[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 2/7

สารบัญ
[1] แสวงหา
[2] เดินทาง
[3] ทิ้งรัก

[4] ชักท้อ

[5] ปลุกเร้า

[6] คบมิตร

[7] ชีวิตพัฒนา

  ฆ่ามันด้วยมือเรา...  


ถึงเวลาแล้ว

ชีวิตสังคม "หมาหอบแดด" ที่ต่างก็วุ่นวายทำมาหากิน กอบโกย แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ กอบโกยสุขทั้งหลายเท่าที่จะมีกำลังกันอย่างสุดฤทธิ์

ชีวิตจึงเห็นแก่ตัว ชีวิตจึงเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีการเอื้อเฟื้อ ไม่มีการให้อภัย และยอมกระทั่งทำชั่ว เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ

แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีบางชีวิตที่กลับยืนหยัดขึ้นโต้กระแส ไม่ยอมทำตัวเป็นน้ำครำสกปรก เพียรทำดี มุ่งมั่นทำดี และรักความดี

สำนึกของเขาละเอียดอ่อน เป็นสำนึกที่ก่อให้เกิดความสุขเย็นแก่สังคมโดยไม่เจตนา บุคคลเช่นนี้ย่อมเป็นที่รักของฟ้าดิน บางคนสำนึกแล้ว บางคนกำลังหัดสำนึก ในวันหนึ่ง ๆ เรามีโอกาสได้พบพวกเขาบ้างไหม

เมื่อเริ่มรู้สึก ถึงวิถีชีวิตที่ควรจะเป็นไป อย่างมีสาระ มากกว่าสนุกสนาน เพลิดเพลินไปวัน ๆ อย่างไร้เป้าหมาย

เมื่อเริ่มรู้สึก เห็นสรรพกามทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เป็นของเผ็ดร้อน เป็นทุกข์อันทนได้ยาก น่าเบื่อระอา

เมื่อเริ่มรู้สึก ถึงชีวิตที่ควรจะมีค่ามากกว่านี้ ช่วยสังคมให้สุขเย็น มีแต่การเสียสละให้แก่กันและกัน เมื่อเริ่มรู้สึกว่าชีวิตนี้ ควรจะทำแต่สิ่งที่ดีงาม เพื่อเป็นตัวอย่างแห่งการดำรงชีวิต อันเบา ว่างภาระเหลือแสน ให้แก่หมู่ชนทั้งหลาย

เมื่อเริ่มรู้สึก ถึงภัยอันตรายที่แผ่เข้าคลุมสังคม เห็นกลียุคที่ใกล้จะเกิดอยู่รอมร่อ เมื่อเริ่มรู้สึก ว่าคุณความดีควรเป็นของประจำชีวิต ที่ชีวิตทุก ๆ ชีวิตจะต้องมี จะต้องน้อมเข้ามาสู่ตน

เมื่อเริ่มตระหนัก ในคุณความดีที่ถูกหยามหยัน เยาะเย้ยจากเหล่าพาลชนทั้งหลาย ดุจพ่อแม่ของตัว ถูกกระชากกลั่นแกล้ง ถ่มน้ำลายรดหน้า

เมื่อเริ่มใจหาย ที่เห็นมนุษย์เริ่มหยาบช้า จิตใจแข็งกระด้าง ไม่มีบาปบุญสถิตอยู่ในหัวใจ

ดุจลูกรักสุดแสน ถูกโบยเฆี่ยนตีอย่างสาหัส จำเป็น.... จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องช่วยเหลือ แม้ไม่มากก็น้อย อย่างไม่รอช้าผัดวัน

เมื่อเริ่มเจ็บปวด ที่เห็นมนุษย์ใจโสมม จาบจ้วงศีลของพระพุทธองค์ กลั่นแกล้งอย่างเหิมเกริม หัวเราะอย่างสนุกสนาน ดุจผู้เป็นที่รัก กำลังเดินเข้าสู่หลักประหาร

เมื่อเริ่มรู้สึก รู้สึกเสียดาย ในวันเวลาที่ผ่านเลย ปล่อยให้คุณความดีรั่วหล่นจากดวงจิต แม้เล็กแม้น้อย

