[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี | ผู้เขียน
page: 1/5

[ฝันร้ายเมื่อเที่ยงคืน] [เพลงเมตตาอลิกะ] [การป้องกันตนมิให้เป็นโรคมะเร็ง] [ชีวิตนั้น... มิใช่ของฉันหรือ?]
[เวียนตาย เวียนเกิด]


ฝันร้ายเมื่อเที่ยงคืน

เที่ยงคืน ท่านขรัวตาคง มาปลุกเรา ได้เวลาตามนัด จะไปถ่ายสไลด์ฆ่าหมู ฆ่าวัวกัน (แต่ท่านไม่ได้ไปด้วยหรอก)
เรารู้สึกไม่สบายใจที่ต้องไป กลัวจะทนเห็นความเจ็บปวดทรมานของมันไม่ได้

คุณอุดร โชเฟอร์ คุณณรงค์ ผู้นำทาง คุณลุงตาบกับ เราถือคนละกล้อง มุมใครมุมมัน รถพระมาลัย แล่นปุเลงๆเข้าตัวเมือง
ท่ามกลางอากาศที่หนาวยะเยือก ยิ่งรู้ว่า จะไปดูเขา ฆ่า! ใจมันก็ยิ่งสั่นสะท้าน

จุดแรกที่ไป ก็ดูฆ่าวัว เป็นบ้านชาวบ้านธรรมดา ทำพอเลี้ยงตัว ปกติฆ่าวันละตัว มารออยู่สักพัก คนฆ่าก็ตื่น
พร้อมกับเด็กผู้ช่วยตัวเล็กที่น่าสงสาร วัว ๗-๘ ตัว ยืนจับกลุ่มทะมึนอยู่ริมรั้ว บางตัวกำลังเคี้ยวหญ้าเล่น ไม่ตัวใดตัวหนึ่ง
คงถึงฆาตในไม่กี่นาทีนี้ โอ! ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน ความตายกำลังเดินเข้ามาหาพวกมันทีละน้อยๆ ทุกอย่างเงียบสงบ
บ้านทุกบ้านปิดไฟเงียบ ต่างก็กำลังหลับอย่างเป็นสุข แต่ความตายที่แสนหฤโหด ที่บ้านทั้งหลายเป็นต้นเหตุกำลังจะเกิดในไม่ช้า
อากาศเริ่มเย็นลงอย่างน่ากลัว จิ้งหรีดหยุดกรีดปีกชั่วขณะ จุดตึงเครียดกำลังจะเกิดขึ้น ใจเราเริ่มเย็นยะเยือก สั่นสะท้าน
เจ้าเด็กกะเปี๊ยกตรงไปลากวัวเคราะห์ร้ายสีน้ำตาลอ่อนมา มันเดินตามอยู่ ๒-๓ ก้าว พลันก็หยุดไม่ยอมเดิน
เจ้าเด็กก็ดึงกระชากอย่างแรง มันคงเจ็บจมูกเดินไปหน่อยก็หยุด ราวกับจะรู้ว่า เส้นทางเบื้องหน้า ความตายกำลังแสยะยิ้มรอมัน

ภาพที่ดึงๆหยุดๆทำให้เราสั่นสะท้านมากขึ้น เจ้าวัวหายใจฟืดฟาด กางขาหน้าออก เกร็งแรงต้านเอาไว้
แต่ก็สู้ความเจ็บที่ถูกเชือกดึงไม่ได้ วัวตัวอื่นๆที่อยู่ในคอกเริ่มเดินหน้าเดินหลัง อย่างตื่นตระหนก เสาหลักที่ตอกติดแน่นกับพื้น
เพชฌฆาตรีบเอาเชือกพันหลักกับหัวของวัวเอาไว้แน่นกับพื้น จนกระดุกกระดิกไม่ได้ แววตาของมันเริ่มเบิกกว้างอย่างเหลือกลาน
มันรู้แล้วว่า อะไรกำลังจะเกิดกับมัน โอ ! ชีวิตของฉัน กว่าจะเติบโตใหญ่ขึ้นมา ฉันก็ต้องกินนมแม่ไปหลายสิบหลายร้อยถัง
น้ำนมของแม่ฉันช่างหอมหวานอะไรเช่นนี้

