[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 1/7

สารบัญ
[1] แสวงหา
[2] เดินทาง

[3] ทิ้งรัก

[4] ชักท้อ

[5] ปลุกเร้า

[6] คบมิตร

[7] ชีวิตพัฒนา

  ฆ่ามันด้วยมือเรา...  


 ทำไมต้องเกิด 

"เกิดมาทำไม ?" เป็นคำถามสุดยอดนิยม ถามกันแล้วถามกันเล่า

มานานนับพันปี และแม้วันนี้ก็ถามกันอยู่ "รู้ไหม ชีวิตเกิดมาทำไม" "ทำไมต้องเกิด"

มนุษย์เกิดมา ดิ้นรนไขว่คว้าสรรพสิ่ง ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งรูปธรรมและนามธรรม เมื่อได้มา ก็สุขสมใจ ไม่ได้ก็ร้อนเร่า ชีวิตดิ้นเถลือกไถลไปเรื่อย ๆ ตราบสิ้นลมก็ยังไม่รู้สัจธรรม

แต่เชื่อไหม หากจะตอบว่า ชีวิตนั้นมิได้เกิดมาทำไมดอก นอกจากเกิดมาทำดี เกิดมาทำงาน โดยเฉพาะทำงานชำระจิตให้สำรอกความชั่วร้ายออกไป ออกไป ซักฟอกให้สะอาดถ้วนรอบยิ่งๆ ขึ้น ส่วนจะทำได้แค่ไหน ก็สุดแต่ใจจะไขว่คว้า

เกิดมาอยู่กับโลก หากไม่รู้ธรรมะ ไม่เข้าใจแก่นแท้ของชีวิต ชีวิตก็ได้แต่วนเวียนอยู่กับโลกธรรมและกามคุณ ไม่มีวันพ้นโศกหยุดเศร้าไปได้เลย

ชีวิตมีอยู่ชั่วครู่เดียว บัดเดี๋ยวก็ดับลับหาย
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดูคล้ายหยดน้ำค้างกลางแสงตะวัน
หลงใหลอะไรนักหรือ ยึดถือสิ่งใดใครนั่น
ดิ้นรนไขว่คว้าสารพัน เสกสรรพอกเพิ่มเสริมอัตตา

วุ่นวายว่ายวนหลงกล "กาม หอบหามหวงแหนแน่นหนา
ไม่อิ่มไม่พอท้ออุรา โอ้หนอ...เกิดมาทำไม
เกิดมาเป็นทาสโลกีย์ เกิดมาเป็นหนี้ใครที่ไหน
กี่กัปกัลป์จึงจะหมดการชดใช้ อีกเมื่อไรจะพ้นการทนทุกข์

อิสระเสรีอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่อยู่ที่ใจมีสุข
อยู่เหนือ "โลกธรรม" กระหน่ำรุก โศกหรือสุขรู้เห็นตามเป็นจริง
ชีวิตมีอยู่ชั่วครู่เดียว บัดเดี๋ยวก็สลายทั้งชายหญิง
วันคืนผ่านไปไม่ประวิง ทุกสิ่งอนิจจังทั้งนั้น

เกิดแล้วเป็นมนุษย์ ประเสริฐสุดหากเลือกทางสร้างสรร
ผิด-ชอบ-ดี-ชั่ว พัวพัน ต้องฝ่าฟันให้ถึงซึ่งหลักชัย
หลักชัยคือโลกุตระ อิสระ บริสุทธิ์ ผุดผ่องใส
เหนือทุกข์เหนือโศกเหนือโลกใดใด เบิกบานแจ่มใสมีชีวิตชีวา

ตื่นเถิดฟ้าสางสว่างแล้ว นั่นดวงแก้วส่องทางอยู่ข้างหน้า
ตะวันธรรมทอแสงแห่งศรัทธา ชี้มรรคาสดใสให้ชีวิต.

