[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 5/7

สารบัญ
[1] แสวงหา
[2] เดินทาง

[3] ทิ้งรัก

[4] ชักท้อ

[5] ปลุกเร้า
[6] คบมิตร

[7] ชีวิตพัฒนา

  ฆ่ามันด้วยมือเรา...  


สายธารแห่งกาลเวลา

ทุกครั้งที่เข็มวินาทีกระดิก ความตายก็ได้อุบัติขึ้นแล้วจริงบนโลกกลม ๆ ใบนี้

ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง อายุมีจำกัด ไม่ตายดีก็ตายร้าย ทะเลส่งคลื่นเข้าสู่ฟากฝั่ง ความตายเอื้อมกรงเล็บจิกชีวิตขึ้นสู่ฟากฟ้า

กาลเวลาผ่านไป ผ่านไปพร้อมกับหว่านโปรยความตายในทุกพื้นที่ที่มันเคลื่อนผ่าน

บนสายพานชีวิต มีใบเลื่อยคมกริบคอยบั่นทำลายอยู่เบื้องหน้า ชีวิตราวก้อนเนื้อบนเขียง ที่ค่อย ๆ ถูกส่งเข้าไป ส่งเข้าไป อีกไม่นานก็จะโดนชำแหละ

แต่อนิจจา คนเป็นจำนวนมากกลับไม่สำนึก ไม่เคยเหลียวมองรอบข้าง ไม่เคยสังเกตรอบตัว ว่าขณะนี้กำลังเกิดเหตุร้ายอะไรบ้าง

เขาหัวเราะ เขาสนุกสนาน ก่อบาปทำกรรม ผลาญชีวิตไปวันหนึ่ง คืนหนึ่ง อย่างไร้ค่า

ซ้ำยังเห็นคนเสียสละ คนทำดี ไม่เสพอบายมุข ไม่มัวเมากามคุณ เป็นคนน่าสงสาร น่าสมเพชเวทนา

ดูสิ ! สายพานชีวิตของเขาเขยิบเข้าใกล้ใบเลื่อยทุกขณะ ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป แต่เขาก็ยังหัวเราะ ยังสนุกสนานกันอยู่ ใครก็ได้ช่วยบอกเขาที !

เมื่อสายน้ำล่องไหลสู่ที่ลาดลุ่มมิหยุดยั้ง เซาะผ่านห้วยละหานธารน้อยใหญ่ล่วงเลยไปแล้ว มีหรือที่สายน้ำนั้นจะหวนกลับ ย้อนคืนสู่แดนเก่าที่มันพัดผ่านไป สายธารแห่งกาลเวลาก็เฉกเช่นกัน

พัดพาเหล่าสรรพสัตว์ไปสู่ฝั่งแห่งความตายอย่างไม่หยุดยั้งเดี๋ยววัน...เดี๋ยวเดือน...เดี๋ยวปี ผ่านไป...ผ่านไป...และผ่านไป ผ่านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมา นี่ก็อีกปีหนึ่งแล้วสิหนอ ที่กำลังผ่านไป สุดที่จะยื้อยุดฉุดกระชากให้กลับคืนมา ชีวิตทุกชีวิตที่เกิดมาแล้วก็ตายไป ภายใต้กระแสแห่งกาลเวลา ผู้ทรงอำนาจ ผู้ซื่อตรง และเที่ยงแท้ ไม่หวั่นไหวต่อเสียงคร่ำครวญต่อรองและสาปแช่ง ของเหล่าสรรพสัตว์ผู้หลงระเริงรักตัวกลัวตาย

ความเอย...ความตาย สุดที่ชีวิตใดจะหลีกเลี่ยงหนีพ้นไปได้ ชีวิตนี้ไม่ยาวเลย เหมือนพยับแดด เหมือนเกลียวคลื่น เหมือนฟองน้ำ ที่รวมตัวขึ้นปรากฏ ทรงอยู่เพียงชั่วขณะเวลาอันสั้นก็พลันมลายไป

ชีวิตและเวลา...ช่างมีค่ายิ่งนัก เรา ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของผู้กุมอำนาจ ที่จะผลักเบนชีวิตให้ไปสู่ทางใดก็ได้ ควรล่ะหรือ ที่จะปล่อยให้ชีวิตอันมีค่ายิ่งนี้ ล่องลอยไปตามยถากรรม เคว้งคว้างอยู่กลางวังวนแห่งมายา อันแสนเชี่ยวกราก และกราดเกรี้ยว

