เม็ดทราย ๒๓

แ ส ว ง ห า

ทุกคนล้วนแสวงหา
เราก็เป็นผู้แสวงหา
ผู้ที่แสวงหาโดยไม่รู้จัก การละความแสวงหา
จะไม่มีวันพบ ความหยุด ความพัก
และจะไม่มีวัน ได้เห็นนิพพาน

ผู้แสวงหา...
และก็ละการแสวงหา ได้เป็นระดับระดับ
ตั้งแต่ละการแสวงหากาม
ก็จะมามีภพที่สูงขึ้น ภูมิที่สูงขึ้น

ถ้าเราติดภพ
แล้วเรายังแถมโง่
แสวงหาสิ่งที่อยู่ในภพอีก
ติดอารมณ์ในภพอีก
เราก็ยังคงแสวงหา อารมณ์ในภพ อีกนานนับชาติได้

เราต้องละการแสวงหาในภพ อีกต่อไป
แล้วเราก็ยังจะมีสิ่งที่ ละเอียดลึกเข้าไปอีก
ที่เราจะแสวงหา...ก็คือ
ความสูงของภพของภูมินั้นต่อไป

จนที่สุดเราก็...
แสวงหาพรหมจรรย์ ได้สูงขึ้นสูงขึ้น
จนที่สุด...
เราจะละการแสวงหาพรหมจรรย์ เป็นที่สุดอีก

ผู้ละการแสวงหาพรหมจรรย์ ได้แล้วด้วยดีเท่านั้น
จึงจะถึงซึ่งนิพพานบริบูรณ์
พระโพธิรักษ์
๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๕




นิยายบนรถเมล์

แสงเงินแสงทองเรื่อเรืองที่ปลายฟ้า
สักครู่ดวงตะวันก็ลอยเด่นเหนือทิวสน
แผ่นฟ้ากลายเป็นสีทองอร่ามตา
ก่อนจะแปรเป็นสีเงินเจิดจ้า สะท้อนแสงวาววับ
จนมิอาจจับตามอง อีกต่อไป
ควันไฟลอยอ้อยอิ่ง จากที่ใดที่หนึ่ง
เช้าอันสับสน เริ่มต้นอีกวันแล้ว
ที่ป้ายรถ...
กรรมกรหญิงชาย จับกลุ่มกันอยู่ สี่-ห้าคน
พร้อมเครื่องมือ ทำมาหากินของเขา
และสีหน้าวิตกกังวล
เมื่อโบกรถไม่เป็นผลสำเร็จ
ใครคนหนึ่งเปรยขึ้นว่า
"สายแล้ว-เดี๋ยวคงถูกตัด ค่าแรงอีก"
บนรถประจำทาง...
สาธารณูปโภคผูกขาด ที่แออัดยัดเยียด
เสียงชายชรา ร้องบอกหลาน ตัวน้อยน้อยว่า
"เกาะตาไว้ลูก-เกาะตาไว้ แน่นแน่น"
ขณะที่รถโขยกขึ้นโขยกลง บนพื้นถนนอันขรุขระ
และ "ตา" เอง ก็ทรงตัวได้ยากเย็น
ภาพคนแก่กับเด็กอนุบาล เก้ๆ กังๆ บนรถ
ก่อเกิดความสะเทือนใจ ได้ไม่น้อย

ชีวิตเหมือนนิยาย
โลกนี้คือละคร
แม้ไม่ใส่ใจ
ละครก็มีให้เห็น ฉากแล้วฉากเล่า
สนุกสนาน..เร้าใจ.. ขบขัน..ขมขื่น
แม้ไม่ได้ประสบกับตัวเอง
ก็ซับซาบสภาวะ ได้เต็มเปี่ยม

ทั้งสีหน้าทุกข์ร้อน ของกรรมกร
ทั้งภาพสะท้อนของชายชรา
ทำให้อดคิดถึงมิติ ของความรักไม่ได้
เพราะสร้างขึ้น จึงต้องก่อสาน
ค่าแรงกรรมกร อาจหมายถึงมื้ออาหาร ของลูกลูก
ชายชราผู้พ้นวัย ที่จะคุ้มครองใครได้แล้ว
ยังต้องลำบากลำบน กับการรับผิดชอบหลาน
งกๆ เงิ่นๆ ในขณะที่อะไรๆ ก็เร่งร้อนแทบจะคลั่ง