อิสรา


อย่ารอถึงวันเก็บเกี่ยว

ชีวิตคือสิ่งมีค่าสูงสุด ที่ผู้เป็นเจ้าของจะต้องระวังดูแลรักษา เปรียบดั่งชาวนาที่ต้องหมั่นดูแลผืนนาของตนอย่างสุดความสามารถ

หากลงทุนลงแรงเพาะปลูกแล้ว กลับปล่อยให้วันคืนล่วงไปโดยไม่ใส่ใจเท่าที่ควร ก็แน่นอนว่า เขาจะต้องเสียใจเมื่อวันเก็บเกี่ยวมาถึง

ชีวิตของเราก็เช่นกัน หากละเลย ไม่ระแวดระวัง ไม่แยกแยะดี-ชั่ว กอปรก่อแต่สิ่งดีงาม เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง เราจะต้องเสียใจขนาดไหน และเมื่อไรจึงจะมีโอกาสให้แก้ตัวอีก ?

ถามตัวเองให้จงหนักว่า "เวลาล่วงไป ล่วงไป บัดนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่ ? "

ถ้าชีวิตคือผืนนา ผืนนาที่มีคุณค่า คือผืนนาที่อุดมไปด้วยต้นข้าวที่รวงอวบอ้วน เมื่อฤดูแห่งการทำนามาถึง ชาวนาก็จะตั้งใจ ไถ คราด หว่าน ดำ ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ

และ...หวังให้ผืนนาของตนเป็นทุ่งรวงทอง แต่โดยสัจจะแล้ว...ในนาทุกแห่ง จะต้องมีหญ้าและวัชพืชอื่น ๆ เติบโตขึ้นมาพร้อม ๆ กับต้นข้าวกล้าด้วย ชาวนาที่ฉลาด จะต้องหมั่นสังเกตเพื่อแยกแยะให้รู้ว่า อะไรคือต้นข้าว อะไรคือต้นหญ้า และหมั่น ถอน ทำลาย ต้นหญ้าในนาที่กำลังงอกงาม คอยแย่งอาหารและทำลายต้นข้าว

ชาวนาที่มีปัญญาจะไม่ปล่อยให้ต้นหญ้าเติบโต ในนาของตนจนถึงวันเก็บเกี่ยว เพราะยิ่งปล่อยไว้นานวัน ก็ยิ่งยากแก่การทำลาย และผลผลิตของข้าวในนาก็จะยิ่งลดลง

ต้นข้าว คือ ความดี ต้นหญ้า คือ ความชั่วร้าย คนควรหมั่นถนอม ทำนุบำรุง ความดี และขจัดทำลายความชั่วร้าย เหมือนชาวนาหมั่นดูแลและให้ปุ๋ยแก่ต้นข้าว และคอยขจัดทำลายต้นหญ้า

เพราะเขารู้ดีว่า ต้นหญ้าขึ้นง่าย โตเร็ว โดยไม่ต้องปลูก และขจัดออกยากในภายหลัง เหมือนกิเลสตัณหาในตัวมนุษย์ ยิ่งปล่อยเอาไว้ ก็ยิ่งขยายตัวอย่างรวดเร็ว และระรานความดีที่มีอยู่ให้เสื่อมถอย เมื่อต้นข้าวยังเล็กอยู่ อาจเป็นการยากสำหรับผู้ยังไม่จัดเจน ที่จะแยกแยะว่า ต้นไหนคือต้นข้าว ต้นไหนคือต้นหญ้า แต่นี่แหละคือหน้าที่สำคัญอันหนึ่งของชาวนา เพื่อจุดหมาย คือ ท้องนาที่มีข้าวรวงอวบอ้วน เหมือนชีวิตของคนที่เกิดมาเพื่อความอุดมในธรรม

ปัจจุบัน...ผู้คนกำลังสับสนปนเป ระหว่างความดีและความชั่ว เหมือนชาวนาที่อ่อนหัด แยกแยะไม่ได้ มองต้นหญ้าเป็นต้นข้าว เขาจะต้องหลั่งน้ำตาเมื่อวันเก็บเกี่ยวมาถึง

