ม
สัมผัสที่นุ่มนวล ละมุนละไม
อันรัดรึงดวงใจ ให้ไหวหวาม
ฟุ้งซ่าน ร้อนรน และลุ่มหลง

ขุนศึกผู้เก่งกล้า
นางพญาผู้ทระนง
ก็ต้องพ่ายแพ้ศิโรราบ
สิ้นฤทธิ์สิ้นศักดิ์ศรี
เมื่อถูกจองจำ ด้วยโซ่ตรวนแห่งกาม

กามฉันทะ
เป็นความร้อนแรงที่แฝงเร้น
ดื้อรั้นแต่อ่อนหวาน
บริสุทธิ์แต่แฝงด้วยมายา
จึงยากยิ่ง สำหรับ ผู้ตกเป็นทาสของมัน
ที่จะไถ่ถอนตัวเอง

ให้ได้รับอิสรภาพ
พันธนาการแห่งกาม
หลอกหลอนประสาท แห่งการรับรู้
ให้เลอะเลือนวิปลาส
จึงเห็นมันเป็นดั่งมาลัย
ที่ร้อยเรียงด้วยบุปผาหอม
เป็นโซ่ทองที่ชุบชโลม ด้วยน้ำทิพย์
อันจะคล้องประสาน สองดวงใจ
ให้หลอมรวมเป็น หนึ่งเดียว

แท้จริงมันคือ โซ่เหล็ก อันร้อนแดง
จากหลุ่มถ่านเพลิง ที่ลุกโพลง
ที่ผูกรัดดวงใจ ผู้หลงผิด
ให้ปวดร้าว แสบร้อน ทุรนทุราย
ผู้ตกเป็นเหยื่อของ กามฉันทะ
จึงต้องถูกจองจำ ด้วยทุกขเวทนา
ประทับรอยแผล ที่ขั้วหัวใจ
ให้ทรมานไปตราบนาน เท่านาน
จนกว่าผู้นั้นจะเรียนรู้ เท่าทัน
ถึงพิษภัยอันร้ายกาจ แห่งกาม

ตะวัน
๒๐ สิงหาคม ๒๕๒๔



ร่มอโศกแผ่กว้าง สูงทะมึนเสียดฟ้า
กิ่งใบเติบใหญ่ ขยายโอฬาร เขียวขจีใสสด
หยดน้ำค้างพราวพร่าง
ส่องประกายระยิบระยับ
แผ่เงาแห่งความร่มเย็น ทั่วภาคพื้น
อย่าร้องไห้ อย่าเศร้าโศก
ร่มเงาอโศกนี้แหละ จะเป็นผู้เช็ดน้ำตาให้
เว้นเสียแต่...
เธอจะเป็นผู้เรียกร้อง มากเกินกว่านั้น
และคอยจ้องหาแต่ข้อบกพร่อง แห่งชาวเรา
ร่มอโศกร่มรื่นจริงๆ นะพ่อ !
ร่มอโศกจริงใจจริงๆ นะแม่ !

ใต้ร่มอโศก



สารอโศก ฉบับ อโศกรำลึก ปีที่ 2(5) ฉบับที่ 11 มิถุนายน 2525

 

จิ ต ที่ ส บ า ย

จิตที่สบาย ทุกอย่างก็สบาย
แม้โลกจะร้อน
สิ่งแวดล้อม จะเกิดความยุ่งยาก วุ่นวาย
ผู้มีจิตสบาย ก็ยังสบาย
และจะเป็นหลัก เป็นผู้ช่วยความยุ่งยาก
ที่เกิดขึ้นรอบตัว ให้บรรเทาลง ให้เย็นลงมาด้วย

ด้วยอัชฌาสัยอันทนไม่ได้ ต่อความกรุณา
ซึ่งเป็นสภาพของคน ผู้มีจิตสำนึก
ผู้มีคุณความดี ผู้เป็นมนุษย์
ที่พระพุทธเจ้า ได้ปั้นขึ้น อย่างแน่แท้
ไม่ใช่ก้อนอิฐ ไม่ใช่ก้อนหิน
เป็นผู้มีกะจิตกะใจ
และ...เป็นผู้มีกรรม
มีธรรมอันสมควรแก่ธรรม
มีกรรมอันเป็นกุศล
หยั่งให้ถึงพร้อม
ให้เป็นไปให้แก่โลก
นั่นเป็นคุณสมบัติ
ของผู้มีจิตดีเยี่ยม จิตสูง

