[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 4/7

สารบัญ
[1] แสวงหา
[2] เดินทาง

[3] ทิ้งรัก

[4] ชักท้อ
[5] ปลุกเร้า

[6] คบมิตร

[7] ชีวิตพัฒนา

  ฆ่ามันด้วยมือเรา...  


จอมโจรบัณฑิต

หากใครสักคนจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนมายาสาไถย คงจะต้องเดือดร้อนหัวใจไม่น้อย ไม่ย้อมไม่ยอม! เพราะนี่คือคำสบประมาทอย่างแรง

แต่อย่าเพิ่งโมโหเลย ลองมาย้อนสำรวจตัวเองกันบ้างเถิดแล้วเราจะรู้ว่า คำกล่าวหามิใช่จะไร้เหตุผลเสียทีเดียว ข้อสำคัญเราจะรู้ตัวกันว่าเป็นโรคนี้คนละกี่มากน้อย ?

บางคนก็รู้ แต่อาจจะกำลังแอบภาคภูมิใจเงียบ ๆ ที่ไม่มีใครรู้ เท่าทันเหลี่ยมคูของตัว

แต่บางคนหนักกว่านั้น เขาอำพรางคนอื่น ด้วยการเสแสร้ง แกล้งทำ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แถมยังหลงสำคัญตัวว่าดีแล้ว บริสุทธิ์แล้ว เป็นงั้นไป

นี่แหละความอ่อนแอของมนุษย์เรา ที่อ่อนแอจนไม่กล้าเผชิญกับความจริงรอบ ๆ ตัว จนสุดท้าย แม้กระทั่งจุดบกพร่องของตัวเองก็ไม่กล้ารับรู้เขาจึงต้องตกอยู่ในโลกแห่งความลวงร่ำไป

แท้จริงแล้ว หากจะปลุกปลอบจิตให้อาจหาญ กล้าสู้หน้าตัวเอง พร้อมประจัญกับจุดบกพร่องทั้งหลาย แล้วลงมือแก้ไขเปลี่ยนแปลง ในอีกไม่นาน ความอ่อนแอคงถดถอย แอบซุกเข้ากลีบเมฆไปเป็นแน่

ขออวยพร ให้พวกเราทุกคน โชคดี ต่อ การเอาชนะ ความเป็น โจรบัณฑิต ก่อนที่มัน จะจับเอาเรา ไปแทะกิน จนหมดตัว !

ใช่สิ...ฉันมันยอดนักเสแสร้ง เสแสร้งได้อย่างเนียนสุขุม ยิ่งฉันต้องการสิ่งไหนมากเพียงใด ฉันก็จะดิ้นทำมารยาได้มากเพียงนั้น

ฉันรู้...รู้ของฉันอยู่คนเดียว ไม่มีใครหรอกที่จะทันเล่ห์เหลี่ยมของฉัน

ใช่สิ...ฉันมันนักเสแสร้งชั้นฟ้า แม้คนจะมีทั้งโลก แต่ฉันก็ทำทุกอย่างเพียงเพื่อตัวเอง ทุกสิ่งที่ฉันแสดงออก ล้วนมิใช่ความจริง แต่ฉันก็กลบเกลื่อนอำพราง ฝัน ๆ เอาว่าใสบริสุทธิ์อยู่คนเดียว

เพราะมันจริงเกินไป ที่ฉันจะกล้ายอมรับ จริงเกินไป ที่จะกล้ารู้ กล้าเห็นว่าหัวใจกำลังทำแอบแฝง

ใช่สิ...ฉันมันยอดจอมมายา แสร้งทำเป็นยิ้มหัวเราะอย่างสดใส แสร้งทำเป็นรื่นเริง ยิ้มหัวอย่างซื่อเด๋อ ชวนหัวอย่างเซ่อบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นธาตุแท้ของฉัน...

ฉันชอบทำเป็นนักบุญ ทำเป็นคนดี ทำเป็นคนสูงประเสริฐ เสแสร้งหลอกคนชาวโลก ราวกับว่าเจ้าความดีเหล่านั้นอยู่กับฉันจริง ๆ

ใช่สิ...ฉันนี่แหละ “จอมโจรบัณฑิต”!

