[exit]

โพธิรักษ์ โพธิกิจ | โลกาภิวัฒน์ 2000 | เศรษฐศาสตร์บุญนิยม |  ความรัก ๑๐ มิติ ฉบับชาดก 

"ณวมพุทธ"  เรียบเรียง

มติที่1 | มติที่2 | มติที่3 | มติที่4 | มติที่5 | มติที่6 | มติที่7 | มติที่8 | มติที่9 | มติที่10

ญาตินิยม / โคตรนิยม

"ญาตินิยม" เป็นความรักที่เห็นแก่ตัวลดลง มีใจเมตตาเผื่อแผ่ออกไปกว้างขวางขึ้นอีกนิด กล้าเสียสละ ลงทุนลงแรงให้แก่หมู่วงศาคณะญาติมากคนขึ้น

จึงเป็นความรักที่มีประโยชน์ มีคุณค่าเพิ่มขึ้น แม้ตัวเองจะต้องทุกข์เหน็ดเหนื่อยลำบากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ถึงกับต้องแจกจ่ายลาภ-ยศ-ความสุข ให้การช่วยเหลือทั้งทางวัตถุ เงินทอง อาชีพการงาน หรือแม้แต่เกื้อกูลทางปัญญาก็ตาม

มหากปิชาดก

ในอดีตการ มีพญาวานรตัวหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน มีกำลังวังชา มหาศาล พละกำลัง เท่ากับช้าง ๕ เชือก มีฝูงวานร ๘ หมื่นตัว เป็นบริวาร อาศัยอยู่ที่ ถิ่นป่าหิมพานต์

ณ ที่นั้นเอง มีต้นมะม่วง อยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งกิ่งก้านสาขา แผ่กว้าง มีใบดกหนา ร่มเงาคลุมไป ทั่วบริเวณนั้น ลำต้น ใหญ่โตมหึมา ตั้งอยู่บนฝั่ง แม่น้ำคงคา ผลของมันมีรสหวาน และกลิ่นหอม คล้ายกับ ผลไม้ทิพย์ ผลมะม่วง ก็มีขนาดใหญ่มาก ประมาณ เท่าหม้อน้ำเลยทีเดียว และผลจาก ต้นมะม่วงนี้ จะหล่นลง บนบกบ้าง หล่นลงน้ำ ที่แม่คงคาบ้าง หล่นลงที่ใกล้ต้นบ้าง

วันหนึ่งเมื่อพญาวานร พาฝูงบริวาร ไปกินผลมะม่วง ที่ต้นไม้นั้น ก็เกิดความคิดว่า

"สักวันหนี่ง ภัยจะเกิดขึ้น แก่พวกเราแน่ เพราะเหตุจาก ผลไม้นี้หล่น ลงในน้ำ"

ดังนั้น จึงสั่งให้ฝูงวานร กินผลมะม่วง ของกิ่งที่ ทอดไปเหนือน้ำ ไม่ให้เหลือไว้ แม้แต่ผลเดียว เพียงแค่เริ่ม มีผลโต เท่าแมลงหวี่ ขณะเวลาที่ออกช่อ เลยทีเดียว

แต่แม้เป็นเช่นนั้น ก็ยังมีผลมะม่วงสุกผลหนึ่ง ซุกอยู่ในรังมดแดง เหล่าวานร แปดหมื่นตัว มองไม่เห็น ผลมะม่วงนั้น หล่นลงไปในน้ำ ลอยไปติดข่ายของ พระเจ้าพรหมทัต ผู้ครองกรุงพาราณสี ซึ่งทรงให้ขึงไว้ ที่แม่น้ำ ตอนล่างนั้น เพื่อไว้ทรงกีฬา ทางน้ำ ครั้นพวกผู้ดูแล พากันกู้ข่ายขึ้น ก็ได้เห็น ผลไม้สุกผลนั้นเข้า แต่ไม่รู้ว่า ผลไม้นี้ชื่ออะไร จึงนำไปถวาย ให้พระราชา ทอดพระเนตร พระราชา ทรงพิจารณาแล้ว ตรัสถามว่า

"นี่ผลไม้อะไรกัน ใครจะตอบได้"