โอ ! ร่างกายของฉัน กว่าจะใหญ่โต ฉันก็ต้องดูแลมันอย่างดี ป้อนฟาง ป้อนหญ้า ป้อนน้ำอย่างมากมาย แต่ขณะนี้
ฉันกำลังจะถูกสัตว์อีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า มนุษย์ กำลังจะฆ่าฉัน เพื่อแบ่งเอาเนื้อของฉัน ที่ทะนุถนอมมาแต่เล็กแต่น้อย
เอาไปแบ่งปันกัน ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย ! ! ฉันยังไม่อยากตาย ฉันไม่ใช่อาหารของพวกท่านนะ ช่วยด้วย! ได้โปรดเถิด !
เจ้าวัวที่น่าสงสาร ยังคงดิ้นขลุกขลักอย่างตกใจ ในชีวิตของมัน คงไม่เคยกลัวมากที่สุด เท่าครั้งนี้เป็นแน่

เหมือนเราหูฝาด แว่วเสียงแผ่เมตตาดังอย่างเพราะหู.... สัพเพ สัตตา อเวรา.....ฯลฯ มันคงเป็นเสียงอนุโมทนา
ต่อเพชฌฆาตกระมังหนอ ! ช่วยด้วย ! ! ช่วยด้วย ! ! เจ้าวัวดิ้นอีกแล้ว ใครๆก็รู้ว่า มันคงไม่อยากตาย
เพื่อให้มนุษย์กินเนื้อของมันเป็นแน่ สิ้นเสียงก็สิ้นสั่ง และแล้วนาทีหฤโหดก็เริ่มขึ้น ค้อนเหล็กขนาดใหญ่เท่ากำปั้น
ก็ถูกฟาดเปรี้ยงลงไปที่หน้าผากของมัน เสียงดังเหมือนทุบมะพร้าว เจ้าวัวฟุบลงไป ตัวสั่นริกๆ แต่ยังไม่สิ้นสติ เสียงโพละดังอีกครั้ง
ดังทำลายความเงียบขึ้นมา ซึ่งดูดังราวกับเสียงฟ้าร้อง ราวกับหัวของเราถูกทุบแตกไปด้วย อนิจจา ! มนุษย์หนอ อกเขาอกเรา
จิตเขาจิตเรา มันถูกทุบซ้ำอีก มันกำลังชักอย่างเจ็บปวด แล้วมีดปลายแหลมก็ถูกเสียบเข้าที่ซอกรักแร้แดง ตรงหัวใจจนจมมิด
ฟองเลือดเดือดพล่านปุดๆ หลั่งไหลออกมาราวกับฟองผงซักฟอกสีแดงฉาน

มันค่อยๆรูดลง หน้าของมันก้มต่ำซบลงกับพื้น ขาคุกเข่าลงชักกระตุก ร้องครืดคราดอยู่นาน กว่าจะสงบลง
หน้าของมันยังคงซบกับพื้นหญ้าราวกับจะอ้อนวอนพระแม่ธรณีให้เป็นพยาน ร่วมรับรู้ในความตายของมัน
“ท่านผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดิน ข้าน้อยไม่อยากตาย ได้โปรดเถิด แผ่นดินที่รองรับหยดเลือดของข้าน้อย เป็นพยานด้วยเถิดว่า
ข้าน้อยซึ่งเกิดมาอย่างอาภัพ ไร้เมตตาจากหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ผู้หื่นกระหาย ละโมบ จ้องแต่จะคอยกัดแทะเนื้อของข้าฯ โอ!
ต้นหญ้าที่รองรับตัวข้า ขณะที่ข้าใกล้จะหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย เป็นพยานให้ข้านะว่า
ข้าไม่อยากให้ใครมากินเลือดเนื้อของข้าที่ข้ามีสิทธิ์เป็นเจ้าของ แต่กลับถูกปล้นชิง โอ! เลือดเนื้อของข้า
อีกไม่นานก็จะถูกแจกจ่ายเข้าสู่กระเพาะของมนุษย์ทั้งหลาย ที่บางคนถือศีลปฏิบัติธรรม กล้าพูดอย่างอาจหาญว่า เขารักข้า!
เมตตาต่อข้า! โอ! เขารักข้ากระนั้นหรือ ?

