[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 3/7

สารบัญ
[1] แสวงหา
[2] เดินทาง

[3] ทิ้งรัก
[4] ชักท้อ

[5] ปลุกเร้า

[6] คบมิตร

[7] ชีวิตพัฒนา

  ฆ่ามันด้วยมือเรา...  


พันธนาการ

คัมภีร์แห่งการต่อสู้ เมื่อกล่าวถึงหน้าสุดท้าย "สูงสุดจะกลับคืนสู่สามัญ" นั่นคือ กระบวนท่าอันเลิศยอดสุดแผ่นดิน กระบวนท่ายิ่งพลิกแพลง กลับแอบแฝง ซ่อนเร้น อยู่ในกระบวนท่าอันแสนธรรมดาสามัญ ที่เกินคาดคิด เกินเข้าใจ

คัมภีร์แห่งรักก็เช่นกัน เมื่อรักนั้นคือความสุขสมเมื่ออยู่ใกล้อบอุ่นใจเมื่อได้ชิด ต่อให้เลือดแทบจะหลั่งเป็นลิ่มก็ยอมพลี ช่างน่าซาบซึ้งยิ่งนัก

สูงสุดคืนสู่สามัญ สิ่งที่อยู่ซ้าย ดูให้ดี แท้จริงกลับอยู่ขวา หวานสุดหวาน แท้จริงกลับขมสุดขม หอมสุดหอม แท้จริงกลับเหม็นแทบสำลัก โซ่ตรวน ขื่อคา เครื่องจองจำ หากประดิษฐ์โดยยอดอัจฉริยะจะมีใครสักกี่คนที่รู้เท่าทัน ? เสียงโซ่ตรวนกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งราวเสียงระฆัง ต่างลากไป... จูงไป...ยิ้มไป...

ตำนานรักสร้างขึ้นจากความเจ็บช้ำแล้ว ๆ เล่า ๆ ใครหนอจะรู้ว่า นี่คือสุดยอดแห่งเครื่องพันธนาการ

พันธนาการใดเล่า ที่มีอานุภาพเหนือเครื่องจองจำทั้งหลาย มันคือโซ่ตรวนที่อ่อนนุ่มดุจใยไหม แต่แน่นเหนียวยิ่งกว่าใยบัว แต่ละข้อต่อร้อยด้วยเกสรดอกไม้ ที่หอมหวนเย้ายวนใจ

มันคือพันธนาการแห่งกามฉันทะ อันมีรูปลักษณ์ที่ตรึงตา ซุ่มเสียงไพเราะดุจระฆังแก้ว กลิ่นกรุ่นที่ตามเตือนให้หวนหา รสล้ำที่ด่ำดื่ม สัมผัสที่นุ่มนวลละมุนละไม อันรัดรึงดวงใจให้ไหวหวาม ฟุ้งซ่าน ร้อนรน และลุ่มหลง ขุนศึกผู้เก่งกล้า นางพญาผู้ทระนง ก็ต้องพ่ายแพ้ศิโรราบ

สิ้นฤทธิ์สิ้นศักดิ์ศรี เมื่อถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนแห่งกาม

กามฉันทะ เป็นความร้อนแรงที่แฝงเร้น ดื้อรั้นแต่อ่อนหวาน บริสุทธิ์แต่แฝงด้วยมายา จึงยากยิ่งสำหรับผู้ตกเป็นทาสของมัน ที่จะไถ่ถอนตัวเอง ให้ได้รับอิสรภาพ

พันธนาการแห่งกาม หลอกหลอนประสาทแห่งการรับรู้ ให้เลอะเลือนวิปลาส จึงเห็นมันเป็นดั่งมาลัย ที่ร้อยเรียงด้วยบุปผาหอม เป็นโซ่ทองที่ชุบชโลมด้วยน้ำทิพย์ อันจะคล้องประสานสองดวงใจ ให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

แท้จริงมันคือโซ่เหล็กอันร้อนแดง จากหลุมถ่านเพลิงที่ลุกโพลง ที่ผูกรัดดวงใจผู้หลงผิด ให้ปวดร้าว แสบร้อน ทุรนทุราย ผู้ตกเป็นเหยื่อของกามฉันทะ จึงต้องถูกจองจำด้วยทุกขเวทนา ประทับรอยแผลที่ขั้วหัวใจ ให้ทรมานไปตราบนานเท่านาน จนกว่าผู้นั้นจะเรียนรู้เท่าทัน ถึงพิษภัยร้ายกาจแห่งกาม

ตะวัน


ประหารรัก

โดยเนื้อแท้แล้ว ความรักไม่เคยฆ่าใคร แต่หลายต่อหลายชีวิตก็เจ็บปวดทุกข์ทรมานเพราะรัก ตราบที่ยังรู้ไม่เท่าทัน ตราบที่ยังเรียกร้องยึดมั่นถือมั่นเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ทั้ง ๆ มันเป็นสิ่งไม่มีตัวตน

เขาว่าความรักก็เหมือนเงา ที่ยิ่งวิ่งไล่มันก็ยิ่งวิ่งหนี ดูเหมือนอยู่ใกล้ ๆ แต่ก็สัมผัสไม่ได้ ซ้ำยังพร้อมจะหายไปได้ทุกขณะ ดูเหมือนมี แต่จริง ๆ แล้วไม่มี !

น่าเหนื่อยไหม กับการวิ่งไล่ไขว่คว้าเงา เสียเวลา เสียพลังงาน กำลังกายกำลังใจกับการเล่นเกม� "เอาเถิดเจ้าล่อ" ที่ไม่มีวันเลิก

หากคิดว่าชีวิตเป็นของเรา เราก็ควรจะปลดขื่อคา เครื่องพันธนาการอันน่าขมขื่นทั้งหลายเหล่านี้ออกไปเสีย !