ทำไมหนอ...เราผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของเวลาอันมีค่ายิ่งนี้ จึงปล่อยให้ชีวิตล่องลอยเลื่อนไหลไปกับสายธาร ปล่อยให้สวะและสิ่งปฏิกูล มาครอบคลุมพันพัวให้มัวเมา คลุ้มคลั่ง สุข-ทุกข์ อยู่กับคราบชั่วแห่งอบาย ปล่อยตัวให้พัวพันรัดรึงอย่างไม่ขยะแขยง

ซ้ำวังน้ำวนอันเชี่ยวกราก ก็ดูดรัดให้เวียนวนคลั่งไคล้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ปล่อยให้เวลาและชีวิต หมดไปกับความหลงระเริงสนุกสนาน ดิ้นพล่านด้วยความเร่าร่อน กระเสือกกระสนเพื่อให้ได้มาเสพสมสุขสม ซึ่งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หื่นกระหายที่จะกัดแทะแท่งก้อนแห่งมายา อย่างไม่แหนงหน่าย

ซ้ำมิหนำ... คลื่นหฤโหดแห่งห้วงน้ำ ก็พัดพาโหมกระหน่ำอย่างไม่ปรานี ระลอกแล้วระลอกเล่า ซัดซ่ากระแทกกระทั้น ให้หัวใจของมนุษย์ผู้มัวเมาสะท้านไหว ระริกร่านด้วยความทะยานอยาก ความปรารถนาอันแรงกล้าแห่งตัณหา กระตุ้นเร่าซัดซ่าอยู่มิได้ขาดระยะ

ทุกครั้งที่กระทบสัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสียงคลื่นหฤโหดก็ดังสนั่น ด้วยความเริงรื่นระริกระรี้ แผ่พลังแห่งความสะใจสมใจ ให้ฟองฝอยแห่ง “ชัยชนะ” กระจายไปทั่ว หวังเพื่อโอ้อวดเพื่อนผู้คลั่งไคล้ ให้ยอมสยบ อิจฉา ในชัยชนะแห่งตน

แต่เมื่อกระทบปะทะกับคลื่นแห่งอริยสัจจะ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เสียงคลื่นหฤโหดกลับโหยหวน กรีดร้องวิงวอนขอความเห็นใจ สะท้านซัดซ่าด้วยบทเพลงแห่งความโศกเศร้า กระจายฟองฝอยแห่งความ “ปราชัย” ไปทั่ว เพื่อต้องการความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ

และคำปลอบประโลม ให้กำลังใจ เท่านี้ล่ะหรือ...ละครชีวิต ไม่มีแก่นสารอะไรเลยหรือนี่ เวียนวนระคนเคล้าซ้ำซากอยู่ ด้วยเพลงบทเก่าๆ เพียงเท่านี้หรือ ?

หลายวัน หลายเดือน หลายปี นับศตวรรษ นับกัป นับกัลป์ ที่ทุกชีวิตได้ผลาญพร่าเวลาของชีวิต ให้หมดไปกับการเที่ยวท่องแหวกว่าย กลางกระแสแห่งมายาอันหาสาระมิได้ แต่ละชีวิตจึงเก็บเกี่ยวกอบกำ แต่ความโง่งมงายและความพ่ายแพ้มาตลอด ยิ่งเสพสมได้ดั่งใจปรารถนามากเท่าใด ๆ ยิ่งทระนงหลงตัวเองมากเท่าใด ๆยิ่งคือความ “ปราชัย” ที่แสนอัปยศอดสูที่สุด

เมื่อเรามาพบสัจธรรมแห่งความอิสระ ควรหรือที่จะเสียเวลาคร่ำครวญ อาลัยอาวรณ์ต่อความสูญเสียในอดีต และขลาดกลัวต่อการพ่ายแพ้ที่ผ่านมา จนไม่กล้าที่จะทำแบบฝึกหัดชิ้นเยี่ยมในปัจจุบัน

ณ บัดนี้ ชีวิตที่เคยซัดเซพเนจร เร่ร่อนอย่างไร้จุดหมายมาแสนนาน ได้พบอมตธรรมแห่งชีวิตอันประเสริฐ จึงตั้งปณิธานว่าจะมุ่งมั่นหาญกล้า ทวนกระแสแห่งมายาอย่างเด็ดเดี่ยว กล้าสลัดมูลฝอยและสวะแห่งมายาอย่างไม่ไยดี กระชากความหลงใหลในวังวน