‘ปีศาจ คาบคัมภีร์


บทเรียนแห่งความพลัดพราก

ปุถุชนแต่ละคน ใช้ชีวิตเปลืองเหลือเกิน ชาติแล้วชาติเล่านับไม่ถ้วน แล้วยังหมุนวนผ่านไปเป็นสัตว์ ทั้งเดรัจฉานและสัตว์อบายนานาเหลือคณานับ แต่ไม่เข็ดหลาบ ไม่เคยรู้ตัว เพราะเขาไม่มีดวงตาแห่งธรรม

แต่ผู้ที่มีดวงตาแห่งธรรมแล้ว รู้แล้วอย่างเถียงไม่ขึ้นนี้สิ จะมัวเสียเวลาอยู่ เพราะอะไร ?

ถ้าเพราะไม่เอาจริง ก็เรียก คนขี้เกียจ คนไม่รู้

ถ้าเพราะทำไม่ได้สักที ก็เรียก คนบ้อท่า คนไร้น้ำยา

ถ้าเพราะทำได้แต่ช้า ก็เรียก คนไม่ขมีขมันหรือคนไร้บารมีเดิม

ถ้าเพราะทำได้ แต่ไม่ทำ ก็เรียก คนไม่รู้จริง คนสับปลับ

ชีวิตหนึ่งนั้นสั้นนัก อย่าเอาแต่วรรค อย่าเอาแต่พัก อย่าเอาแต่หย่อน อย่าเอาแต่ผ่อนอยู่เลย

ชีวิต... อุบัติขึ้น... เรียนรู้...ฝึกฝน...จดจำ ผ่านความรัก...ความชัง...ความเจ็บปวด รู้คิดแยกแยะผิดชอบชั่วดี ทุกข์-สุข รายล้อมรอบด้าน เกิด-ดับ เกิด-ดับ น่าเบื่อหน่าย...ระอา

อะไรเล่าคือสาระแห่งการเกิด นอกเหนือจากการกิน...นอน...สืบพันธุ์ ก่อร่างสร้างตัวแล้วตายไป พร้อมจิตวิญญาณดวงเดิม อันแสนเหนื่อยยาก...สับสน อะไรกันที่คือคุณค่าของมนุษย์ ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-โลกียสุข ...เท่านั้นหรือ ?

กงล้อแห่งกาลเวลาหมุนไป ชีวิตและวัยล่วงไปพร้อมวันคืน หลายสิ่งแสดงอนิจจังให้ปรากฏ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรมีค่าควรแก่การยึดถือ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งอันเกษม ยิ่งไขว่คว้า...ยิ่งห่างไกล ยิ่งเข้าใกล้...ยิ่งรางเลือน

จวบจนได้พบดวงประทีปแห่งธรรม การแสวงหาจึงสิ้นสุด คำถามที่เพียรพยายามหาคำตอบค่อยคลี่คลาย อุดมการณ์ที่ฝันใฝ่เริ่มเป็นจริง ชีวิตได้พบจุดหมาย มรรคามีอยู่... ผู้นำมีอยู่...

ผู้ร่วมเดินทางพร้อมพรั่ง ทั้งพี่-ทั้งน้อง-ทั้งเพื่อน

หนทางสู่โลกุตระทอดยาวไกลไปเบื้องหน้า ทุกคนดุ่มเดินตามอินทรีย์พละ เร็วบ้าง...ช้าบ้าง

แต่ต่างก็คอยดูแล...เกื้อกูล...ไม่ทอดทิ้งกัน สัมพันธ์สอดคล้องเป็นญาติธรรมสนิทเนียน คอยติงเตือน...ชี้แนะ...ระแวดระวังภัย เพราะแม้ทางนี้จะเป็นทางเอกทางเดียว แต่สองข้างทางก็ยังเต็มไปด้วยพญามาร ที่คอยหลอกล่อให้เดินหลง