เพราะฉะนั้น... ผู้ใดพึงสร้างสม
กระทำการปฏิบัติตน ถูกทิศถูกทาง
ผู้นั้นจะเกิดจิตนั้นจริง
โดยไม่ต้องไปบังคับ
โดยไม่ต้องไปเจตนา
เพราะแม้แต่สำนึกมนุษย์ ธรรมดาสามัญ
ก็มีจิตนี้อยู่แล้วแต่เดิม
ยิ่งผู้ที่มีจิตได้อบรม อันสูงแล้ว
ย่อมเกิดกันได้โดยธรรม เป็นธรรมดา

แต่ผู้ที่ปฏิบัติผิดทางนั้น
จะไม่มีจิตตัวนี้
และ...จะไม่มีความรู้สึกเช่นนี้
เพราะมันจะเฉื่อยเนือย เฉื่อยชา และเฉยเมย

สมณะโพธิรักษ์
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๒๕


 

อาสาฬหะรำลึก

รุ่งอรุณแห่งความรู้ ตื่น เบิกบาน
ทางจิตวิญญาณ
สาธุชน
ขอท่านจงหยุดลง เงี่ยหูสดับ
ฟังเถิด...บทเพลงแห่งสันติ
ที่บรรเลงมานานแล้ว
กว่าสองพันห้าร้อยปี

ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ในคืนวันนั้น
เมื่อเดือนเพ็ญปรากฏขึ้น บนท้องฟ้า
หมู่ไม้และความเงียบสงัด ปกคลุมทั่วผืนแผ่นดิน
ที่กงล้อแห่งธรรมได้อุบัติขึ้น เป็นครั้งแรก
ปรากฏบนโลกพิภพแห่งนี้
เสียงบรรลือสีหนาท ประกาศธรรมจักร
ได้ดังกระหึ่มกึกก้องขึ้น
ตลอดทั่วเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์
พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์

"...ดูกรภิกษุทั้งหลาย
จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา

ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน
ว่าอริยสัจ คือทุกข์เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ดังนี้
ว่าอริยสัจ คือทุกข์นั้นแล
เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ดังนี้...
ว่าอริยสัจ คือเหตุให้เกิดทุกข์
เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ดังนี้
ว่าอริยสัจ คือเหตุให้เกิดทุกข์นั้นแล
เป็นสิ่งควรละเสีย ดังนี้
ว่าอริยสัจ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ดังนี้
ว่าอริยสัจ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
นั้นแล เป็นสิ่งควรทำให้แจ้ง ดังนี้
ว่าอริยสัจ คือข้อปฏิบัติที่ทำสัตว์
ให้ถึงความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์
เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ดังนี้
ว่าอริยสัจ คือข้อปฏิบัติที่ทำสัตว์
ให้ถึงความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์นั้นแล
เป็นสิ่งที่ควรทำให้เกิดมี ดังนี้...

...ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ญาณและทัศนะ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า...
ความหลุดพ้นของเรา ไม่กลับกำเริบ
ความเกิดนี้ เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย
บัดนี้ความเกิดอีก ย่อมไม่มี (สำหรับเรา)..."

...จากวันนั้นถึงวันนี้
ที่บทเพลงแห่งศานติไมตรี
ได้บรรเลงต่อเนื่องสืบมา
จากพุทธคยาแผ่ไพศาล ไปทั่วชมพูทวีป
ทางเหนือขึ้นสู่ธิเบต จีน...
ทางใต้ลงสู่ลังกา สุวรรณภูมิ...
แล้วแผ่ไกลไพศาล ไปทั่วทุกมุมโลก
กล่อมเกลาเหล่าเวไนยสัตว์
ที่เงี่ยหูลงสดับ
บทเพลงแห่งศานติ ซึ่งขับกล่อม

ให้ความอำมหิตรุนแรง หยาบช้า
เปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน และกรุณา
ให้ความริษยา อาฆาต เกลียดชัง
เปลี่ยนเป็นความรัก และให้อภัย
ให้ความโลภโมโทสันร้าย
เปลี่ยนเป็นความจริงใจ เสียสละ
ให้ความหยิ่งทะนง มานะกล้า
เปลี่ยนเป็นความสิ้นอหังการ และถ่อมใจ

