ฆ่ามันด้วยมือเรา...
อัปลักษณ์แท้
ฉันยังจำได้...เมื่อเป็นเด็ก ฉันมีชีวิตอยู่ในชนบท ในหมู่บ้านเล็กๆ
อันสงบเย็น มีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี มีเสียงนกร้องและไก่ขันยามรุ่งอรุณ
ฉันชอบตื่นแต่เช้าเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ ชอบมองท้องนาที่เขียวขจีและกว้างไกลสุดสายตา
เก็บผักบุ้ง ผักกระเฉด ตำลึง และบางครั้งในหน้าฝน ฉันก็จะเก็บเห็ดโคนไปให้แม่ทำอาหารที่แสนอร่อยให้พวกฉันได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ
ที่บ้านฉันอุดมสมบูรณ์ด้วยพืช ผัก และผลไม้ เมื่อมีผลดกเกินเก็บกินได้หมด
แม่ก็จะให้ฉันนำไปแจกเพื่อนบ้าน พวกเราอบอุ่นใจในความเป็นอยู่ร่วมกันอย่างพี่ๆ
น้องๆ อย่างแท้จริง
แต่เมื่อฉันโตขึ้น ฉันต้องเรียนหนังสือ เพราะพ่อแม่สอนว่า
เกิดเป็นคน ต้องพัฒนาตนให้มาก
ซึ่งฉันก็เรียนได้ดี เขาจึงให้ฉันเรียนจนขั้นมหาวิทยาลัย
ฉันจำต้องมาอยู่ในสังคมเมืองหลวงที่แออัดยัดเยียด อากาศเสียน้ำเน่า
ผู้คนก็มีหน้าบูดบึ้ง อยู่กันด้วยความหวาดระแวง ชิงดีชิงเด่นรอบตัวเต็มไปด้วยอบายมุขทุกรูปแบบ
ศีลธรรมกลายเป็นเรื่องของคนคร่ำครึ !
ฉันเบื่อสังคมของคนที่คิดว่าตนเองพัฒนาแล้ว ศิวิไลซ์แล้ว
เขามีปัญญา มีความสามารถก็จริง แต่เขากลับเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว
มัวเมาในวัตถุ ในอำนาจยศศักดิ์ จนลืมเรื่องของน้ำใจอันดีงามของมนุษย์
โอมนุษย์ ! เจ้าเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุดในโลกมิใช่หรือ
? มนุษย์สามารถสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรารถนา แต่มนุษย์ก็เป็นตัวทำลาย
เป็นตัวผลักดันให้โลกใกล้กลียุค ! มนุษย์หนอมนุษย์ รู้ตัวไหมว่า
เจ้าคือสัตว์โลกที่ อัปลักษณ์แท้
จากอดีตมาสู่ปัจจุบัน มนุษย์...ต่างรู้จักขวนขวายพัฒนาตัวเอง
พัฒนาสิ่งแวดล้อมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตน ต่อโลก
แต่...ท่ามกลางการพัฒนา ท่ามกลางการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เงาสีดำเริ่มปกคลุมไปทั่ว
เปลวเพลิงเริ่มแลบเลียทีละจุด ทีละจุด เสียงสะอื้น เสียงด่าทอ
ดังระงมไปทั่ว ม่านหมอกแห่งกามราคะ ผนึกแน่นปักตรึง
จากปัจจุบันมองย้อนไปสู่อดีต เขาว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ
เป็นสัตว์ที่ฉลาดเลิศล้ำในใต้หล้า สามารถจัดการกับปัญหานานาชนิด
สามารถจะสางเรื่องราวอันยุ่งยากได้เก่งฉกาจ
แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า ความเก่งก็เหมือนกับกองไฟ ใช้เป็นก็มีแต่คุณประโยชน์
พลาดพลั้งก็มีโทษมหันต์