ร่างเจ้าวัวที่น่าสงสาร สงบนิ่งลงแล้ว ดวงตาของมันยังคงเลิกโพลง ราวกับจะเรียกร้องความยุติธรรม หยดน้ำตาไหลรินออกมาเป็นทาง
ก่อนที่ใยชีวิตสุดท้ายจะขาดสะบั้น “ ลาก่อน ร่างกายอันเป็นที่รักของข้า อีกกี่แสนกี่ล้านชีวิตของพวกข้า
จึงจะพอเพียงต่อกระเพาะของมนุษย์” หยดน้ำตาหยดสุดท้าย ย้อยหยดร่วงลงบนผืนดินที่เคยรองรับเห่กล่อมชีวิตของเพื่อนของมัน
วันแล้ววันเล่า อย่างไม่เบื่อหน่าย มันซึมผ่านธุลีดินลงไปแอบซ่อน รอแสงอาทิตย์ยามเช้าเปล่งรัศมีเพื่อที่จะได้ระเหยกลายเป็นไอ
เกาะตัวเป็นหมู่เมฆอยู่บนท้องฟ้า รอวันเวลาที่จะกลั่นเป็นหยดน้ำ ตกลงสู่เบื้องล่างอีกวาระ

อนิจจา ! ก้อนเมฆแห่งความเจ็บปวด

อนิจจา ! สายฝนแห่งความปวดร้าว

เจ้าวัวสีน้ำตาลอ่อน หยุดสะอื้นไปนานแล้ว แต่น้ำตาของมันยังคงเฝ้าวนเวียน ร้องแล้วร้องอีกอยู่มิรู้วาย ผสานไปกับพายุ ปนไปกับฟ้าคะนอง จนกว่าจะถึงวันนั้น
วันที่มนุษย์เลิกประหัตประหารเอาเลือดเนื้อของพวกมันมาเสพกัน

เพชฌฆาตจับมันหงายท้อง ขาชี้ฟ้า เด็กน้อยเริ่มเชือดผ่ากลางจากคอไล่ไปถึงโคนหาง น่าแปลก ! ที่มันยังคงชักกระตุกอยู่เล็กน้อย ความตายของมันยังคงไม่สนิทดีนั่นเอง

แล้วพิธีการแล่ ก็เริ่มต้นทีละซีก

เนื้อที่แล่ออกมา ยังคงเต้นกกระตุ๊บๆ นี่ยังไงล่ะ ที่เขาเรียกว่าตายเป็นๆ ร่างของมันถูกแยกออกทีละชิ้นๆ เพชฌฆาตลับมีดบนขากางเกงอยู่ไปมา ซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของญาติๆ
แต่เก่าก่อนจนแข็งราวกับหิน ยังแล่ไม่หมดดีนัก ทีมพระมาลัยของเราก็ไปต่อที่อื่น ด้วยหัวใจที่ยังไม่หายตื่นเต้น ช่างเหมือนกับในสไลด์ชุด “ลูกจ๋าอยู่ไหน?” เสียเหลือเกิน

