[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี | ผู้เขียน
page: 6/7

สารบัญ
[1] แสวงหา
[2] เดินทาง

[3] ทิ้งรัก

[4] ชักท้อ

[5] ปลุกเร้า

[6] คบมิตร
[7] ชีวิตพัฒนา

  ฆ่ามันด้วยมือเรา...  


ตัวเรา

ครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งของมนุษย์ ก็คงจะได้แก่ “ธรรมชาติ” ธรรมชาติได้ให้บทเรียนหลายต่อหลายบทแก่เรา สอนให้ยืนหยัด ต่อสู้อุปสรรคอย่างรู้เท่าทัน อย่างมีปฏิภาณไหวพริบ ไม่ลุ่มหลงมัวเมา ไม่ทุกข์โศกท้อแท้ไปกับมรสุมชีวิต

บทเรียนมากมายไหลผ่านสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่บนฟ้า บนแผ่นดิน หรือในน้ำ ทุกสิ่งต่างรอคอยให้เราได้เรียนรู้

ทว่า...เมื่อหลงเพลิดเพลิน สนุกสนานไปกับชีวิต ไหลไปตามค่านิยมจอมปลอม ก็ยากนักที่จะเข้าใจบทเรียนแห่งธรรมชาติเหล่านั้น

เงียบซิ ! หยุดวุ่นวายสักพัก ฟังเสียงกระซิบของธรรมชาติ ผ่านปุยเมฆ ผ่านธารน้ำผ่านต้นไม้ใบหญ้า ผ่านผู้คนรอบข้าง...ฯลฯ คุณครูท่านกำลังชี้บอก กำลังสอนอะไร ? สิ่งเหล่านั้แหละคือขุมทรัพย์ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ตั้งใจเรียนมาสิ มานั่งลงก่อนเป็นไร

ตัวเรานี้คือปุยเมฆ ที่ลอยล่องไปในฟ้ากว้างไพศาล อิสระไร้ขอบเขตจำกัดไร้ช่วงกาล ในดวงมานเบาว่างเป็นหนึ่งเหนือพื้นธรณี
ตัวเรานี้คือวิหค ที่มีสิทธิ์เป็นนกโผผินสู่ขอบฟ้า ถลาร่อนเล่นลมกลางห้วงนภา จะโบยบินสู่ทิศาใดใดได้อย่างเสรี
ตัวเรานี้คือต้นหญ้า ที่เอนลู่ไปมารับลมมรสุม สะบัดใบโบกพลิ้วต้านพายุฝนกระหน่ำที่ซ้ำรุม เขียวขจีสดชื่นชุ่มฉ่ำในดวงใจ
ตัวเรานี้ไซร้คือคืนวันแห่งฤดูกาลทั้งสี่ ที่ผลัดเวียนกันมาเยือนโลกพิภพแห่งนี้ เย็นและร้อน หนาวเหน็บแล้วอบอุ่น หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปไม่รู้สิ้น

ตัวเราคือท้องสมุทรกว้าง เป็นลูกคลื่นน้อยใหญ่ในห้วงน้ำไพศาล เกิดแล้วดับลับหายไปในฝั่งแห่งอนันตกาล คลื่นลูกหลังทยอยซัดไล่คลื่นลูกแรกชั่วนาตาปี

ตัวเราคือบึงน้ำใหญ่ที่สงบ สงัดราบเรียบเปรียบดังกระจกใส ส่องสว่างสะท้อนทุกสิ่งในดวงใจ มีเดือนเพ็ญนวลใยปรากฏกลางห้วงน้ำขจี

ตัวเรานี้ที่แท้เป็นหยาดน้ำค้าง จากฟ้ากว้างหยดหนึ่งเย็นเป็นประกายใส สะอาดบริสุทธิ์สดชื่นชุ่มฉ่ำใจ แล้วฉับพลันก็หายไปในแสงอรุณ.

21 ส.


เราคือเพื่อน

มนุษย์เราเป็นสัตว์โขลง เป็นสัตว์สังคม จึงจำเป็นที่จะต้องอิงอาศัยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถหรือสามารถน้อย

การผนึกประสานระหว่างกัน จะทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย เรื่องที่เกินความสามารถก็กลับกลายเป็นสามารถ

การมีเพื่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ขนาดพระพุทธองค์ยังตรัสไว้ว่า "มิตรดี สหายดี เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์" เลยทีเดียว

แต่นั่นแหละ ทุกวันนี้ เราเข้าใจคำว่า "เพื่อน" ในแง่ความหมายที่ตื้นเขิน "เพื่อน" ทุกวันนี้ของเรา เขาไม่ใช่เพื่อนที่แท้จริง