ความเก่งของพวกเขา ได้กลายเป็นซาตานร้าย ที่ทยอยส่งเชื้อโรคเข้ามากัดกร่อนชีวิต
วันแล้ววันเล่า จากรุ่นปู่ย่ามาสู่พ่อแม่ จากพ่อแม่ไปสู่ลูก
สู่หลาน และต่อ ๆ ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
จากวันนี้ไปสู่อนาคต มีแต่มนุษย์ที่เป็นโรคสารพัด อุ้ยอ้าย
อ่อนแอ จนเกินกว่าจะกล้าทำดี ขี้กลัว ขี้ขลาด จนเกินกว่าจะกล้าเสียสละ
ตระหนี่ ถี่เหนียว จนเกินกว่าจะคิดให้ใคร กลัวอด กลัวอยาก จนต้องเก็บสะสมอย่างไม่รู้จักหยุด
ทั้งทรัพย์ ทั้งสิ่งของ ทั้งอาหาร แม้จะเป็นของผู้อื่นก็ตามที
วันนี้...พรุ่งนี้...และพรุ่งนี้ ชีวิตของสัตว์มนุษย์ กำลังจมอยู่ในทะเลแห่งความกลัว
ลึกลง...ลึกลง และเย็นเยียบ กลัวจะไม่มีที่อยู่ กลัวจะไม่มีความสุขความสบาย
กลัวจะขาดลาภ ขาดยศ กลัวตัวเองจะไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี กลัวจะไร้บัลลังก์ประกาศโอ่อัตตา
พรุ่งนี้...มะรืนนี้ และมะรืนนี้ สัตว์ที่ชั่วร้าย ก็คงจะไม่พ้นมนุษย์
สัตว์ที่น่าสงสาร ก็คงมนุษย์อีกนั่นแหละ
สัตว์เขารวมกันเป็นฝูง เพื่อช่วยกันปกป้องภยันตราย เพื่อเกื้อกูลแก่กันและกัน
แต่สัตว์มนุษย์กลับคอยหาโอกาส กดขี่ เบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบให้ได้มากที่สุด
เหยียดหยามเมื่อมีโอกาส และคุยโอ่เมื่อมีจังหวะ
จากอดีตมาสู่ปัจจุบัน จากปัจจุบันไปอนาคต ไม่ว่าจะอยู่ช่วงมิติแห่งเวลาใด
พวกเขาก็จะยังคงอยู่กันอย่างหวาดระแวง อยู่กันอย่างเป็นข้าศึกเช่นนี้ๆ
จนกว่า... จะก้มหัวยอมรับแสงแห่งสัจธรรม ยอมรับความจำเป็นแห่งศาสนธรรม
ที่จะต้องเป็นดวงประทีปแห่งชีวิต แล้วเร่งสลัดความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
มากินอยู่อย่างมักน้อย มาดำรงชีวิตอย่างสันโดษ อย่างง่ายๆ สบายๆ
เบาภาระ มีสัตย์ มีศีล
ชีวิตแห่งมนุษย์เรานั้น มันมิได้ใหญ่โตอัครฐานอย่างที่คิด
มันเป็นเพียงดอกหญ้าดอกเล็กๆ ในโลกกว้าง มันเป็นเพียงหยดน้ำในท้องธารอันกว้างใหญ่
เรื่องอะไรเล่า ที่จะนำชีวิตอันเป็นที่รัก เดินทางไปสู่ความหายนะ
ความเหน็ดเหนื่อย ความยุ่งยากนานัปการ เพียงแค่จะดำรงชีวิต เพียงแค่จะทรงอยู่
?
เราจะเป็นชีวิตเล็กๆ ที่ไม่หลงเห่ออลังการประดับประดา เราจะเป็นชีวิตน้อยๆ
ที่อยู่อย่างไม่ฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ เราจะปลดพันธนาการ ปล่อยให้ชีวิตรู้จักอิสระ
รู้จักความเป็นไท ชีวิตของเราจะมีแต่สันติ-สงบ ภราดร-พี่น้อง
ชีวิตของเราจะเป็นธรรม และธรรมจะเป็นชีวิตของเรา
สักวันหนึ่งหรอก เราจะสร้างคำสบประมาท ของเหล่าบรรดาสัตว์โลก
ที่ต่างชี้หน้ากล่าวหามนุษย์ ว่าเป็นเพียงแค่ "เศษเดนชีวิต"
ของโลก
เราขอสัญญา.