เมื่อพบว่า... ท้องนาของเขาที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ไถ คราด หว่าน ดำ ด้วยความหวัง มีแต่พงหญ้าและวัชพืชที่ไม่ต้องการ แทนที่จะเป็นทุ่งรวงทองดังที่เขาปรารถนา จงอย่ารอจนถึงวันเก็บเกี่ยว ฝึกแยกแยะไตร่ตรอง มองให้ซึ้งว่าอะไรคือต้นหญ้าอะไรคือต้นข้าว ก่อนฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวจะมาถึง

ตะวัน เกียรติบุญญาฤทธิ์


ความฝันอันสูงสุด

ชีวิตในยุคปัจจุบัน แทบจะไม่เอื้ออำนวยให้ใครได้หยุดพิจารณาอะไรได้มากนัก

แทบทุกชีวิตต่างก็ต้องดิ้นรน แสวงหาให้ได้มาซึ่งสิ่งพึงประสงค์ เหน็ดเหนื่อยหนักหนากับการไขว่คว้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เพียงเพื่อความอยู่รอด หรือแม้ที่สุด ถึงจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการมาไว้ในกำมือ แต่เขาเหล่านั้นก็ยังไม่ล่วงพ้นความทุกข์ไปได้

ก็แล้วอะไรเล่า คือความหมายของคำว่า "ชีวิต"

อะไรคือสิ่งที่มนุษย์ควรมี ควรได้ และควรหามาให้แก่ตนอย่างแท้จริง ? สังคมที่มีแต่คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง เบียดเบียนทำร้ายทำลายกันแก่งแย่ง ชิงดีนี้น่ะหรือ คือสังคมศิวิไลซ์ที่เป็นศูนย์รวมของสัตวโลกผู้ชาญฉลาด

หยุดคิดสักนิดสิ ! คิดถึงคนอื่นบ้าง คิดถึงการให้ การเกื้อกูล การช่วยกัน สร้างสรรสังคมใหม่ให้น่าอยู่กว่านี้

มาสิ ! มาร่วมกันสร้างความฝันให้เป็นจริง

เคยมีสักครั้งบ้างไหม ในชีวิตของเธอ ที่ผวาตื่นขึ้นกลางดึก ท่ามกลางความมืดมิดเงียบสงัด ที่ถูกปกคลุมด้วยม่านสีดำแห่งรัตติกาล แล้วพบว่าตนเองถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวเคว้งคว้าง ในทะเลแห่งความมืดสีดำไพศาล เวิ้งว้างว่างเปล่าไร้จุดหมาย ข้างหลังคือวังวนลึกแห่งอดีตที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่งหายลับมลาย ข้างหน้าคือดวงดาวดารดาษเรียงราย อยู่ในฟ้ากว้างสีคราม แล้วระลอกคลื่นแห่งกาลเวลา ก็พัดพาให้เธอล่องลอยไปข้างหน้า สู่ฟ้ากว้างที่เวิ้งว้างไม่เห็นฝั่งไร้จุดหมาย ขอบฟ้ากว้างที่มีแต่ดาวเดือนระยิบระยับเป็นประกาย และสายธารแห่งทางช้างเผือกที่ทอดตัวไปในห้วงจักรวาล

เธอเคยสงสัยบ้างไหมถึงคุณค่าความหมายของชีวิต ชีวิตเล็ก ๆ ที่เป็นเพียงน้ำค้างหยดหนึ่ง ซึ่งอุบัติขึ้นในโลกพิภพกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ โลกพิภพที่เป็นเพียงเศษละอองธุลีหนึ่ง ของมหาสมุทรแห่งดวงดาวในจักรวาล โลกพิภพที่เป็นเพียงฟองคลื่นเล็ก ๆ ฟองหนึ่ง ที่เกิดแล้วดับลับหายไปในสายธารแห่งกาลเวลา