หากเป็นเช่นนี้ หากรู้สึกเช่นนั้น ถึงเวลาแล้ว..... ที่ควรจะเปลี่ยนจากผ้าสีฉูดฉาด มาเป็นสีกรักอันมอหม่น สละโภคทรัพย์และเครือญาติ ละทิ้งบ้านช่องเรือนชาน มามีแผ่นดินทุกตารางนิ้วเป็นที่อยู่ มีบาตรสำหรับยังชีวิต โผบินไปทุกทิศ ทุกทิศที่มีมวลชน มวลชนอันมีธุลีในดวงตาน้อย แล้วปลุกเขาให้ตื่นขึ้น

ตื่นขึ้นมา... เข้าร่วมเป็นร่วมตาย กับกองทัพที่ยิ่งใหญ่กว่ากองทัพใด ๆ

"กองทัพธรรม"

หยุด


เตรียมตัวเดินทาง

บนเส้นทางชีวิตนั้น คงไม่มีใครหรอกกระมัง ที่จะไม่หวัง ไม่ปรารถนาสิ่งดี ๆ ในชีวิต เพียงแต่ว่าสิ่งดีของแต่ละคน อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือสลักสำคัญเท่าใดนัก

สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า พอเราหวัง ความผิดหวังก็จะมาเยี่ยมเยียนเสมอ นี่สิ จะทำฉันใดกันดี ทำอย่างไรที่ยามผิดหวังจะไม่ต้องใจหายไปเกือบหมด เหลือใจอยู่นิด ๆ แถมส่วนนิด ๆ นั้น ยังเศร้ามากเสียอีก

เอาแบบนี้ดูที ไม่ต้องตั้งความหวังไว้สูงเพริศแพร้วนัก ตั้งไว้แต่น้อย ๆ ก่อน เพื่อว่าจะได้มีโอกาสสมหวัง แล้วเก็บสะสมทีละเล็กละน้อย เป็นกำลังใจที่จะไต่ไปสู่หวังที่สูงขึ้น สูงขึ้น ในภายภาคหน้า

แต่หากยังดึงดันหวังสูงลิบลิ่ว โอกาสผิดหวังย่อมมีมาก ด้วยไปไม่ถึงจุดหมาย และเมื่อผิดหวังก็ลังเล เมื่อลังเลก็พ่ายแพ้ เมื่อพ่ายแพ้ ก็ท้อแท้ที่จะสร้างสรรสิ่งดีที่ว่า ด้วยว่ามือไม้แขนขาก็อ่อนล้าราโรย หมดกำลังเสียแล้ว

การตั้งความหวังแต่น้อย แล้วพากเพียรพยายามอย่างไม่ลดละ จึงเป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จที่ถูกตรง ซึ่งเมื่อกระทำเต็มที่แล้ว ผลจะออกมาอย่างไร-ดีมาก หรือดีน้อย ก็ภูมิใจได้เต็มที่ว่า คุ้มค่าที่ได้เกิดมาจริงๆ เชียว

ชีวิต...เปรียบเหมือนภูเขา ตัวเราเองเปรียบเหมือนนักปีนเขา ที่จะต้องปีนป่ายไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต เราจะต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกำลังกาย กำลังใจ พร้อมด้วยสติปัญญา ความรู้ และความสามารถ รวมทั้งวิธีการอันถูกต้องและดีงามมาใช้ในชีวิต แต่เราก็ควรจะเตรียมใจเอาไว้ในยามผิดหวัง จริงอยู่...ความหวังเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่บางครั้งเรามักจะหวังกันเกินไป จนลืมนึกถึงความไม่สมหวังที่มักเกิดขึ้นได้เสมอ ความผิดหวังนั้นจะกลายมาเป็นเครื่องบั่นทอนและยาพิษ ต่อตัวเราเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่เราไม่หวังอะไรให้มากนัก ก็เป็นสิ่งดีที่จะช่วยให้เรามีเหตุมีผล มีสติรู้ว่า เราเป็นอะไร เรากำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจโลกและชีวิตดียิ่งขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม แม้เราจะพบกับความสมหวังหรือผิดหวัง ความสุขหรือความทุกข์ความรักหรือความเกลียด เสียงหัวเราะหรือเสียงร้องไห้ก็ตาม

ถ้าเราเชื่อว่า... เราได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างดีที่สุดแล้ว ถึงผลของมันจะไม่เป็นไปอย่างที่เราปรารถนา แต่อย่างน้อยที่สุด เราก็ภูมิใจได้ว่า เราดำเนินชีวิตไปในทางที่ดี ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า และคุ้มค่ากับที่เราได้เกิดมาเป็นคนแล้ว