บางเพื่อนเป็นแค่คนใช้ เพราะเราชอบสั่งให้เขาช่วยทำโน่นทำนี่ บางเพื่อนเป็นแค่สัตว์เลี้ยง เพราะเราชอบให้เขาตามไปทุกแห่งหน บางเพื่อนเป็นแค่กระโถน เพราะเวลาเรามีอารมณ์ เราก็จะระบายอย่างไม่เกรงใจ บางเพื่อนเป็นแค่ลูกคู่ เพราะเราไม่ชอบให้เขาขัดแย้ง ถกเถียง...ฯลฯ

เราไม่รู้จริง ๆ กันหรอกหรือว่า "เพื่อน" ที่แท้นั้น มีพฤติกรรมอย่างไร? เพราะเหตุนี้เอง เพื่อนดี ๆ หลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จึงถูกเราตัดรอนออกไปอย่างน่าเสียดาย

ตราบที่เรายังไม่เข้าใจแก่นแท้ของความเป็นเพื่อน ชีวิตของเราก็คงเป็นเช่นไก่ได้พลอยอยู่ในโลกนี้แล้วๆ เล่าๆ

ทะเลแห่งสังสารวัฏ กว้างไกลสุดขอบฟ้า ยากนัก...ยากนัก ที่จะแล่นถึงฝั่ง ด้วยพละกำลังแห่งชีวิตที่เดียวดาย เดียวดายอย่างโดดเดี่ยว ฟ้าพุทธศาสน์ โอบมาได้เกือบ 3,000 ปี

สังขารเริ่มผุกร่อน

กิเลสมนุษย์ แข็งแกร่งดังหินผา แน่นหนาดุจศิลา รอบตัวนับแต่เกิด วัตถุแทบทุกชนิด ปรี่ล้นด้วยพลังแห่งกามา โอบกระหวัดรัดชีวิตทั้งหลายให้มัวเมา

ยากเอย...ยากนัก ยากนักที่จะแล่นถึงฝั่งแต่ลำพั จึงจำเป็น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเพื่อนร่วมทาง ซึ่งมิใช่ร่วมทางกาย หรือเพียงก่อความอบอุ่นทางใจ แต่เป็นเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์แห่งอรหัตตา ที่จะชี้แนะข้อผิดพลาด ตักเตือนข้อบกพร่องได้ตลอดเวลา

มีหัวใจที่อบอุ่น อบอุ่นไปด้วยพลังแห่งสัลเลขธรรม ต่างจะช่วยกันสร้างดวงประทีป สร้างพลังแห่งชีวิต เพื่อโลดแล่นให้ถึงฝั่งอันทวนกระแส มิใช่พร่ำเอาใจ ปลอบใจให้คลายไปวันๆ ป้อนแต่คำหวาน คำนุ่มหู

ขลาดกลัวยิ่งนัก หากจะให้คำขมแก่เพื่อนร่วมทาง แต่เพื่อนก็คือเพื่อน เพื่อนก็คือผู้ชี้แนะ กล้าพูด กล้าบอก แม้จะเจ็บปวดอย่างไรก็ต้องกล้า มีคำตรัสองค์พระสัมมาฯ ตรัสถึงการพูดไว้ว่า “ขอให้พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็จะพูด”!

ความเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์นั้นสูงส่ง เพราะหมายถึงการช่วยกันสูง มิใช่ จูงกันต่ำ และหากผู้ใดจะถือสา ผู้นั้นก็ไม่เหมาะที่จะมีเพื่อน เพราะเท่ากับการประกาศตัวให้เดียวดายอีกวาระ ความเป็นเพื่อนนั้น จึงสูงค่าเกินพรรณนา มิใช่จะเอามาทำต่ำชั้น เพียงแค่เอาไว้คุยกัน รู้จักกัน หรือเอาใจกัน กลัวแต่การจะมีเรื่องจนระวังตัวแจ แทบจะไม่กล้าแสดงทิฐิใดๆ

เพื่อนก็คือเพื่อน เพื่อนคือผู้ช่วยชี้แนะข้อผิดพลาด ปลุกระดมให้จิตหน่ายกลับฮึกเหิมเพื่อนก็คือเพื่อน มิใช่คนใบ้ที่ห้ามแสดงความคิดเห็นที่ผิดแผก จะต้องมามัวเออออ เพื่อนก็คือเพื่อน มิใช่ที่รองรับอารมณ์เพียงอย่างเดียว ไม่มีสิทธิโต้แย้ง