และทั้งที่รู้... จากวันเริ่มจนวันนี้ เพื่อนพ้องหลายคนก็ยังพลัดหลงไปบนเส้นทางลวง บ้างลังเล-ไม่แน่ใจในจุดหมาย บ้างแพ้ภัยตัว-พ่ายต่อกิเลสตัณหา บ้างท้อแท้-เบื่อหน่าย-หมดความอดทน เหนื่อยนัก-ไกลนัก-ยากนัก แล้วก็ผละจากไป ทิ้งอุดมการณ์ และชีวิตพรหมจรรย์ไว้เบื้องหลัง

โอ้พรหมจรรย์นี้ช่างยากเย็นจริงหนอ ทั้งที่ต่างก็ตั้งใจจริงเต็มเปี่ยม สู้สละทิ้งโภคทรัพย์และเครือญาติ จากความรักความอบอุ่น มุ่งสู่ร่มเงาแห่งผ้ากาสาวะ อบรมธรรมทุกค่ำเช้า พากเพียรฝึกตนขึ้นสู่ที่สูง แล้วเหตุไฉนจึงกลับกลาย...เปลี่ยนแปร

สัจธรรมไม่มีคุณค่าเสียแล้วหรือ... สหธรรมิกไม่มีความหมายเลยใช่ไหม... ก็ไหนว่าจะช่วยกันเข็นกงล้อธรรมจักร ไหนว่าจะอุทิศตนเพื่อพระศาสนา ไหนว่าไม่มีอะไรมีค่าเกินอริยทรัพย์ ไหนว่าแม้ประสบทุกข์เจียนตายก็จะไม่ทิ้งธรรม ...อย่างไรเล่า...

บทเรียนแห่งความพลัดพราก ถูกส่งผ่านมาให้ทดสอบบทแล้วบทเล่า ไม่อยากทำก็ต้องทำ ไม่อยากพบก็ต้องพบ ไม่อยากรู้ก็ต้องรู้ เน้นย้ำซ้ำซาก ว่าที่ใดมีรัก...ที่นั่นมีทุกข์ ว่าตนเท่านั้นคือที่พึ่งแห่งตน ไม่มีอะไรแน่นอนเท่ากับความไม่แน่นอน

พอเสียทีเถิดความเจ็บปวด ป่วยการที่จะร้องไห้...คร่ำครวญ ชีวิตของใครก็ของใคร เขาย่อมมีสิทธิ-มีเหตุผลเต็มเปี่ยม ที่จะจัดการกับตัวเองในฐานะเจ้าของชีวิต และหากเปิดใจให้กว้าง หากเข้าใจกฎแห่งกรรม ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นทุกข์ แต่จงหันกลับมามองตน ประคองรักษาจิตไว้มิให้ตกต่ำ เอาบทเรียนเหล่านั้นมาทำวัคซีน เพิ่มภูมิคุ้มกันโรคภัย หลอมละลายมันเข้าในสายเลือด...ในหัวใจ เพื่อวิญญาณที่แข็งแกร่ง-มั่นคงขึ้น สำหรับก้าวต่อไปในอนาคต.

อิสรา


แด่เธอ...ผู้ล้มไม่ยอมลุก

ไม่มีใครหรอก...ที่ไม่เคยพบอุปสรรค

ไม่มีใครหรอก...ที่ไม่เคยผิดพลาด

ไม่มีใครแน่...ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสิ่งใด

“สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” ประสาอะไรกับเราที่มีเพียงสองเท้า ซ้ำยังไม่ได้เป็นปราชญ์

แต่เชื่อไหมว่า อุปสรรค ความผิดพลาดนี่แหละ ที่จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น มีความสามารถ ปฏิภาณ ไหวพริบดีขึ้น

นักกระโดดสูง นักยกน้ำหนัก เขาจะต้องเพิ่มความสูง เพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ เขาเพิ่มอุปสรรคให้ตนเองได้ฝึกฝน พากเพียร และเอาชนะ แม้จะกระโดดพลาดบ้าง ยกไม่ไหวบ้าง แต่เขาก็ไม่ท้อถอย

ทุกครั้งที่พบอุปสรรคหรือพลาดพลั้ง จงสร้างกำลังใจ แล้วเริ่มต้นใหม่ ให้เวลาตนเองเพื่อการปรับปรุงแก้ไข และบุกไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่มั่นคง.