เมื่อเราเกิดมา นับแต่จำความได้ สิ่งที่เราต้องการไม่เคยเปลี่ยนแปลง ก็คือ ความรัก....ความอบอุ่น

เริ่มเมื่อ... รู้สึกถึงสัมผัสอันอ่อนละมุน จากความรักของพ่อ...แม่ และผู้คนรอบข้าง ชีวิตเล็ก ๆ ท่ามกลางความเอาใจใส่ ช่างน่าอบอุ่น...

เมื่อเติบโตขึ้น เราพบว่า...โลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด มันมีความโหดร้าย...น่าชัง รวมอยู่ด้วย เราจึงต้องการ "รัก" มากขึ้น เพื่อความรู้สึกปลอดภัย และมีความหมาย สำหรับการมีชีวิตอยู่

เราแสวงหา...สะสม หวงแหนมันเอาไว้ ตื่นเต้น...ลิงโลดเมื่อได้รับ แต่ก็มีบ่อยครั้ง...ที่เจ็บปวด...ร้าวราน เพราะสูญเสีย เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้

วันคืนผ่านไป... บทเรียนแห่งกาลเวลา ทำให้เห็นความไม่เที่ยงของเจ้าสิ่งนี้มากขึ้นทุกที สิ่งที่เราให้ค่านิยมแก่มันมากมาย ว่ามันคืออากาศธาตุโดยแท้ จับต้องไม่ได้... ผูกพันไม่ได้...

บ่อน้ำแห่งความรักที่เราหวงแหน ถูกตักตวงไปดื่มกิน...ต่อหน้าต่อตา ประสาอะไรกับบ่อสาธารณะ แม้บ่อในบ้าน ก็ยังถูกแบ่ง...ปัน ให้น้อง...ให้คนอื่น

เราทุกข์...เราเจ็บปวด น้อยใจ...เสียขวัญ...ขมขื่น แต่...ใครเล่าจะเข้าใจ เพราะแม้เราเอง...ก็ไม่เข้าใจ ได้แต่ถามตัวเองว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราเลยหรือ ?

แล้วก็พบคำตอบอันน่าชัง ใช่แล้ว...ไม่มีอะไรเป็นของเราทั้งสิ้น ลืมบ่อน้ำเสียเถอะ ปลดปล่อยตัวเองออกมา สละสิทธิ์ในทุกสิ่งที่เคยยึดถือ ยอมรับความจริงเสีย... ก่อนที่จะสายเกินไป

แว่วเสียงทิพย์สะท้อนแผ่วจาง "มีรักร้อย...ทุกข์ร้อย มีรักน้อย...ทุกข์น้อย ไม่รักเลย...ไม่ทุกข์เลย" ราวหยั่งรู้สภาวะแห่งเรา จริงแล้ว...เลิกรักก็เลิกทุกข์

ที่แล้วมา...เราวิ่งเข้าหาทุกข์เองต่างหาก หลงเพลิดเพลินกับการสร้างอาณาจักรลอยลม พร่ามัวเกินกว่าจะเห็นแสงสัจธรรมอันเจิดจ้า ดื้อด้านต่อการรับรู้กฎแห่งไตรลักษณ์ งมงายเห็นสิ่งไร้สาระว่าเป็นสาระ

รักเอย...พอเสียทีเถอะนะ เจ้าทำร้ายเรามานานพอแล้ว ต่อนี้ไป...เราจะขอทำลายเจ้าบ้าง เราจะต้องประหารเจ้าให้สิ้น ขุดราก...ถอนโคน ให้หมดจากใจ แม้จะเจ็บปวด ทรมาน เราก็จะทน... ไม่ร้องไห้...คร่ำครวญ ให้ใครสมเพช ทนจนกว่าจะถึงวันแห่งชัยชนะ ที่เราจะยิ้มได้ อย่างมีความสุขที่สุดในชีวิต

อิสรา


จริงหรือที่ว่าหวาน

เมื่อมีความรัก โลกก็มีชีวิตชีวาจ้าแจ่ม ความสุขยิ่งของชีวิตก็คือความตระหนักแน่ว่า มีคนรักเรา มีผู้จะก้าวเดินไปด้วยกัน สร้างจุดหมายร่วมกัน และไม่พรากจากกันนิรันดร

วันนี้กุหลาบแดงยังบานสวย เธอยิ้ม เขายิ้มสดใส นัยน์ตาพราวระยับ ไอรักรายล้อม เพียงประสานสายตา เสียงหัวเราะก็กังวานพร้อมกันอย่างสดชื่น

แต่เมื่อถึงวันที่กุหลาบโรย ทิ้งกลีบเฉาร่วงลงดิน เมื่อนั้นสิหนอที่จักได้ซึ้งถึงพิษรักว่าแสนขม เจ็บแปลบ ร้าวรวด ยิ่งกว่าถูกคมศรเสียบใจ

ก็จะมิขมกระไรได้ ในเมื่อรักนั้นไม่ได้เกิดจากใจบริสุทธิ์ ไม่ได้เกิดจากความปรารถนาดีที่แท้จริง แต่เกาะเกี่ยวผูกพันก็เพื่อจะเอาเข้าหาตัว หวังผลแฝงเร้นซ้อนลึก เพียงต้องการให้อีกฝ่ายมาเติมความพร่องของตนให้เต็มตื้นขึ้น

ก็เมื่อความจริงคือต่างคนก็ต่างพร่อง แล้วใครจะเติมความเต็มให้แก่ใครได้เล่า ?