สงบอยู่
ฉันรักเม็ดทรายเม็ดเล็ก ๆ
ทุกข์ของมนุษย์มีมากมายหลายรูปแบบ
ทุกข์เพราะขาดคนรัก คนเข้าใจ
ทุกข์เพราะยากจน
ทุกข์เพราะขี้ริ้วขี้เหร่
ทุกข์เพราะเรียกร้องในสิ่งที่ตนขาด
ทุกข์เพราะแสวงหาสิ่งที่ตนไม่มี
ทุกข์เพราะยึดถือในศักดิ์ศรี อัตตาตัวตน...ฯลฯ
ถ้าเพียงแต่ทุกคนจะพยายามเข้าใจตัวเอง ไม่เรียกร้อง ไม่จริงจังกับบางสิ่งบางอย่างมากเกินไป
เป็นผู้อดได้ ทนได้ และพอใจในความเป็นตัวของตัวเอง ดังเช่นทรายเม็ดเล็ก
ๆ ในท้องทะเลกว้าง ที่ไม่ว่าทะเลจะปั่นป่วนด้วยคลื่นลมหรือมีมรสุมสักเท่าใด
เม็ดทรายเหล่านั้นก็มิได้
อนาทร ร่ำร้อง แต่ยังสงบเย็นอยู่ได้ชั่วนาตาปี ลองเอาเม็ดทรายเป็นแบบอย่าง
แล้วเราจะพบว่า ความสุขในโลกนั้นมันมีมากกว่าที่เราคาดคิดมากนัก
โอหนอ ! ทุกข์นั้นใครทำให้ ถ้ามิใช่
ตัวเรา ที่หลงสร้างความปรารถนาไว้มากมายเหลือคณานับ
ในห้วงน้ำอันเชี่ยวกรากกว้างใหญ่ ฉันรักเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ
มันนอนสงบอยู่กับเม็ดทรายเม็ดอื่นๆ เม็ดทรายหลายเม็ดใหญ่กว่ามันหลายต่อหลายเท่า
สีเม็ดทรายหลายเม็ดสวยงามกว่ามันหลายต่อหลายช่วง
ฉันรักเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ มันนอนสนิทนิ่งอยู่ท่ามกลางเม็ดทรายนับล้านๆ
จนมองเผินๆ ก็ใช่จะเห็นได้ง่าย เม็ดของมันเล็ก สีของมันก็ซีด
ไม่สวย
ฉันรักเม็ดทรายเหล่านั้น กระแสน้ำไหลกระฉอก โบกเป็นเกลียว
หมุนราวดอกสว่าน เม็ดทรายเล็กๆ หมุนคว้างตามเกลียวคลื่น วนซ้ายวนขวาจนดูเวียนหัว
แล้วก็จมลงสงบนิ่งในที่ใหม่ มันนอนสงบอย่างไม่อนาทรต่อสิ่งใด
ฉันรักเม็ดทรายเหล่านั้น ฝูงปลาเอาหางโบกพัดผ่าน มันหมุนคว้างขึ้นอีกครั้ง
พลางจมลงอย่างสงบ ไม่บ่น...ไม่คร่ำครวญ
เม็ดทรายเล็กๆ ยังคงเป็นเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ฉันรักเม็ดทรายเหล่านั้น
หินทรายก้อนใหญ่กว่าบางครั้ง ลอยเรียดผ่านกระแทกอยู่ไปมา มันลอยขึ้นตามแรงกระแทกอยู่ไปมา
มันลอยขึ้นตามแรงกระแทก ตกลงสู่พื้นอีกครั้งอย่างเงียบสงบ ไม่มีเสียงร้องไห้
ไม่มีโศกเศร้ารำพัน
ทรายเม็ดโตสีสวยข้างๆ ถูกฝ่ามือช้อนไปทำเครื่องประดับ ส่องแสงแวววามหยอกล้อกับแสงไฟงามตระการ
เม็ดทรายเม็ดเล็กๆ เหล่านั้น ยังคงสงบอย่างไม่อนาทรสิ่งใด
ฉันรักเม็ดทราย อยากมีหัวใจอย่างมัน พอใจในความเป็นอยู่
พอใจในความเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีการเปรียบเทียบ เรา-เขา ไม่มียกตนยกตัวข่มขู่
ไม่มีเหยียดหยาม ไม่มีดูหมิ่น ไม่มีถือสาสรรพสิ่งรอบข้าง
ยินดีที่จะเป็นเม็ดทรายในท้องธารอันกว้างใหญ่ ไม่เรียกร้อง
ไม่ต่อรองราคา ไม่คร่ำครวญ ไม่อ้อยสร้อย
เม็ดทรายเล็กๆ เหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ยังคงเป็นเม็ดทรายเล็กๆ
ไม่เคยร้องไห้ให้แก่ใคร ไม่เคยสงสารตัวเองมาแต่ไหน
ฉันรักเม็ดทราย เม็ดทรายที่แสนถ่อมตนสุภาพ เม็ดทรายที่แข็งแกร่งแต่อ่อนโยน
โอ ! เม็ดทราย ขอให้ใจฉันเป็นดั่งเม็ดทราย ที่ไร้การเรียกร้อง
ร้องขอต่อผู้ใด พอใจแต่จะช่วยเหลือ ช่วยเหลืออยู่อย่างเงียบๆ
ไม่ต้องให้ใครรู้ ยามที่เขาเอามาทำพื้นถนน
เม็ดทราย...ฉันรักเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ เหล่านั้น
สันทราย
พลังแห่งเมตตาธรรม
ต้นไม้ต้นใดร่มครึ้ม แผ่กิ่งก้านสาขา มีดอกผลอุดมสมบูรณ์
เหล่านกกาย่อมพากันบินมาอาศัย ซุกไซ้ อย่างเป็นสุข แม้ผู้คนที่สัญจรไปมาก็อดมิได้ที่จะเข้าไปนั่งพักใต้ร่มเงา
ผิดกับต้นไม้ที่ไร้ใบ ซ้ำยังมีหนามแหลมคม ย่อมปราศจากคนหรือสัตว์ที่จะเข้าใกล้
พักพิง
ดุจดังคนผู้ยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจไมตรี เมตตาเกื้อกูล
ย่อมเป็นพลังเย็นดึงดูดให้คนอื่นอยากอยู่ใกล้เป็นมิตร ตรงข้ามกับคนใจแคบเห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบ
ที่ต้องถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว เดียวดายและไร้เพื่อน!