เคยหรือไม่สักครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เธอนั่งลงเงียบ ๆ แล้วหยุดคิดถึงปัญหา ว่าอะไรคือแก่นสารของชีวิตที่เกิดมา อะไรคือความหมายคุณค่าของการเกิดมาเป็นคน หรือว่าในสังคมที่วุ่นวายสับสน สังคมที่แก่งแย่ง เบียดเบียน ช่วงชิงกันอลวน สังคมที่ต่างคนต่างคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว สังคมที่ต่างคนต่างมัวหมกมุ่นแหวกว่ายไปข้างหน้า สังคมที่ใครอ่อนแอกว่าก ถูกถีบกระเด็นไปข้างหลัง สังคมที่มือซึ่งว่ายแหวกไปแต่ละครั้ง คือความสิ้นหวังของคนอีกหลาย ๆ คนที่ถูกปัดกระเด็นไป

ถ้าหากเธอไม่มีเวลาแม้แต่จะนั่งลงเงียบ ๆ เพื่อหยุดคิด ถึงแก่นสารคุณค่าความหมายของชีวิตที่ควรใฝ่หา เพราะถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขแห่งการอยู่รอดในสังคมมายา ที่ต่างคนต่างใส่หน้ากากเข้าหากัน ถ้าเช่นนั้นทำไมเธอไม่มาร่วมกับเราสักครั้ง เพื่อรังสรรค์สังคมใหม่ที่พึงปรารถนา สังคมซึ่งทุกคนมีความจริงใจต่อกันไร้มายา สังคมซึ่งถ้อยทีถ้อยอาศัยพึ่งพาเกื้อกูลกัน สังคมซึ่งบูชาความยากไร้ยิ่งกว่าธนสารสมบัติ สังคมซึ่งวัดค่าของคนด้วยคุณความดียิ่งกว่าเงินตราที่ไร้แก่นสาร สังคมซึ่งทุกคนพากเพียรบากบั่นรู้ค่าของการงาน สังคมซึ่งจะไม่มีคนเกียจคร้านแบ่งเบาช่วยเหลือกัน แล้วเธอจะมีวันเวลาที่สงบสุข ไม่เป็นทุกข์เพราะความคับข้องใจที่ต้องดิ้นรนแข่งขัน ไม่เป็นทุกข์เพราะต้องมัวแต่คอยระวังการเอารัดเอาเปรียบกัน ไม่เป็นทุกข์เพราะต้องคอยระแวงว่าคนอื่นนั้นจะเด่นเกินหน้าเกินตา แล้วเธอจะมีวันเวลาที่มากขึ้น สำหรับการฝันถึงชีวิตใหม่ที่ควรใฝ่หา ยิ่งกว่าเพียงแค่จมปลักอยู่ในโลกมืดแห่งอวิชชา ที่เป็นม่านบดบังดวงตาไม่ให้เห็นความจริงสิ่งใด อยู่ในโลกแห่งรัตติกาลอันมืดมิด บอดสนิทจากแสงสว่างที่ส่องทางไปสู่ความตาย แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรที่เป็นแก่นสารสาระติดตัว

แต่ในสังคมใหม่ชีวิตใหม่ที่เรามาร่วมกันใฝ่หา จะมีแสงเงินแสงทองแห่งอรุโณทัยอันคือศีลปรากฏขึ้นในขอบฟ้า เปิดพิภพส่องสว่างทะลุตลอดทั่วไตรพิภพโลกา ให้สรรพสัตว์ได้เกิดดวงตาเห็นแจ้งอริยสัจคือความจริง เห็นทางเอกสายเดียวที่ทอดตัวไปสู่จุดหมายเบื้องหน้า สุดขอบฟ้ เหนือขุนเขาแห่งพระสุเมรุที่ตั้งตระหง่านไพศาล อันเป็นแดนสถิตของปวงวิสุทธิเทพในพระนฤพาน ที่กำลังทำงานรื้อขนสัตว์อยู่ในโลกาด้วยสุญญตธรรม