ความรัก...คืออะไร ? คือความปรารถนาดี คือความคิดถึง...อาทร...ห่วงใย คือการมองกันด้วยสายตาเอ็นดู...อ่อนหวาน หรือชื่นชม...ศรัทธา ปรารถนาจะอยู่ใกล้ ได้ยินเสียง...ได้เห็นรูป...ได้สัมผัส ความรักคือพลังสร้างสรร ปลุกชีวิตให้มีชีวา เห็นความสวยงามในสรรพสิ่ง จุดรอยยิ้มให้ปรากฏบนริมปาก ละเอียดอ่อนที่จะชื่นชมกับดอกไม้บาน อ่อนไหวกับสายลมแสงแดด...นกร้อง...ผีเสื้อสวย ทุกแห่งหนราวกับถูกเคลือบด้วยสีชมพู

ความรักคือความอดทน ทนที่จะอยู่บนโลกอันสับสน...แก่งแย่ง ทนที่จะสู้กับงานหนัก ทนที่จะเดินทางไกลแสนไกล เพียงเพื่อจะได้เห็นหน้าเธอชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็เก็บเอามาชื่นอกชื่นใจ สร้างพลังที่จะต่อสู้กับชีวิตไปอีกวัน....อีกคืน

โอ้รักหนอ... เจ้าช่างยิ่งใหญ่ เจ้าช่างทรงอิทธิพล เจ้าคงภาคภูมิใจมากสินะ ที่ทำให้มนุษย์ดิ้นรน...แสวงหา ไขว่คว้า...ทะยานอยากที่จะได้เจ้าไว้ในครอบครอง

ทุกสิ่งมีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ แต่ความรักมันช่างเก่งกาจ... ฉลาดล้ำที่จะทำให้ผู้คนมืดบอด ยอมเสี่ยงทั้งที่รู้ว่ากำลังเล่นเกมหฤโหด เจ็บปวดหนักหนา...ถ้าผิดหวัง หรือแบกหามภาระไปทั้งชีวิต...ถ้าสมปรารถนา วนเวียน...เคว้งคว้าง...เหนื่อยยาก อยู่ในกระแสแห่งโลกียะอันเชี่ยวกราก

ใครจะสำนึกบ้างว่า... เราได้เริ่มตายแล้วทีละน้อย...ทีละน้อย ตั้งแต่สัมผัสกับมัน ตายจากความอิสระทั้งหลายทั้งปวง ตายจากความมั่นใจในตัวเอง ตายจากอุดมคติที่จะเกื้อกูลเพื่อมนุษย์ และเหนือสิ่งอื่นใด... คือตายจากการประพฤติพรหมจรรย์ เพราะมันจะไม่ไว้หน้า...แม้แต่กับผู้ทรงศีล

เพราะสุดท้าย... ความปรารถนาดีทั้งหมดก็คือความเห็นแก่ตัว ความห่วงหาอาทรก็คือความต้องการผลสะท้อนกลับ ความปรารถนาจะอยู่ใกล้... ก็คือการกระโจนลงไปเกลือกกลั้วคลุกเคล้า... ในบ่อกามอันหยาบช้า

และจะมีประโยชน์อะไรกับพลังสร้างสรร หรือชีวิตชีวาอันเกิดจากรากเหง้าของกามราคะ อดทนอย่างเยี่ยมที่จะให้ได้มาในสิ่งที่รักที่ชอบใจ เคลิบเคลิ้มไปกับธรรมชาติ ที่ล้วนเป็นไปตามสัจจะของตัวมันเองชั่วนาตาปี

อ่านพฤติกรรมของตนให้ออกอย่างไม่อำพราง ถามใจตัวเองให้แน่ชัด หากยังหลงใหลได้ปลื้ม ยังไม่มั่นคง...แน่วแน่ ยังผูกพัน...เกาะเกี่ยว ยังหลงเสพสมสุขสม ว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร...

ก็ไหนว่ารักธรรม ?

อิสรา


ดอกไม้บานชั่วแล่น

ไม่มีใครสักคนเดียว ที่จะไม่ถูกบรรยากาศโลกครอบงำมาตั้งแต่กำเนิด เติบโตขึ้นด้วยความรู้ไม่เท่าทันมายาโลก จึงล้มลุกคลุกคลานอยู่กับความซ้ำซากเก่า ๆ ที่เป็นมาหลายชั่วคนเต็มที โดยไม่รู้จักเบื่อหน่าย ไม่รู้จักหลาบจำ ไม่รู้จักเข็ดหลาบ

ชีวิตแล้วชีวิตเล่าที่เกิดมาแล้วก็ตายไป วนซ้ำเวียนซาก ตามแบบฉบับรูปรอยชีวิตเดิม ๆ แม้จะเริ่มรู้สำนึกบ้าง ก็ไม่ยอมทำความกระจ่างชัด ปล่อยให้รอยโครอยเกวียนหมุนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็คือของเก่าที่ลงเอยด้วยความเน่าเฟะมานานหนักหนา

อนิจจา ! ดวงตาที่มืดบอด ย่อมเห็นกงจักรเป็นดอกบัวตลอดชั่วกาลนาน ความประมาทในวัย หลงพลังแห่งความเป็นสาวในช่วงสั้น ๆ ย่อมถล่มทลายเส้นทางเดินของชีวิตให้ปรักหักพังพินาศไปได้ในชั่วพริบตา