โลกก็เช่นกัน ที่ยังอยู่รวมกันได้เป็นหมู่กลุ่ม ยังไม่ถูกทำลายให้แหลกสลายไป
ก็ด้วยพลังแห่งเมตตาธรรม อันเป็นพลังเย็นโอบอุ้มค้ำจุนให้ยืนยง
พลังแห่งเมตตา ยิ่งใหญ่ไพศาลเกินคิด
หากใครซาบซึ้ง อยากเป็นเจ้าของ พึงรดน้ำพรวนดินด้วยการหัดเสียสละ
หัดให้อภัย เสียแต่วันนี้
ดวงอาทิตย์... คือดวงหทัยของจักรวาล ไม่มีพลังอื่นใด
ที่จะให้ความสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ สรรพชีวิตใดๆ ในโลกหล้า
ย่อมมิอาจยังอยู่ได้หากไร้แสงตะวัน ดวงอาทิตย์... จึงคือพระผู้เป็นเจ้าแห่งแสงสว่างและคือมหาพลังที่ให้ความอบอุ่นแก่โลก
เมตตาธรรม... คือสิ่งสูงค่าของมนุษย์ เป็นมหาพลังอันใหญ่ยิ่ง
ที่โอบอุ้มคุ้มครองสรรพชีวิตในโลก ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข
ปลอดภัย...ร่มเย็น แจ่มใส...ร่าเริง ราบรื่น...สันติ ไร้ความหวาดผวากลัวภัย
ไร้ความหวาดระแวง พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ อย่างไว้ใจวางใจ
ซื่อตรง...จริงใจ ปลอดภัยเมื่อคบคุ้น ไม่หมกซ่อนไว้ด้วยเลศเล่ห์มายา
ไม่มีการฆ่า...ฆ่า...ฆ่า ล้างผลาญ...ทำลาย โดยมุ่งหมายให้อีกฝ่ายพินาศย่อยยับ
ความเมตตา... คือสิ่งวัดค่าแห่งความเป็นมนุษย์ หากมนุษย์อำมหิตโหดร้าย
ไร้ซึ่ง สำนึกแห่งเมตตา แล้งน้ำใจไมตรีเสียแล้ว อะไรเล่าจะเกิดขึ้น
สงคราม...ความพินาศ ความหฤโหด...ความตาย ชีวิต เลือดเนื้อ และหยาดน้ำตา
ดวงอาทิตย์... ที่เคยเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งแสงสว่าง เคยเป็นพลังที่ให้ชีวิตอบอุ่น
ก็จะกลับแผดแสงแรงกล้า ร้อนเร่าเผาผลาญสุดทานทน เพราะแผ่นฟ้ากว้างนั้นว่างเปล่า
ไร้ม่านเย็นแห่งเมฆฝนปกคลุม ทุ่งหญ้าและผืนนาที่เขียวขจี คงเหี่ยวแห้ง
เฉาเกรียม แมกไม้ที่เขียวชอุ่มร่มเย็น คงถูกผลาญทำลายจนราพณาสูร
ธารน้ำใสที่เคยไหลรินฉ่ำเย็น ก็คงจะขุ่นคล้ำ เหม็นเน่าคลุ้ง
และแห้งขอดไปในที่สุด
ไม่มีหมู่ปลาน้อยใหญ่ ไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีสัตว์ที่โลดแล่นคะนองไพร
เสียงหรีดหริ่งเรไรก็เงียบสงัด ทั่วทุกหนแห่งบนพื้นพิภพนี้ ก็กลับกลายเป็นทะเลทรายไปหมดสิ้น
อนิจจา..... ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนไปสู่ความหายนะวิบัติ ก็ด้วยความหลงระเริงของมนุษย์
ที่ประมาทมัวเมา ไม่มีความสำนึกในหน้าที่ ไม่มีความเมตตาเกื้อกูล
สั่งสมแต่ความอำมหิตโหดเหี้ยม จนต้องวอดวายบรรลัยไปเพราะไร้เมตตาธรรมคอยค้ำจุน
จะรอให้วันแห่งความวิบัติคืบคลานมาถึง แล้วจึงค่อยสำนึกผิดกระนั้นหรือ
หัวใจอันด้านชาของมนุษย์เอ๋ย
อย่าเลย...อย่าเลยท่าน... ท่านผู้ประเสริฐ อย่ารอให้ถึงวันนั้นเลย
เพราะเมื่อวันวิบัตินั้นมาถึง มันก็สายสุดที่จะแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
มาเถิด... มาเถิดท่าน... มาช่วยกันรังสรรค์เสียแต่เดี๋ยวนี้
ช่วยกันสร้างพลังแห่งเมตตาธรรมเพื่อค้ำจุนโลกไว้ให้ยั่งยืนยาวนาน
สถิตเสถียรด้วยสันติและภราดรก่อนจะต้องถึงแก่กาลอวสาน ไม่ใช่เพื่อโลก