มาเถิดขอให้เรามาร่วมกันฝันถึงชีวิตใหม่ ฝันถึงสังคมใหม่ที่รอเราอยู่ข้างหน้า แล้วร่วมกันเสกสรรให้ความฝันอันสูงส่งนี้กลายเป็นจริงขึ้นมา คนละนิดช่วยกันใส่ใจนำพา ในไม่ช้าความฝันก็จักกลายเป็นจริง มาเถิดมาร่วมกันฝันถึงความฝันอันสูงสุด เท่าที่มวลมนุษย์จะพึงฝันถึงได้ในโลกพิภพนี้ และสักวันหนึ่งตราบเท่าที่อิทธิบาทของเราไม่สูญสิ้น ในวันนั้นจะเป็นวันที่เราประกาศให้โลกได้รับรู้ ถึงความฝันที่ถูกสร้างให้กลายเป็นจริง.

21 ส.


บนบาทวิถี

ชีวิตของคนเมืองหลวงดูๆ ก็ใกล้จะเป็นเครื่องจักรเข้าไปทุกขณะ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหมายกำหนด ตั้งแต่เช้า สาย บ่าย ค่ำ กำหนดแม้เวลาของของการกินอยู่ ทำการงาน จวบกระทั่งพักผ่อนนอนหลับ (เพื่อจะตื่นขึ้นมาเวียนว่ายอีกในวันพรุ่ง)

ทั้งที่เบื่อ ทั้งที่หน่าย...ระอา แต่ก็ต้องจำยอม จำนน ดิ้นรน

เหนื่อยยาก โดยไม่รู้ว่าทำไปทำไม เพื่ออะไร แต่ก็ต้องทำ ทำเหมือนที่พ่อแม่รับสืบทอดมาจากปู่ย่า และอีกไม่นาน ลูกหลานก็จะมารับช่วงต่อจากเรา ต่อไปและต่อไปนานเท่านาน

โอ... นี่หรือ วิถีชีวิตอันประเสริฐ ? กับวันคืนที่ล่วงผ่าน กับวันวัยที่พอกเพิ่ม มีอะไรเป็นแก่นสาร มีอะไรเป็นสาระให้แก่ชีวิตบ้าง ? กระแสธารยังคงไหลเรื่อย...ไหลริน..ดังเคย จะมีวันที่ธารจะไหลทวนกระแสบ้างไหมนะ ?

เย็นวันนี้เราเห็นโค้งรุ้งบนท้องฟ้า ขณะเดินอยู่บนบาทวิถีอันเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน รถราบนถนนติดกันเป็นสายยาวเหยียด เสียงแตร... เสียงเครื่องยนต์ ดังไม่ขาดระยะ และกลุ่มควันจากท่อไอเสียลอยอบอวล ผู้คนมากมายเบียดเสียดกันอยู่บนรถประจำทาง ด้วยสีหน้าที่เหนื่อหน่าย...เอือมระอา คงเบื่อมากซินะ ฝนตก...รถติด กับการเดินทางอันยาวนานกว่าปกติ หลังกรำงานมาแล้วทั้งวัน

ดูดูก็น่าขัน ที่คนเกือบครึ่งค่อนประเทศ ต่างก็พากันตะเกียกตะกายออกจากบ้านในตอนเช้า ไปเรียน...ไปทำงาน...ไปทำกิจธุระ แล้วก็กระหืดกระหอบ กลับบ้านพร้อมกันอีก ในตอนเย็นราวกับจงใจให้เกิด ภาวะการเดินทางติดขัด แล้วต่างคนต่างก็ขุ่นเคือง...ด้วยไม่มีทางเลือกอื่น ซึ่งถ้ามองให้ลึกซึ้งกว่านั้น ก็ดูเหมือนเราต่างก็ลืมไปแล้วว่า เรามีมือเท้าที่ธรรมชาติประทานให้ สำหรับพาตัวเองให้เคลื่อนที่ไปไหนๆ ก็ได้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้คนเราเชื่อถือสมรรถภาพของวัตถุมากกว่าตัวเอง และความวุ่นวายในงานอาชีพ ทำให้เราตกเป็นทาสของกาลเวลา ถ้าชีวิตเกิดมาเพียงเพื่อทำตามสูตรสำเร็จ บางที...เราก็อยากเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะอย่างน้อย... มันก็ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อันโง่งม ไม่เป็นทาสของกาลเวลา... ชนิดนับชั่วโมง...นับนาที ซ้ำยังได้ใช้สอย...ได้ชื่นชมกับสิ่งที่ธรรมชาติประทานให้ อย่างสมคุณค่า...อย่างอิสระเสรี