นิรนาม


ชีวิตกับการเดินทาง

คนเราทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตต่างกัน สุดแต่ใครจะเลือกเอาวิถีชีวิตเช่นใด เมื่อยังไม่รู้ก็อาจผิดพลาด อาจล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่เมื่อรู้แล้วเข้าใจแล้ว ก็ควรกำหนดทิศทางไปสู่เป้าหมายนั้น อย่างเที่ยงตรง

แต่นั่นแหละ แม้จะกำหนดทิศทางได้แล้ว แต่ใจนี่สิ... ใจที่ยังไม่เข้มแข็ง ยังอาลัยอาวรณ์ ยังอ่อนแอ ก็ทำให้ก้าวเดินได้ยากเย็น เนิ่นช้า

แต่เมื่อรู้แล้ว เดินทางแล้ว ควรหรือที่จะหันหลังกลับ ควรหรือที่จะให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลและอุดมการณ์ที่ใฝ่ฝันนั้น

เมื่อตระหนักถึงความไร้สาระของชีวิต ที่มีแต่ผลาญพร่าเวลาไปกับความสุขจอมปลอม บำรุงบำเรอตนด้วยการใฝ่หาความสนุกสนานรื่นรมย์ กลบเกลื่อนทุกข์ด้วยการเสพกาม...กลั้วอบาย โดยมีแต่ความเสื่อมต่ำแห่งจิตวิญญาณเป็นผลลัพธ์ ชีวิตจึงเริ่มต้นที่จะ "แสวงหา" ด้วยมโนสำนึกแห่งการเกิดมาเป็นมนุษย์ ว่ามิใช่เพียงปล่อยตัวปล่อยใจไปตามสัญชาตญาณ และอำนาจใคร่อยาก...เยี่ยงสัตว์

หากแต่ควรรังสรรค์ความดีงามให้แก่ตนและสังคม ทิศทางใหม่ที่ค้นพบ จึงคือการเดินตามรอยพระอริยะ ไปสู่หนทางอันสะอาด สว่าง สงบ สุภาพ

ณ จุดหมายของการเดินทาง คือดินแดนแห่งโลกุตระอันไกลโพ้น ที่ซึ่งดวงตะวันทอแสงสีทองฉาบไล้ไปทั่วอาณาจักร แวดล้อมไปด้วยมวลพฤกษชาตินานา อันเป็นที่สถิตของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งจะประทานปีกแห่งความอิสระ...สันติ.... ให้แก่หัวใจทุกดวงที่ดั้นด้นไปถึง

แต่ระยะทางที่จะต้องรอนแรมไปนั้นยาวไกลนัก ซึ่งบางที...อาจต้องใช้เวลาเดินทางทั้งชีวิต และแม้จะเป็นทางเอก...ทางเดียว แต่สองข้างทางก็ยังเต็มไปด้วยเหล่าพญามาร ที่คอยหลอกล่อให้เดินหลง

ซ้ำในบางขณะ... เมื่อเหลียวมองไปยังทิศทางเดิม อันอบอวลไปด้วยเกสรดอกไม้และหยาดทิพย์ หัวใจก็ยังวาบไหวไปกับเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ และอานุภาพของสายสัมพันธ์ในสมมติสัจจะ ลาก่อน...ความรัก...ความอบอุ่น...ลาแล้ว

หนทางข้างหน้าทุรกันดารมากขึ้น ขณะมีเพียงเท้าเปล่า และความจริงใจ สำหรับใช้ในการเดินทาง บางก้าวจึงเจ็บปวดนักหนา และหลายหนที่น้ำตาร่วงริน แต่...แม้จะลำเค็ญเพียงใด การหันหลังกลับก็มิใช่วิสัยของนักรบ

ชีวิตนี้...สั้นนัก ไม่มีเวลาสำหรับการคร่ำครวญอีกต่อไปทุกนาทีมีค่าเกินกว่าจะหยุดอยู่ และ...สุดท้าย แม้จะไปไม่ถึงจุดหมาย ก็ขอไปให้ใกล้ที่สุดแต่หากบุญวาสนามีพอ เราก็อาจได้คืนกลับมา ด้วยปีกแห่งอิสระและสันตินั้น.