ไม่ใช่เพื่อสังคม ไม่ใช่เพื่อสรรพสัตว์ แต่...เพื่อตัวของท่านเอง
เร็วเถิด... เร็วเถิดท่าน... เร่งสร้างพลังเย็นแห่งเมตตาให้เกิดขึ้น
เลิกฆ่า...เลิกเบียดเบียน
เลิกกินเลือดกินเนื้อ เลิกยังชีวิตอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น
เลิกสั่งสมความโหดเหี้ยมอำมหิต แล้วท่านจะเบิกบานแจ่มใส ก้าวไปบนเส้นทางชีวิตสายใหม่ด้วยพลังแห่งเมตตาธรรม.
ปลูกบุญ
ทางสายเก่า ทางสายใหม่
มนุษย์...ต้องยกให้เขาละ
เพราะคงจะไม่มีอะไรฉลาดยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
จากมันสมองก้อนเล็กๆ ในศีรษะ ก่อกำเนิดปรากฏการณ์อัศจรรย์มากมาย
เหล็กหนักนับร้อยตันลอยขึ้นสู่ฟ้า แผ่นดินอัดแน่น เจาะลึกนับกิโลไม่ยั่น
อาคารสูงเทียมเมฆ ต้องการสักเท่าไร บอกมา ต่างล้วนอาศัยความฉลาด
เนรมิตสุดแต่จะปรารถนา ดั่งเมืองแมนสรวงสวรรค์ อยากได้ร้อน-ร้อน
อยากได้หนาว-หนาว ไม่มีอะไรที่มนุษย์จะทำไม่ได้
แต่น่าเศร้ากระไรปานนั้น หมองูตายเพราะงู ความฉลาดได้แอบฝังเขี้ยวลงบนลำคออ่อนนิ่ม
เพราะสิ่งที่ผลิตขึ้นสารพัด ภายใต้คำจำกัดความว่าศิวิไลซ์นั้น
บัดนี้ ได้ย้อนกลับมาแว้งกัดมนุษย์เสียเอง ชีวิตอ่อนแอลงทุกขณะ
เปราะบาง เจ้าอารมณ์ ละโมบ เกลียดความดี และไร้น้ำใจอย่างสุดเหี้ยม
สิ่งประดิษฐ์สารพัด วิทยาการสารพัน กำลังร่วมมือกันฉีกทึ้งจิตวิญญาณให้แหลกเหลว
คุณค่าแห่งความเป็นคนใกล้จะอับปาง !
มันน่าไปนักหรือ ทางสายใหม่สายนี้
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ?
ออดแอด ! ออดแอด ! เกวียนเก่าคร่ำคร่าเดินทางสู่อดีตอย่างช้าๆ
ทิ้งรอยเกวียนเป็นทางไว้เบื้องหลัง พลันน้ำในรอยตีนโคถูกบดขยี้กระจาย
ฮึ่มฮึ่ม ! ครืนครืน ! ฮึ่มฮึ่ม ! ครืนครืน ! รถยนต์สวยสดทะยานสู่อนาคต
คะนองกึกก้อง
แผดเสียงลั่นราวฟ้าร้องเพื่อแข่งขันกับเวลา ใช่แล้ว เวลาที่เป็นตัวกินสรรพชีวิตไม่ไว้หน้า
แต่มันก็ยินดีจะแข่ง
ออดแอด ! ออดแอด ! ครืนครืน ! ฮึ่มฮึ่ม ! นับวันสองกระแสเสียง
ห่างกันทุกที...ทุกทีแว่วเสียงหัวเราะเยาะ เสียดสีอยู่ไกลๆ
ทางชีวิตทางหนึ่งกลับสู่ความเรียบง่าย สันโดษแค่ปัจจัยสี่ ทางหนึ่งกลับสู่ความวุ่นวาย
สนุกสนาน ฟุ้งเฟ้อ อึงคะนึง
ออดแอด ! ครืนครืน ! ครืนครืน ! ออดแอด ! ห่างกันแล้ว นับวันก็ยิ่งห่างกัน สุดจะกู่ร้องหวนกลับ
มนุษย์เอย มนุษย์หนอ เลือกเอา ตัดสินเอา
ออดแอด ! ออดแอด ! ทางสายนี้สะอาด สว่าง สงบ และสุภาพเพียบพร้อมเสียงนกร้อง
ใบไม้กระทบกิ่งก้าน มิใช่เสียงเครื่องจักรอึงอล โกลาหล ยอดไม้เขียวขจี
สวยสด สะอาดตา มิใช่ตึกรามเสียดฟ้า บดบังสายตาอันจะมองไกลอิสระ
ทุกย่างก้าวแห่งการดำเนินชีวิต แน่วแน่ สุขสบาย สุขสงบ ลมหายใจอ่อนโยน
พร้อมรอยยิ้มบานสะพรั่ง
มิใช่ความเร่งร้อนดิ้นรนกระเสือกกระสน มิใช่ทำ ทำ ทำ กอบโกย
ให้มากที่สุด โดยมิได้หวัง แบ่งปันแก่กันและกัน แม้พื้นถนนยังสึกหรอด้วยรอยกระแทกส้นเท้า
แม้ลมหายใจยังร้อนระอุ ราวกับอยู่ท่ามกลางทะเลทราย และใบหน้าอันเครียด...เครียดราวหินผา
!