เรามองเห็นแล้วยังเย็นวาบไปทั้งตัว

อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ชาวบ้านที่หลับใหล ต่างก็จะตื่นออกมาจ่ายตลาด มาซื้อร่างกายของเจ้าวัวที่น่าสงสาร
และเนื้อบางส่วนก็อาจจะหล่นลงในบาตรของพระคุณท่านองค์ใดก็ได้ นิมนต์เถิด
ถ้าท่านจะไปนิพพานด้วยเลือดเนื้อของสัตว์ร่วมโลกอย่างน้อย นิพพานของท่านก็คงจะสีแดงสดเข้มงามตายิ่งนัก และเที่ยงคืน
วันต่อไปและต่อไป มันก็คงเป็นเวลาสิ้นสุดการกินหญ้าของเจ้าวัวตัวต่อๆไป ที่ยืนดูอย่างตื่นตระหนก

สัพเพ สัตตา อเวรา...อพยาปาทะ...สัตว์ทั้งหลาย อย่าเบียดเบียนกันเลยนะ อย่าจองเวรกันเลยนะ อย่ากันเลือดกินเนื้อกันเลยนะ !

รถแล่นไปเข้าอีกหมู่บ้าน ซึ่งที่นี่เขาเชือดวัวกัน ๖-๗ ตัว แต่ไม่รู้จักกัน

เราไปดูเขาฆ่าหมู เพิ่งเชือดไปแล้ว ๑ ตัว แต่กำลังจะเชือดอีกตัว เผื่อวันพระ!

น้ำร้อนกำลังถูกใส่ฟืนโหมให้เดือด เพื่อเตรียมราดขูดขนเจ้าหมูที่เคราะห์ร้ายถูกจูงออกจากคอก
มันวิ่งหนีอย่างตกใจสุดขีดไม่ยอมมาที่หลักประหาร เดี๋ยววิ่งไปทางซ้าย เดี๋ยววิ่งไปทางขวา ด้วยหัวใจที่ระริกพล่าน

ทุกครั้งที่เชือกตึง มันก็เอาหน้าซุกดิน ร้องครวญครางอย่างน่ากลัว และเหน็ดเหนื่อย

“ฉันไม่ไป ! ฉันไม่ไป ! จะอาฉันไปไหน ไม่เอา ฉันไม่เอา !”

มันคงรู้หรอกว่า คนจะเอามันไปทำอะไ ร ชีวิตหนอชีวิต ช่างไม่เห็นอกเห็นใจกันบ้างเลย คิดแต่จะประหัตประหาร
เพียงเพื่อเอาเนื้อเขามากิน มาบำรุงบำเรอ กระเพาะของตัวเอง

เสียงตบตีดังเป็นพักๆมันยังคงร้องและครางอย่างเหนี่อยหอบหน้ายังคงซุกดินอย่างแข็งขืน

สงครามหฤโหดระหว่างคนกับสัตว์กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่มันเป็นเพียงสงครามของแมลงเม่า ที่จะบินเข้ากองไฟต่างหาก
คิดหรือจะรอด มีแต่ตายกับตายท่าเดียว และที่สุด หลักประหารก็ได้ทำหน้าที่อีกครั้ง พอเชือกผูกเสร็จเจ้าหมูก็รับวิ่งหนี

“ถึงเวลาแล้วที่ควรจะตายซักที เพื่อมาเลี้ยงพรรคพวกของฉัน รู้ไหมว่า พวกฉันเป็นสัตว์ประเสริฐ ที่มีสิทธิ์โดยชอบธรรม
ที่จะกินเนื้อของพวกแกตัวไหนก็ได้ อย่าว่าแต่แกเลย เนื้อพ่อเนื้อแม่ที่รักของแกพวกฉันก็มีสิทธิ์กิน เข้าใจไหม ไอ้หมูขี้ขลาด ! ?”