เหล่านี้คือผลของ "ความรัก" ใช่หรือไม่
ความรักมิติที่หนึ่ง ที่หวานชื่นในตอนต้น
สุขสมในช่วงกลาง
และขมขื่น ในบั้นปลาย
กว่าจะรู้ตัว...
ก็เสียเวลาเกือบทั้งชีวิต เพียงเพื่อเรียนรู้อนิจจัง
เพราะสุดท้าย...
ความรักก็หายไป
ทิ้งไว้แต่ภาระหน้าที่ อันหนักหน่วง ให้แบกหาม
หรือมนุษย์เกิดมา เพื่อเป็นเครื่องเล่น ของพระเจ้า
ปรุงแต่งให้เพียบพร้อม ไปด้วยอารมณ์
และความรู้สึกนึกคิด

ขนานนามให้ว่า เป็นสัตว์ประเสริฐ
จากนั้นก็ทดสอบ ความเฉลียวฉลาด แห่งภูมิปัญญา
ด้วยการเอา "กามคุณ" มาเกี่ยวปลายเบ็ด
ดูซิว่า ใครจะประคองชีวิต ไปได้แค่ไหน... อย่างไร
จะอิสระจากเครื่องล่อ
หรือหลงฮุบเหยื่อ อันแสนทารุณ

ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น
พระเจ้าก็คงสนุกสนาน
ที่มนุษย์ยังคง พ่ายแพ้ตลอดมา ทุกยุคทุกสมัย
พ่ายแพ้อานุภาพ ของความรัก
ความหวั่นไหวในอารมณ์
ความอ่อนแอของหัวใจ
และความเย้ายวน ของกิเลสตัณหา

ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร ?
คือความสร้างสรร หรือบ่อนทำลาย
เรามาจากไหน-จะไปไหน -ที่สุดของชีวิต คืออย่างไร ?
ใครกันคือผู้ลิขิต ชีวิตผู้คน...
พระเจ้าหรือเราเอง !

รถยังแล่นต่อไป
นิยายบนรถยังไม่จบ
จู่จู่ฝนก็ลงเม็ด ทั้งที่ไม่มีเค้าล่วงหน้า
ชายหนุ่มผู้น้ำใจดี เอื้อเฟื้อ ช่วยปิดหน้าต่างให้
พลันเสียงหญิงสาว ที่ยืนเคียง ก็สะบัดขึ้น
"ทำไมต้องบริการคนอื่น"
คำขอบคุณจึงต้องชะงัก
นี่อย่างไร... เหยื่อรายใหม่ของพระเจ้า
อิสรา
๖ ต.ค. ๒๕๒๕



จากจิตต่อจิต จากใจสู่ใจ
หาญกล้าปฏิญาณ
ความผิดใดๆ โปรดบอกสั่งสอน
ทุจริตใดๆ โปรดท้วงโปรดทัก
มิขอถือสา มิขอหาความ
ด้วยซากศพทอดยาวเหยียด ในแดนป่าช้าโลกุตระ
ตายด้วยความหวงเนื้อ หวงตัวมากมาย
เขามิยอมรับนับถือ กระจกเงา
ที่ส่องภาพสะท้อนแห่งตน
ด้วยเหตุแห่งการทนต่อ ความอัปลักษณ์ของตัว มิได้
ดูซากศพนั้นซิ... ลมหายใจรวยริน
เขาไม่ยอมให้ใครจ้วงจาบ แม้วจีกรรม
เหตุผลแก้ตัวเขาจะมีสารพัด
ปากของเขาสงบนิ่งไม่ได้
เขาไม่รู้จักการนิ่ง อย่างดุษฎี
หารู้ไม่ว่า นั่นแหละ สุดยอดแห่งยารักษา
ใต้ร่มอโศก


สารอโศก ฉบับปฐมมหาปวารณา ปีที่ ๓(๖) ฉบับที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๕


บทเรียน แห่ง ความพลัดพราก

ชีวิต...
อุบัติขึ้น...
เรียนรู้...ฝึกฝน...จดจำ
ผ่านความรัก... ความชัง... ความเจ็บปวด
รู้คิดแยกแยะ ผิดชอบชั่วดี
ทุกข์-สุขรายล้อมรอบด้าน
เกิด-ดับ, เกิด-ดับ
น่าเบื่อหน่าย, ระอา