ออดแอด ! ครืนครืน ! ออดแอด ! ครืนครืน ! ห่างกัน...นับวันก็ยิ่งห่างกัน
สายไปไหมที่จะตัดสินใจเลือกวิถีชีวิต ?
รถยนต์คันสวยราวกับจุติจากฟากฟ้าห้อตะบึงแสนสนุก ผู้โดยสารเกาะเกี่ยวจนหลามล้นเสียงเชิญชวน
ยั่วเย้า หลงใหลอาหารอันมากสี หลากหลาย วิจิตร สารพัดอร่อยลิ้น
ที่อยู่อาศัยนับแสนล้านรูปทรง หาเงินเข้าสิ ก่อนจะนอนอาศัย ยา...เรามีมากราวกองทัพ
พร้อมรักษาโรคร้ายร้อยแปด เครื่องนุ่งห่มนั้นเล่า ล้วนเฉิดฉาย
ประกวดประชันสุดดิ้น อยู่ทำไมกับชีวิตที่พอกินพออยู่ อยู่ทำไมกับชีวิตบนความเรียบง่าย
? อิสระแห่งชีวิตทุกคนมีสิทธิ์ แต่มันขึ้นอยู่กับความสามารถของทุกๆ
คน มาเถิด มาแย่งฉกฉวยกัน มือใครยาว เขาก็คือผู้ชนะ
ออดแอด ! ครืนครืน ! ออดแอด ! ครืนครืน !
ห่างกัน ห่างกัน เกวียนกับรถสุดสวย นับวันจะห่างกัน รอยล้อเกวียนฝากประทับบนแผ่นดิน อย่างทะนุถนอม
อย่างอ่อนโยน ดูธรรมชาติแวดล้อมของเราซิ สะอาด บริสุทธิ์ สดชื่น
ไม่มีสารเคมียาพิษในอาหาร ในน้ำ ในอากาศ ในแผ่นดิน ยาของเราจึงอาจมีน้อย
อาหารของเราแม้ไม่หลากเป็นกองทัพ แต่ทุกคนต่างพอมีกิน ร่างกายกลับแข็งแรงอดทนอย่างประหลาด
ผ้าเสื้อแม้ไม่สดสวย แต่ทุกคนต่างล้วนอบอุ่น กันร้อนกันหนาวไม่อนาทร
แม้บ้านช่องห้องหับ ต่างล้วนสมถะ ไม่ใหญ่โต เพราะเพียงหมายเพื่ออาศัย
มิใช่ประกวดประชันขันแข่ง
โดยแท้จริง ชีวิตก็มีความเป็นอยู่พอดี ส่วนที่เกินเหลือย่อมจะแบ่งเจือจานโดยสัจธรรมของมันเอง
ประดุจสายน้ำจากที่สูงย่อมหลั่งรินแอบขยายสู่ ณ ที่ต่ำกว่า
ออดแอด ! ออดแอด !
กลับเถิด กลับมาสู่ชีวิตธรรมชาติบริสุทธิ์ อากาศ น้ำ แผ่นดิน
บริสุทธิ์ เกวียนแม้จะเก่า แต่ก็มิถึงกับผุพัง รู้ไหม...ของในโลกนี้
ธรรมชาติได้ประทานให้พอเพียงกับความจำเป็นของทุกๆ ชีวิต แต่ไม่สามารถที่จะสร้างให้พอกับความโลภของทุกๆ
ชีวิตได้ รู้ไหม ?... สองข้างทางของรถยนต์สุดสวย บังเกิดสิ่งใดขึ้น
ความเจริญ ! ใช่แล้ว ใครๆ ขานเรียกความเจริญ อันเต็มเปี่ยมด้วยศิวิไลซ์
!