วิ่งไปได้เมตรครึ่ง เชือกก็ตึง มันรีบเอาหน้าซุกไปที่พื้นอีกอย่างหวาดกลัว กลัวที่จะเห็นเจ้าเพชฌฆาตกำลังทำอะไรกับมัน
มันหายใจอย่างคนที่กำลังตกใจสุดขีด

อนิจจา ! นี่มันเสียงหายใจของคนที่กลัวตาย และเห็นความตาย กำลังเดินเข้ามาขย้ำอย่างช้าๆ

อย่างไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง เพชฌฆาตก็หยิบไม่กระบองท่อนสี่เหลี่ยม ฟาดโครมเข้าแสกหน้า ดวงดาวคงลอยระยิบระยับ
มันล้มชักทันตาเห็น ร้องครืดคราดๆ ฝ่ายเมียก็รับเอามีดยาวแทงคอหอย ดูๆก็สมกันจริง ผัวก็ทุบ เมียก็แทง วังวนแห่งชีวิต
ก็ยังคงเป็นวังวนแห่งชีวิต รอบตัวเต็มไปด้วยม่านหมอกครอบคลุมไปทั่วยากที่แสงใดจะแทงทะลุ

ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร ? นั่นซิ ! ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร ?

หมายเพียงเพื่อการหาความสุขไปวันๆ สะสมแสวงหาเงินทองให้มีอยู่ในกระเป๋า แค่นั้นเองหรือ?

สำหรับคุณค่าชีวิตของตัวเรา ที่ยากแสนยาก กว่าจะก่อเกิดมาเป็นตัวเป็นตน มีปัญญาฉลาดล้ำ คิดค้นเรื่องราวได้สารพัด
มีแต่เรื่องเดียวเท่านั้น ที่กลับโง่งม ใช่แล้ว”เมตตาธรรม !” มันได้สูญพันธุ์ไปนานแล้วหรือ ท่านทั้งหลาย ?

เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาลงสู่กะละมัง คนฆ่าก็บีบเค้นเอาเลือดให้ออกมาอีก ทุกครั้งที่บีบ เจ้าหมูก็จะร้องครืดคราดๆจนสงบลง
ก็เพิ่งรู้นี่แหละว่า เลือดหมูที่กินกันอย่างเอร็ดอร่อยนั้น เอามาจากหมูที่ยังไม่ตาย

กรรมเวรหนอ กรรมเวร

ร่างของมันสงบนิ่งลงไปแล้ว สงบลง ณ พื้นที่วิญญาณญาติของมันได้หลุดลอยออกไป

ดวงตาที่ไร้แววยังคงเหลือกลาน ราวกับจะไม่ยอมเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มันคงคิดไม่ถึง

หรอกว่า เมื่อมันโตขึ้น มันจะต้องพลีเลือดเนื้อให้พวกมนุษย์ทั้งหลายเสพกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
แววตายังคงฉายแสงแห่งความปวดร้าว ตัดพ้ออยู่ในที “พวกข้าทำอะไรให้พวกท่าน ถึงจองล้างจองผลาญพวกข้าเหลือแสน
พวกข้าเป็นหนี้ชีวิตของท่านกระนั้นหรือ ? พวกท่านบางคนบอกว่า พวกข้าไม่มีประโยชน์ ทำการทำงานก็ไม่ได้ แล้วพวกท่านล่ะ
มีประโยชน์อะไรต่อพวกข้า นอกจากจะคอยกัดแทะเลือดเนื้อของพวกข้า

โอหนอ ! ชีวิตของพวกข้า ทำไมช่างอาภัพ โหดร้ายขนาดนี้ วินาทีแรกที่ก่อเกิด พวกข้าก็ต้องเตรียม