เพราะเพื่อนนั้น ไม่ใช่กระโถน ไม่ใช่ถังขยะ ไม่ใช่ภาชนะ ไม่ใช่คู่รัก แต่เพื่อน...คุณค่าสูงกว่านั้น สูงกว่านั้น...และสูงกว่านั้น

เจริญจิตต์


เพื่อนรัก

ในยามที่มีทุกข์ คนเรามักต้องการเพื่อนเพื่อปลอบใจ ให้กำลังใจ ชุบชีวิตชีวาให้ชุ่มชื่น นักฉวยโอกาสสร้างคะแนนนิยมแก่ตน ก็จะเริ่มขบวนการสัมพันธไมตรี ผูกมัดใจเพื่อนในช่วงนี้

แต่กระนั้น เพื่อนที่มีความจริงใจ พร้อมจะให้ความช่วยเหลือโดยปราศจากเงื่อนไข ข้อแลกเปลี่ยนกลับคืนใดๆ ทั้งสิ้น เช่นนี้ก็มีอยู่

และนี่ก็คือ ความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกพัน เพราะมีความจบลงในตัวพร้อมกับจบหน้าที่คลี่คลายทุกข์ ความสัมพันธ์ที่ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ จึงคือ การคบหากันด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง.

เพื่อนรัก... นั่นเธอจะไปไหน... นั่น! หยาดน้ำตาบนใบหน้าของเธอ นั่น! เธอกำลังทุกข์ ! มือสองข้างของเธอแนบขนานกับร่างกาย มือของเธอปราศจากเรี่ยวแรง ที่จะยกขึ้นปาดหยาดน้ำตาให้ตัวเอง นั่น! เธอกำลังจากฉันไป! เธอคงจะไปหาใครสักคนหนึ่งให้เขาปาดหยาดน้ำตาให้แก่เธอ

ไปเถิด... ไป... เพื่อนรัก ไปหาผู้ที่เธอคิดว่า เขาจะปาดหยาดน้ำตาให้เธอ ไปหาผู้ที่เขาพร้อมจะปลอบใจเธอ ไปหาผู้ที่จะชี้แสงสว่างให้เธอ ในขณะที่เธอ...ลืมฉันไป แม้นว่าฉันจะเป็นเพื่อนของเธอ ก็เหมือนไม่ใช่เพื่อนของเธอ

ตราบใดที่เธอยังไม่ไว้วางใจในตัวฉัน เมื่อใดที่เธอพบว่าไม่มีใครเหลียวแลเธอ ขอเธอจงกลับมา... ฉันจะคอยและคอยเธอ แขนทั้งสองของฉันจะคอยประคองและพยุงเมื่อเธอล้มลง

มือทั้งสองของฉันพร้อมที่จะปาดหยาดน้ำตาให้แก่เธอ

เพื่อนรัก... เราจะมีความ “สัมพันธ์” ซึ่งกันและกัน แต่ไม่ใช่...”ความผูกพัน” ต่อกัน เมื่อใดที่เธอเข้าใจ...และไว้วางใจในตัวฉัน

ขอเธอจงจำไว้ว่า... เมื่อใดที่เธอมีทุกข์ขอให้คิดถึงฉันเป็นคนแรก และเมื่อใดที่เธอมีสุขขอให้คิดถึงฉันเป็นคนสุดท้าย

ฉันจะคอย...และคอยเธอ.

เพื่อน


บทเพลงแห่งกัลยาณมิตร

โลกนี้คงเงียบเหงา...ถ้าเราขาดเพื่อน

ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนนั้น เป็นความอบอุ่น เป็นกำลังใจ เป็น

ความหมาย เป็นคุณค่าแก่ชีวิตยิ่งนัก คงไม่มีใครหรอก ที่ไม่อยากมีเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนแท้ที่เป็น กัลยาณมิตร ที่ช่วยนำพากันไปในทางที่เจริญขึ้น สูงขึ้น

คนเราจะดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ บางส่วนก็ขึ้นอยู่กับเพื่อนด้วย

ความเป็นเพื่อนในความหมายที่แท้จริง จึงคือ การให้ความจริงใจต่อกัน พึ่งพาอาศัยกัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเกาะเกี่ยวผูกพันกัน

ไม่ใช่คอยเอาอกเอาใจกัน ตามใจกัน สนุกสนานเฮฮากันเท่านั้น แต่จะแนะนำตักเตือนกัน ขัดเกลากัน ติติงกันเมื่อเห็นเพื่อนทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พร้อมจะช่วยเหลือเมื่อเพื่อนมีปัญหา พร้อมจะให้อภัยเมื่อเพื่อนทำผิด ให้กำลังใจเมื่อเพื่อนพลาดพลั้ง