บนเส้นทางชีวิตจากลมหายใจครั้งแรกในจนถึงครั้งสุดท้าย จากเด็กทารกไปจนถึงวัยชรา นับว่าสั้นแสนสั้น เผลอไปขณะหนึ่งเด็กน้อยก็เริ่มเดินได้ เผลออีกขณะหนึ่ง ร่างกายก็เริ่มแตกขยายเสียงแตกพร่า เผลออีกครั้งผมก็เริ่มหงอก เตรียมเดินทางเข้าสู่วัยชรา...แล้วก็ตายไป

เร็วราวกับความฝันในยามดึก เร็วราวกับการสะบัดผมเพียงครั้งหนึ่งครั้งหนึ่ง แต่ในช่วงชีวิตอันสั้นแสนสั้น วัยแห่งดอกไม้บานสีสันสดสวย หยอกล้อกับเหล่าภุมริน ยิ่งกลับสั้นแสนสั้นยิ่งกว่านั้น

หากชีวิตคือการเดินทางของดวงตะวัน จากขอบฟ้าตะวันออกหมุนข้ามไปสู่ตะวันตก ชีวิตช่วงดอกไม้บาน ความรักกำลังปรี่ล้น ก็เปรียบราวกับน้ำค้างที่เกาะตามใบไม้ใหญ่น้อย สะท้อนแสงแวววับชวนเคลิบเคลิ้มในยามเช้า แต่อีกเพียงประเดี๋ยวภาพนั่นก็จะพลันหาย เหลือแต่ควันไอกระจายไปทั่ว

ชีวิตนั้นก็เหมือนฤดูกาล หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ความรักที่เริ่มกู่ร้องเมื่อวัยแตกเปลี่ยว ก็ราวกับลูกเห็บที่หล่นใส่หลังคา นาน ๆ จึงจะมีสักครั้ง...สักครั้ง

แต่ก็น่าแปลก ที่แม้วัยแห่งการหาคู่สืบพันธุ์ อันใครๆ พากันเรียกอย่างเพราะพริ้งว่า "วัยแห่งความรัก" จะเป็นช่วงชีวิตที่สั้นแสนสั้น ทุกคนต่างก็ต่อสู้แย่งชิง

ยอมสละแม้กระทั่งชีวิตอันเป็นที่รัก เพื่อหวังเป็นเจ้าของครอบครอง ต่อให้เลือดเนื้อถูกเชือดเฉือนออกเป็นชิ้น ๆ ทุกคนต่างก็ยอมลงทุน ทุ่มทุนอย่างไม่อั้น ด้วยคิดว่าคุ้มแสนคุ้ม แต่หลังจากนั้น เขาก็พบว่า การลงทุนครั้งกระโน้น มันช่างไร้แก่นสารเสียนี่กระไร

ความหิวกระหายแห่งกามตัณหา บ้างปั่นป่วนราวกับทะเลบ้า บ้างพับเพียบเรียบร้อยประดุจผ้าแพรรีด แต่ภายในกลับกู่ร้องโหยหวนอย่างซุกซ่อน ด้วยเขาต่างคิดว่า สิ่งนี้ขาดไม่ได้

เมื่อมีชีวิตก็ต้องมีกามตัณหาประดุจเงาตามติด แต่ยามบำบัดสมอยาก อารมณ์กลับสงบราบเรียบ จิตเริ่มแจ่มใส ได้คิด แค่นี้...แค่นี้เองหนอกามตัณหา มิเห็นรุนแรงน่าหวาดหวั่นมีสาระเท่าใด แต่ถึงคิดได้ก็สายเกินไปเสียแล้ว สายใย สายสัมพันธ์เกาะเกี่ยว ได้งอกงามผูกพันชีวิตต่อชีวิตไว้อย่างเหนียวแน่น และแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเหล็กศิลา ทะเลแห่งตัณหา เข้าง่าย แต่ออกยาก

หน้าที่-สำนึก-มโนธรรม ถูกกระชากขึ้นขี่หลังเสือลงไม่ได้ ทุก ๆ อย่างเลยตามเลย มิหวนกลับ ปล่อยให้สายใยแห่งความผูกพันเกี่ยวกระหวัด รัดคอ รัดขา รัดร่างกาย ยากจะดิ้น

น่าหัวเราะ ชีวิตอันหยิ่งทระนงหลงภาคภูมิ แต่แล้ววันหนึ่งกลับยอมสยบ สยบแทบเท้าให้กับชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง ที่ยากจะซึ้งกระจ่างในกำพืด

โอหนอ ! ก็ขนาดเราเองยังไม่กระจ่างตัวเราเองเลย...อนิจจา !

ดอกไม้บานแล้ว ภุมรินบินว่อน อีกไม่นานดอกเริ่มเหี่ยวโรย ชีวิตนี้สั้นนัก จะทำอะไรได้สักกี่อย่างก็พลันจาก แต่แม้สั้นขนาดนี้ กลับอุตส่าห์พลีถวายวางแทบฝ่าเท้าจอมกามเทพ ขอเป็นทาสผูกพันตลอดกาล ที่ต่อแต่นี้อย่างพึงหวังอิสระเสรีในทุ่งกว้าง

นกสองตัวเมื่อผูกขากัน ด้วยต่างหวังจะบินทะยานสู่ฟากฟ้า มันช่างเป็นชีวิตตลกอันแสนเศร้า เป็นไปได้อย่างไรกันนอกจากฝันเพ้อ เราจะประคอง เราจะช่วย เราจะฟันฝ่า เราจะให้กำลังแก่กันและกัน ฝันเถิด ทุกคนมีสิทธิจะฝัน แต่มันจะเป็นจริงไปได้หรือไม่ นรกเท่านั้นที่จะรู้...