...แต่จากวันนั้นถึงวันนี้
เมื่อผ่านพ้นกาลยาวนาน
กว่าสองพัน ห้าร้อยปี
บทเพลงแห่งความจริงใจไมตรี
ก็ค่อยๆ แผ่วเบาลงๆ
เริ่มจางหายไปจากบรรยากาศ ของโลกพิภพแห่งนี้
พร้อมกับสรรพเสียง ของหมู่มาร
ดังกึกก้องกังวานขึ้นแทนที่
กระเบื้องเฟื่องฟูลอย
น้ำเต้าน้อยก็ถอยจม
คนดีหดหัว คนชั่วเด่นผงาด
คนสัตย์ซื่อ ถูกหมิ่นประมาท ว่าโง่เซ่อ
คนมีศีลเป็นปกติ ถูกมองว่า มีสุขภาพจิตผิดปกติ
คนชั่วได้รับ คำยกย่องสรรเสริญ
คนดีถูกเมิน กระแนะกระแหน ประชดแดกดัน
พุทธะอันสูงส่ง ถูกลดค่าลง
เป็นเพียงอิฐ หิน ดิน ปูน
ไว้วางเร่ประมูล ซื้อขายกัน ตามพื้นข้างถนน

เดรัจฉานวิชาถูกบิดเบือน เป็นพุทธวิชา
ศาสนาพุทธกลายเป็น ศาสนาพราหมณ์ คอยรับจ้างทำพิธี
หรือไม่ก็กลายเป็น ศาสนาฤาษี หนีสังคม ตัดช่องน้อยแต่พอตัว
ศาสนาถูกหมิ่นว่า เป็นยาเสพติด
ศีลธรรมถูกมองว่าเป็นเพียง เครื่องมือของคนอ่อนแอ
ที่ไว้หลอกลวงคนโง่ เพื่อปกป้องตนเอง จากการถูกรังแก
โดยผู้เข้มแข็งฉลาดกว่า
หมดสิ้นศักดิ์ศรี
หมดสิ้นกิตติคุณที่เคยมี
หมดสิ้นคุณค่าความดี
บทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

...แต่แล้ว ณ ยุคสมัยกึ่งพุทธกาล
เมื่อพระโพธิสัตว์จุติลงมาทำงาน ต่ออายุพระพุทธศาสนา
เป็นธรรมทายาท สืบทอด ดำรงพระธรรมวินัย
ให้มีอายุยืนยาวสืบไป จนครบห้าพันปี

และวันนี้ที่กงล้อแห่งธรรมค่อยๆ ถูกเข็นผลักขึ้น จากหล่มโคลน อีกครั้งหนึ่ง
แล้วรุ่งอรุณแห่งศาสนชีพ ก็ค่อยๆ ปรากฏตัวอุทัยขึ้น
โผล่พ้นขอบฟ้า เบื้องทิศตะวันออก
เคลื่อนนำไปสู่แดนสุขาวดี ด้านทิศตะวันตก
รัตติกาลอันยาวนาน ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
พร้อมกับทิวาวาร ที่กำลังมาถึง
ธรรมจักรได้พลิกฟื้นขึ้นแล้ว
ในโลกพิภพ อีกครั้งหนึ่ง

ตื่นขึ้นเถิด สาธุชนทั้งหลาย
ตื่นขึ้นจากในความฝัน
และตื่นขึ้นจาก ในความตื่น
อันเป็นความฝัน ที่ล้ำลึกยิ่งกว่า

ตื่นขึ้นจากความหลับใหล ในความมืด
และความน่ากลัว ของกาลราตรี
ตื่นขึ้น แล้วลุกเดินออกจาก ที่กำบังหลีกลี้หลบภัย
เพื่อรับแสงเงินแสงทอง ในวันใหม่
แสงอาทิตย์อุทัยอันคือศีล ที่ปรากฏขึ้นแล้ว บนขอบฟ้า ณ บัดนี้

สดับเถิด สาธุชนทั้งหลาย
ขอท่านจงเงี่ยหูลงสดับ
บทเพลงแห่งศานติ ที่เริ่มดังแว่วมา
จากขอบฟ้าเบื้องทิศ ตะวันออก
บทเพลงแห่งศานติ ที่ขับกล่อม
ให้ความอำมหิตรุนแรง หยาบช้า
เปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน และกรุณา
ให้ความริษยา อาฆาต เกลียดชัง
เปลี่ยนเป็นความรัก และให้อภัย
ให้ความโลภโมโทสันร้าย
เปลี่ยนเป็นความจริงใจ เสียสละ
ให้ความหยิ่งทะนง มานะกล้า
เปลี่ยนเป็นความสิ้นอหังการ และถ่อมใจ...