นี่แหละ คือคุณธรรมของกัลยาณมิตร ที่จะก่อเกิดความสำเร็จบริบูรณ์เป็นสันติภาพ และภราดรภาพที่แท้จริง

เมื่อรัตติกาลล่วงผ่านไป รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ก็ย่างกรายเข้ามาแทนที่ แสงเงินแสงทองเริ่มเปล่งประกาย ขับไล่ความมืดทะมึนแห่งราตรีให้จางหาย ดวงตะวันลอยเด่นผงาดขึ้นมาอย่างองอาจสุขุม ยิ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้ากว้างมากเท่าใด ก็แผ่พลังแห่งความสว่างไสวไปทั่วแดนดิน

เหล่าสกุณาน้อยใหญ่ต่างเริงร้องสำราญใจ พากันบินออกจากรวงรังที่อาศัย เพื่อทำหน้าที่แห่งตนอย่างไม่เกียจคร้าน ไม่เฉื่อยชาผัดวันเกี่ยงเวลาใดๆ เพียรหาเหยื่อเพื่อเลี้ยงปากท้องแห่งตน จะคาบกลับไปบ้างก็หวังเผื่อแผ่เพื่อผู้ง่อยเปลี้ย และเจือจุนลูกน้อยที่คอยอยู่ในรังเท่านั้น มิได้มุ่งสะสมสั่งสมเพื่อตนเองแม้น้อย ทุกยามแห่งอรุณ นกน้อยก็เพียรทำหน้าที่มิหน่ายแหนง

นานมาแล้ว...ที่ม่านมืดทึบทะมึนแห่งอวิชชา ได้ครอบคลุมไปทั่วแผ่นฟ้ากว้าง เหนือแดนดินแห่งพุทธธรรม มืดครึ้มไปด้วยความหลงใหลงมงาย แม้ปุถุชนผู้ยังมืดมนด้วยโมหะ ก็แอบอ้างยกตนขึ้นเป็นมัคคุเทศก์แห่งวิญญาณ ชักพาเหล่ามวลมนุษย์ผู้ทุกข์ร้อนลำเค็ญ ให้ก้าวข้ามโอฆสงสารอันไกลกันดาร ไปสู่ฝั่งแห่งความพ้นทุกข์พ้นโศก

ด้วยด้วงตาที่ฉายแววแห่งตัณหาราคะ ถึงจะพากเพียรจ้องเขม็งเพ่งพิจารณา ทั้งเพ่งนอกเพ่งในเพ่งให้ใสเป็นสีแสง เพ่งกสิณต่างๆ เพ่งกระทั่งลมหายใจ ก็ยากนักที่จะเพ่งทะลุม่านแห่งโมหะอวิชชา ให้เห็นแจ้งซึ่งมรรคที่จะพาให้ล่วงทุกข์ได้ ยิ่งคิดยิ่งพิจารณาก็ยิ่งสับสน ยิ่งอ้อนวอนท่องมนต์ก็ยิ่งงมงาย อะไรเล่าหนอคือมรรคาแห่งความพ้นทุกข์พ้นโศก

ด้วยพลังเพียรแห่งมหาบุรุษผู้หาญกล้า ก้าวย่างไปบนอริยมรรคาอย่างไม่หวั่นไหว มุ่งทะลวงแหวกม่านอวิชชาจนสิ้น และ...เมื่อท่านพบชัยชนะ ทุกซอกมุมแห่งหัวใจมืดมิดก็เริ่มจางคลาย

ณ บัดนี้ แสงโชติช่วงแห่งตะวันธรรม ที่ถูกบดบังด้วยม่านอวิชชามาช้านาน ก็เริ่มแผ่พลังเจิดจ้าสว่างไสว เปล่งประกายแห่งความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สู่หมู่มนุษย์ในแดนดินให้กระจ่างแจ้งในสัจธรรม ตราบที่บัวสี่เหล่ายังแสดงสัจจะอยู่ในหนองบึง เหล่ามนุษย์ผู้มีธุลีในดวงตาแต่เพียงบางเบา ก็ย่อมคงมีอยู่ในผืนปฐพีเช่นกัน

เมื่อแสงแห่งธรรมสาดทะลวงถึงวิญญาณ เส้นทางที่จะข้ามโอฆะก็เริ่มชัดเด่น ชีวิตเกิดมาเพื่อเรียนรู้ ชีวิตเกิดมาเพื่อฝึกปรือ ชีวิตเกิดมาเพื่อพัฒนา เกิดมาเพื่อหัดกระทำแต่กรรมดี สลายกรรมชั่วอันมาแต่ความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นเครื่องพันธนาการอันหนาแน่น ที่ผูกมัดรัดรึงชีวิตไว้ไม่ให้พบความอิสระ