ท่ามกลางเครื่องมือเทคโนโลยีอันราวกับของวิเศษ และคอมพิวเตอร์อันยอดฉลาดในหล้าโลก ได้ค่อยๆ
ทำลายคุณภาพแห่งชีวิตทีละน้อยๆ มันได้ดึงประสิทธิภาพแห่งชีวิตให้ต่ำลงด้วยการรับเป็นผู้สนองกระทำการเสียเอง
ความสามารถของมนุษย์กำลังถูกกัดกร่อน ให้สาบสูญอย่างช้าๆ
เขาต่างภูมิใจว่า โลกของฉันยอดเจริญ ดูซิ ! เราทำให้เหล็กลอยฟ้า
ดูซิ ! เราทำให้ภูเขาถล่มทลายเป็นแอ่งน้ำบ่อใหญ่ จากพื้นดินเพียงพริบตา
ก่อเกิดแท่งหินสูงเสียดเมฆ อัจฉริยะจริงหนอ อัจฉริยะเอย
แต่ทว่า... สงคราม ! สงคราม ! ทุกหนแห่งมีควันไฟสงคราม
ประเทศต่อประเทศ เพื่อนบ้านต่อเพื่อนบ้าน พี่กับน้อง พ่อแม่กับลูก เกิดอะไรกันขึ้นบนโลกในยุคนี้ที่ได้รับการยกยอเจริญสุดยอด
ฆ่า ! ฆ่า ! ฆ่า ! คนกำลังฆ่ากัน ธรรมชาติแตกร้าวขาดสมดุล
จิตวิญญาณของมนุษย์แห้งแล้งดุจทะเลทราย
คะครืน ! คะครืน ! เสียงรถคำรามประดุจปีศาจ เส้นทางสายนี้
กระไรจึงแย่งกันจอง
ออดแอด ! ออดแอด ! มาเถิด มาค่อยค่อยพากันไป เราอาจไม่มีเครื่องมือทันสมัย
แต่เราก็สุขสบาย มีกิน มีใช้ สุขแม้จะไม่ฟุ่มเฟือย แต่ต่างก็มีตามอัตภาพ
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ เราต่างจะพึ่งตน ทุกคนต่างอาศัยพึ่งตน ไม่ต้องง้องอนผู้อื่น
แต่ขณะเดียวกัน กลับกระหายต่อการเกื้อกูลคนทั้งผอง
ชีวิตอันเรียบง่าย พึ่งเงินตราให้น้อย ด้วยต่างปลูกกินได้เอง
ทำของใช้ได้เอง กระนี้แหละ อัตตาหิ ขนานแท้ เมื่อทุกคนต่างพึ่งตน
สังคมเราย่อมยืนหยัดช่วยตัวเองได้เป็นจริง
มิต้องวิงวอน มิต้องอาศัยจมูกผู้อื่นหายใจ ชีวิตอิสระ ชีวิตอันเป็นไทยไท
ออดแอด ! ออดแอด ! ล้อเกวียนประจงทาบผ่านพื้น ทิ้งฝุ่นธุลีไว้เบื้องหลังเพียงเล็กน้อย
ฉันประจงก้มดื่มน้ำอันใสสะอาดในรอยตีนโค ดวงตะวันใกล้พลบ แต่ยังไม่สายเกินไป
ต่อการหวนกลับสู่ทางเกวียนสายนี้
ออดแอด ! ออดแอด ! มาแล้วเกวียนเก่าคร่ำคร่า ใครจะขึ้น
รีบตัดสินใจโบกมือ
โคทวี
มาเป็นคนจนกันเถิด
เงินคือแก้วสารพัดนึก เงินคือพระเจ้า
เงินคือสุดยอดปรารถนา
เงินตรานี้หรือคือกระดาษ ผู้สร้างขึ้นมาซิอนาถ
หลงใหลเป็นทาส อำนาจเงิน นั่นนะสิ...แล้วเราท่านทุกคนยังอยากให้สังคมนี้
โลกนี้ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจเช่นนี้ต่อไปล่ะหรือ
ถ้าเรายังอยากรวย เราก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่ทำลายความสมดุลของสังคม
เพราะกว่าคนจะรวยได้ เขาก็ต้องสะสม กอบโกย กักตุนและเอารัดเอาเปรียบ
จนบางครั้งก็ถึงกับขูดรีดมาจากผู้อื่น และยิ่งรวยก็ยิ่งอยากรวยเพิ่มขึ้น
เพิ่มขึ้น จนแทบจะไม่รู้จักคำว่า พอ
เชื่อไหมว่า สังคมเดือดร้อนก็เพราะความอยากรวย