ดวงตะวันอ่อนแสง อีกมินานก็จะลับเหลี่ยมเขา ชีวิตนั้นสุดแสนสั้น บัดเดี๋ยวเกิด บัดเดี๋ยวแก่ บัดเดี๋ยวตาย ยากนักที่สิ่งใดจักหยุดยั้ง

เดินทาง...ชีวิตล้วนต่างต้องเดินทาง สู่จุดสูงสุดแห่งวิวัฒนาการของชีวิต ข้ามฝั่งวังวน

ข้ามฝั่งวัฏสงสาร พลังทุกขุมขน จะต้องปลุกระดมเร่งเร้า ผลักดันชีวิตสู่ความใฝ่ฝัน สูญเสียไม่ได้ ตกหล่นไม่ได้

พลังชีวิตจะต้องได้รับการคุ้มครอง และทะนุถนอมเพื่อการนี้ แต่เหตุใดเล่า เหตุไฉนจึงมัวเมาประมาท

แบ่งปันพลังสู่ชีวิตคู่ หากมิใช่ความโง่เขลาแห่งจิตวิญญาณ ก็นับว่าเยาะเย้ยหลักธรร พระพุทธองค์ว่าง่ายกระนั้นหรือ ? หยดน้ำค้างพราวพร่าง พลันหายสาบสูญยามสาย โอ ! ชีวิตใกล้ด่วนลับ แต่กลับหลงระเริงมัวเมา ชื่นชมสิ่งมายาข้างทาง ก็ไหนว่าโลกนี้สุดจะทุกข์ ก็ไหนว่าชีวิตนี้สุดจะเศร้า

อยากชนะ อยากเหนือโลก หมดสะอื้น สิ้นน้ำตาแห่งความเศร้าโศก ยืนเด่นท้าทายพายุฝนสายฟ้าอันบ้าระห่ำอย่างอาจหาญ ด้วยรอยยิ้มอันสงบ...สุขเย็น

บนเส้นทางสายนี้ มีแต่ความหนาวเย็นเท่านั้น ที่จะฟักชีวิตแห่งโลกุตระให้เติบกล้า ความอบอุ่น เบื้องหลังของมัน ผ่านการมอบจากมือซาตาน ชีวิตต่างชื่นชม แต่ก็ล้วนแคระแกร็น ซูบซีด

โอหนอ ! ใครจะรู้ ไฟนรกประลัยกัลป์ล้างผลาญชีวิต ได้แอบแฝงแปลงกายซ่อนเร้นเป็นไฟแห่งความอบอุ่น ที่จะทำให้เหล่าชีวิต อ่อนแอ ! อ่อนแอ ! ปวดร้าว ! มีน้ำตาเป็นอาหาร มีความปรารถนาอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นลมหายใจ

ตัดสินใจเดี๋ยวนี้ เราจะอุทิศตนให้แก่ผู้ใด ไฟจากซาตานอันแสนอบอุ่น หรือไฟแห่งความหนาวเย็น ภายใต้การประทานจากหัตถ์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ?

โลหิตะสัจจา


เมตตาจึงประหาร

ในเหล่าบรรดาผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทุกวันนี้ จะมีสักกี่รายที่มี คุณธรรมแห่งการนอบน้อมถ่อมตน ตรงข้ามกลับพอกหนาด้วยความหยิ่งยโส หลงลำพองในยศฐานะแห่งตนอย่างน่าสงสาร หลงคำเยินยอ ประจบสอพลออย่างน่าเศร้า หารู้ไม่ว่า สิ่งเหล่านี้คือระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำลายเจ้าของอยู่ทุกเมื่อ

ดวงตะวันย่อมมีดาวบริวารหมุนรอบ มนุษย์เราก็ใฝ่ฝันจะเป็นเช่นนั้น เหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน เพราะเหตุที่ดวงตะวันจริงใจ ที่จะเกื้อกูลแสงรังสี แต่มนุษย์นั้นเพียงหวังสิ่งรอบตัวมาเป็นเครื่องอลังการ จึงดิ้นรนสุดฤทธิ์ แม้ที่สุด ที่จะให้คนอื่น ๆ ไร้สมรรถภาพในการพึ่งตน แต่ต้องอาศัยลมหายใจจากเรา

เป็นธรรมดาของมนุษย์ ที่ต่างปรารถนาจะเป็นอนุสาวรีย์ในหัวใจของผู้อื่น หรือจะเรียกเป็นความหลงตัวหลงตนก็ได้

นักบวชอาจเผลอสติ อยากมีบริวารมากมายมาศรัทธาเลื่อมใส อาจารย์ใฝ่ฝันเป็นที่รักของลูกศิษย์ หนุ่มสาวปรารถนาครองหัวใจของอีกฝ่าย...ฯลฯ แต่ทว่า...สักวัน เมื่ออนุสาวรีย์เป็นพิษ เพราะลูกศิษย์กลับยิ่งอ่อนแอ คู่รักกลับพึ่งตนไม่ได้...ฯลฯ

เราจะทำอย่างไรกับปัญหาเหล่านี้ และนี่แหละคือที่มาของคำว่า "เมตตาจึงประหาร"

สักวันหนึ่ง ที่ใครสักคนอาจศรัทธาเรา ชื่นชมเราในคุณธรรม ในความดี ในเมตตา และในอะไรก็ได้ที่ก่อเกิดศรัทธา