อิสรา


แด่...นางนวลตัวใหม่

หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตก็คือ การถนอมรักษาชีวิตให้ทรงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ หรือกระทั่งต้นไม้ใบหญ้า

แต่เพราะคนมีเงื่อนไข มีความต้องการสูงกว่าสัตว์อื่น คนจึงมีระบบและรูปแบบที่ซับซ้อน สับสน จนบางครั้งก็น่าเศร้า ที่กลับต้องตกเป็นทาสของระบบที่ใครก็ไม่รู้กำหนดขึ้น

นกนั้นก็แค่ออกจากรังไปหาอาหารชั่วครู่ชั่วขณะ แต่คนกลับต้องคร่ำเคร่งกับสูตรสำเร็จที่อัดแน่นไปด้วยภาระหน้าที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และต่อเนื่องกันไปแทบจะตลอดชีวิต

ก็น่าคิด...ว่าการเลี้ยงชีพให้อยู่รอด มันลำบากลำบนเพียงนั้นเชียวหรือ ? นี่คือความฉลาดหรือโง่กันแน่? ความหมายของชีวิตมีเพียงเท่านี้จริงๆ หรือ?

เมื่อดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า นั่นคือ...สัญญาณของการเริ่มวันใหม่ พันธะแห่งกาลเวลา ปลุกทุกชีวิตให้เคลื่อนไหว เพื่อเตรียมตัวทำหน้าที่ของตน... หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทุกชีวิต มนุษย์ออกจากบ้านไปทำการงาน นกบินออกจากรังไปหาอาหาร ถ้าตัดความโลภ...สะสม...กอบโกย เพราะความโง่เขลาของมนุษย์ออกแล้ว ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน...ระหว่างคนกับนก

ชีวิตประจำวันของคนบางกลุ่ม กิน...นอน...ทำงาน...พักผ่อน ซ้ำซากอยู่กับกองกระดาษและตัวเลข จำเจกับการเดินทางปะปนไปกับผู้คนแปลกหน้า พักเที่ยงด้วยการฟุบหลับบนโต๊ะ และรอเวลาเลิกงานในตอนเย็น นี่น่ะหรือ...ความหมายของการทำงาน ? นี่น่ะหรือ...เงื่อนไขของการดำรงชีวิต ?

ดูนางนวลเหล่านั้นสิ ! มันจะบินอย่างเกียจคร้านไปยังเรือประมง ตรงเข้าไปจิก...กิน...แย่ง เศษอาหาร ที่เขานำมาทิ้ง...วันแล้ววันเล่า เชื่อไหม...ว่ามันก็ภูมิใจในการ� "ทำงาน" ของมั การเลี้ยงชีพด้วยปีก ด้วยลำแข้ง ของมันเอง เทียบเคียงดูสิ ว่ามันมีอะไรแตกต่างไปจากคนบ้าง

จะมีบ้างไหมนะ... ที่นางนวลสักตัวจะเริ่มคิดถึงการฝึกบิน เพื่อชีวิตที่ดีกว่า... บินข้ามขอบฟ้า ไปยังที่ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ไปอาบแสงตะวันยามเช้า... โผไปบนท้องทะเลสีเขียว... ที่สะท้อนแสงดาวระยิบระยับยามค่ำคืน

นกโง่ ๆ เท่านั้นหรอก ที่ยังยินดีกับเศษอาหาร นกขี้ขลาดเท่านั้นแหละ ที่กลัวการเพลี่ยงพล้ำ บินออกมาสิเพื่อนรัก... ถ้าเจ้าอยากรู้จักชีวิตอิสระ อย่ากลัวอด... อย่ากลัวหิว... ทิ้งเศษปลาแห้งนั่นเสีย ที่ฝั่งทะเลข้างหน้ายังมีอาหารอีกมากมาย... ที่เจ้ายังไม่เคยได้ลิ้มรส และเหนือสิ่งอื่นใด... นั่นคือความวิเศษในการได้เรียนรู้ชีวิต

ก็แน่นอนละ ที่ฝูงของเจ้าจะไม่เห็นด้วย พวกเขาจะดูหมิ่น เหยียดหยาม และพากันหัวเราะเยาะ แต่ลึกลงไป เขากำลังหวั่นวิตกต่างหาก เขากลัวเจ้าจะสูงกว่า...เหนือกว่า ทั้งๆ ที่เขาไม่กล้าเสี่ยง เจ้าเองก็พอจะรู้...ไม่ใช่หรือ ?

เลือกเอานะ... ระหว่างความใหม่กับความเก่า ความดีกับความเลว อย่าให้เสียทีที่เกิดมา โยนความกังวลเพราะลมปากคนอื่นทิ้งไป แล้วบินออกมาเสีย...

เราจะไปคอยเจ้าที่ฝั่งทะเล.

อิสรา


  ฆ่ามันด้วยมือเรา
   [เลือกหนังสือ]
page: 2/7
   Asoke Network Thailand