ด้วยพลังรู้แห่งสัมมาอันไร้กังขา พยายามเพิ่มพลังเพียรให้ต่อเนื่อง มุ่งทวนไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะเข้าสู่หลักชัยแห่งวิมุติมิหยุดยั้ง

ถึงแม้กระแสแห่งคลื่นลม ยังทำให้หวั่นไหวกระเพื่อมอยู่บ้าง ก็หาได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้ท้อแท้ กลับเพิ่มพลังให้เหิมกล้า มุ่งมั่นต่อการทวนกระแสยิ่งขึ้น และยิ่งขึ้น

ถึงวันจะเคลื่อน ถึงเดือนจะหนี ถึงปีจะลาลับหาย ถึงแม้กาลเวลาจะพัดพาไปสู่ฝั่งแห่งความตาย ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไปทุกที ก็ไม่สะท้านหวั่นไหว ไม่วิตกกังวล

ผ่านไปเถิด...กาลเวลาเอ๋ย ก็การผ่านไป ผ่านไปของเจ้านี้แหละ ที่จะเป็นอนุสติเตือนเรามิให้ประมาท ในโทษภัยแห่งห้วงมายา ถึงแม้มีประมาณน้อยเพียงธุลี สะกิดเตือนย้ำมิให้หยุดอยู่ในกุศลธรรม และเฝ้าปรารภถามตนทุกขณะว่า

วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่...?

ปลูกบุญ


ความตายมาเตือน

มนุษย์เราส่วนใหญ่ เมื่อเกิดมาก็หลงมัวเมาอยู่กับความสุขของโลก เสาะแสวงหาแต่ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และรสอร่อยให้ตัวเองได้เสพอย่างไม่ย่อท้อ

เขามีชีวิตอยู่อย่างลืมวัน ลืมคืน ลืมตัว และลืมตาย !

ชีวิตนี้สั้นนัก เปรียบเสมือนเกลียวคลื่น เหมือนพยับแดดที่เกิดเพียงชั่วครู่แล้วก็สลายไป ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน

ร่างกายนี้ แม้จะประคบประหงมมันอย่างดีสักปานใด ก็ยังหนีไม่พ้นความเจ็บ ความแก่ ความตายไปได้

ร่างกายนี้สร้างมายากนัก เราควรอาศัยมันเพื่อสร้างในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลให้แก่ตนเองและผู้อื่น มิใช่เอาไว้เสพสมสุขสม.

วันที่ไข้ขึ้นสูง หัวร้าวราวจะแยกเป็นสองเสี่ยง ลมหายใจร้อนผะผ่าว หัวใจเต้นถี่...ระรั สัญชาตญาณบอกเราว่า ความตายอยู่แค่มือเอื้อมถึงนี่เอง วิบเดียวแท้ ๆ ที่หัวใจอาจหยุดเต้น นาทีไหนก็ได้ ที่อาจต้องสลัดลมหายใจคืนให้แก่โลก แล้วเราก็จะจากไป... ไม่มีโอกาสได้รับรู้อะไรอีก

กระนี้หรือ...ที่เราจะยังประมาทมัวเมา ว่ายังแข็งแรง...ยังหนุ่ม...ยังสาว ยังไม่ต้องเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติธรรม ยังมีเวลาเหลืออีกมากมาย... ที่จะขัดกิเลส...ล้างอนุสัย สั่งสมความดี จนบรรลุเป้าหมายของชีวิต

โอ้หนอ...ความไม่เที่ยง ใครเล่าจะเป็นหลักประกันได้ว่า เราจะไม่ด่วนตายไปเสียก่อน ตายเดี๋ยวนี้ เวลานี้ ทั้งที่ยังไม่แก่ อะไรนะ ที่ทำให้เราลืมคำตรัสเตือนของพระพุทธองค์ ถ้าไม่ใช่ความลืมตัวมัวเมา

คนที่แก่กว่าเราตายไปแล้วก็มาก รุ่นราวคราวเดียวกัน...ก็มี เด็กเล็กกว่า...ก็ไม่ใช่น้อย

จำเป็นนักหรือ... ที่จะต้องหลั่งน้ำตา ต่อเมื่อเห็นโลงศพ...ของตัวเอง

วันนี้ไข้ขึ้นสูง กายขันธ์พร้อมจะแตกดับทุกขณะ อ่อนระโหย...เจ็บร้าว...หวาดหวั่น ใจหายเมื่อคิดถึงความไม่เที่ยง ขอบคุณเทวทูตที่มาเยือน

เราจะไม่ลืมวันนี้ และจะไม่หยุดอยู่ในกุศลธรรมอีกเลย.