อะไรเล่าคือสาระ แห่งการเกิด
นอกเหนือจากการกิน.. นอน..สืบพันธุ์
ก่อร่างสร้างตัว แล้วตายไป
พร้อมจิตวิญญาณดวงเดิม
อันแสนเหนื่อยยาก.. สับสน
อะไรกันที่คือคุณค่า ของมนุษย์
ลาภ-ยศ-สรรเสริญ -โลกียสุข
...เท่านั้นหรือ ?

กงล้อแห่งกาลเวลาหมุนไป
ชีวิตและวัยล่วงไป พร้อมวันคืน
หลายสิ่งแสดงอนิจจัง ให้ปรากฏ
ไม่มีอะไรเที่ยงแท้
ไม่มีอะไรมีค่า ควรแก่การยึดถือ
ไม่มีอะไร เป็นที่พึ่งอันเกษม
ยิ่งไขว่คว้า... ยิ่งห่างไกล
ยิ่งเข้าใกล้... ยิ่งรางเลือน

จวบจนได้พบ ดวงประทีปแห่งธรรม
การแสวงหา จึงสิ้นสุด
คำถามที่เพียรพยายาม หาคำตอบ ค่อยคลี่คลาย
อุดมการณ์ที่ฝันใฝ่ เริ่มเป็นจริง
ชีวิตได้พบจุดหมาย
มรรคามีอยู่...
ผู้นำมีอยู่
ผู้ร่วมเดินทางพร้อมพรั่ง
ทั้งพี่-ทั้งน้อง-ทั้งเพื่อน

หนทางสู่โลกุตระ ทอดยาวไกล ไปเบื้องหน้า
ทุกคนดุ่มเดิน ตามอินทรีย์พละ
เร็วบ้าง..ช้าบ้าง
แต่ต่างก็คอยดูแล.. เกื้อกูล..ไม่ทอดทิ้งกัน
สัมพันธ์สอดคล้อง เป็นญาติธรรม สนิทเนียน
คอยติงเตือน...ชี้แนะ.. ระแวดระวังภัย
เพราะแม้ทางนี้ จะเป็นทางเอก ทางเดียว
แต่สองข้างทาง ก็ยังเต็มไปด้วย พญามาร
ที่คอยหลอกล่อ ให้เดินหลง

และทั้งที่รู้..
จากวันเริ่มจนวันนี้
เพื่อนพ้องหลายคน ก็ยังพลัดหลง ไปบนเส้นทางลวง
บ้างลังเล-ไม่แน่ใจ ในจุดหมาย
บ้างแพ้ภัยตัว-พ่ายต่อ กิเลสตัณหา
บ้างท้อแท้-เบื่อหน่าย -หมดความอดทน
เหนื่อยนัก..ไกลนัก.. ยากนัก
แล้วก็ผละจากไป
ทิ้งอุดมการณ์ และชีวิตพรหมจรรย์ ไว้เบื้องหลัง

โอ้พรหมจรรย์นี้ ช่างยากเย็นจริงหนอ
ทั้งที่ต่างก็ตั้งใจจริง เต็มเปี่ยม
สู้สละละทิ้งโภคทรัพย์ และเครือญาติ
จากความรัก ความอบอุ่น
มุ่งสู่ร่มเงาแห่ง ผ้ากาสาวะ
อบรมธรรมทุกค่ำเช้า
พากเพียรฝึกตน ขึ้นสู่ที่สูง
แล้วเหตุไฉน จึงกลับกลาย... เปลี่ยนแปร

สัจธรรมไม่มีคุณค่า เสียแล้วหรือ
สหธรรมิก ไม่มีความหมายเลย ใช่ไหม
ก็ไหนว่าจะช่วยกัน เข็ญกงล้อธรรมจักร
ไหนว่าจะอุทิศตน เพื่อพระศาสนา
ไหนว่าไม่มีอะไรมีค่า เกินอริยทรัพย์
ไหนว่า แม้จะประสบทุกข์เจียนตาย
ก็จะไม่ทิ้งธรรม อย่างไรเล่า