เราจะเป็นนกที่มีปีกพาไปทุกสารทิศ เป็นปลาที่มีครีบหางแหวกว่ายไปในท้องทะเล หรือกระทั่งเป็นหนอนตัวเล็ก ๆ... ที่จะคืบคลานไปบนกิ่งไม้ใบหญ้าและพื้นดิน อย่างไม่อนาทรร้อนใจกับความผันผวนใดใดของโลก

แต่...เมื่ออยู่กับความเป็นจริง เราได้เกิดมาแล้วเป็นคน เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า คือความประเสริฐอย่างสูงสุด ฉะนั้น เป้าหมายของชีวิตที่จะต้องเพ่งเพียรไปสู่ จึงมิใช่จินตนาการเพ้อพก ไม่ใช่ความฝันเฟื่องไปกับสายลมแสงแดด แต่คืออุดมคติอันสูงส่งเท่าที่มนุษย์จะพึงมี

เถอะ...แม้วันนี้เราจะยังย่ำอยู่บนบาทวิถี ฟังเสียงแตรรถอันแสบแก้วหู สูดดมอากาศที่หนาแน่นไปด้วยมลภาวะ แต่เราก็ได้เห็นแดดทอรุ้งสวยงามอยู่บนฟากฟ้า เฉกเช่นความหวังอันรังรองของชีวิต

อิสรา


ทางสองแพร่ง

ผู้ที่ไม่ตกอยู่ในกระแสแห่งสูตรสำเร็จของสังคม อันได้แก่ เกิดขึ้น...เติบโต...มีครอบครัว...สร้างลูกหลาน...สร้างหลักฐาน แล้วสุดท้ายก็ตายไป แน่นอน เขาย่อมต้องแสวงหาความหมายของชีวิตที่ประเสริฐกว่า

แต่ลำพังการเป็นผู้แสวงหาอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จำต้องหามรรควิธีและลงมือปฏิบัติด้วย

หากเส้นทางที่ก้าวเดินเป็นทางสองแพร่ง เป็นทางแยกที่จะต้องใช้ปัญญาตัดสิน ว่าจะเดินไปในแยกไหน

สายหนึ่งนั้นดูสงบเย็น แต่ไร้การงาน ไร้การกระทำ จึงไม่มีความผิดพลาด ไม่มีการเรียนรู้ ไม่มีการพัฒนาตัวเอง

สงบเย็นก็จริงอยู่ แต่ก็คล้ายวัตถุที่ปราศจากชีวิต ตะกอนกิเลสตัณหา สิ่งบกพร่องต่าง ๆ จึงมิได้ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาชำระสะสาง

ส่วนทางอีกสายหนึ่งนั้น เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม มีการงาน เป็นตัวกวนตะกอนกิเลสตัณหาให้เจ้าของชีวิตได้กำจัด แน่ละ อาจจะเจ็บปวด ร้าวราน ยามปฏิบัติ แต่ผลของมันสิ ผลของมันกลับหอมหวานยิ่งนัก!