อิสรา


ธรรมะ คือธรรมดา

เป็นความเข้าใจผิดมานานที่สังคมไทยมักจะมอง “ธรรมะ” ในแง่มีสรรพคุณเกินจริง จนยากที่จะไขว่คว้า

ถ้าบอกว่า “ธรรมะ” ต่างก็จะคิดถึง “ดอกฟ้ากับหมาวัด” ที่ตัวเองยอมเป็นหมาวัดอย่างเต็มใจ และเพราะเหตุนี้ จึงไม่ค่อยขวนขวายปฏิบัติ จะมีก็แต่ให้ความเคารพสุดเกล้าสุดเศียร แล้วก็วางไว้บนหิ้งเฉยๆ ให้ฝุ่นจับ

ความคิดของคนเรามักจะสุดโต่งเสมอ ไม่มองเลวร้ายเกินไปก็มักจะมองดีเกินไป หายากนักที่จะเห็นอย่างพอดี

ปมด้อย คือ ตัวบงการตัวหนึ่งที่ดัน “ธรรมะ” จนสูงสุดเอื้อมเมื่อปฏิบัติค่อนข้างยาก อย่ากระนั้นเลย ยกให้สูงเสียจนปฏิบัติไม่ได้เสียเลยจะได้ไม่ต้องเจ็บหัวใจว่าทำได้แล้วไม่ทำ !

เรื่องของ “ธรรมะ” ไม่ใช่เรื่องของอิทธิฤทธิ์ ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ หรืออัศจรรย์เกินมนุษย์มนาที่เป็นกัน พวกเหล่านี้เป็นเพียงแค่ “ผลพลอยได้” เท่านั้น แต่ธรรมะที่แท้นั้น เป็นเรื่องของการฝึกหัดดำเนินชีวิตเรียบง่าย มักน้อย สันโดษ กินน้อยใช้น้อย ฝึกขัดเกลา ไม่ตามใจตน มีการให้อภัย มีการเสียสละเสมอๆ

เราจะค้นหาสิ่งที่เป็นความเลว ความไม่ดีของตัวเองออกมาแก้ไข ขณะเดียวกันก็ฝึกทำประโยชน์ท่านให้มากขึ้นๆ ก็นี้แหละคือความหมายที่แท้ของ “ธรรมะ”

ธรรมะคืออะไรนะ... อย่าทำหน้าเหมือนกำลังค้นหาสิ่งมหัศจรรย์ของโลก อย่ามองเหมือนอยู่บนท้องฟ้าสิ ใช่แล้ว ธรรมะคือสิ่งสิ่งหนึ่ง มันไม่ใช่สิ่งยากเกินกว่าจะเข้าใจ และมันก็ไม่ได้ลึกลับดูขลัง ไม่ได้มีแสงวูบวาบ พราวพร่าง ไม่ได้เจิดจ้า สว่างโพลง ดุจทะลุเข้าถึงแดนมหัศจรรย์ มิใช่จะดูอภิมหาน่าเขื่องน่าโต มิใช่จะโก้หรูราวกับยืนเด่นบนบัลลังก์ มิใช่งามสง่า เชิดหน้า อวดทระนง

ธรรมะนั้นมิใช่อะไรเลย ที่ดูจะต้องประหลาด ประหลาด หรือต้องมีวิธีการที่แสนจะพิสดาร ให้ดูทึ่ง ให้ดูขลัง ให้ดูยาก เปล่าเลย เปล่าเลย ธรรมะหาเป็นอย่างนั้นไม่ อย่ามัวแต่คิดว่า มันจะต้องมีอะไรพิเศษพิสดาร เพราะนั่นแหละเธอกำลังหลงทางเสียแล้ว