บทเรียนแห่ง ความพลัดพราก
ถูกส่งผ่านมาให้ทดสอบ บทแล้วบทเล่า
ไม่อยากทำก็ต้องทำ
ไม่อยากพบก็ต้องพบ
ไม่อยากรู้ก็ต้องรู้
เน้นย้ำซ้ำซาก
ว่าที่ใดมีรัก.. ที่นั่นมีทุกข์
ว่าตนเท่านั้น คือที่พึ่งแห่งตน
ไม่มีอะไรแน่นอน เท่ากับความไม่แน่นอน

พอเสียทีเถิด ความเจ็บปวด
ป่วยการที่จะร้องไห้.. คร่ำครวญ
ชีวิตของใครก็ของใคร
เขาย่อมมีสิทธิ มีเหตุผลเต็มเปี่ยม
ที่จะจัดการกับตัวเอง
ในฐานะเจ้าของชีวิต
และหากเปิดใจให้กว้าง
หากเข้าใจกฎแห่งกรรม
ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นทุกข์

แต่จงหันกลับมามองตน
ประคองรักษาจิตไว้ มิให้ตกต่ำ
เอาบทเรียนเหล่านั้น มาทำวัคซีน
เพิ่มภูมิคุ้มกันโรคภัย
หลอมละลายมันเข้าไป ในสายเลือด.. ในหัวใจ
เพื่อวิญญาณที่แข็งแกร่ง -มั่นคงขึ้น
สำหรับก้าวต่อไป ในอนาคต

อิสรา
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๕




เ พี ย ง ด อ ก ร่ ว ง
ทั้งทั้งที่ เตรียมใจ ไว้ล่วงหน้า
แต่ทว่า มันยังพรั่น และหวั่นไหว
ไม่นึกว่า จะเร็วรวด จึงปวดใจ
และไม่ตรง คาดไว้ ยั้งไม่ทัน

ทั้งทั้งรู้ ว่ามีเกิด ต้องมีตาย
เพราะปล่อยวาง ไม่ได้ ให้หุนหัน
แต่ใจหนึ่ง คำนึงถึง ความสำคัญ
เรื่องช่วยกัน เข็นล้อกง องค์พระธรรม

เห็นอโศก แผ่กิ่งก้าน บานไสว
จนใครใคร เข็ดขยาด มิอาจถลำ
มากล้ำกราย บดขยี้ ผู้มีธรรม
ทุกถ้อยคำ ที่ตอบสวน ล้วนเลือดเย็น

อยู่มาได้ หลายพรรษา น่าจะสุข
ไยจึงทุกข์ หมองหม่น จนเหลือเข็น
ทำอย่างนี้ เท่ากับว่า ฆ่าทั้งเป็น
อีกหลายคน ต้องกระเด็น เพราะแรงลม

เห็นคนเก่า ทำท่า ว่าสงบ
ทำราวกับ เคยพบ ไม่ขื่นขม
ไม่เมตตา คนใหม่ ใจระบม
ใช่โง่งม ยึดบุคคล จนงมงาย

แต่ดอกอโศก ร่วงบ่อยครั้ง เกินยั้งจิต
ปวงญาติมิตร ต่างอกสั่น พาขวัญหาย
มิใช่อื่น ดอกหนา น่าเสียดาย
มาด่วนตาย ก่อนฆราวาส อนาถใจ

ไม่เคยคิด เสียดายกราบ ที่ซาบซึ้ง
คำสอนตรึง ตรามั่น ไม่หวั่นไหว
ไยผู้สอน จึงรีบจร จากเราไป
ทิ้งเราให้ ยืนเซ่อ กว่าเจอทาง

มันก็จริง ดีกว่านี้ ยังมีอีก
จะสับหลีก เชื่อมโยง ไม่โผงผาง
ถึงอย่างไร จะทำใจ ให้เป็นกลาง
หัดปล่อยวาง เริ่มคิด อนิจจัง

ทำอย่างไร จึงจะเย็น เช่นพ่อท่าน
คอยประสาน รอบคอบ ปลอบให้หวัง
ว่าดอกอโศก ดอกใหม่ ให้พลัง
จงหยุดยั้ง การวิจารณ์ เอ่ยขานกัน