น้ำนิ่งก็ย่อมเน่า อัญมณีจะแวววาวต้องขัดเกลา เจียระไน

ทางสองแพร่งท้าทายอยู่ตรงหน้า ตัดสินใจเสียเดี๋ยวนี้ ซ้ายหรือขวา ก็เลือกเอา ก็เราเป็นเจ้าของชีวิตนี่นะ

ชีวิตคือการเดินทาง แต่ทางเดินนั้นมีให้เลือกมิใช่หนึ่งเดียว แต่ละเส้นทางต่างรอคอยการตัดสินใจ ชะตาชีวิตไม่มีใครบังอาจบงการ นอกจากตัวเราผู้เป็นเจ้าของชีวิต ชีวิตภายใต้อุ้งมือแห่งเรา จะถอยหรือสู้ จะสู่มืดหรือสว่าง ใครหนอลิขิต ถ้ามิใช่เรา ผู้เป็นแท่งก้อนแห่งชีวิตแท่งนี้

หากเพชรพลอยคืออัญมณีของมนุษย์ มนุษย์ก็คืออัญมณีที่แท้ของโลก ที่สักวันจะต้องถูกขุดขึ้นมาขัดเจียระไนส่องแสงให้แวววับ ท่ามกลางความปรวนแปรแห่งวิถีชีวิต ท่ามกลางการเรียนรู้สารพัดที่ปราศจากหางเสือสัมมาทิฐิ

อัญมณีแห่งมนุษย์ ถูกแดดถูกลม ถูกน้ำถูกฝน ถูกฝุ่นธุลี กระทบกระแทก ย่อมเปรอะเปื้อน ย่อมหมองมัว สกปรก หนาแน่นด้วยคราบฝุ่นตะกอน และบางชีวิต ด้วยเห็นทุกข์แห่งสิ่งห่อหุ้ม ได้ปลุกสำนึกแห่งชาตินักรบ เด็ดเดี่ยวมั่นคง เริ่มขัด เริ่มถู เริ่มกะเทาะ ด้วยอาศัยพาหะแห่งการงาน แวววับ แวววับ ชีวิตที่รับการขัดเกลา รับการขัดถูจากบทบาทกิจกรรมทั้งปวง จึงเริ่มเปล่งแสงผ่องอำไพแพรวพราว ลอยเด่นขึ้นสู่เมฆา แต่มีบ้าง บางชีวิต แม้จะจริงใจ ก็อาจพลาด ผิดพลั้ง กะประมาณหนักข้อ

ผลจึงเลยเปลือกฝุ่นนอก ๆ กระทบเนื้อแก่นแรงเกิน แรงเกิน เกิดความเจ็บปวด ยากแท้สุดจะทน บ้างจึ่งหลุดมือกระทบพื้น มึนงง ปวดหัวชั่วขณะ หมดสามารถยังกิจต่อให้ลุล่วง จำต้องหยุดพักกลางทางก็มีไม่น้อย

ท่ามกลางเสียงเย้ยหยัน เหยียดหมิ่น "เห็นไหม เห็นไหม อยู่สงบไม่ชอบ มัวแต่ทำ ทำ ทำ วุ่นวาย จึงเป็นเช่นนี้ สมน้ำหน้าเหล่านักรบกัมมารามตาแท้หนอ" พูดพลาง ต่างวางมือเลิกทำเลิกหัด พอใจเสพรสแห่งความวิเวก สงัดหนอ "สุขอื่นเสมอความสงบเป็นไม่มี สุขแล้ว สุขแล้ว อยู่ไปวัน ๆ ชีวิตเราอิ่มเอม..."

ใจหนอรักจะขัดฟอกสิ่งสกปรก แต่ก็กลัวพลาดพลั้งหลุดไหล ความหวาดกลัวจึงจำต้องยุติกิจงาน จับตัวเองแช่แข็งสุดขั้วโลก ปล่อยให้ความเย็นบุกประชิด ครอบคลุม เมื่อสกปรกแข็งตัวเสียแล้ว ทุกข์นั้นจะเกิดได้แต่หนใด อย่าเลย อย่าได้รบกวนขุดคุ้ยสิ่งไม่ดีออกมา นี้คือทางชีวิตอีกวิถีหนึ่ง ที่เดินหันข้างให้กับการขัดฟอกเช็ดถู เมื่อหมดกรรม ไม่มีอันทำความผิดพลาดจะเกิดได้อย่างไร ชีวิตแห่งอัญมณีเหล่านี้ จึงยิ้ม ยิ้มอย่างภูมิใจที่ตัวเองไม่เคยผิดพลาด ไม่เคยทำสิ่งมีค่าตกหล่น