อย่ามองธรรมะเหมือนการกินอาหารที่จะต้องใช้มีดส้อม และมีผ้ากันเปื้อนผูกคอบนโต๊ะสูงที่มีเชิงเทียน อย่ามัวแต่หลงสร้างอัตตาให้แก่ธรรมะอยู่เลย อย่าได้พรากมันออกจากชีวิตของชาวบ้านๆ เพราะธรรมะที่แท้ แม้ตาสีตาสาก็รู้ได้ บรรลุได้ ด้วยความเรียบง่ายอย่างพื้นๆ

ธรรมะนั้น คือสิ่งธรรมดาที่แสนจะธรรมดา เป็นสิ่งสามัญที่แสนจะสามัญ ไม่แปลก ไม่ประหลาด ไม่เขื่องโข เมื่อเธอจะบรรลุเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ “ธรรม” เธอก็จะซอมซ่อและสันโดษ เมื่อเธอมีหัวใจดวงเดียวกับ “ธรรม” เธอจะวิเวกและมักน้อย เปลืองวัตถุของโลก น้อยแสนน้อย เปลืองอารมณ์ในหัวใจ นิดแสนนิด เธอจะกินข้าวด้วยจานและช้อนราคาถูกๆ เธอจะนอนกลางดินกลางทรายได้อย่างสบาย เพราะที่พักอาศัยของเธอก็คือโลกทั้งโลก เธอจะห่อหุ้มร่างกายด้วยเครื่องนุ่งห่มที่แสนเรียบง่าย และจะต้องเชยแหลกในสายตาชาวโลก

“ธรรมะ” ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้แหละ ไร้ศักดิ์ศรีและยศศักดิ์ เกทับกัน เรื่อยๆ เป็นชาวบ้านๆ ธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนๆ ต้นหญ้ากระจอกๆ แต่สดใส การเข้าถึงธรรมะของเขานั้น ไม่ใช่ขี่รถ มียศ มีชั้น ไม่ใช่ต้องสวมเสื้อนอก หรือสร้างทฤษฎีจนชาวบ้านอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะธรรมะเป็นเรื่องของเหตุผล เป็นเรื่องที่พอเข้าใจกันได้

เพราะธรรมะที่แท้ที่พระผู้มีพระภาคสร้างทางไว้ เป็นทางเดียวที่เรียกว่า “ทางเอก” นั่นคือการเรียนรู้ “ความชั่ว” ในตน แล้วก็ละ ละ ละ ละทิ้งให้ได้อย่างเข้าใจ รู้ความชั่วในตนให้ได้ทุกขณะ เพียรพิจารณา ทั้งข่มทั้งล้างให้ได้ทุกครั้ง นี้แหละ คือธรรม ที่มีวิธีการอย่างพื้น ๆ ที่แสนจะธรรมดา ไม่หวือหวาอะไรเลยแม้แต่น้อย

มะกรูด


อย่าหนีทุกข์

ความทุกข์ มีรูปร่างอย่างไร ถามใครก็คงตอบกันไม่ชัด เหตุที่ตอบไม่ได้ชัดก็เพราะว่า ยังไม่เคยอาจหาญเผชิญหน้ากับทุกข์ และศึกษาเอาชนะมันอย่างจริงจัง

พายุอันบ้าคลั่ง ศูนย์กลางกลับมีแต่ความสงบนิ่งพิกล เช่นเดียวกัน บนก้อนแห่งความทุกข์ กลับมีช่องว่าง ทะลุออกตรงกลางอย่างน่าประหลาด (เหมือนขนมโดนัทน่ะ)

ผู้เอาแต่หนีทุกข์ จึงรังแต่จะถูกทุกข์ทับบี้แบน แต่หากใครหาญกล้าเผชิญกับความทุกข์อย่างไม่พรั่น เขากลับจะพบว่า แท้จริง ความทุกข์นั้นมิได้น่ากลัวเท่าที่คิด

บางคนกลัวตาย แต่เมื่อจะต้องตายจริง ๆ กลับไม่ได้น่ากลัวมากมาย

ความทุกข์ก็เช่นกัน นี่คือความลับของชีวิตที่ซึ่งยากที่ใครจะค้นพบ

บนโลกกลมๆ ใบนี้ มีเส้นทางหนีทุกข์อยู่สองเส้น หากเป็นนักบวช ก็จะเข้าป่า เข้าถ้ำ หลบลี้อยู่สงัดไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่หากเป็นปุถุชนเขาก็จะมัวเมา จมปลัก ในทะเลแห่งโลกีย์