เพราะมันไม่ ทำอะไร ให้ดีขึ้น
จะรื้อฟื้น กันทำไม ให้คนหยัน
คนภายนอก ไม่มีใคร รู้เท่าทัน
ที่มีคน ไหวหวั่น นั้นธรรมดา

แต่แก่นแท้ เนื้อใน ให้ปักแน่น
อย่าคลอนแคลน ป่วนปั่น หวั่นผวา
จะพลอยให้ ใบเก่า เฉาโรยรา
ในไม่ช้า รากเหง้า ก็เฉาตาย

เพียงดอกร่วง ต้นไม้ ไม่ตายดอก
ในไม่ช้า ก็จะงอก ออกมาใหม่
อาจเป็นดอก ติดผลดก ปกคลุมใบ
แล้วแพร่พันธุ์ พุทธให้ ไกลทั่วเมือง

ญาติธรรมชาวบางนา


 

สามัคคีเป็นพลัง ๕ ประการ คือ
เป็นความงดงามเรียบร้อย
เป็นพลังสร้างสรร
เป็นความเจริญงอกงาม
เป็นความสุขสันติ
เป็นความสำเร็จสมบูรณ์
สมณะโพธิรักษ์



ตายหนึ่งเกิดสิบ
เมื่อจิตวิญญาณดวงหนึ่งได้ดับไป
ชีวิตใหม่อีกสิบชีวิตได้สว่างขึ้น
ตาเขาได้เห็นแจ้งในกฎแห่งไตรลักษณ์
และเขาก็ได้ทะยานตนให้พ้น เหนือวังวนของโลก
แม้โลกนี้จะดูเศร้าซึม
กองทัพอสูรดูเหมือนเป็นต่อ
ฝ่ายฤษีหัวร่อยิ้มร่า ในป่าลึก
โดยรู้สึกว่า มันเป็นชัยชนะของฤษี
บัดนี้สัมมาอริยมรรค มิอาจเป็นไป
ดุจคนตาย กลางทะเลทราย เหนื่อยแสนเหนื่อย
หนังหุ้มกระดูก!
เพราะหัวใจเขามีเชื้อโรค
เชื้อโรคอะไร ?
เชื้อโรคของ บรรพบุรุษแห่งฤษี
ที่รักการหนีปัญหา มากกว่าการเผชิญปัญหา
เขาชอบแช่เย็นกิเลส เอาไว้เสมอเสมอ
และแล้ว มันก็กลายเป็น น้ำกรดแช่เย็น
ที่จะสร้างความปวดแสบ ปวดร้าว
เข้าถึงกระดูก และขั้วหัวใจ
พุทธะแย้มสรวลในการตาย !
มันเป็นการศึกษา ที่จะต้องลงทุน
ทุกคนพึงเอาประโยชน์ จากการณ์นี้ให้ได้เถิด

โอ้ ! อัศจรรย์จริงหนอ
มหาสมุทรย่อมพัดซากศพ ขึ้นสู่ฝั่งฉันใด
ธรรมวินัยนี้ ย่อมสะอาดบริสุทธิ์ ดุจมหาสมุทรฉันนั้น
สัมมาอริยมรรค ยังคงบริสุทธิ์ ด้วยความศักดิ์สิทธิ์
ฤาษีหน้าสลด เพราะคนของเขา
พ่ายแพ้สัมมาอริยมรรค นั่นต่างหาก
บรรยากาศแห่งความเศร้าซึม
เสียงร้องไห้แห่งความระทม
ที่แท้ !
คือเสียงผู้จงรักภักดี บรรพบุรุษของฤาษี
ที่ถูกกงล้อของ สัมมาอริยมรรค บดขยี้
ให้สิ้นซากจากธรรมวินัย บริสุทธิ์นี้

แน่นอน! สัมมาอริยมรรค
ยังคงจักต้อง ดำเนินต่อไป
ดำเนินต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง
แม้จะต้องตายหนึ่ง
แต่เราจะต้องพยายาม ทำให้เกิดสิบให้ได้

สาธุ


จาก..สารอโศก ฉบับ ป่าช้าโลกุตตระ ปีที่ ๓(๖) ฉบับที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๕

หน้า ๒๓

เม็ดทราย หน้า 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26