ล้มลงไป...ลุกขึ้นมา ถึงคลานก็คลานไปข้างหน้า อย่ามัวชักช้ารอรา กระแสธารแห่งเวล ไม่คอยใคร ถนนนั้นมันลื่นนัก เธอจะเซซัดล้มลงได้ สองขาเมื่อยล้าอ่อนแรง จงกัดฟันอดทนฝึกฝนต่อ

ล้มลงไป...ลุกขึ้นมา อุปสรรคขวากหนามต้องฟันฝ่า อย่าโง่ อย่าเขลา หนีปัญหา หลักชัยข้างหน้ายังคอยอยู่ ไม่มีอะไรพ้นความพยายามของเธอได้ อภัยแก่ตัวเอง เลิกซ้ำย้ำแหยะ ก้าวหนึ่งที่พลาดไป คือก้าวใหม่ที่มั่นคง ล้มลงไป...ลุกขึ้นมา ตัวตรงยืดอกเชิดหน้า ก้าวต่อไป ไม่มีหยุด ปล่อยวางหนทางข้างหน้า รู้ตัวทั่วพร้อมทุกเวลา ตั้งปณิธานยึดหลักสัจธรรม ก้าวตามพระยุคลบาทพระศาสดา จวบจนสุดจุดหมายปลายทาง

ตุ๊กตา ล้มลุก


ยังไม่สายสำหรับการเริ่มต้น

ไม่มีคำว่า “สาย” สำหรับการเรียนรู้

ไม่มีคำว่า “สาย” สำหรับการทำความดี

ไม่มีคำว่า “สาย” สำหรับการแก้ไข ปรับปรุงตน

และ ไม่มีคำว่า “สาย” สำหรับการเริ่มต้น

หากชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูตัวสำคัญก็คือกิเลสที่สิงสถิตอยู่ในตัวเรา คอย บงการชีวิตให้ต้องดิ้นรน แสวงหาสิ่งที่มันรักมันชอบมาปรนเปรอไม่มีที่สิ้นสุด

การฝึกหัดขัดเกลาและฝืนใจ ไม่ทำตามอำนาจบงการของกิเลส ก็คือการทำสงครามกับเหล่ามารและผีร้ายในตน ซึ่งหากเป็นของง่าย พระพุทธองค์ก็คงไม่ตรัสว่า...

“เอาชนะข้าศึกเป็นพันๆ ในสงคราม ไม่เท่าเอาชนะตนเองเพียง

ครั้งเดียว” และขึ้นชื่อว่าสงครามก็ย่อมต้องชอกช้ำ ขมขื่น เป็นธรรมดา เราเอง ก็อาจต้องพบกับความพ่ายแพ้ในบางครั้ง ต้องมีบาดแผลบ้างในบางคราว และเจ็บปวดบ้างในบางหน แต่ก็ต้องอดทนให้ถึงที่สุด

เพราะความพ่ายแพ้ผิดพลาดนี่แหละ ที่เป็นบทเรียนทำให้เราได้รู้ข้อบกพร่อง เห็นข้อจำกัดของเราได้อย่างวิเศษ

และสักวัน เราจะลบรอยแผล แก้ไขความบกพร่อง และอยู่เหนือข้อจำกัดทั้งหลายทั้งปวงนั้นให้จงได้.