เราก็ได้แต่ระมัดระวัง นอบน้อมสำรวมตน ไม่หลงเห่อเหิม ดุจกิ้งก่าได้ทอง ดุจคางคกขึ้นวอ เราจะเป็นต้นข้าวต้นเล็ก ๆ ที่ค้อมศีรษะตลอดวันเวลา ทุกลมหายใจ ระลึกเตือนตน ด้วยพุทธภาษิต ลาภยศสักการะ อันตรายอันแสบเผ็ดแม้พระขีณาสพ

ดาวล้อมเดือน เดือนอาจดับเพราะหลงดาว ความเป็นผู้มากบริวาร มากผู้ศรัทธา ย่อมพลาดพลั้งเผลอตัวได้ง่าย มีโอกาสลงนรกอเวจีกันสดๆ โอหนอ ลาภ-ยศ-สรรเสริญ อันตรายอันแสบเผ็ด แต่กว่าจะรู้ก็อาจสายเกินแก้

โลกมีดวงจันทร์ สุริยันมีหมู่ดาว นี่ก็คือสัจจะแห่งจักรวาล แต่เมื่อโลกสำคัญตัวว่าเป็นโลก ที่จะต้องมีดวงจันทร์ สุริยันสำคัญตัวว่าเป็นสุริยัน ที่จะต้องมีหมู่ดาวมาคลอเคลีย นั่นก็คืออสัตย์ นั่นก็คืออธรรม นั่นก็คือมารที่ลามก ! และเมื่อนั้น.... เมื่อเรา.... ผู้มากด้วยศรัทธา ที่หลั่งไหลท่วมท้นแทบเท้า จึงต้องเสียสละ สร้างจิตอันเกื้อกูลปรานี ปรารถนาดีต่อพวกเขาอย่างจริงใจ

และถ้า... สักวันหนึ่ง เมื่อศรัทธาในหัวใจของเขาเป็นพิษ เริ่มบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป กลายเป็นศรัทธาที่แฝงโมหะ แฝงพิษร้ายแห่งมิจฉาทิฐิ เริ่มผูกพันเกาะเกี่ยว เริ่มยากที่จะพรากจาก

เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะต้องรีบชิงประหาร ประหารก่อนที่พิษร้ายจะซึมทั่ว ทั่วร่างกายวิญญาณของเขา ด้วยจิตสงสาร ปรารถนาดี ด้วยจิตเอ็นดู อนุสาวรีย์แห่งเราที่อยู่ในหัวใจของเขาผู้นั้น

เราจะต้องกล้าหาญ กล้าหาญพอที่จะทำลายด้วยมือของเรา เพื่อเขาจะได้มีอิสรภาพ เพราะไม่มีใครที่จะเหมาะสม นอกจากตัวเรา ผู้เป็นรูปปั้นบนอนุสาวรีย์ นี่แหละคือความจริงใจ ที่ผู้ถูกทำลาย แม้จะไม่เข้าใจ แม้จะเจ็บแค้น แม้จะมาดร้าย แต่สักวันเขาก็จะรู้ รู้ว่าเราทำ ทำก็เพื่อช่วยเขาจริง ๆ

รักนัก


ฆ่ามันด้วยมือเรา

หากรู้สักนิด ว่าบ้านหลังนี้อีกไม่ช้าจะพังถล่ม เราคงจะไม่กุลีกุจอหอบข้าวหอบของ เข้าไปอยู่อาศัย

หากรู้สักนิด ว่าคู่ชีวิตอายุสั้น คงจะมีคนจำนวนมากที่ไม่ยอมแต่งเพื่อรอเป็นม่าย

หากรู้สักนิด ว่าคนที่เรา "กำลังจะ" รัก� "กำลังจะ" มอบหัวใจให้หมดทั้งสี่ห้อง อีกไม่นานจะทุพพลภาพ พึ่งตนเองไม่ได้ตลอดชีวิต เราคงไม่ยอมหรอกที่จะกล้ารัก รอเป็นทาสรับใช้ในอนาคต

หากรู้สักนิด ว่าคนรักที่แสนดีขณะนี้ จะมีนิสัยเลวชั่วในภายภาคหน้า ไม่รักลูกรักครอบครัว เราคงยอมอกหัก ตัดรักเดี๋ยวนี้ ดีกว่าจะเสียน้ำตา ณ เบื้องกระโน้น

การหัดมองชีวิตในแง่ร้าย มิใช่สิ่งเสียหาย เรามองมิใช่เพื่อให้หวาดกลัว ตื่นตระหนก แต่เพื่อให้หัด "ทำใจ" ในสิ่งไม่คาดฝัน

โลกนี้ไม่เที่ยง มีกฎไตรลักษณ์เป็นผู้ครอบครอง สรรพสิ่งไม่สามารถคงอยู่นิรันดร์ มีการปรวนแปรเป็นปกติธรรมดา

ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความไม่ประสบสิ่งที่รัก เป็นของเกิดคู่กับโลก ผู้มีรัก แน่นอนที่จะต้องมีทั้งหัวเราะและร้องไห้ ใครรักทั้งเสียงหัวเราะและร้องไห้ก็ไม่ว่ากัน เพราะชีวิตเป็นกรรมสิทธิ์ของแต่ละคน แต่หากเบื่อหน่าย ไม่อยากทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ ก็เห็นจะต้อง "ฆ่ามันด้วยมือเรา" !