แต่จะไม่เดือดร้อนเลย ถ้าเราอยากจนหรือจนให้เป็น
เชื่อหรือว่า การได้มีชีวิตอยู่อย่างฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย
ราวกับเทวดา นั่นคือความโชคดี
รู้ไหมว่า นั่นแหละคือความหายนะของจิตวิญญาณ คือการเป็นหนี้โลก
เพราะผลาญทรัพยากรที่ไม่ใช่ของตน เป็นการสั่งสมให้ตัวเองมัวเมา
และหลงติดในกามคุณ เป็นผู้อยู่ยาก เลี้ยงยาก
สังคมที่ต่างก็พออยู่พอกิน มีความขยันขันแข็ง
ช่วยเหลือเกื้อกูลสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน นั่นต่างหากที่เป็นสังคมของคนพัฒนา
เป็นสังคมที่สดใสและน่าอยู่ของมวลหมู่มนุษยชาติอย่างแท้จริง
มาสิ ! หากปรารถนาความเป็นธรรม ความเป็นภราดรภาพที่แท้จริง
สังคมนี้ก็เปิดกว้างและยินดีต้อนรับเสมอ
ใคร ๆ ก็อยากรวยกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากจนกันบ้างหรือ
? ความจนนี่แหละดี แต่ต้องจนอย่างเต็มใจ มิใช่จนเพราะจำใจ จนอย่างรู้ความดีของความจน
จนอย่างไม่อิจฉาความรวยความรวยมีแต่โทษแต่ภัย ความรวยคือความโลภ
ความสะสม กักตุน หวงแหน ความเห็นแก่ตัว
เมื่อรวยก็ต้องควานคว้าหาความสุข โลกียสุข-ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ยิ่งหาสุข ยิ่งเพิ่มทุกข์ ยิ่งหาสุข ยิ่งเพิ่มทุกข์
คุณจะหามันเจอหรือ ? ต้องเหน็ดเหนื่อย ซอกซอกหา สุขเพราะได้เสพ
เมื่อเสพอิ่มแล้วก็อยากอีก ความอยากที่ไม่สิ้นสุด คุณก็ทุกข์ไม่สิ้นสุด
เพราะความอยากนี้แหละความทุกข์เมื่อได้สมอยากคุณก็คือเทวดา เมื่อไม่ได้ก็นั่นแหละนรก คุณก็เที่ยวขึ้นสวรรค์
(ปลอมๆ) ลงนรกอยู่นั่นแล้ว
คนเสพฝิ่น เฮโรอีน ก็หลงว่าเป็นสวรรค์ คนดื่มเหล้า อบายมุข
ก็หลงว่าเป็นสวรรค์ อาจเป็นสวรรค์ในเมืองกระมัง เขาเรียก สวรรค์ลวง
เมื่อคุณอยากรวย คุณก็ดิ้นรนตะเกียกตะกายหา เมื่อหาอย่างสุจริตก็รวยยาก
เพราะความอยากมาก ความทุจริตจึงเกิดขึ้น
เมื่อคุณรวยแล้วก็อยากเสพ บางครั้งคุณก็ต้องแย่งชิงกันเพื่อเสพ เมื่อแย่งชิงก็ต้องเข่นฆ่ากัน
ผู้ชนะก็จะได้ครอบครอง ผู้ชนะย่อมก่อเวร การจองเวรล้างแค้นจึงเกิดขึ้น
เมื่อคุณรวย คุณจะไม่ปลอดภัย เพราะความอยากรวยอย่างทุจริตจะฆ่าคุณ
คุณจะสร้างรั้วให้แข็งแรง คุณจะสร้างลูกกรงเหล็ก คุณจะต้องมียามเฝ้า
บางครั้งคุณอาจจะต้องมีมือปืนคุ้มกัน
จงมาเป็นคนจนกันเถิด ไม่มีเวรไม่มีภัยหรอก เมื่อคุณหาได้ คุณก็แจกจ่ายแก่ผู้ขาดแคลน
คนทุกคนก็เป็นมิตรกับคุณ เพราะคุณไม่หวงแหน ไม่กักตุน ไม่เห็นแก่ตัว
คุณไม่ต้องช่วงชิงกับใคร คุณจะอยู่อย่างง่ายๆ เบากาย เบาใจ ไม่หนักหนา
ไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อคุณจะตาย คุณจะนอนตาหลับ
จงมาเป็นคนจนกันเถิด ไม่มีเวร ไม่มีภัยหรอก.
11 จ.
|