ทุกคนพากันส่ายหน้า แล้วมีผู้กราบทูลว่า

"แม้ข้าพระพุทธเจ้า ไม่ทราบ แต่พวกพรานป่า คงจะรู้ได้ พระเจ้าข้า"

พระราชาจึงรับสั่ง ให้เรียกพรานป่าเข้าเฝ้า ครั้นตรัสถามแล้ว ก็ทรงทราบว่า

"นี้เป็นผลมะม่วงสุก พระเจ้าข้า"

จึงทรงใช้พระแสงกริช เฉือนเนื้อผลไม้นั้น แล้วให้พรานป่า ทดลองกินดูก่อน เมื่อทรงเห็นว่า ไม่มีพิษแน่ ก็เสวย ด้วยพระองค์เองบ้าง แล้วพระราชทาน ให้สนมบ้าง อำมาตย์บ้าง รสของ ผลมะม่วงสุกนั่น แผ่ซาบซ่าน ไปทั่วพระสรีระ ทำให้พระราชา ทรงติดพระทัยยิ่งนัก เกิดความปรารถนา ชอบใจ ในรสนั้น จึงได้ตรัสถาม พวกพรานป่า ถึงสถานที่ มีผลไม้นั้น พรานป่า จึงกราบทูลว่า

"ผลไม้อย่างนี้ มีอยู่ที่ฝั่ง แม่น้ำคงคา ในดินแดนแห่ง ป่าหิมพานต์ พระเจ้าข้า"

พระราชาจึงรับสั่งให้คนจำนวนมาก ต่อเรือขึ้นใหม่ แล้วได้เสด็จ ทวนกระแสน้ำขึ้นไป ตามเส้นทางที่ พรานป่า ทูลชี้แนะ จนกระทั่ง ถึงที่นั้นแล้ว พรานป่า จึงทูลพระราชาว่า

"นี่แหละ คือต้นไม ้ที่มีผลรสเลิศนั้น พระเจ้าข้า"

ทรงรับสั่งให้จอดเรือ ไว้ที่ริมน้ำ แล้วเสด็จไปยัง ต้นมะม่วงนั้น ด้วยพระบาท พร้อมกับเหล่า ข้าราชบริพาร ทรงให้ปู ที่บรรทม ไว้ใต้ควงไม้ เสวยผลมะม่วง เสร็จแล้ว ก็ค่อยเสวย พระกระยาหาร ที่มีรสเลิศอื่นๆ หลังจากนั้น พอพลบค่ำ ก็เข้าบรรทม มีราชบุรุษทั้งหลาย วางยามอยู่ โดยก่อกองไฟ ไว้ทุกทิศ

คืนนั้นเอง เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย หลับกันแล้ว พญาวานร ได้มากับบริวาร ในเวลาเที่ยงคืน วานรแปดหมื่นตัว พากันไต่กิน ผลมะม่วงสุก จากกิ่งหนึ่ง ไปยังอีกกิ่งหนึ่ง ด้วยเสียงดัง ทำให้พระราชา ทรงสะดุ้งตื่น จากบรรทม

เมื่อทรงเห็นฝูงวานร จำนวนมากมาย เช่นนั้น ก็ตกพระทัย ทรงปลุก ให้คนทั้งหลาย ตื่นขึ้น แล้วรับสั่ง เรียกพวก นักแม่นธนูว่า

"พวกเจ้าจงพากัน ล้อมยิงวานรเหล่านี้ ที่พากันมากิน ผลมะม่วง บนต้น อย่าให้มัน หนีไปได้ พรุ่งนี้ เราจะได้มีทั้ง ผลมะม่วง กินกับ เนื้อวานรด้วย"

พวกนักแม่นธน ูทูลรับพระบรมราชโองการ แล้วพากันยืนล้อม ต้นมะม่วง น้าวคันธนู ขึ้นลูกศรไว้ วานรทั้งหลาย เห็นดังนั้น ก็กลัวภัย คือความตาย และไม่รู้ว่า จะหนีไปได้อย่างไร จึงพากันเข้าหา พญาวานร ด้วยอาการ ตัวสั่นสะท้าน ส่งเสียงถามว่า