เมื่อกามราคะสุกงอม ในบทบาทหนึ่ง มันก็จะหยาบคายก้าวร้าว และในอีกบทบาทหนึ่งนั้น มันก็จะสุภาพและอ่อนโยน ใคร ๆ ต่างก็เรียกมันว่า "ความรัก"

แต่หารู้ไม่ว่า มันเป็นเสียงมายาบทหนึ่งแห่งกาเม ใครหนอจะกล้าพูดว่า รักเพราะใคร่ ทุกคนต่างก็เชื่อมั่นว่า รักเพราะรัก บทบาทแห่งจิตจึงยอกย้อน และเจ้าเล่ห์จนแม้เจ้าของชีวิต ก็ตามไม่ทัน ความใคร่จึงถูกสวมหน้ากากกลายเป็นความรัก แต่มีอะไรหนอที่จะเที่ยงแท้ในสังสารวัฏอันกว้างใหญ่ เกิดมาแล้วก็จากไป ดั่งพยับแดดและเกลียวคลื่น เราพบกัน คุยกันหัวเราะกัน แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืด และในความเงียบอันกว้างใหญ่ไพศาล

โลกหนอโลก จะเอาอะไรกันนักหนา การเดินทางของชีวิต คล้ายดุจนั่งอยู่บนรถเมล์ ต่างเมื่อถึงที่หมายก็ทยอยลง แต่สำหรับผู้มีความออดอ้อนแห่งอัตตา ยังมีความโพรกเพรกในหัวใจ เขาก็จะแสวงหา จะเกาะเกี่ยวผู้โดยสารข้างเคียง นะ...นะ...จ๊ะ...จ๊ะ...จ๋า...จ๋า... และสุดท้ายรถเมล์ก็จะเหลือแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครคนนั้นที่ฝันถึง ไม่มีใบหน้าอันงามสง่า ไม่มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ ไม่มีดวงตาหวานซึ้งแบบนั้นอีกต่อไป

โอ ! ชีวิต สำหรับผู้หลงเกาะเกี่ยว ช่วงเจ็บปวดสิ้นดี มีอะไรบ้างไหมหนอ ที่ไม่รู้จักการพลัดพราก อย่าไปเกาะอยู่เลยสหาย พรากออกเสียแต่เดี๋ยวนี้ ดีกว่าจะต้องไปพรากในวันต่อไป

เพราะหากเป็นวันนี้ มือของเรานี่แหละ คือผู้ลิขิต แต่ถ้าเป็นวันข้างหน้าธรรมชาติแห่งชีวิต จะเป็นผู้แยก ให้ทั้งเราและเขา หลุดออกจากกัน แน่นอน มันย่อมไม่แยกอ่อนโยนหรือทะนุถนอม แต่มันจะฉีกเราทั้งสองให้สาดกระจาย

ด้วยความทรมาน ด้วยความปวดร้าว พรากเสียแต่วันนี้เถิด สหายแห่งเรา ยังไม่สายเกินไป อย่าเสียดาย อย่าพะวง ถึงรอยยิ้ม... ถึงใบหน้า... ถึงดวงตา... ถึงนิสัยใจคอของเขา เพราะอีกไม่นาน มันก็จะผุกร่อน แตกสลาย สูญหายไปกับแผ่นดิน แผ่นน้ำ และแผ่นฟ้า โลกนี้มีแต่ความแปรปรวน ชีวิตเกิดมาแล้วก็ตายจาก แยกจากกัน ไยจึงให้ความรักมาผูกพันให้ปวดร้าวเล่นอยู่ทำไม ?

วิราคา


เผารักให้สิ้นซาก

ความรักคืออะไร ?

ทำไมต้อง "เผารักให้สิ้นซาก" ?

ใคร ๆ ต่างก็ว่ารักนั้นเป็นสีชมพู แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเบื้องหลังสีชมพู คือสีดำช้ำเศร้า ?

หลายคนที่ไม่รู้จักมันดีพอ ก็อยากได้ อยากมี อยากครอบครอง สุดท้าย ก็ต้องทุกข์เพราะมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หรือแม้คนที่เห็นโทษภัยของมันแล้วก็ยังยากที่จะสะบัดหลุดออกมาจากบ่วงเสน่หาอาลัย

นี่แหละหนอ...การฆ่ากันด้วยเกสรดอกไม้ และหยาดทิพย์ ที่เขาและเธอบรรจงจิบพิษร้ายซ่านซึมเข้าสู่หัวใจ ทีละนิด ทีละน้อย เคลิบเคลิ้ม ดื่มด่ำ มัวเมากับรสหอมหวาน เพื่อสุดท้ายจะได้ทุกข์ทรมานและตายไปอย่างน่าสมเพช

ตายจากสัจจะของชีวิต ที่เกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ ! ตายจากอิสระเสรีที่หัวใจใฝ่หา !

โอ้ น้ำผึ้ง...บุหงา...ลดาวัลย์ ยิ่งหอมหวานปานใด ยิ่งทับทวีด้วยพิษร้ายเห็นปานนั้นเทียวหนอ

อย่ารักเลยนะ เพราะรักนั่นยากจะจิรัง มันยังสดใสก็เพราะสมหวัง แต่จะซีดขาวดุจค ตายยามที่ความหวังหกล้ม อย่ารักเลยนะ เพราะรักนั้นคือการเรียกร้อง ขอโน่น ขอนี่ ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ห่วงหวง ราวกับปีศาจร้ายกับลูกของมัน ที่ใครจะมาแย่งชิงไปมิได้