เขาสุขหรือ ? ดูเหมือนใช่นะ แต่เขากำลังหลอกตัวเองต่างหาก เจ้า ปลาหมึกอำพรางศัตรูด้วยการปล่อยน้ำหมึกสีขุ่นข้น เขาก็หลงหลอกตัวเองว่าชีวิตไม่มีทุกข์ ด้วยการหาความสุขมามอมเมาใส่ตัวใส่ตน

มัวหลอกตัวเองอยู่ทำไม ? กล้าเผชิญกับทุกข์ ปะทะกับมันบ้างซิ แล้วเราจะค้นพบว่า เจ้าความทุกข์นั้นมิได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลยจริงๆ

เมื่อเราปรารถนาจะมีชีวิตอย่างอิสระเสรีที่แท้จริงแล้ว เราจะต้องเลิกละความเฉื่อยชาทางสมอง แล้วหันกลับมา คิด คิด คิด คิดถึงเรื่องที่จะแทงทะลุอัสสาทะแห่งโลกีย์ เจาะทะลวงสมมุติแห่งมายาให้เข้าถึงความเป็นจริง

ความจริงคืออะไร ? ความจริงคือความทุกข์ และทุกข์นั่นแหละคือความจริง เมื่อรักจะเดินไปบนมรรคาแห่งความจริงแล้ว จงอาจหาญเผชิญหน้ากับความทุกข์ ทุกข์แสดงตัวของมันเองอยู่ทุกขณะ ทุกข์เปิดเผยตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา แต่ดวงตาที่ใสกระจ่างของเรามิอาจเห็นทุกข์ได้เลย

เหตุที่ทุกข์ไม่ปรากฏแก่ใจเราได้อย่างชัดเจน ก็เพราะความกลัวที่ต้องทนทุกข์ และยังกลบเกลื่อน ยังบรรเทา ด้วยการเสพย์ การเสพสุขนั้นแล คือการอำพรางความจริง เมื่อเสพอยู่ ก็มิอาจเห็นทุกข์อริยสัจได้เลย เพราะความมัวเมาในรูป รส อัสสาทะปิดบังจนมิดสนิท ทุกครั้งที่เราคิดจะเสพย์โลกียรส เรากำลังเดินสวนทางกับความจริง เรากำลังสร้างเครื่องจองจำไว้กักขังตน

เตือนตนเองอยู่เสมอ ๆ อย่าเผลอเสพ อย่าเผลอเสพ ทุกข์เท่าใดๆ ก็ยินดีที่จะทนฝืน ถ้าไม่ถึงที่สุด จะไม่บรรเทาทุกข์ด้วยการเสพเป็นอันขาด

ความอดทน อดกลั้น ต่อความทะยานอยาก ทนดูอารมณ์ที่เร่าร้อน ด้วยจิตที่ตั้งมั่น ไม่กลบเกลื่อนความทุกข์ ด้วยกสิณต่าง ๆ ไม่อำพรางด้วยการเบนอารมณ์ไปสนใจสิ่งอื่น เราจงอยู่กับทุกข์ จงยินดีที่จะเรียนรู้อารมณ์ทุกข์ ทุกข์นี่แหละ คือความจริง

ความหลับ ความไม่ใส่ใจเต็มในปัจจุบัน นี้คือ การหนี การหลบ มิกล้าเผชิญกับทุกข์ ก็ไหนว่าจะเรียนรู้ทุกข์มิใช่หรือ ทำไมถึงทรยศต่อตน ด้วยการหลบหลับเล่า ? วันเวลาที่ผ่านไป ผ่านไปนั้น มันคงไร้ค่าไร้สาระที่สุด เพราะเรามิได้มุ่งมั่นเดินสู่มรรคาแห่งความจริง แต่กลับหยุดพักจมแช่อยู่กับความสงบระงับ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ายังมิใช่ความสงบที่แท้ มันเป็นเพียงการหลบทุกข์เท่านั้น ความไม่ยินดี ความไม่ใส่ใจในปัจจุบัน จึงคือการทรยศต่อตนเอง.

ปลูกบุญ


  ฆ่ามันด้วยมือเรา
   [เลือกหนังสือ]
page: 5/7
   Asoke Network Thailand