ณ บัดนี้ ทางเดินแห่งชีวิตสองเส้นทาง ได้บังเกิดขึ้นให้ตัดสิน ใครใคร่เดิน-เดิน ใครใคร่หยุด-หยุด ระหว่างชีวิตที่ไม่เคยผิดพลาด ไม่เคยชะล้าง กับชีวิตที่บางครั้งก็ผิดพลาด แต่ก็ได้ลงมือขัดเจียนให้แก่ตัวเองแล้วจริง

ณ บัดนี้ ทางเดินแห่งมรรคา 2 สาย ได้ผุดเดินให้ตัดสินใจ จะหยุดยั้งเจียระไน ผัดวันประกันพรุ่ง หรือจะลงมือเสียแต่ขณะนี้...ชาตินี้

ชีวิต ใครรู้บ้างไหมว่าโอกาสที่จะได้พบสัจธรรม ยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร

ชีวิต ใครรู้บ้างไหมว่าโอกาสที่จะพบกับสัมมาสมาธินั้น กี่กัปกี่กัลป์กว่าจะหลุดเกิดพานพบ เพียงแค่การเกิดได้เป็นมนุษย์ชาติหนึ่งนั้น พระพุทธองค์ตรัสยากนัก ยากนัก ยิ่งได้พบสัจธรรม ยิ่งได้ปฏิบัติลดละประจัญฝ่าคลื่นกิเลสตัณหา รู้ล้ม รู้แพ้ เพื่อชัยชนะอันเป็นที่สุดแห่งเป้าหมาย นี้สิยากกว่าหลายแสนหลายล้านเท่านัก ตัดสินใจเสียแต่ชาตินี้ ว่าจะเลือกมรรคาสู่ดวงดาวด้วยวิธีใด แช่แข็งก้อนปฏิกูลสกปรก อย่าได้รบกวนการหลับของมัน หรือขุดคุ้ยสำรอกออกให้สิ้นเกลี้ยง แน่นอน กลิ่นใหม่ๆ ก็ย่อมเหม็นฉุนเฉียวเป็นธรรมดา ตัดสินเสียแต่ชาตินี้ อย่าพึงหวังว่าจะมีชาติอื่น ๆ อีกต่อไป

ระหว่างความสงบแสนเย็น หนาเหนอะด้วยมวลก้อน และคราบไคลแห่งปฏิกูล ท่วมท้นด้วยพิษภัยแห่งชีวิตสารพัด ที่ถูกปิดล้อมสกัดกั้น ถ่วงทิ้งใต้ก้นบึ้งแห่งวิญญาณ กับชีวิตที่อาจหาญ ทุกข์บ้างก็เป็นธรรมดาของการขัดเกลา อาศัยการงานเป็นสื่อพา เป็นสื่อล่อขัดล้างดวงใจ ที่บางครั้งก็อาจพลาดเผลอตกหล่น อันเป็นธรรมดาแห่งผู้มีการงาน แต่นั่น บัดนี้ เขาได้ล้างแล้ว ขัดแล้ว แม้จะตกหลุมลงบ่อ เท้าแพลง แต่ก็ได้ลงมือกระทำแล้วจริง

เลือกเถิดทางชีวิต ใครที่ใคร่ทำ-ทำ ใครที่ใคร่หยุด-หยุด เพราะทุกคนต่างก็เป็นผู้ลิขิตชีวิตของตน.

อสูรสัมมา


  ฆ่ามันด้วยมือเรา
   [เลือกหนังสือ]
page: 1/7
   Asoke Network Thailand