ตัวเตรียมใจไว้ตายแล้วหรือนี่ ? สัตว์เดรัจฉานอย่างข้า ต้องคอยมาจุนเจือพวกท่านให้อยู่รอด นี่นับเป็นวาสนาของพวกข้ากระมัง
ก่อนจะเอาเลือดเนื้อแห่งความเจ็บปวดของพวกข้า โยนใส่ปากขอให้ระลึกถึงบุญคุณของพวกข้า
ที่ทำให้พวกท่านทั้งหลายเติบโตมีชีวิตขึ้นมาสนุกสนานกัน อย่าลืมนะ ท่านทั้งหลาย เคารพพวกข้าก่อนที่จะกินทุกมื้อ”
แล้วน้ำร้อนก็ถูกราดรด ขบวนการขูดขนเป็นไปอย่างแคล่วคล่องทั้งผ่า ทั้งล้วง ไม่เกินชั่วโมงก็เสร็จเนื้อของมัน ถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ
กระจัดกระจายออกไป

สัตว์เดรัจฉานยากจะแยกแยะ บาป-บุญ กุศล-อกุศล ชีวิตของมันได้จากไป ทิ้งไว้แต่ความพยาบาทอาฆาต
ที่ลุกโชติช่วงราวกับเปลวไฟ ยากที่จะดับ ยากที่จะมอดมลาย มันยังคงเรียกร้องทวงสิทธิ์ในร่างกายของมัน ตามเขียง ตามร้าน
ตามโต๊ะ ทั่วทุกหนทุกแห่งที่เป็นสุสานฝังศพของมัน...“เอาของข้าคืนมา ! เอาของข้าคืนมา !”

เราจากมาอย่างหัวใจหวิวๆ อยากจะให้คนที่กินเนื้อสัตว์อยู่ มาเห็นกับตาซักหน่อย อยากจะให้คนที่อ้างว่า
ตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการฆ่า ที่กินก็เพราะเขาฆ่ามาแล้ว มาดู มาเห็นให้มันชัดๆ ให้เข้าถึงหัวใจซักหน่อย มาพูดต่อหน้าเจ้าวัว
เจ้าหมูซักนิดเถอะว่า “ที่เธอตายน่ะ ฉันไม่เกี่ยวนะ ฉันเพียงแต่ซื้อมากินเท่านั้น ไม่ได้ฆ่าเธอนะ”

ร่างของสัตว์ที่น่าสงสาร ได้หมดลมไปนานแล้ว แต่กระแสแห่งการละเมิดศีลข้อปาณาติบาต จะยังคงไหลไปสู่ทิศเล็กทิศน้อย ตำบล
หมู่บ้าน จังหวัด เอ่อไหลเข้าไปยังบ้านมนุษย์ทั้งหลาย ที่ฉวยโอกาสบนความตายของสัตว์เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งมวล
ประกายของสายเลือดที่หลั่งทะลัก แผ่กระจายไปทั่งเขตคาม โอบรัดคนเลี้ยง คนฆ่า คนขาย คนซื้อ คนกิน
ให้รวมเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างเหนียวแน่น และมั่นคง

เราอาจจะหลอกใครก็ได้ หรือแม้แต่ตัวเอง แต่เราไม่สามารถที่จะมดเท็จต่อสัจธรรมได้เลย

แล้วคณะพระมาลัย ก็เดินทางกลับเข้า “ศรีษะอโศก” ประมาณตี ๓ ด้วยหัวใจวาบหวิว

คืนนี้ คงจะเป็นเหมือนฝันร้ายที่ยากจะพบเห็นง่ายๆในชีวิตที่เคยแต่ออกไปซื้อเนื้อ ที่เขาเตรียมเรียบร้อยแล้วบนเขียงในตลาด

หากยังอดเนื้อสัตว์ไม่ได้ ก็จงไหว้มันทุกครั้งที่กินเถอะ ในฐานะที่เรายังจะต้องอาศัยใบบุญจากพวกเขาอยู่

  ฝันร้ายเมื่อเที่ยงคืน
   [เลือกหนังสือ]
page: 1/5
   Asoke Network Thailand