อย่ารักเลยนะ เพราะรักนั้นคือความเห็นแก่ตัว ที่ต่างก็ขว้างคันเบ็ดลงสายธารแห่งชีวิต และต่างก็เป็นปลาติดเบ็ดให้แก่กันและกัน แสร้งทำดี แสร้งเอาใจ เพื่ออะไร หากมิใช่ให้อีกฝ่ายมองผู้บริการอย่างเทิดทูน อย่างบูชา อย่างไว้ใจ อย่างยอมสยบในอำนาจ ขณะเมื่อกามเทพเริ่มแผลงศร เสียงลูกคิดรางแก้วจะเริ่มดังกระหึ่ม ทุกอย่างที่ทุ่มเทคือการลงทุน ทุกอย่างที่มอบให้คือการหาคะแนน

อย่ารักเลยนะ เพราะรักนั้นทำให้เป็นคนหัวใจพิการ จะยืนอยู่คนเดียวก็ยืนไม่ได้ ต้องเอน ต้องซบ ต้องเกาะ ต้องผูกพัน หัวใจจะไม่มีอิสระ ลมหายใจเข้าออกมีแต่เขาเขาเขา เธอเธอเธอ

อย่ารักเลยนะ เพราะรักนั้นคือความชั่ว ที่ต่างฝ่ายจะต้องหาของดี ๆ มอบให้แก่กัน กินของดีๆ ที่หามาได้ โลกนี้มีเราที่สุขสมอุรา ใครจะอดอยากช่างมันเถอะ วันของเราคือการได้พบกัน คุยกัน โลกนี้มีเราสองคน คนอื่นอย่ามายุ่ง... ได้ยินไหม ! ?

อย่ารักเลยนะ เพราะความรักคือการเสแสร้งมารยา เขารุนแรง เขาหยาบคาย โทสะ เหยียดหยามคนอื่น แต่กับเรา เขาพิเศษให้ ให้ความทะนุถนอม ให้ความเอาอกเอาใจ ให้คำหวาน นี่มิใช่ธาตุแท้ของผู้ที่เรารักหรอก เพราะธาตุแท้นั้นก็คือ สิ่งที่ปกติแสดงออกมามากที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าเรา เขาเพียงแต่สำรวมเอาไว้เท่านั้น

อย่ารักเลยนะ เพราะรักนั้นคือยาพิษที่หอมหวาน ที่ต่างก็ป้อนให้แก่กันและกันดื่มด่ำ ยิ้มทุรนทุรายตายอย่างไม่รู้ตัว พิษของมันร้ายเหลือ ทำให้เราตายอย่างเจ็บปวดโดยไม่รู้ว่ามันทำ

ใช่แล้ว....ความรักก็คือการฆ่ากันด้วยเกสรดอกไม้และหยาดน้ำผึ้ง จึงยากที่หนุ่มสาวคู่ใดจะเอาชนะผ่านได้ เพราะมันช่างหวานชื่นหัวใจเสียนี่กระไร มันจึงเจ็บปวดสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกรัก ใช่แล้ว...เจ็บปวดอย่างสุดแสนด้วยความเสียดาย นี่แหละพิษที่ทั้งหอมทั้งหวานของมัน

อย่ารักเลยนะ เพราะทุกสิ่งย่อมมีแต่ความพลัดพราก กี่ล้านชีวิตที่ต้องเสียน้ำตาให้แก่การจาก ไม่ตายพรุ่งนี้ ก็มะรืนนี้ ไม่มะรืนนี้ ก็วันต่อไป ไม่มีใครหรอกที่จะอยู่ด้วยกันตลอดจนวาระสุดท้าย ตัดรักเสียแต่วันนี้ ความผูกพันยังคงมีน้อยไม่ยุ่งเกินไป

อย่ารัก...อย่ารักเลยนะ เพราะรักนั้นจะทำให้เราอ่อนแอ จะไม่มีวันหนักแน่นดั่งพื้นพสุธา

เพราะความรักคือปรากฏการณ์แห่งความหลงอัตตา ที่ยังยึดตัวยึดตนจัดอยู่

เมื่อรักเกิดครั้งใด ผู้ที่เรารักคือเครื่องสนองอัตตาเท่านั้นเอง ดีใจใช่ไหมหากเขาจะรักเราเปล่าหรอก...แท้จริงนั้น เขาอาศัยเราเป็นทางผ่านแห่งอัตตาต่างหาก

หยุดรักได้หรือยัง ? อย่าให้ต้นรักแตกกิ่ง ชูช่อ ฟันเสียแต่ขณะนี้ ดีกว่าจะรอให้มันเติบกล้า เมื่อถึงวันนั้น แค่ถือขวาน เราก็จะสลบแล้วสลบอีก จะถูกต้นรักบังคับบัญชา ราวกับทาสที่ไม่ยอมปลดปล่อย

ชีวิตเอย ชีวิตหนอ ยากนักหากต้องการเดินไปสู่ที่สุดแห่งทุกข์ ตราบใด ที่หัวใจยังมีรักตราบนั่นหัวใจก็ยังเรียกร้องให้ใครก็ได้ มารัก มาสงสาร มาเห็นใจ หัวใจที่เรียกร้อง จะประเสริฐอะไรเล่า

กราบบาทพระพุทธองค์ด้วยเศียรเกล้า ตรัสประเสริฐแล้ว ถูกต้องแล้ว

รักนั้น...ทุฏฐุลลัง-เป็นธรรมของคนชั้นสถุล

รักนั้น...วสลธัมมัง-เป็นธรรมของคนถ่อย

รักนั้น...คามธัมมัง-เป็นธรรมของคนกิเลสหนา

รักนั้น...ทุกขัง...ทุกขัง...ทุกขัง...

ธรรมทายาท


  ฆ่ามันด้วยมือเรา
   [เลือกหนังสือ]
page: 3/7
   Asoke Network Thailand