ไม่มีคำว่า “สาย” สำหรับการเริ่มต้น ไยจึงปล่อยให้ชีวิตจมปลักอยู่กับความเศร้าหมอง...ทุกข์ระทม ทุกขณะที่กำลังเกิดอยู่และผ่านไป คือ “ขณะใหม่” เช้าวันใหม่...ตะวันดวงใหม่...น้ำค้างหยดใหม่ ยอดอ่อนของต้นไม้ก็ผลิบาน...งอกเงยขึ้น ไฉนเราจึงไม่หันมาใส่ใจกับยอดอ่อน ที่จะผลิบานในหัวใจของเราบ้างเล่า ? ซึมซับ...ดื่มด่ำ กับความละเอียดอ่อนที่เกิดขึ้นภายใน และทะนุบำรุง รักษาไว้ให้มั่นคง...ให้เติบโต

ล้มแล้วลุก พักแล้วเพียรต่อ หลงทางแล้วก็กลับมาพบกันได้ใหม่ มาร่วมเดิน ร่วมฟันฝ่า ร่วมอุดมการณ์ในสายธารทวนกระแส ที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากห้วงสังสารวัฏ หลุดพ้นจากเงื่อนปมของชีวิต ที่เราต่างผูกขึ้นเพื่อพันธนาการตัวเอง ด้วยตั้งใจ...ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์...ด้วยหลงผิด ด้วยอิทธิพลของกิเลสมารต่าง ๆ นานา เมื่อชะล้างคราบโสมมออกจากดวงไฟแห่งปัญญา เมื่อนั้นแสงสว่างอันเจิดจ้าก็เข้ามาแทนที่ความสลัวราง เกิดความรู้...เห็นสรรพสิ่งรอบตัวตามความเป็นจริง ด้วยโลกทัศน์ ชีวทัศน์ที่กว้างไกลขึ้น แจ่มใสขึ้น บทเรียนถูกส่งมาเพื่อเรียนรู้ ทำความเข้าใจ มิใช่เพื่อเอาชนะแต่ส่วนเดียว ผิดไม่ได้...พลาดไม่ได้ แล้วเราก็ตายกับมานะ...กับอัตตาที่ยิ่งใหญ่นักหนานั้น

จริงอยู่..."มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะพ่ายแพ้" แต่ความพ่ายแพ้ก็คือ ประสบการณ์อย่างหนึ่งของชีวิต และมันอาจมีคุณค่ามากกว่าชัยชนะเสียด้วยซ้ำ หากมันจะทำให้เราเข้าใจตัวเอง-เข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น รู้จักให้อภัยทั้งเราและเขาได้มากขึ้น เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ได้มากขึ้น มิใช่เอาแต่หยิ่งผยองกับความดี...ยึดดี...ถือดี เสียจนทนไม่ได้ที่จะเห็นความบกพร่องของผู้อื่น โดยวัดกันด้วยไม้บรรทัดที่ตนกำหนดขึ้น

“ขวัญเอยเพียรใหม่...พลาดไปประหนึ่งเป็นครู” เมื่อหายเหนื่อย หายล้าแล้ว ก็จงยืนหยัดและก้าวเดิน หากแน่ใจว่าทางนี้คือทางเอก...ทางเดียว กระไรจะยอมตกเป็นเหยื่อของพญามารผู้มาหลอกล่อให้เดินหลง และแม้หากจะเคยเดินหลงมาบ้าง แต่...ต่อนี้ไป เราจะกำหนดทิศทางที่จะ “เดินตรง” ให้ได้

มาเถอะ...บทเรียน จะหนักหนา...จะรุนแรงอย่างไร เราก็จะเพียรพยายามกระทำให้ลุล่วง แก้เงื่อนไข...คลายปม ที่พันธนาการหัวใจให้เป็นอิสระ เพราะนี่คือ ขณะเดียวที่เราได้-เรามี ขณะที่มีรูปขันธ์ มีสติปัญญา สัมปชัญญะ มีครู มีเพื่อน มีญาติสนิทมิตรสหาย ที่จะนำไปสู่ดวงดาราที่ใฝ่ฝัน อันคือจุดหมายปลายทางที่ลิขิตไว้แล้ว ด้วยตัวของเราเอง.

อิสรา


  ฆ่ามันด้วยมือเรา
   [เลือกหนังสือ]
page: 4/7
   Asoke Network Thailand