"ข้าแต่ผู้เป็นใหญ่ ของพวกเรา พวกคนแม่นธน ูล้อมต้นไม้นี้ไว้ หมายใจจะยิง ลิงตัวที่หนีไป พวกเราจะทำ อย่างไรกัน"

พญาวานร ปลอบใจบริวารว่า

"ท่านทั้งหลายอย่ากลัวเลย ฉันจะให้ความมีชีวิตรอด แก่พวกท่าน"

กล่าวจบคำพญาวานร ได้วิ่งไต่ขึ้นกิ่งไม้ ที่ชี้ไปตรงหน้า แม่น้ำคงคา แล้วกระโดด จากปลายกิ่งนั้น ไปไกล ประมาณ ระยะทาง เท่าร้อยคันธนู ตกลงที่ ยอดพุ่มไม้ พุ่มหนึ่ง แล้วจากพุ่มไม้นั้น พญาวานร ก็ได้กำหนด ระยะทางไว้ว่า ที่ได้กระโดดมา มีประมาณเท่านี้ จึงเสาะหาเครือเถาวัลย์ แล้วกัดที่โคน ให้ขาด นำเอามาต่อกัน ให้ยาวพอ จากนั้น ก็ผูกปลายข้างหนึ่ง กับต้นไม้ใหญ่ ในบริเวณนั้น ส่วนอีกปลาย ผูกไว้ที่ สะเอวของตน แล้วกระโดด กลับไปยัง ต้นมะม่วงนั้น

แต่เมื่อลอยตัวไป ในอากาศ ใกล้จะถึงอยู่แล้ว เถาวัลย์สายนั้น ยาวไม่พอ พญาวานร จึงต้องเหยียดมือ ทั้งสอง ออกสุดแขน คว้ายึดกิ่งมะม่วง ไว้แน่น แล้วรีบเรียก เหล่าวานรว่า

"พวกท่านจงรีบไวๆ เหยียบหลังของฉัน ไต่ตามเถาวัลย์ ไปยังที่ปลอดภัย โดยเร็วเถิด

บริวารทั้งแปดหมื่นตัว จึงขอขมาต่อ พญาวานร แล้วเร่งไต่หนีตาย ไปอย่างรวดเร็ว แต่มีวานรพาล ตัวหนึ่ง คิดว่า

"นี้เป็นโอกาสทอง ของเราแล้ว ที่จะได้ทำร้าย พญาวานร ศัตรูของเรา"

จึงไต่ขึ้นสู่ยอดกิ่งไม ้ที่สูงสุด แล้วกระโดดลงมา สุดกำลัง ตกลง บนแผ่นหลัง ของพญาวานร อย่างเต็มแรง สร้างความเจ็บปวด ทรมาน แสนสาหัส ให้เกิดขึ้น ปานประหนึ่ง ร่างกายจะขาด หลุดออกจากกัน ฉะนั้น แล้วลิงพาล ตัวนั้น ก็รีบไต่เถาวัลย์ หนีไป

พระราชาทรงทอดพระเนตร เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด โดยเฉพาะ การกระทำของ พญาวานรนั้น ทำให้พระองค์ ทรงซาบซึ้ง พระทัยยิ่งนัก ทรงดำริว่า

"พญาวานรตัวนี้ แม้เป็นเพียง สัตว์ดิรัจฉาน ก็ยังมีความแกล้วกล้า เสียสละ ที่จะกระทำ ความสวัสดี ให้แก่บริวาร โดยมิได้คำนึงถึงชีวิต ของตนเลย"

ขณะนั้นฟ้าเริ่มสว่างแล้ว พระราชาจึงได้รับสั่ง ให้จอดเรือขนานไว้ ในแม่น้ำคงคา แล้วทรงให้ค่อยๆ นำตัว พญาวานร ที่บาดเจ็บ สาหัสลงมา ทำการดูแลรักษา อาบน้ำให้ เอาน้ำมัน ที่เจียวแล้วพันครั้ง มาชะโลม บนหลัง ของพญาวานร แล้วให้นอน บนที่นอน ปูด้วยหนังแพะ ให้ดื่มน้ำอ้อย จากนั้นพระองค์เอง ทรงประทับนั่ง บนอาสนะต่ำ ตรัสถามว่า