๒๑ ส.



อย่า หลงใหลคำคมคารมหวาน
ชื่อ ง่ายพานประสบพบผิดหวัง
คำ สรรเสริญเกริ่นกล่าวเล่าให้ฟัง
ยอ ให้คลั่งหลงตนจนลืมตัว

อย่า หลงพร่าคำคมคารมกร้าว
พ้อ เรื่องราวเปื้อนเปรอะเลอะไปทั่ว
คำ ด่าย่อมถูกก่น..."คนเมามัว"
หยาบ หยาบชั่วกิริยาไร้ค่าคน

ศิลปากร วกัยนภากุล



ปริญญาโลก กว่าจะได้ ต้องไขว่คว้า
แสวงหา กันด้วยจิต คิดอยากใหญ่
ปริญญาธรรม ต้องสะดุด หยุดที่ใจ
หยุดอยากได้ หยุดอยากมี หยุดอยากเป็น

หยุดโลภ หยุดโกรธ หยุดหลง
แล้วจง มองซึ้ง ให้เห็น
สิ่งเกิด สิ่งมี สิ่งเป็น
แล้วเห็น สิ่งดับ กลับกลาย

ใสใส สะอาด พิสุทธิ์
สว่าง สงบ-วิมุติ ยิ่งใหญ่
อิสรภาพ ไพศาล กว้างไกล
ดวงใจ เต็ม-ตรง คงนิรันดร์
หนูน้อย
๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๕


"พุทธรักษา" พฤกษ์พริ้ง แผกพรรณ
หลายหลากหากสีสัน ปลูกได้
แม้ปลูกถูกลักษณะบรรพ์ บังเกิด-โชคแล
ผลิดอกออกดาษไซร้ ส่งเย้ายวนตา
"พุทธรักษา" เหล่าผู้ ประพฤติ-ธรรมแฮ
พุทธอมฤตธรรม เลิศแท้
ศีลส่งบ่งประพฤทธิ์ แผ้วสู่-สวรรค์แฮ
คุ้มโลกปราบมารแพ้ ปกป้องพุทธชน
สกุลกานท์



บัวแบ้แลเจิดจ้า กลางนาครโกลาหล
ยกยออลวน ลืมเปรตปนเมื่อบุญเกย
ศีลสำหรับออกจากปาก ประพฤติหากไม่เปิดเผย
บัวแบ้จึงเปรียบเปรย ไม่เยาะเย้ยหากกังวล
นาครคือนาคนครบ เจนประจบเชิงฉ้อฉล
นาครคือนาคน คอยแคะค้นแต่ความเลว
มวลบัวเมื่อขาดน้ำ แล้งระส่ำระแหงเหว
นรกก็เสียเปลว สวรรค์เหลวสุดปั้นปลง
นี่แหละดีและชั่ว ใครเกลือกกลั้วก็ลุ่มหลง
บัวแบ้แม้ป่าดง คนก็คงคว้าบูชา
มวลบัวแม้อิ่มน้ำ น้ำครำก็เจิดจ้า
บัวศีลใกล้-ไกลตา ราคาโลกก็ทวี
งามตาคือบัวแบ้ มัวเมาแท้ทางวิถี
เกิดแล้วกลายเป็นผงคลี สัตว์อย่ามีเวรต่อกัน

ละม่อม รัตนดิลก
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๒๕


 

บนเส้นทางสายนี้... สายแห่งอมตธรรม
ใช่ว่าจะกลืนกิน ลงได้หวานหวาน
เว้นเสียแต่เขาผู้นั้น
จะเป็นไท จากวัตถุ แห่งกามสารพัด
และรู้จักการมองตน อันแข็งแกร่ง
ที่เห็นสรรพสิ่งรอบข้าง คือ ยารักษาแผล
และตัวเองมีแผลผื่น ละลานเต็มตัว
โอ้! ได้โปรด ได้โปรด
เพื่ออุดมการแห่งการบรรลุ
โปรดหยดน้ำยา ลงที่ตัวฉัน
ฉันกัดฟันพร้อมแล้ว !!!

ใต้ร่มอโศก


สารอโศก ฉบับ อาสาฬหรำลึก ปีที่ 2(5) ฉบับที่ 12 กรกฎาคม 2525

หน้า ๒๑

เม็ดทราย หน้า 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24