วันคืนย่อมมีค่ายิ่งนัก หากเราพากเพียรบากบั่นอย่างแน่วแน่ ที่จะข้ามพ้นโอฆสงสารอันไกลกันดารนี้ ไปสู่ฝั่งอันอิสระเสรีจากเครื่องจองจำ เมื่อตะวันธรรมยังสถิตฟ้า อย่าได้ปล่อยให้วันเวลาของชีวิตล่วงเลยไปเปล่า พึงรีบเร่งทำความเพียรให้ถึงฝั่งก่อนที่รัตติกาลจะมาเยือน

โอ...เป็นบุญของเราแล้วหนอ ที่เกิดมาในยามรุ่งอรุณแห่งศาสนา ได้พบแสงแห่งสัมมาอันสว่างไสว ส่องนำมรรคาแห่งความพ้นทุกข์พ้นโศกอย่างแจ่มแจ้ง จนสิ้นกังขาในทิศทางและเป้าหมายแห่งชีวิตประเสริฐ

เมื่อเราไม่สับสนในหนทางดำเนินชีวิต ก็ย่อมจะแลเห็นความสำคัญแห่งกัลยาณมิตร แม้นกน้อยก็ยังทำหน้าที่ของตนอย่างมิหน่ายแหนง ยังเกื้อกูลกันและกันด้วยอาหารที่หามาได้ ความสัมพันธ์ของปักษายังน่าบูชาถึงปานนี้ แล้วเราเหล่ามนุษย์ผู้มุ่งพัฒนาตนเล่า ได้กระทำหน้าที่ของตนดีแล้วหรือ ?

เมื่อมุ่งมาดจะเป็นมนุษย์พัฒนา ตามปฏิปทาแห่งพุทธธรรมแล้ว การมีมิตรดีสหายดีนี้แหละ คือทั้งหมดทั้งสิ้นแห่งพรหมจรรย์ ที่จะช่วยผลักดันให้เราพัฒนารุดหน้าไป

เมื่อเรามีอุดมการณ์อันเดียวกัน คือมุ่งมั่นชำระขัดเกลาจิตวิญญาณ เราก็ควรหันหน้าเข้าหากัน ร่วมประสานผนึกกำลังกันอย่างกลมเกลียว เพื่อช่วยกันเจาะทะลวงกำแพงแห่งอวิชชา ช่วยกันปลดปล่อยตนให้พ้นพันธนาการ ด้วยพลังอันแรงกล้าแห่งสามัคคี

มาเถิด...เพื่อนรัก มาร่วมกัน รวมกัน เพื่อเกื้อกูลและขัดเกลาซึ่งกันและกัน เพื่อสลายอัตตาอันยึดมั่นในตนเป็นใหญ่ เพื่อหล่อหลอมวิญญาณให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

พร้อมใจกันที่จะถือเอาธรรมเป็นใหญ่ พร้อมใจกันสรรสร้างสันติภาพอันไพบูลย์ พร้อมที่จะยอมรับความบกพร่องของตนอย่างไม่บิดพลิ้ว กล้าที่จะรับรู้ความจริงที่มีแต่ทุกข์ กล้าที่จะละทิ้งความสุขที่มีแต่มายา กล้าที่จะพรากจากสิ่งที่รักสุดหัวใจ ด้วยวิญญาณสัมพันธ์แห่งกัลยาณมิตร

เราไม่ได้ร่วมกันเพื่อที่จะผูกพันเกาะเกี่ยว แต่เราร่วมกันเพื่อช่วยกันขัดเกลากิเลส ร่วมกันเพื่อสลายอัตตาแก่กันและกัน เราจึงพร้อมที่จะพรากจากกันทุกขณะ จะไม่มีความเศร้าโศกเมื่อต้องพรากจากกัน

เพราะเพื่อนนั้นมิใช่ผู้หนึ่งผู้ใดเพียงผู้เดียว ชีวิตทุกชีวิตคือเพื่อนร่วมทุกข์ของเราทั้งสิ้น ลีลาชีวิตของเพื่อนทุกผู้สอนเราอยู่เสมอ หากเราเปิดใจให้กว้างก็จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง

ปลูกบุญ


  ฆ่ามันด้วยมือเรา
   [เลือกหนังสือ]
page: 6/7
   Asoke Network Thailand