"ดูก่อนพญาวานร ท่านได้ทอดตัว เป็นสะพาน ให้เหล่าวานร ข้ามฝั่งไปโดยสวัสดี ท่านเป็นอะไรกับ วานรเหล่านั้น วานรเหล่านั้น เป็นญาติกับท่านหรือ"

พญาวานรกล่าวตอบ ด้วยอาการ อ่อนแรงว่า

"ข้าแต่พระองค์ ผู้ปราบข้าศึก ข้าพระองค์ ทั้งเป็นญาติ ทั้งเป็นนายฝูง ผู้ปกครอง หมู่วานร เหล่านั้น เมื่อพวกเขา ถูกความโศก ครอบงำ หวาดกลัวต่อภัย จากมนุษย์ ข้าพระองค์ จึงได้ช่วยเหลือ แม้ร่างกาย ของข้าพระองค์ จะต้องถูกเถาวัลย์ รั้งไว้ จนตึงแน่น คล้ายดั่งสายพิณ ที่ขึงตึง ใกล้จะขาดสะบั้น ก็ตาม หรือแม้จะต้อง โดนจับตัวไปฆ่า ข้าพระองค์ ก็ไม่ครั่นคร้าม เดือดร้อนใจ เพราะข้าพระองค์ ได้นำความสุข มาให้แก่ เหล่าบริวาร ผู้ซึ่งยกให้ ข้าพระองค์เป็นใหญ่ ปกครองดูแล พวกเขา"

หยุดพักหายใจยาวๆแล้ว พญาวานร ก็กล่าวต่อไป อย่างแผ่วเบาว่า

"ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ ข้าพระองค์จะยกอุปมา ถวายพระองค์ ขอพระองค์ โปรดทรงสดับคือ ธรรมดาของ พระราชา มหากษัตริย์ ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ ควรแสวงหาความสุขให้แก่รัฐ ให้แก่พลเมือง โดยทั่วไป ให้แก่ทหาร และให้แก่สัตว์พาหนะทั้งปวง"

พญาวานร เมื่อตักเตือนพระราชา อย่างนั้นแล้ว ก็ระบายลมหายใจ ยาวออกมา เป็นครั้งสุดท้าย สิ้นลมหายใจ ถึงแก่ความตาย อยู่ตรงนั้นเอง พระราชา จึงตรัสเเรียกอำมาตย์เข้ามา แล้วรับสั่งว่า

"ท่านทั้งหลาย จงทำสรีรกิจของ พญาวานรนี้ ให้เหมือนกับ สรีรกิจของ พระราชาด้วยเถิด"

แม้ฝ่ายใน เรือนนางสนม และห้องพระมเหสี พระราชา ก็ทรงบังคับว่า

"เธอทั้งหลาย จงพากันนุ่งห่ม ผ้าแดง สยายผม ถือประทีป แห่ห้อมล้อมศพ พญาวานร ราวกับ ถวายพระเพลิงศพ ของพระราชา แล้วได้ถือเอาเศษกระดูก ไปถวายแด่พระราชา พระราชา ทรงให้สร้าง เจดีย์ไว้ แล้วทรงบูชา ด้วยของหอม และดอกไม้ ตลอดมา

และตลอดพระชนม์ชีพ ของพระองค์ ทรงดำรงอยู่ ในโอวาทของ พญาวานร ทรงปกครองบ้านเมือง โดยธรรม บำเพ็ญบุญ มีทาน เป็นต้น

พระศาสดาทรงแสดงชาดกนี้จบแล้ว ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย แล้วตรัสว่า

"พระราชาในครั้งนั้น คือพระอานนท์ ในบัดนี้ ลิงวายร้ายตัวนั้น คือ พระเทวทัต ในบัดนี้ ส่วนพญาวานร ก็คือ เราตถาคต"

มติที่1 | มติที่2 | มติที่3 | มติที่4 | มติที่5 | มติที่6 | มติที่7 | มติที่8 | มติที่9 | มติที่10
  Asoke Network Thailand